แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

"Mutual Funds "ในบ้านเราน่าลงทุน(จริงหรือ)


ผมค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะปัจจุบัน Mutual Fund กินค่า Fee จากเงินต้น --(เน้นว่า จากเงินต้น) แสดงว่า ไม่ว่าจะขาดทุน เราก็ต้องจ่ายค่า Fee ซึ่งถ้าตลาด ไม่วิ่งไปไหน แสดงว่าในระยะยาว ค่า Fee จะกินผลตอบแทนทั้งหมด -- ผู้ลงทุน เหมือนโดนหลอก ส่วนผู้จัดการกองทุนก็นั่งยิ้มกิน Fee สบายๆ

... ผมมองว่าในปัจจุบันแม้คนที่ได้ประโยชน์ลดหย่อนทางภาษี 30% ดีไม่ดี ยังไม่คุ้มเลย หากเงินที่คุณ ลงทุนในวันนี้ จะไม่เพิ่มมูลค่า หรือ ลดลง เมื่อเราถอนออกมาตอนเกษียณ (จาก Performance ของกองทุนในบ้านเรา ผมมองว่า แย่กว่า เราหลับตาเลือกเอง แล้วทิ้งไว้เฉยๆ เสียอีก)

ผมว่า กองทุน ทุกกองที่คิดค่า Fee จากเงินต้น เป็นอะไรที่ ไร้สาระ และ หลอกลวง ซึ่งทั้งหมดในกองทุนบ้านเรา เป็นเช่นนี้ --ผมจึงหวังว่าวันนึง ผู้ลงทุนทุกคนจะตาสว่างกับ Scam ของกองทุนทั้งหมด -- และเมื่อเวลานั้นมาถึง กองทุนที่คิดค่า fee จากกำไร จะเกิดขึ้น อย่าง Warren Buffet เขาไม่คิดค่า Fee แม้แต่ บาทเดียว ถ้าเขาทำกำไรต่ำกว่า 6% --คิดดูซิครับ แสดงว่า Buffet ต้องสร้างกำไรสูงกว่า พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูงทีสุดในตลาด เขาจึงจะคิดค่าบริหาร --"make Sense มาก"

กองทุนบ้านเราควรเล่นจากปัจจัยพื้นฐาน และลงทุนในระยะยาว ไม่ใช่วิ่งเข้าออกอย่างนี้ เพราะความสำเร็จของการลงทุน ไม่ได้อยู่ที่ "ดวง" หากแต่มันอยู่ที่การวิเคราะห์และเข้าลงทุนในจังหวะที่ "หุ้นถูก" และก็ขายหุ้นออกไปเมื่อ "หุ้นแพง" อย่างนี้ซิถึงจะเรียกว่า "ฝีมือ" ไม่ใช่อย่างปัจจุบัน(เกือบทุกกองทุนที่ขายอยู่ในบ้านเรา)ซื้อขายทุกวัน --ผมถามว่า คุณเอาปัจจัย อะไรมาเปลี่ยน ทุกวัน คงปัจจัยเดียว ก็คือ "ปัจจัยการพนัน" ฮิ ฮิ

หลายคนบอกว่า ราคาหุ้นในปัจจุบัน มีราคาสูงเกินไปแล้ว จากการที่หุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลานาน --ประเด็นนี้ถ้ามอง
ในตลาดอเมริกา ก็ถือว่าใช่ เพราะขึ้นมานานแล้ว ดังนั้น โอกาสที่จะปรับฐานเป็นเวลานานย่อมเป็นไปได้สูง แต่ถ้าหากมองหุ้นบ้านเราซึ่งปรับฐานมาตั้งแตปี 1997 และ ยังไม่ได้ไปไหน

ผมว่า เที่ยวนี้ เราจะวิ่งนำตลาด อเมริกาอีกครั้ง และครั้งนี้ น่าจะเป็น "ช่วงก้าวกระโดด"ของเอเชียอีกครั้ง อีกประเด็นที่น่าจะเป็นแรงผลักให้หุ้นเอเชียขึ้นไปอีก ก็คือ Baby Boomer ที่ทยอยเกษียณอายุ ซึ่งถ้ามองให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า เป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก ซึ่งพอเกษียณแล้วย่อมมีความกังวลสูง "กลัวว่ารายได้จะไม่พอ" ซึ่งช่วงแรกน่าจะกระทบการลดลงของการใช้จ่าย(คือช่วงนี้นั่นเอง) ซึ่งจุดนี้น่าจะกระทบตลาดหุ้นเป็นเวลาพอสมควร

และหลังจากนั้น กลุ่มคนเหล่านี้จะเริ่มเข้าสู่นักลงทุนหลังวัยเกษียณเต็มตัว (สาเหตุที่เข้า ผมมองว่า อาจจะไม่ได้เข้าโดยตรง แต่น่าจะเข้าผ่าน เครื่องมือ ลดความเสี่ยง อย่างตราสาร CDO ..พวกที่ การันตีความเสี่ยง ที่เละเทะ อยู่ในอเมริกาและยุโรปในตอนนี้ ซึ่งจริงๆ มันเสี่ยงกว่าหุ้นเป็นไหนๆ)--และเมื่อเวลานั้น มาถึงคงปฎิเสธไม่ได้ว่า ตลาดหุ้นย่อมต้องเป็นหนึ่งในตลาดที่ดึงดูดนักลงทุน

---เมื่อดูให้ดีแล้ว ภาพในระยะยาวก็ยังคงชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้น ยังไงก็ยังจะคงเป็น สัญลักษณ์ ควบคู่ไปกับทุนนิยมตลอดไป เพียงแต่ในบางครั้งอาจมีสะดุดบ้าง แต่ท้ายสุด ตลาดก็ยังคงสะท้อน การก้าวพัฒนาไปข้างหน้าของทุนนิยมนั่นเอง ( หลักตายตัวของ "ทุนนิยม" คือ เงินสดลดมูลค่า และ สินทรัพย์เพิ่มมูลค่า ---ใครไม่เข้าใจ ก็คงเป็น"เหยื่อ"ของคนที่เข้าใจ)

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ