วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553
ตลาดหุ้นขึ้นใครรวยที่สุด
2 สัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนฝรั่งเข้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ Market Cap. เพิ่มจาก 5.8 ล้านล้านบาท เป็น 6.1 ล้านล้านบาท --- ตลาดเพิ่มขึ้น 3 แสนล้าน แต่เงินที่ไหลเข้าตลาด Net(สุทธิ)จริงๆ ไม่กี่หมื่นล้าน
--- อ้าว ถ้างั้น แสดงว่ามูลค่าที่แสดงในตลาด ไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริง "เพราะเงินไม่ได้ไหลเข้าตลาด เท่าที่มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น" ประเด็นนี้ถามว่าใครรวยสูงสุด ?
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจก่อนว่า มูลค่าของตลาด ไม่ใช่ตัวเงินสด ที่มีอยู่ในตลาด แต่เป็นมูลค่าในสายตานักลงทุนในขณะนั้น เช่น ถ้านักลงทุนที่ซื้อขาย อยากที่จะซื้อในราคาแพง เช่น ปกติหุ้น PTT ซื้อขายที่ 250 แต่ถ้านักลงทุนที่ซื้อขายในตลาดนั้น มองว่าราคาจะขึ้น ก็ย่อมเสนอซื้อในราคารที่สูงกว่า
ความต้องการยิ่งมากยิ่งส่งผลให้ราคาสูงขึ้นไป เช่น ราคาอาจพุ่งไปถึง 350 บาท ซึ่งถ้าราคาหุ้นทุกตัวสูงก็ทำให้ตลาดมีมูลค่าโดยรวมเพิ่มขึ้น (มูลค่าตลาดโดยรวม เท่ากับ ราคาหุ้นในตลาด คูณ จำนวนหุ้นทั้งหมด)--- ถ้าถามว่าใครจะรวยที่สุดถ้าตลาดขึ้น ก็คือ ผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ คนที่ซื้อหุ้นไว้ตอนราคาถูก (จำนวนมากๆ) ส่วนนักลงทุนที่ซื้อขายรายวัน ได้แค่ส่วนต่างจากราคาที่ซื้อและขาย แถมยังเสียค่า Broker อีก
(เลยไม่แปลกที่ คนที่จะได้ประโยชน์จริงๆ คือ คนที่ซื้อหุ้นบริษัทเยอะๆ ในเวลาที่ราคาหุ้นถูกๆ แล้วก็ถือไว้ขายตอนที่ราคาหุ้นมากๆ -- ส่วนพวกที่ซื้อๆขายๆ (กองทุน) พวกนี้ได้แค่ส่วนต่าง ยิ่งถ้าเขาซื้อขายในช่วงตลาดขาขึ้น นั่นหมายความว่า พอเขาขายทำกำไรแล้ว เขาก็ต้องกลับไปซื้อในราคาหุ้นที่สูงขึ้น --สรุปว่ากำไรที่คุณได้มาในตลอดแลก อาจเสียทั้งหมดในเวลาต่อมา เพราะต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ แถมยังเป็นสินค้าเดิม(หุ้นเดิม) นั้นคือ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในขณะที่กำไรเท่าเดิม
(เพราะโดยปกติ นักเล่น มักตัดกำไรขาดทุนที่ประมาณ 10% ) ลองคิดดีๆ ครับว่า กองทุน 100 ทั้ง 100 ซื้อขายหุ้นอย่างที่ผมบอกคือ เมื่อตลาดขึ้น ต้นทุนการซื้อขายจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เขามีความเสี่ยงมากขึ้น ในขณะที่กำไรเท่าเดิม(หรืออาจลดลง)
ผมเป็นคนหนึ่งที่มอง Strategy ของพวกกองทุน ไม่ Make sense ดังนั้น ผมค่อนข้างที่จะไม่เห็นด้วยกับการเล่นหุ้นผ่านกองทุน หรือ แม้แต่การซื้อกองทุนรวม
ดังนั้น สรุปได้ว่า คนที่รวยก็คือ คนที่เล่นหุ้นระยะยาว และมอง Cycle ได้อย่างแม่นยำ โดยที่ไม่ได้มีการซื้อขายบ่อยๆ เพียงแต่จะรอที่จะซื้อในช่วงที่ราคาหุ้นถูกเท่านั้น (ซึ่งแน่นอน ไม่ได้ทำได้ง่ายๆ เพราะเวลาที่หุ้น ราคาถูก นั่นหมายถึง ต้องมีเหตุการณ์ที่ไม่ดี นั่นเอง คนอื่นจึงขายออกมา ดังนั้น การที่เราจะกล้าซื้อในช่วงที่คนอื่นขาย -- คุณจะต้องไม่ธรรมดา)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
เมื่อคืน 1 มีนาคม 2555 คุณแม่โทรมาบอกว่า "แพ้ท!! คุณตาท่านเสียแล้ว" ผมก็รู้สึกใจหายอย่างมาก เพราะคุณตาเป็น เสมือนต้นแบบ ที่สอนให้ผ...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
"อึมครึม"..ดูแล้ว น่าลงทุนมาก..(อ้าว!!ไหงเป็นงั้น) --"แต่!!" ขอย้ำว่า "ต้องเป็นเงินนอน อีกเช่นเคย" ผมว่าหลายคน...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
“ความ(บ้าคลั่ง)ของทุนนิยม” … “ใช่แล้ว..เราทุกคนอยู่ภายใต้ทุนนิยม หนีไม่พ้นแม้แต่คอมมิวนิสต์อย่างจีน หรือ Russia” ความบ้าคลั่งของทุนนิยม เริ่...
-
6 หลัก ลงทุนที่ช่วยให้เรารวยได้เร็วและง่ายขึ้น ณ บัดนาว !! 1. ‘ลงทุนในสินทรัพย์ด้วยเงินส่วนใหญ่’ …แทบจะตลอดเวลา เพราะ เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่...
-
10 ข้อเสีย ของลูกคนรวย เดี๋ยวนี้เราเห็นชีวิตคนรวยมากขึ้น จาก Social ..ส่วนใหญ่ก็มักจะปลอม ..ไอ้มีจริงๆ ไม่ค่อยโชว์ ..แต่ทั้งหมด เรา...
-
6 ข้อ คิดลงทุนแบบคนมีเงิน ทำได้ตั้งแต่เรายังไม่มีเงิน 1. ‘มองที่ความเสี่ยง ก่อนมองผลตอบแทน‘ …ถ้าเราซื้อหวย แปลว่า เรามองผลตอบแทนมากกว่าความ...
-
"ความหมายชีวิต และ ความสำเร็จ ของแต่ละคน" ..ไม่มีใครเหมือนกันเลย ...หลายคนมองว่า เงิน คือ คำตอบของทุกสิ่ง แต่เมื่อเขามีเงิน ก็...
-
5 หลักการหา S Curve ใหม่ เพื่อโอกาสที่ใหม่ใหญ่ขึ้น 1. ‘S Curve คือ ความบังเอิญ ไม่ใช่การวางแผน’ …พูดง่ายๆ ทุกสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ ม...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...