วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553
ความกดดันในรูปแบบใหม่
ผมว่าในปัจจุบัน ความกดดันในการดำรงชีวิตมีมากขึ้น ประการแรก ผมว่ามาจากที่คนมีการศึกษามากขึ้น และสังคมเป็นระบบเปิดมากขึ้น (ในที่นี้หมายถึงไม่ว่าใครก็ตามมีโอกาสที่จะเปลี่ยนสถานะของตัวเองได้หากมีความสามารถและได้รับโอกาสที่ดี)
อย่างไรก็ตามความเปิดมากขึ้นของสังคม ทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นในการจะยกระดับคุณภาพชีวิตและฐานะ เหล่านี้ล้วนนำมาซึ่งความกดดัน เริ่มตั้งแต่แข่งกันเรียน แข่งกันเข้ามหาลัยดีๆ และ ก็แข่งกันหางานทำ
-- ผลดีของการแข่งขัน คือ ประสิทธิภาพของคนสูงขึ้น แต่ผลเสียคือ สุขภาพจิต วิ่งสวนทางกับกราฟความมั่งคั่ง นั่นหมายความว่า การที่คนรวยขึ้น ไม่ได้มีความสุขมากขึ้น กลับตรงกันข้าม -- จุดนี้เป็นจุดอ่อนของทุนนิยม จะเห็นได้ว่าทุนนิยมทำให้โลกพัฒนารวดเร็ว ทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น มีสุขภาพดีขึ้น ชีวิตยืนยาวขึ้น จากที่เคยใช้ส้วนหลุม มาเป็นชักโครกที่ทันสมัยในปัจจุบัน
แต่แท้ที่จริงแล้ว คนเครียดขึ้น เพราะระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ต้องแลกมาด้วยการทำงานที่ส่งผลในการสร้างสิ่งเหล่านั้น เช่น การผลิตที่มากขึ้น เดิมคนๆนึงอาจใช้เวลา หนึ่งวันในการประกอบรถยนต์ แต่ด้วย การยกคุณภาพชีวิตทำให้ปัจจุบัน คนเดียวกัน อาจต้องทำงานเพิ่มเป็น สามถึงสี่เท่า (อาจจะไม่ใช่แรงงานโดยตรง แต่ก็มีผลต่อ ความเครียดและความกดดันที่สูงขึ้น)
ดังนั้น สังคมในปัจจุบัน แลกคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยยอมเสียความสุข หรือ เพิ่มความเครียด -- จุดสมดุลย์ที่สำคัญ เป็นสิ่งที่เราจะต้องค้นหา--- หลายคนพูดถึงเศรษฐกิจพอดี แต่ไม่ได้มีใครสามารถชี้ชัดได้ว่าความพอเพียงที่เหมาะสมต่อคนไทยมากที่สุดคืออะไร
ปัจจุบัน ผลตอบแทนที่ใช้วัดความสำเร็จคือ ตัวเงิน แต่ปัญหาคือ ปัจจัยที่จะแสดงความสำเร็จ ก็ต้องใช้เงินทั้งสิ้น คือ ใช้เงินซื้อของ ดังนั้น จุดมุ่งหมายที่ทุกคนมองก็คือ การ สร้างตัวให้ได้เงินมากที่สุดนั่นเอง แหละนั่นคือ ความเครียด
--- ในสมัยโบราณ ขงจื้อ สอนให้คนทุกคนอยู่ในสถานะของตัวเอง และทำให้ดีที่สุด ใครเกิดเป็นลูกกรรมกร ก็ให้เป็นกรรมกรที่ดีที่สุด และหาความสุขในแบบของกรรมกร -- คนเกิดในสถานะพ่อค้า ก็ให้เป็นพ่อค้าและทำการค้าให้ดีที่สุด -- คนเกิดในตระกูลราชการก็ให้เป็นราชการที่ดีที่สุด นั่นคือ การสอนให้คนรู้จักความพอดี ไม่มีการทะเยอทะยาน ข้อดี คือ ไม่มีใครต้องเครียด ไม่มีใครต้องแก่งแย่ง
แต่ข้อเสียคือ การพัฒนาต่างๆมันเป็นไปได้ช้า แต่ถ้าถามจริงๆแล้ว ทุนนิยมมองและเน้นทางวัตถุ หรือ การสร้างเงินที่มากเกินไป ก่อให้เกิดความกดดันมหาศาล --- ส่วนลัทธิ ขงจื้อ ก็สอนให้ไร้ความทะเยอทะยานอย่างสิ้นเชิง -- พูดถึงจุดนี้คงทำให้คนส่วนใหญ่ งง เพราะคนที่เคยได้ ลิ้มรสทุนนิยมแล้วจะไม่ยอมย้อนกลับมาที่แบบ ขงจื้อ
-- ดังนั้น ถ้าให้ทำนายอนาคต ผมก็ยังเชื่อว่า ทุนนิยมยังต้องอยู่อีกนาน ความแก่งแย่งและความกดดัน ก็จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย จนถึง “จุดสูงสุด” เมื่อเวลานั้นมาถึง ระบบทุนนิยมจะค่อยๆล่มสลายไปพร้อมดับการเกิดระบบใหม่ที่เหมาะสมกับมนุษย์มากกว่า แต่ประเด็นคือ ไม่มีใครรู้ว่า จุดสูงสุดที่ว่า อยู่ตรงไหน แล้วเราเข้ามาใกล้จุดสูงสุดแล้วหรือยัง
ระบบทุนนิยม หลังจุดสูงสุด
นี่เป็นประเด็นที่ยาก เพราะนั่นหมายถึงการก้าวสู่จุดที่ทุนนิยมเดิม ไม่สามารถแก้ปัญหาของคนในเวลานั้นได้ เกิดเป็นปัญหาสังคม ซึ่งถ้าให้ผมเดา มันคือ จุดที่ราคา ที่ดินและสินทรัพย์ต่างๆสูงมากจนคนธรรมดา ไม่สามารถเป็นเจ้าของได้ จุดนี้ของสินทรัพย์ ผมว่าญี่ปุ่นได้ประสบ นั่นนำมาซึ่งปัญหาหมักหมม ในญี่ปุ่นตลอด ยี่สิบปีที่ผ่านมาคือ ราคาที่ดินตกลงไปเรื่อยๆ แต่นั่นแสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินในญี่ปุ่นยังไม่ Peak จริงๆ
-- จุดสูงสุดที่ผมพูดคือ จุดที่สูงที่สุด ที่ไม่สามารถลงได้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม และ ไม่มีใครสามารถเป็นเจ้าของต่อ เพราะมันแพงเกินไป เช่น บ้านที่ต้องผ่อน ร้อยปี -- แต่ถ้าหาก ผลิตภาพของสังคมยังคงเพิ่ม อาจทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยที่เรายังสามารถหาเงินได้อย่างมากขึ้น แต่เมื่อใดที่ทุกคนรวย เมื่อนั่นก็จะไม่มีใครทำอะไร และนั้นก็คือ จุดสูงสุด
ดังนั้น ไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนรวยได้ --ระบบทุนนิยมขับเคลื่อนด้วยความแตกต่างของฐานะ ซึ่งเป็นจุดที่สร้างพลังให้หลายๆต่อหลายคนมีจุดมุ่งหมาย --เพราะชีวิตที่ปราศจากจุดหมายก็ไม่ต่างกับตายแล้วนั่นเอง--- เราไม่สามารถให้ทุกคนเป็นพระได้ ไม่เช่นนั้น คงไม่มีข้าวกิน เพราะทุกคนเป็นพระไม่มีใครใส่บาตร ดังนั้น ระบบทุนนิยม จึงถูกหล่อเลี้ยงด้วยความแตกต่าง- ความหวัง -และความกดดัน
--- ใครก็ตามที่ผ่านจุดนั้นมาได้ แล้วร่ำรวยก็จะพยายามรักษา และส่งต่อสถานะนั้นให้ลูกหลาน ซึ่งในความจริง ยากมากที่จะ Pass on ความมั่งคั่งเกินกว่า สาม Generation ---ความมั่งคั่งที่ลดลง เป็นเรื่องปกติ เพราะระบบทุนนิยมผูกติดกับความเสี่ยง -- ความเสี่ยงที่มาก ย่อมได้รับผลตอบแทนที่สูง
-- การที่คนมีการศึกษาสูง ก็มีโอกาสที่จะเข้าใจระบบทุนนิยม มากขึ้น และ Take Risk เพิ่มขึ้น จุดนี้ทำให้ สภาวะความแตกต่างของฐานะเปลี่ยนไป เพราะเมื่อมีคนที่มีการศึกษา รวยขึ้น ย่อมทำให้สถานะของคนจนและรวย แตกต่างน้อยลง จุดนี้จะกดดันให้คนรวยต้องรวยขึ้นไปอีก เพื่อที่จะรักษาสถานะเดิมในสังคมไว้ นั่นหมายถึง รุ่นพ่อมีสิบล้านนับว่ารวย แต่พอรุ่นลูกต้องมีพันล้าน ไม่งั้นไม่รวย ซึ่งจุดนี้คือความกดดันของทุกคนในสังคม
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...