แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

รอบการไหลเข้าของ Fund Flow


ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา มีรอบของ Fund Flow ไหลเข้า 5 ช่วง
ช่วง 1 : Aug01 - June02 (10 เดือน)นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 33,111 ล้านบาท ส่งผลให้เงินบาทแข็งขึ้น 11.64% (จาก 45 ลงมาเป็น 41 บาทต่อ 1 US)
ช่วง 2 : Jan03 - Aug03 (8 เดือน)นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 21,130 ล้านบาท ส่งผลให้เงินบาทแข็งขึ้น 4%
(จาก 43 ลงมาเป็น 40 บาทต่อ 1 US)
ช่วง 3 : Nov04 - Jan05 (3 เดือน)นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 123,955 ล้านบาท ส่งผลให้เงินบาทแข็งขึ้น 6.5%
(จาก 40 ลงมาเป็น 38 บาทต่อ 1 US)
ช่วง 4 : Jun06 - Sep07 (12 เดือน)นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 156,005 ล้านบาท ส่งผลให้เงินบาทแข็งขึ้น 22.5%
(จาก 38 ลงมาเป็น 30 บาทต่อ 1 US)
ช่วง 5 : Mar09 - Oct09 (8 เดือน)นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 76,272 ล้านบาท ส่งผลให้เงินบาทแข็งขึ้น 7.5%
(จาก 36 ลงมาเป็น 33 บาทต่อ 1 US)

ถ้าดูจากสถิติจะเห็นได้ว่า Fund Flow ที่เข้ามาแต่ละรอบ จะไหลเข้ามาต่อเนื่อง ตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 1 ปี ดังนั้น การที่ Fund Flow ในรอบนี้ที่เริ่มไหลเข้ามาตั้งแต่ 17 Feb น่าจะยังคงไหลเข้ามาต่อ อีกหลายเดือน(ทำให้หุ้นน่าจะวิ่งขึ้นต่อ) ซึ่งจะสอดคล้องกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ถ้าดูจาก Big Mac Index ยังชี้ให้เห็นว่า ค่าเงินของเราอ่อนค่ากว่าความเป็นจริงเกือบ 50% ซึ่งน้องๆจีนเลย (เพราะจีนพยุงค่าเงินให้อ่อนเพื่อความได้เปรียบทางการค้า ซึ่งเราก็ทำคล้ายๆกัน)

ดังนั้น การที่ Fund Flow ที่เข้ามารอบนี้ ส่วนแรกน่าจะเป็นการเก็งค่าเงินของเอเชีย เพราะถ้าจีน ปล่อยให้ค่าเงินแข็งขึ้น ก็จะส่งผลให้เราแข็งตาม ดังนั้น ฝรั่งเข้ามาเก็งตัวนี้ในช๊อตแรก อีกส่วน ก็คือ เก็งตลาดหุ้น เพราะตลาดเราค่อนข้างถูก แถมให้ผลตอบแทนสูงกว่าเพื่อนบ้าน ทำให้ตลาดเราน่าสนใจ (ยิ่งมองโอกาสรอบๆทั้งโลก มีโอกาสเป็นไปได้ที่รอบนี้ เป็นการไหลเข้ามาค่อนข้างยาว เพราะฝรั่งต้องการลดความเสี่ยงจาก อเมริกา และยุโรป นั่นเอง)

ปัจจัยหลายๆตัวกำลังบ่งชี้ถึงการปรับตัวครั้งใหญ่ เพราะจาก Big Mac Index ที่เทียบค่าเงินว่าแข็งหรืออ่อน เทียบกับ ดอลลาห์ พบว่า ทั้งเอเชีย ตั้งแต่ อินโด ไทย จีน ญี่ปุ่น มาเล สิงค์โปร์ ต่างมีค่าเงินที่เรียกว่า "อ่อนค่ากว่าความเป็นจริง" จุดนี้ทำให้การค้าของเราเกินดุลอย่างต่อเนื่อง แต่ข้อเสีย คือ ทำให้เราดู(จน) จนต่างชาติ ไม่อยากมาลงทุน

เพราะถ้าปรับมูลค่าสะท้อนภาพจริง มูลค่าบริษัทในตลาดต้องโตกว่านี้มาก (ซึ่งตอนนี้ ตลาดเราเล็กเกินกว่า กองทุนใหญ่ๆกำหนด ทำให้เขาไม่สามารถเข้ามาลงทุนได้)จุดนี้ผมมองว่า ถ้าเราค่าเงินแข็งขึ้น อาจกระทบการส่งออกในระยะสั้น แต่จะเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันในระยะยาว ลดต้นทุนของวัตถุดิบ และทำให้ Asset ในเช่น ตลาดหุ้น ใหญ่ขึ้น (ยิ่งใหญ่ ยิ่งมีกองทุนใหญ่ๆสามารถมาลงทุนได้ เราก็ยิ่งรวยขึ้น) --จุดนี้ผมว่าต้องมองภาพยาวๆ Trade off ดีๆ

--การส่งออกระดับ 60% ของ GDP ..ปัญหาเราก็คล้ายๆกับจีน ยังกับฝาแฝด แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2001 ค่าเงินเราก็แข็งค่าอย่างต่อเนื่องประมาณ 30% ซึ่งภาคการส่งออกเราก็ปรับตัวได้อย่างดี ในมุมมองของนักลงทุน ผมอยากเห็นเงินบาทกลับไปที่ 20 กว่าๆด้วยซ้ำ (ลองคิดดู เศรษฐีเราจะเพิ่มใน Forbes List อีกกี่ราย..) ผมว่าสาวๆก็น่าจะชอบ เพราะสามารถซื้อกระเป๋า รองเท้า Brand ได้ถูกลง เพราะค่าเงินแข็งขึ้น (ดีจริงๆ)...

แต่คุณเชื่อผมไหมว่า ทุกอย่างมันมี Cycle ผมไม่ต้องฟันธงอะไรหลอก เพราะทุกอย่างมันเป็นไปตามกลไกของมัน เช่น ยุคก่อน อเมริกา ส่งออกดี เกินดุลมากมาย พอมายุคนี้ ทางเอเชีย ส่งออกมากมายเกินดุลบ้าง ผมว่า ก็รอยุคหน้า ค่าเงินเราเข้า Cycle แข็งบ้าง อเมริกา ก็กลับมาดีบ้าง สลับไปสลับมาเป็น Cycle " ที่สำคัญคือ เรามองโอกาสออกไหม ..ถ้ามองออกก็รวยไม่ยาก ..ใช่ไหมครับ"

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ