วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553
อ่านใจนักลงทุนทั้งสามกลุ่ม(รายย่อย/ฝรั่ง/สถาบัน)
ผมนั่งจับตัวเลขการเข้าออกของนักลงทุนทั้ง 3กลุ่มหลัก คือ (รายย่อย/ฝรั่ง/สถาบัน) จริงๆมี กลุ่ม Broker อีกกลุ่มแต่ Volume น้อย--(เป็นพวกรายใหญ่ที่ฝาก Broker เล่น) ..พวกนี้ผมมองว่า เป็นพวกปั่นหุ้นหวือหวา ดังนั้น ไม่ต้องดู..ตัดออกไปจาก Picture...
จากที่เฝ้าสังเกตตลาดมาตลอดเกือบ 2 ปี นับจาก Bottom รอบนี้ที่ 400 กว่าจุด วิ่งมาถึง 700 จุดในปัจจุบัน พบว่า กลุ่มที่เป็นผู้กำหนด การขึ้นลงของตลาดคือ ฝรั่ง (ซึ่งถ้าเทียบตาม Volume การซื้อขาย รายย่อยจะมากที่สุด ส่วนสถาบันกับฝรั่งจะพอๆกัน คือ ประมาณ 20 %)
..พูดอย่างนี้คุณอาจจะ (งง) ว่าฝรั่งมีการซื้อขายปริมาณแค่..ประมาณ 20% ของตลาด แต่ทำไมเป็นผู้กำหนด Trend ขึ้นหรือลงได้ -- "สาเหตุที่ฝรั้งสามารถกำหนด Trend ขึ้นหรือลงได้ เพราะ"ฝรั่ง" เขาเข้าออกแน่นอน คือ ถ้าเข้าก็จะเข้าต่อเนื่อง และถ้าออกก็จะออกต่อเนื่อง --ต่างกับ"สถาบัน"ที่แม้มีการซื้อขายในปริมาณเท่าๆกับ"ฝรั่ง"แต่ วิธีการเล่น ไม่แน่นอน หวือหวาไปมา "มั่ว..ว่างั้น" (เสี่ยวแทนผู้ลงทุน RMF/ LTF จริงๆ)
รายย่อย คือ ผู้เล่นที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในตลาดคือ ประมาณ 50% ของ Volume ทั้งหมด แต่วิธีการเล่น "หวือหวา"เช่นกัน คือ เดี๋ยวก็วิ่ง"หวือออก" "หวือเข้า" ..กลุ่มรายย่อยนี้ หลายๆคนให้นิยามว่า "แมลงเม่า" คือ คุณอย่าเข้าใจผิดว่า "แมลงเม่า" เป็นพวกไม่มีความรู้..ไม่ใช่เลย
--พวก"แมลงเม่า" นี่แหละกลุ่มที่มีการศึกษาสูง เงินเดือนสูง เป็นทั้งระดับผู้บริหาร อาจารย์ ผู้มีหน้ามีตาในสังคม ---Trend การเล่นหุ้นของ "รายย่อย" ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือ "เข้าเมื่อหุ้นตก และรีบขาย(ทันที)เมื่อหุ้นขึ้น"--ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มนี้เป็นคนที่ ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
--(แต่คุณรู้ไหมว่าปัญหามันอยู่ไหน)..(ครับ)รายย่อย มีต้นทุนที่สูงขึ้น ทุกๆรอบที่ขาย ..พอซื้อใหม่ ก็ซื้อแพงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำไรเท่าเดิม เช่น บางคนตั้งไว้ว่ากำไร 5 บาท จะขายทันที ..แต่ลืมนึกไปว่า รอบแรกๆที่กำไร 5 บาท ก็ต้นทุนไม่สูง พอรอบหลังๆ ต้นทุนสูงแบบไม่รู้ตัว ดังนั้น เมื่อตลาดเปลี่ยน เข้า Trend ขาลงเมื่อไหร่ พวกนี้"ติดดอย"ทันที ---(นี่แหละครับที่มาของการติดดอย)
ตอนนี้หลายๆคนกำลังตั้งคำถามว่า แล้ว"ติดดอย"มันอยู่ตรงไหน -- จริงๆแล้ว ทุกคนที่เล่นหุ้น ล้วนต้องติดดอย(ทุกคน) เพียงแต่ว่า ขนาดของดอยมันไม่เท่ากัน คือ ถ้าเราติดดอยเล็ก อีกไม่กี่อาทิตย์ ก็อาจออกได้ทำกำไร แต่ถ้าดอยใหญ่เช่น "ดอยต้มยำกุ้งปี 97" อย่างนี้ ติดเป็นปีๆ บางดอยเจ๊งไปเลย อย่างพวก Finance Company พวกนั้น..ดังนั้น เวลาเล่นอย่าลืมมองว่า ตอนนี้เราเล่น ดอยไหน ไม่ใช่ ซี้ซั้วเล่น "ระวังเจอดอยใหญ่"
มาดูวันนี้ ตลาดวิ่งขึ้นค่อนข้างแรง ..ใครอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าจะ(งง) เพราะต่างชาติลด Rating ความน่าเชื่อถือของ Bond เรา --คือ ผมเชื่อว่า "คนที่มีการศึกษา"ทุกท่านเมื่อเห็นข่าวเช้านี้ จะต้องคิดว่า "อ้าว!!ลด Rating --หุ้นจะต้องตกระนาว.. ต่ออีกแน่ รีบขาย รีบขาย.." ปรากฏว่าพอตลาดเปิดตั้งแต่เช้า ตลาดหุ้นวิ่งสวนทางกับที่ท่านคิด (นี่แหละครับ ที่ผมบอกว่า "แมลงเม่า" คือ คนที่มีการศึกษาดี ความรู้สูง "ฉาด!! ตลาดหุ้น ตบหน้าท่าน.. (งง) "
-- 4 วันที่ผ่านมา "ทุกคน(นักวิเคราะห์ต่างๆ)ฟันธงว่าฝรั่งหนีหมดแล้ว ..(ฉาด!! ฝรั่งตบหน้าซะ(งง))คือ สรุปพอมาดูตัวเลขฝรั่งวิ่งเข้ามาเดือนกว่า 50,000 กว่าล้าน พอ---4 วันที่ผ่านมา ทิ้งออกไปแค่ 5,000 กว่า เมื่อวานกลับมาอีก สรุปฝรั่งออกไปน้อยมาก(งง!! ไหมครับว่า นักวิเคราะห์เอาตัวเลขอะไรมาบอกว่าฝรั่งทิ้งหุ้นเราหมดแล้ว ..มั่วโคตร!!!)
--จริงๆผมก็ค่อนข้าง(งง)!!ว่า ฝรั่งจะรีบออกทำไม เพราะถ้าเขาออกแสดงว่า 50,000 ล้านที่เขาใส่เข้ามาก่อนหน้านี้ ต้องขาดทุนหมด --"ฝรั่งเขาไม่ได้โง่ --คือ เราต้องอ่านเกมเขาให้ออก เพราะขืนมาวิ่งแบบ"แมลงเม่า"อย่างที่รายย่อยเล่นผมว่า ตายอย่างเดียว"
-- ถ้าให้มอง ผมว่า รอบนี้"ฝรั่ง"ต้องเข้าต่อเนื่อง (เอาเงินที่ออก เข้ามาซื้อเพิ่มเข้าไปอีก)ลาก SET เข้าไปให้สูงกว่า Peak เดิมอีก --และคราวนี้แหละ เมื่อฝรั่งออกจริง ตลาดต้องตกแรงแน่นอน (รอบที่ผ่านมาแค่รายย่อยกับสถาบันทิ้งยังแรงขนาดนี้) รอบหน้านี่ถ้าฝรั่งทิ้งด้วย --"ไม่อยากจะคิด"
ตอนนี้ภาพใหญ่ที่ผมมองว่า "ยังอยู่ในขาขึ้น" ยังมีปัจจัยของ อเมริกาและยุโรป มากระทบแรง (แต่ยังไง ผมก็ยังเชื่อว่า ภาพใหญ่ยังคงขึ้นต่อ อีกเป็นปี..) --แต่!!ขาขึ้นไม่ได้ขึ้นทางเดียว ..มันขึ้นสลับกับลงแรง และก็ขึ้นต่อ .. ลงแรง ..แต่ทุกรอบจะขึ้นสูงขึ้น
--อย่างที่บอกว่า โลกยังคงวนเวียนกับ ประเด็นอเมริกายุโรปว่าจะ W Shape หรือ ไม่---ถ้าผ่านประเด็นนี้ได้ --"ฟันธง Asian miracle 2 ได้เลย และนั่น..เราจะเห็น SET ที่สูงอย่างปี 1994 ก็เป็นได้" แต่สำหรับ Value Investor ผมว่าท่านไม่ต้องมาวิเคราะห์ ว่าขาขึ้นหรือลง แค่ซื้อตอนตกแรงๆ(ในปีนี้) ก็รับปันผล "มหาศาล" ไหนจะ Capital Gain ผมว่าปีนี้ "สวรรค์ของValue Investor เขาหละ"....
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
เมื่อวันก่อน ผมได้มีโอกาสไปออกรายการวิทยุ Business Line & Life ของคุณม่อน .. มีคนสัมภาษณ์ผมเป็น คนหนุ่มรุ่นใหม่ ทายาทกลุ่ม ธุรกิ...
-
6 ข้อ ปฏิบัติของการเป็น ’นักลงทุนแบบทางสายกลาง’ หลังจากผมลงทุนมานานพอสมควรก็พบว่า ’ทางสายกลาง‘ คือ หลักปฏิบัติที่สำคัญที่ทำให้เราประสบความ...
-
ท่านธนินท์มักกล่าวในงานสัมมนาต่างๆ ถึงแนวคิด "สองสูง" ของท่าน -- ซึ่งสูงแรกก็คือ ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และสูงที่สอง คือขึ้นราคาพื...
-
5 ข้อควรรู้ ‘การคิดเผื่อคนอื่น‘ ทำไมทำให้เราเป็นนักลงทุนที่มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น 1. ’คน Gen ก่อน โดยรวมรวยกว่าคน Gen ใหม่ เพราะ เขาคิดสร้างใ...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
6 ข้อ หลักคิดที่ทำให้เราไม่สามารถซื้อหุ้นในจุดที่ราคาถูกที่สุด และ ขายหุ้นในเวลาที่แพงที่สุด 1. ‘หุ้นไม่มีจุดต่ำสุด‘ …หลายคนคิดว่า ซื้อหุ้น...
-
AEC ย่อมาจาก ( ASEAN Economic Community ) ..ประเด็นที่น่าสนใจคือ เมื่อ ASEAN รวมตัวกันได้ ก็จะทำให้เกิด Win-Win นั่นก็คือ ภาพรวมเศรษฐกิจในปร...
-
"QE2" ตอนนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก เนื่องจากลึกๆแล้ว หัวใจของนโยบายนี้ก็คือ "การเปลี่ยนเงินดอลล่าห์ให้เป็นแบงค์กงเต๊...
-
ตอนนี้แนวทางที่พิสูจน์ตัวเอง ได้สวยในระยะยาวก็เห็นจะเป็นแนว Value Investor (จริงๆแนวอื่นก็สวย แต่เผอิญนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก คือ Warren B...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...