แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

จากประสบการณ์(ตอนที่ 1 เปิดร้านอาหารในต่างประเทศ)



วันนี้ขอเอา"ความหลัง"มาเล่า ..ผมอยู่ Australia ประมาณ 5 ปี เปิดร้านอาหารไทยไป 5 สาขา เริ่มตั้งแต่ตอนแรกซื้อร้านต่อจาก คนไทย ที่นั้น เป็นร้านอาหารและ Take Away ประมาณ 50 ที่นั่ง ชื่อว่า Sawtell Thai เป็นร้านในเมืองเล็กๆติดทะเล ชื่อ Sawtell นั่นแหละ

จากนั้นก็คึก ขยายต่อ ไปเมืองใกล้ๆ Coffs Harbour คราวนี้เปิดร้านติดโรงหนัง เป็น Restaurant & Take away ขนาด 100 ที่นั่ง ชื่อ "Sawtell Thai" เหมือนกัน ..หลังจากเปิดได้ 2 ร้านก็คึกหนัก คราวนี้เปิดต่อ อีก 2 สาขา ที่เมือง Moonee Beach และก็ Umina Beach แต่สองร้านใหม่นี้ เปลี่ยน Concept จากร้านธรรดามาเป็น ร้าน Noodle Box คือ เป็น Take Away อย่างเดียว ใส่ใน Noodle Box สุด Hip

--จากนั้นก็คึกต่อ ขยายร้านที่ 5 ที่ Wyoming สรุปไม่ถึง 3 ปีผม "บ้าขยายไปถึง 5 สาขา ภายใต้ Brand "Sawtell Thai" เรียกได้ว่า เป็น Chain ร้านอาหารไทยที่ "เท่ห์มากๆ " เพราะทุกร้านแต่งด้วย Concept แบบ Comtempory Modern ใช้สีเดียวกันทุกสาขา คือ Oriental Red ตัดกับ เทา แบบร้าน Dernๆ

--ซึ่งสรุป 3 ปี ใช้เงินเริ่มต้นจากบ้านผมช่วย แล้วก็ "กู้หนี้หัวบาน" ต่อ รวมหลายสิบล้านบาท -- ช่วงแรกก็ "แจ๋วมาก ..Boom สุดๆ" จากนั้นโชคผมดีจัด เกิด วิกฤตเศรษฐกิจ ..คน Australia ลดการกินนอกบ้าน -- ผมถึงกับ"กระอัก" รายได้ลดเยอะมาก ..เพราะทุกร้านต้องมี Manager ดูแล และก็จ้างChefs ทำให้ผมไม่สามารถลดต้นทุนลง

--- ในที่สุดผมก็เจอเต็มๆ สุดท้ายต้องตัดใจ ปิดกิจการบางส่วน แล้วก็ประนอมหนี้ ภาษี สรุปทุกอย่างอักผม จนน่วม ช่วงนั้น ผม"จิตตกมาก" เกือบ "ฆ่าตัวตาย" เพราะผมรู้สึกผิด ต่อที่บ้านมาก ที่ ตอนร้านแรก ที่คืนทุน แทนที่จะส่งกำไรคืน "คุณแม่" ผมกลับเอาเงินนั้น มาลงขยายต่อ แถมกู้หนี้เพิ่มอีกเยอะ

..วิกฤตคราวนี้มันสอนบทเรียนให้ผมในราคาที่สูงมาก ผมรู้เลยว่าเวลา"ปัญหามันถาถมเข้ามา มันเข้ามาทุกอย่างจริงๆ" ซึ่งระหว่างนั้น ผมลงทุน กิจการ"โรงงานกระจกกับเพื่อนใน Sydney ด้วย" ซึ่งปัญหาทุกอย่างมันก็ถาถม พร้อมกัน -- มันทำให้ผมเข้าใจว่า ทำไมบางคนถึง "ไปโดดตึกตาย"

---หลังจากวิกฤต ผมปิดร้านอาหารไป 3 แห่ง เหลือ สองแห่ง ซึ่งแบ่งให้ Partner สองคนดูแลแทน ตอนนี้สรุปเหลือร้านเดียว แต่ยังดีที่ ร้านนี้กลับมามีกำไร (และกำไรดีด้วย) และท้ายสุด ร้านที่เหลืออยู่ ก็คือ ร้านแรกที่ผมเริ่มทำนั่นเอง --ทุกอย่างมันกลับมาสู่"จุดเริ่มต้น" วันนี้เราเปลี่ยนชื่อร้านใหม่เป็น Thai Tales แล้วก็เปลี่ยนรูปแบบ และ Concept ร้านใหม่ แต่ยังคง เป็น Modern Style Cooking เช่นเดิม ปัจจุบันเราเปลี่ยนเป็น Licensed Restaurant ซึ่งสามารถจำหน่วย Alcohol ได้ .

.วันนี้ทุกอย่างมันได้หล่อหลอมให้ผมกลับมามองที่ Bottom Line เป็นหลัก และเริ่มคิดตั้งแต่ Cost per Square Meter เลย คือ มองเลยตั้งแต่เนื่อที่ร้าน 70 ตร.ม. ผมสามารถทำกำไรได้เท่าไหร่กับทุก บาททุกสตางค์ ที่ผมลงทุน เพราะใน Retail ทุก "ตารางเมตร" มันคือ ต้นทุนของผู้ประกอบการ

--ประสบการณ์การ Deal กับ Landlords เจ้าของที่.. ตั้งแต่ เจ้าของเล็กๆ ไป จนถึงบริษัทใหญ่ๆอย่าง Coles Myer ในห้างผมก็ Deal มาหมดแล้ว เรียกได้ว่า Deal กันตั้งแต่ ขอเปิดร้าน จนขอปิดร้าน ชดใช้ค่าเสียหายกัน จบขบวน life Cycle ของกิจการในเวลารวดเร็ว , การ Deal กับ Council ตั้งแต่การ ติดต่อ ขอก่อสร้างร้าน ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งต้องผ่าน Food Standard นับว่า หินมากๆ ต่างจากการเปิดร้านอาหารในบ้านเราอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น การเข้ามาคุมคุณภาพของ Food Safety ที่สอนการดำเนินร้านที่ถูกอนามัย

ซึ่งผมคิดไม่ออกเลยว่า ถ้าระเบียบแบบนี้มาใช้บ้านเรา ..ผมว่าร้านกว่า 90% ต้องปิดกิจการแน่ๆ และที่สุดปวดหัว ก็คือ "ไอ้ฝรั่งโง่อวดฉลาด" ที่ผมต้องจ้างมาทำงาน เป็นอะไรที่มันหัวหมอสุดๆ ทั้งเล่นแง่ ทั้งอู้ ลูกเล่นสารพัด จนมาถึง คนไทยซื่อๆ ในบ้านนอก ที่ผม Sponsor เพื่อ หมายมั่นปั้นว่าจะสร้างให้เขาเป็น Chefs ที่ดี สรุป ทำให้ผมปวดหัว กับ ความขี้บ่น ขี้เกียจ และ เล่นแง่ หัวหมอ ไม่แพ้ฝรั่งเลย

สรุป 5 ปี ที่อยู่ใน Australia มันเป็น"บทเรียนที่แพงสุดๆ" จากที่"แม่" ส่งผมไปเรียน ปริญญาโท เฉยๆ ผมกลับแบก ปัญหาผลาญเงิน เรียกได้ว่า "แกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ" หลังจาก 5 ปี ผมได้กลับมาเมืองไทย โดยให้ partner ดูแลร้านอาหารสุดท้ายที่เหลืออยู่ ส่วนโรงงานกระจก ก็ลุ่มๆดอนๆ แต่ยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็ยังรอเงินทุนที่จะมา Commercialized ใน New Technology เกี่ยวกับการ Laminating Glass ซึ่งเป็นอะไรที่ยังอีกไกล กว่าจะทำเงิน

--หลังจากความ"หนัก" ที่ผมได้ประสพมามันได้สอนให้ผม"มองโลกในแง่ร้ายที่สุด" แต่หลังจากที่ผมกลับมาเมืองไทย ก็ได้เข้าทำงาน ธนาคารกรุงเทพ ในตำแน่งที่ หลายๆคนอิจฉา ในความสบาย --สบายจนมีเวลาเล่นหุ้น ..หลังจากผมกลับมาเมืองไทย 2 ปีก่อน ผมได้ทุ่มเวลาศึกษาหุ้น โดยหาข้อมูลอ้างอิงอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการลงทุนในหุ้น ธนาคารกรุงเทพนี่แหละ เล่นตั้งแต่ 60 บาท ยัน 100 บาท จนตอนนี้เปลี่ยนไปพลังงานแทน

--ผมพลาดโอกาสหลายๆตัวที่สำคัญ คือ ธนาคารทั้งหมด และก็ SCC ซึ่งผมถือว่า เป็นค่าโง่ ที่รับได้ เพราะปี 2008 ผมกำไรนิดหน่อย ในขณะที่ตลาด"พังทั้งตลาด --Sub Prime ที่เห็นๆคือ พวกมืออาชีพ เละกันระนาว" แต่พอมาปี 2009 ผมกลับกำไร แค่ 30% ในขณะที่ตลาดวิ่งกว่า 60%

--ซึ่งตรงนี้ก็สอนผมให้รู้ว่า "มุมมองของคนมัน Extreme เกินไป และนั้นคือ Problem ทีทำให้คนส่วนใหญ่ขาดทุน " และจากนั้นผมก็ยึดนโยบาย "ชาวสวน" ตลอดมา...

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ