วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553
ใครสามารถเปิด"กองทุน"เวลานี้ได้..สบาย (รวยเละ)
ผมได้อ่านเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของ Hedge Fund ในต่างประเทศ เขาคิดค่าบริหารกัน 2 /20 คือ 2% จากเงินทั้งหมดเป็นค่าบริหารรายปี และเพิ่มอีกส่วนคือ 20% คิดจากกำไร (ส่วน กองทุนสุดยอดของ Warren Buffet คิดที่ส่วนเกินจากผลตอบแทน 6% ขึ้นไป ถึงจะคิดส่วนแบ่งกำไร 20%)
สรุปว่า แบบ Hedge Fund ทั่วๆไป ไม่ว่าจะกำไรหรือ ไม่กำไรก็ต้องจ่าย 2% แถมต้องแบ่ง 20% กำไรอีก --((ขนาด Warren Buffet ยังไม่กล้าคิดเงิน หากไม่ทำกำไรเหนือ พันธบัตร...)) แถมสถิติการ "ล้มเหลว"ของ Hedge Fund ถือว่าสูงมาก
เพราะโดยปกติ Hegdge Fund ที่แปลตรงตัวว่า "กองทุนป้องกันความเสี่ยง" แต่พอเอาเข้าจริง ลงทุน สุดจะเสี่ยงเลย ..แหม!ทำไงได้ เพราะความเสี่ยงทั้งหมด มันอยู่ที่ "เจ้าของเงิน" ไม่ได้อยู่ที่คนบริหาร ดังนั้น แน่นอน..ถ้าผมเป็น Fund Managerผมก็ต้องเสี่ยงสุดๆ ..เพราะถ้าได้เงินมาก ผมก็มีชื่อเสียง(ดังทันที) แถมได้ส่วนแบ่งกำไรชนิด"รวยเลย" แต่ถ้าพังก็ไม่ใช่เงินผม (ช่างมัน)-- หลบไปสัก 2 ปี แล้วค่อยกลับมาเปิดใหม่ ฮิ ฮิ...
เมืองไทย Hedge Fund ยังไม่ค่อยนิยม เห็นได้ข่าวว่าช่วงก่อน คุณ ทักษิณ คิดจะตั้ง แต่มาเจอ ยึดทรัพย์ทำเอา "เครียด" เลิกคิดไปเลย ...
ผมยกตัวอย่างของเมืองไทย ตอนนี้ถ้าตั้ง Fund ขึ้นมา จะทำยังไง -- อย่างแรกเลยผมเลือกหุ้นสักตัว--เอา PTT ละกัน
(ย้อนดูสถิติ) แย่สุดไปดีสุดวิ่งจาก 140 - 440 บาท (ผมคิดจากพื้นฐานเดียวกันนะ )..เพราะถ้าคิดคนละพื้นฐาน เช่น ตั้งแต่เข้าตลาดที่ 30 บาท มันคนละปัจจัย เพราะตอนเข้าตลาด Book Value อยู่ที่ไม่เกิน 30 บาทเช่นกัน แต่ตอนนี้ Book Value อยู่ที่ 150 บาท
ดังนั้น ผมมอง Book Value ตั้งเทียบ โดยคิดปัจจัยที่เท่ากัน แต่อารมณ์ของนักลงทุน เป็นตัวกำหนดราคาวิ่ง 140 -440 บาท ดังกล่าว นั่นเอง) สมมุติผมระดมทุนได้ 230 ล้านบาท (สมมุติผมซื้อราคาเฉลี่ยปีนี้ที่ 230 บาทต่อหุ้น)--ผมจะซื้อได้ 1 ล้านหุ้น --เงินปันผลปีแรกผมจะได้ประมาณ 8 - 10 ล้านบาท
ถ้าสมมุติผม lock การลงทุนขั้นต่ำ 5 ปี --ดังนั้นถ้าผมถือ PTT 5 ปี เงินปันผลรวมที่จะได้เท่ากับ 10 * 5 = 50 ล้านบาท รวมกับ capital Gain ในปีที่ 5 หุ้น PTT น่าจะขึ้นเกิน 440 บาท ไปแล้ว (เพราะแต่ละปี PTT ลงทุนมากกว่า 1 แสนล้าน ดังนั้น อีก 5 ปี ข้างหน้า Book Value น่าจะอยู่ที่ 200 บาทต่อหุ้น
ซึ่งในภาวะปกติราคา PTT จะอยู่ที่ 3 เท่าของ P/BV เท่ากับว่า Fair Value ในสถานการณ์ปกติของ PTT ในอีก 5 ปี ข้างหน้าจะเท่ากับ 200 *3 = 600 บาทต่อหุ้น ..การที่ผมคิดว่าอีก 5 ปี หุ้น PTT จะเป็น 440 บาทเท่ากับว่า Very Conservative Projection)
สรุปว่า กองทุนของผม เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี กองทุนผมจะเพิ่มเป็น 440 + 50 = 490 ล้านบาท (บวกๆ) จากนั้น ผมก็หักค่าบริหารปีละ 2% กับ 20% ของ capital Gain ทุกปี --คือง่ายๆ (ผมรวยเลย) เพราะเมื่อหักค่าบริหารและส่วนแบ่งกำไร..ในปีที่ 5 ผมจะมีเงินเป็น 100 ล้าน!!!จากกองทุน โดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรเลย (ไม่เสี่ยงด้วย เพราะไม่ใช่เงินผม)
คือ คิดยังไง ก็ไม่เข้าใจว่า แล้วทำไมคนมีเงินไม่บริหารเอง.. อาจเป็นเพราะจ่ายค่าความ"ใจแข็ง" คือ ถ้าเป็นเงินคุณ ถ้าซื้อ PTT มาที่ 230 บาท พอราคามันแตะ 300 คุณคงทิ้งขายไปแล้ว (ตรงนี้น่าคิดนะ)... มันเป็นคำถามที่ "ยังหลอกหลอนผม ตลอดการลงทุน" คือ ถ้าคุณเป็นคนเล่นหุ้นระยะยาว ผมว่า ระหว่างที่คุณ ถือหุ้น มันจะต้องมีช่วงเวลาบางครั้งที่ port ของคุณ "จมน้ำ" คือ ขาดทุน ซึ่งถ้าคุณไม่ขาย ท้ายสุดราคามันก็กลับไปถึงที่คุณ ตั้งใจจะขายในที่สุด.. ระหว่างนั้น คุณก็รับปันผลอย่างเป็นกอบเป็นกำ ..แต่มันแปลกมาก เพราะน้อยคนนักที่จะทนดู Port ของตัวเอง"จมน้ำ" โดยที่ไม่"ตื่นตูม"ขายทิ้งไปเสียก่อน
อีกประเด็นที่ "หลอนประสาท" คือ "รู้อย่างนี้..." ตัวอย่างเช่น ปีที่แล้ว PTT ราคาตกแตะ 140 บาทแต่ไม่มีใครกล้าซื้อ เพราะกลัวมันจะวิ่งลงไปที่ 30 บาท (ราคา IPO ของ PTT) --แต่ผมก็เชื่อว่าปี 2008 มีหลายคนที่ซื้อราคา 160 บาท (ผมนี่แหละคนนึง) แต่สรุปผมขายไปตอน 180 บาท เพราะกลัวมันจะตก สรุปก็"ขายหมู" เพราะตอนนี้ราคาตลาดยังอยู่ที่ 250 บาท
---ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ซื้อตอน 160 บาท ก็ได้ขายไปแล้วไม่ต่างจากผม --สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของผมคือ "รู้อย่างนี้..ผมถือไว้ดีกว่า" แต่คุณรู้ไหมว่าระหว่างนั้นราคา PTT สำหรับคนที่ซื้อ 160 บาทแล้วไม่ขาย --เขา"จมน้ำ"กี่รอบ ---(หลายรอบ ..บอกเลยว่าหลายรอบ)
คุณลองคิดดู ราคา 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นวิ่งตั้งแต่ 140 -280 บาท แต่ไม่มีใครรู้แน่นอนว่า เวลาไหนขึ้นหรือลง ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะได้กำไรมาก หากคุณวิ่งเข้าวิ่งออก (หลายคนอ่านแล้วยังคิดว่า ..คุณสามารถทำได้ ซึ่งจริงๆหากคุณ ออกได้ ตรงจุดสูงสุดของทุกรอบ และเข้าได้ต่ำสุดของทุกรอบ แต่ละปีคุณจะมีกำไรมากว่า 1000 %
ซึ่งจากสถิติ ยังไม่มีใครในโลกทำได้ --คนที่ทำได้ดีที่สุดในโลกคือ Warren Buffet ที่ถือยาวมากๆ(แทบไม่เคยขาย) ส่วนพวกกองทุนที่วิ่งเข้าออก กว่า 80% "แพ้ตลาด--ขาดทุนเละ" ..แต่ไม่แน่นะ คุณอาจเป็นมนุษย์ที่โชคดี ที่พระเจ้าสร้างให้คุณ เป็น"เทพ"แห่งหุ้นก็ได้ ...ก็ลองดูละกัน......"เทพ แห่งหุ้น .. หุ หุ หุ..."...
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
"ใครว่าเป็นนักธุรกิจยาก ..หากเทียบนักกีฬา เกมธุรกิจเล่นง่ายกว่าเยอะ -- เล่นแล้วรวยอีก!!" ..คิดดูนะ ถ้าเราเล่นกีฬาอะไรก็ต...
-
หลายคนสงสัยว่า ตลาดหุ้นผันผวนสุดๆ ทำไมนักลงทุนระยะยาวถึงแทบไม่เคยดูราคาหุ้นขึ้นลงรายวันเลย ? "บ้าหรือ เงินแกว่งขึ้นลงเป็น แสน เป...
-
‘หุ้นไทย’ ไม่มีอนาคตแล้วจริงหรือ ? 1. ’ขาขึ้นรอบใหม่ มักเริ่มเวลาที่ทุกคนสิ้นหวัง’ …ก็ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ซื้อหุ้นต้นรอบ 2. ’ไทยม...
-
ในหนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ ...มีอยู่บทนึงที่พูดถึง การหาตัวตนของเราให้เหมาะกับงาน ...ซึ่งก็คือ การรู้ว่า "จริตการทำงาน" ขอ...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
เข้าใจกลไกเศรษฐกิจที่ซับซ้อน แบบง่ายๆ ใน 6 ข้อ 1. ‘เงินเฟ้อ คือ ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในระบบทุนนิยม‘ …เงินเฟ้อแปลว่า เงินที่เราหาได้เก็บสะส...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...