แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

การวัดค่าความสำเร็จของ"จีเมริกา" (จีน+อเมริกา)


สิบปีที่ผ่านมา จีน และ อเมริกา มีการค้าและการลงทุนเชื่อมโยงจนเกือบกลืนเป็น"เนื้อเดียวกัน" เริ่มจากอเมริกา ย้ายฐาน "Manufacturing" ไปผลิตทุกอย่างตั้งแต่ ไม้จิ้มฟัน(Unilever) ยันเครื่องบิน (Boeing) ..อเมริกาเคลื่อนตัวไปเน้นหนัก Service Industry และ IT --สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อเมริกา Boom ตลาดหุ้นตอบรับเงินลงทุนที่ไหลเข้าจากทั่วโลก

..ความหมายของมัน ก็คือ นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจยุคใหม่(New Economy)ต้องเป็นแบบอเมริกา คือ ไม่ผลิตแต่เน้น Service ---(แต่!!!..แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ ...มันคือสิ่งที่หลายคนพยายามหาคำตอบ) หากเราเปรียบ"ตลาดทุน"เป็นกระจกสะท้อน ความมั่งคั่งของแต่ละประเทศ --การที่ตลาดทุน Crash อย่างแรงของอเมริกา มันมีความหมาย"โดยนัย"ว่าอะไร???

ขณะนี้จีน กลายเป็นฐานการผลิตของทั้งโลก เรียกได้ว่าเป็น"โรงงานของโลก" (นี่ยังไม่นับรวม India ที่ อเมริกา Outsource "IT" Back Office ไปเกือบทั้งหมด--แล้วอเมริกาจะเหลืออะไรทำ (วะเนี่ย..กู(งง)..ไหมนะ*-*)) ..จะว่าไปแล้ว ไม่แปลกเลยที่อเมริกาประสบปัญหาการว่างงานเข้าขั้นวิกฤต ก็เล่น Outsource งานทุกอย่างออกนอกประเทศหมด --แล้วจะเหลืองานอะไรให้คนอเมริกาทำ ล่ะครับ..พี่ครับ!!

--ในเมื่อ "ตกงาน"ระนาว ก็"งานเข้า"ทันใด --ราคาบ้านตกต่ำ คนจ่ายหนี้ไม่ได้....เกิดปัญหา Sub Prime ..ธนาคารก็ซวยตาม ..Investment Bank และ Hedge Fund/ Mutual Fund เจ๊งกันระนาว --ทีนี้แหละเริ่มชี้หน้าทะเลาะกันไปมา (โทษใครดี..)

กลับมาที่ "จีเมริกา" ว่ามันเกี่ยวอะไร --(นี่แหละ ระเบิดเวลา) สิบปีที่ผ่านมา อเมริกา มีเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด แถมสามารถคุม "เงินเฟ้อ" ได้ในระดับต่ำ ทั้งนี้ก็เพราะจีน ช่วย Absorb ตลาดแรงงาน คือ แทนที่พอเศรษฐกิจดี"ค่าแรง"จะขึ้น ก็กลายเป็น บริษัทต่าง Shift การผลิตไปจีนเพื่อลดต้นทุน จากนั้นก็ส่งของ กลับมาขายอเมริกา "ของถูก" ทำให้ของในอเมริกา ไม่สามารถแพงได้มาก (เพราะต้องแข่งกับสินค้าจีน..ที่บริษัทอเมริกาไปผลิตนั่นแหละ)

สรุปทำให้ "แรงงานและของ ก็ขึ้นไม่ได้"เลยสามารถคุม "เงินเฟ้อ" ให้อยู่ในระดับต่ำ -- พวกผู้บริหารประเทศ และ Fed ต่างภูมิใจว่าตนเองเก่ง(จริงหรือ)...ในด้านเงินทุน อเมริกาขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง(แม้ว่าเดิมโรงงานที่ผลิตจะเป็นของอเมริกา สุดท้าย"คนจีน" ก็เขมือบเอาไปเลย ฮ่า ฮ่า สรุปยุคแรกที่เข้าไป เหมือนเอาเทคโนการผลิต และเงินทุนไปให้ จีนฟรีๆ..ว่างั้น)

เกือบทุกบริษัทใหญ่ๆในอเมริกา ถูกภาวะการแข่งขันในด้านต้นทุน บีบให้ต้องไปลงทุนในเมืองจีน ส่งผลให้ "เงินทุน" ไหลเข้าจีนอย่างมหาศาล --ทั้งขาดดุล ทั้ง ทุนไหลออก..คุณคิดดูแล้วกันว่า จะเหลืออะไรในประเทศอเมริกา --ปัจจุบัน ตลาดหุ้นอเมริกา ไม่ไปไหน แต่จีนและเอเชีย พุ่งเอา พุ่งเอา..ถ้ามองให้ดี "ตลาดหุ้น" มันเริ่มสะท้อนให้เราเห็นแล้วว่า อนาคตข้างหน้า ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร ..(แล้วมันจะออกมาอย่างไร ..เราควรเอาเงินเราไปอยู่ตรงไหน ถึงจะได้รับ อานิสงค์ของตลาด"บูม" ในครั้งนี้ ...ถามใครดี ...ถามใครดี..!!!!)

ก่อน Subprime เงินทุนไหลเข้าเอเชียอย่างต่อเนื่องสูงเป็นประหวัดการณ์ (อย่างไทยก็มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้น มาต่อเนื่องแตะ 300,000 ล้านบาทในปี 2007 แล้วก็ไหลกลับไปตอน Subprime) สิ่งที่"บอกใบ้" ให้เราทราบคือ การเปลี่ยนแปลงในรูปของเงินลงทุน ที่มักจะไหลไปสู่ "โอกาส" และครั้งนี้ "โอกาส" มันอยู่ไม่ไกลจากเรา --(ใช่แล้วครับ โอกาสในครั้งนี้คือ "เอเชีย" ..คำถามอยู่ที่ว่า คุณจะเป็นคนหนึ่งที่"โชคดี" จากโอกาสในครั้งนี้ได้อย่างไร)--Asian Miracle 2 จริงหรือ?????...

การค้าในประเทศเอเชียเกินดุลอย่างมหาศาล นำมาโดย จีน เกาหลี อินโด ไทย คือ สรุปเอเชียเราค้าขายได้กำไร มีเงินเก็บมาก (ประเทศที่ฉลาดอย่างสิงค์โปร์ เอาเงิน ที่เกินดุล บางส่วน ตั้งเป็น Soveriegn Wealth Fund เข้าลงทุนใน "ตราสารทุน" หรือ "Asset" แทนที่จากเดิมลงเฉพาะ พันธบัตรระยะสั้นเท่านั้น ---แล้วมันดีหรือไม่ ..(ตลก)

..ดีแน่นอน เพราะคิดง่ายๆ คุณค้าขายได้กำไร ถ้าคุณ(ควายๆ)หน่อย คุณก็เอา เงินเก็บ ไปฝากธนาคาร(ดอกเบี้ยโคตรต่ำ) ถ้าฉลาดนิดหน่อยก็เอาไป ซื้อพันธบัตร แต่ถ้าฉลาดและใจถึงหน่อย ก็ไปซื้อหุ้น หรือ ซื้อที่ หรือ Asset อื่นๆ ตอนราคาตกต่ำ(อย่างในปัจจุบัน)

พอเศรษฐกิจมันดีขึ้นมา(สมมุติอีก 5 ปีข้างหน้า) คุณก็ค่อยเอา หุ้น ที่ดิน และ Asset ต่างๆออกมาขาย คุณก็จะได้กำไรมากกว่า ถือพันธบัตร ไม่รู้กี่เท่า --นี่แหละครับ ความฉลาดที่รัฐบาล สิงค์โปรคิด เลยตั้ง "SWF" ขึ้นมานั่นเอง (ประเทศไทยมีเงินเกินดุล อันดับตั้นๆของโลก กลับเอาไว้ซื้อแต่ พันธบัตรอเมริกา (ที่มีค่าด้อยลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1970 เงิน US มีค่าลดลงกว่า 90% --ผมถามหน่อย เมื่อไหร่ แบงค์ชาติ กับ รัฐบาล จะตาสว่างเสียที หรือ รอให้สิงค์โปร SWF(ไอ้ ทามาเส็ก นั่นแหละ) มาซื้อกิจการการให้หมดประเทศ .

..ประกาศไว้เลย ถ้าผมเป็นรัฐบาลอย่างแรก ผมจะเอากองทุนเราซื้อ SHIN คืนจาก "ทามาเส็ก" แล้วก็ไปซื้อ "Singtel" ต่อ.. ให้ สิงค์โปร แม่งหายบ้าไปเลย (เพราะ"เงินสำรองระหว่างประเทศเราใหญ่กว่าสิงค์โปรอีก"ปัญหาคือ "บ้านเรา ควายมันเยอะ!! เดินขัดขากันไปมา"น่าเศร้า...)

นอกเรื่องไปนาน กลับมาที่ เงินทุนตอนนี้ของโลกอยู่ที่เอเชีย --พูดง่ายๆคือ เอเชียจริงๆ "รวย" เป็นเจ้าหนี้ ส่วนอเมริกา "จน" เป็น"ลูกหนี้" คุณคิดดูให้ดีละกัน ถ้าคุณจะลงทุน คุณควรไปลงทุนกับ "คนรวย" หรือ ลงทุนกับ "คนจน--จะได้สงเคราะห์แบ่งปันความจนไง ฮิ ฮิ..."

--ตอนนี้ นักลงทุนเริ่มตาสว่างมาหลายปี แล้ว คือ เริ่มเทเงินลงทุนเข้ามาในเอเชียอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปี ก่อน แต่มาสะดุด (ตาพล่ามัว)อีกครั้งตอน Subprime ..ตอนนี้เริ่ม ตาสว่างขึ้น จะเห็นได้ว่า เม็ดเงินเริ่มทยอย เข้ามาในเอเชียอีกครั้ง นำโดย จีน และอินเดีย (ส่วนไทย ยังติดปัญหา กีฬาสีอยู่ ทำให้ตลาดหุ้นบ้านเรา ราคาถูกมากๆ)

..หลายคน"กระซิบ" บอกผมว่า "กีฬา" สีไม่มีวันจบ มันจะแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ต้องเปลี่ยน "ราชประสงค์"เป็นถนนคนเดิน มีการตั้งบ้านเรื่อนกลายเป็น สลัมกลางเมือง แข่งกับ "มุมไบ" ฮิ ฮิ... (ผมว่า มันอยู่ที่มุมมอง)

ผมคนหนึ่งละ ที่เชื่อว่า เหตุการณ์เมื่อมีเกิดก็มีดับ ดังนั้น ผมจะไม่มองอะไรด้านเดียว --การมองอะไรสุดโต่ง จะเป็นการปิดกั้น "วิสัยทัศน์"ของตัวเอง --คุณเคยไหมที่พอคิดว่าอะไรมันจะแย่สุดๆ แต่มันกลับเป็นตรงกันข้าม หรือ เวลาคุณคิดว่าอะไรมันกำลังจะดีสุด แต่มันกลับแย่สุดๆตรงกันข้าม ---(เคย!!!)

...แล้วคราวนี้ประเทศไทยจะออกมารูปแบบไหนล่ะ (คุณคิดเอง) ---เดี๋ยวผม ขอตัวไปเก็บ "เนื้อหมู" ในตลาดหุ้น ที่หลายๆคนเทขายออกมาก่อนนะครับ แต่ขอบอก"เนื้อหมู"มีจำนวน "จำกัด" (จำนวนเท่ากับ คนที่อยากจะขาย"หมู") --เร็วไปก็ไม่ดี ช้าไปก็อาจไม่ได้ของ --"โชคดีทุกคน".........

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ