แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

เรียนรู้จากบริษัท--Fortune500 (ตอนที่2)


สิ่งที่น่าสนใจของ Chart Fortune500 คือ เราสามารถดูความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆของผลการดำเนินงานมาเปรียบเทียบให้เกิดประโยชน์ต่อการวิเคราะห์อนาคตของ ตัวหุ้น รวมทั้งวิเคราะห์ความเติบโตของบริษัทและอุตสาหกรรม เช่น การทำกำไรของบริษัทกับราคาหุ้น , ผลตอบแทนในหุ้นระยะยาวเทียบกับชื่อเสียงของบริษัท, ผลตอบแทนการลงทุนกับราคาหุ้นในระยะยาว เป็นต้น…โอเค..เรามาดู

ตัวแรกคือ การทำกำไรของบริษัทมีผลต่อราคาหุ้นอย่างไร --(มีมาก) เพราะมันบ่งชี้ถึงอนาคตของบริษัทนั้นๆ อย่างเช่น หุ้น EXXON แม้จะมี”รายได้”น้อยกว่า “WAL-MART” เกือบครึ่ง แต่”กำไร”ของ EXXON กลับสูงกว่า ทำให้ราคาหุ้นแพงกว่านั้นเอง (EXXON กำไร 19.2 Billion ในขณะที่ WAL-MART กำไร 14.3 Billion)… ส่วน “หุ้นแพง”อันดับสองของตลาดก็คือ Microsoft รายได้น้อยกว่า WAL-MART ถึง 7 เท่า แต่กลับมี Market Value ที่สูงกว่า --จุดนี้ชี้ให้เห็นได้ว่า “บริษัทที่ดีไม่จำเป็นต้องยอดขายใหญ่ หากแต่สามารถสร้าง”กำไร”ได้สูงก็ถือว่าแจ๋วกว่า”

ตัวที่สอง คือ ผลตอบแทนในหุ้นของบริษัท ในปี 2009 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดใน Fortune500 คือ AVIS BUDGET GROUP ให้ผลตอบแทน 1,774.3% …ที่สองคือ DANA HOLDING ให้ผลตอบแทน 1,364.9% ในขณะที่บริษัทดีๆใหญ่ๆรายได้มั่นคงอย่าง WAL-MART กลับให้ผลตอบแทนการลงทุนแค่ 2.7% ในปี 2009

--ประเด็นที่ผมจะชี้ให้เห็นคือ บริษัทที่มั่นคงและดีเยี่ยม มักจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่แสนจะต่ำ เนื่องจาก ทุกคนอยากลงทุนในบริษัทนี้ ดังนั้น เมื่อราคาตกเล็กน้อยก็จะมีคนคอยซื้ออยู่ตลอด ทำให้ในภาพรวมราคาหุ้นแทบไม่เคยตก ซึ่งในทางกลับกันก็คือ คือ ราคาไม่เคยตก โอกาสที่หุ้นจะขึ้นก็”แทบจะไม่มีเช่นกัน” ต่างกับบริษัทเล็กๆ หรือ บริษัทที่ประสบปัญหา ซึ่งไม่มีคนสนใจ ท้ายสุดกลับให้ผลตอบแทนชนิดที่”ทำให้รวยได้เลย”

ในตลาดบ้านเราก็เช่นกัน หากคุณซื้อหุ้นธนาคารตอน Sub-prime คุณย่อมได้ผลตอบแทนที่สูง กว่าในช่วงปกติ หรือ คุณซื้อหุ้นอย่าง BANPU ปีก่อนที่ประสบปัญหา ปีนี้คุณก็จะได้กำไรมหาศาล ดังนั้น จำไว้เลยว่าหุ้นที่คุณจะกำไรมาก ก็คือคุณที่คุณต้องกล้าที่จะเสี่ยงมาก(บนการวิเคราะห์ ว่าที่จริงไม่เสี่ยงนั่นเอง)

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ผลตอบแทนหุ้นในระยะยาว ต่างกับระยะสั้นอย่างไร …หลายคนอาจคิดว่า หุ้นที่ดี ย่อมให้ผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน --(อันนี้ผมเห็นด้วย ในแง่ที่คุณจะมองแต่ปันผลเพียงอย่างเดียวนะ---- ซึ่งไม่น่าจะเกินปีละ 10% ) แต่ถ้าคุณสนใจ Capital gain “หู้นดี มักจะให้ผลตอบแทนไม่ดี” ทั้งนี้ เพราะหุ้นที่ดี ย่อมมีราคาสูง

(ดังนั้น โอกาสเดียว ที่คุณสามารถจะทำกำไรจาก”หุ้นดี” ก็คือ ซื้อหุ้นดีในยามวิกฤต เช่น ซื้อ PTT ในช่วงที่ธุรกิจมีปัญหาอย่างในปัจจุบัน เป็นต้น) ส่วนถ้าเรามุ่งที่จะมองหาหุ้นที่ให้ Capital Gain มากๆ คือ เราต้องศึกษา อนาคตของธุรกิจนั้นๆ เช่น CPALL หรือ 7-11 ในช่วงแรกๆไม่ค่อยดี ตอนนั้นก็เป็น หุ้นเล็กๆที่ไม่มีคนรู้จัก จึงมีราคาถูก ซึ่งถ้าคุณสามารมองเห็นโอกาสของกิจการและซื้อตั้งแต่ราคาถูก คุณก็จะได้กำไรอย่างมหาศาล ..เพราะ CPALL ปัจจุบันก็กลายเป็นหุ้นที่แพงไปแล้ว (แพงกว่า PTT เสียอีก ถ้าเทียบกับ P/BV)…

สรุปได้ว่า Fortune500 ของอเมริกา ก็ไม่ได้ต่างจากบ้านเรา คือ ผลตอบแทนหุ้นกับบริษัทมักจะวิ่งสวนทางกัน ..คุณไม่สามารถซื้อ”หุ้นดี”ในจังหวะที่ดี เพราะ”มันแพง” ดังนั้น ไม่แปลกจริงไหมครับ ที่คนส่วนใหญ่จะไม่ได้มีโอกาส ซื้อหุ้น”ที่ดี” ในเวลาที่ “ถูก”ได้ --ปัญหาเพราะเขาเหล่านั้น ก็เพราะเขาไม่เข้าใจ”การลงทุน”ต่างหาก…..

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ