แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

เม็ดเงินที่หายไป


ในส่วนของมูลค่าซื้อสะสะมสุทธิของนักลงทุนฝรั่งในปัจจุบัน ถ้าดูจากค่าเฉลี่ยปกติก็เริ่มสูงแล้ว ..ถ้านับเริ่มจากปี 2000 ตอนที่ต่างชาติเข้ามา peak ก็ที่ 300,000 ล้านบาทตอนปลายปี 2007 จากนั้นก็ทิ้งดิ่งลงมาเหลือ 50,000 ล้านบาทตอน Bottom ปัจจุบันก็อยู่ที่ประมาณ 100,000 กว่าๆ --คำถามที่เกิดคือ ถ้าเทียบยาวๆ ณ จุดนนี้ก็เรียกได้ว่า ฝรั่งเข้ามามากแล้ว แต่ถ้าเทียบกับปี 2007 ก็ยังถือว่าไม่สูง ดังนั้น ต้องดูว่าเราเอาอะไรมาวัดว่า เม็ดเงินเข้ามามากหรือน้อย

ย้อนกลับมาดูปี 2007 การค้าทั่วโลกบูม มากๆ ทุกอย่างขึ้นหมด Commodity วิ่งแรงมากๆ น้ำมันวิ่งขึ้นแรง คือ ถ้ามองภาพรวมคือ ต้นทุนการผลิตกระโดด แต่พอเศรษฐกิจสะดุดปี 2008 กลับทำให้ต้นทุนการผลิตเหล่านี้ถูกลง เพราะราคา Commodity ตก ซึ่งแม้ Demand ในตลาดจะลด แต่ต้นทุนกลับลดลงยิ่งกว่า ส่งผลให้บริษัทต่างๆกลับมามีกำไรในปี 2009 และเริ่มดูดีขึ้นเรื่อยๆ .... ถ้าไม่มีอะไรพลิก ผมเชื่อว่า EPS ของบริษัทต่างๆก็จะปรับตัวดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นผลดี ให้ตลาดสามารถปรับราคาสูงขึ้นต่อ

อีกประเด็นสำคัญที่น่าสนใจก็คือ "เม็ดเงินลงทุนทั่วโลก" จริงๆแล้วเราต้องมาคิดดีๆว่า Subprime ที่ผ่านมา เม็ดเงินเสียหายจริงๆเท่าไหร่ เพราะถ้าคุณเข้าใจตลาดหุ้น คือ คนจะ panick ก่อน แล้วดึงเม็ดเงินออกจากตลาด ทั้งๆที่ยังไม่เสียก็ตาม
..ช่วงที่ผ่านมาเม็ดเงินที่ถูกดึงออกจากตลาดหุ้น จำนวนมากยังอยู่เฉยๆคือ ไม่มีดอกเบี้ย(คุณลองนึกดูว่า กองทุนมหาศาลที่มีเงินอยู่ข้างนอกโดยยังไม่ได้ลงทุนเลย) และถ้าดูจริงๆแล้ว Subprime ที่เจ๊งไป ถ้าเทียบกับตลาดถือว่า ไม่เยอะเท่าไหร่ ...คุณลองคิดให้ดีครับว่า แล้วเงินมหาศาลที่ผมพูดถึง ที่ลอยอยู่ไม่มีผลตอบแทนสุดท้ายจะไปลงที่ไหน ...

ช่วงที่ผ่านมาเม็ดเงินเหล่านี้กลับเข้ามาเก็ง Commodity ทำให้ราคาของ Commodity ขึ้นมาทั้งๆที่ Demand จริงยังไม่กลับมา เช่น น้ำมัน ที่ราคาสูงขึ้นตอนนี้ เพราะการเก็งกำไรทั้งนั้น ...มาถึงจุดนี้ คุณลองคิดซิครับว่า มันจะจบอย่างไร

ทางแรกคือ "เละตุ้มเปะ" ถ้า Demand จริงไม่กลับมา โดยเฉพาะอเมริกาที่ wealth ของคนส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน ดังนั้น ราคาบ้านที่ลดลง ก็เป็นการตัด demand ของผู้บริโภคไปทันที ประกอบกับยุโรปก็แย่พอๆกัน แล้วยิ่งกว่านั้น นักเศรษฐศาสตร์หลายคนก็บอกว่าราคาบ้านจะยังไม่ฟื้นไปอีกหลายปี ยิ่งทำให้ภาพการฟื้นตัวของ demand ยิ่ง "ลิบหรี่"

ทางที่สอง คือ ทางดี ถ้ามองในเอเชีย จีนเริ่มกระตุ้นการบริโภคภายใน ซึ่งถือเป็นความหวัง เพราะประเทศในเอเชียอื่นๆ ก็เริ่มเน้นการค้ากับจีนมากขึ้น ประกอบกับเม็ดเงินต่างชาติ ที่ไม่มีที่ไป ก็ไหลเข้าเอเชียอย่างต่อเนื่อง

อีกส่วนก็เก็งอยู่ใน Commodity ซึ่ง เอเชีย ก็มีส่วนในการส่งออก Commodity ทำให้ ภาพรวมยังช่วยๆกันอยู่ กลายเป็นการเก็งกำไร ก็ทำให้กองทุนได้เงิน และก็กลายเป็น ทำให้หุ้นของบริษัทต่างๆเริ่มดี ส่งผลให้นักลงทุนรวยขึ้น ซึ่งแม้ว่าจะมองเหมือน แชร์ลูกโซ่ ปันกันไปกันมา

แต่ถ้ามองให้ดี การปั่นอย่างมั่วซั่วในรอบนี้ยังดีกว่า "asian miracle" ตอนปี 1994 เพราะรอบนี้บริษัทต่างๆในตลาดเรา กำไรจริงๆ และกำไรดีด้วย การปันผลก็สูงตาม ...การฟื้นตัวนี้จริง แต่ก็ยังเปาะบางมาก เพราะหากมีอะไรแรงๆมากระทบ สถานการณ์ก็พลิกกลับไปปี 2008 ได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ภาพจะคลุมเครือ การไม่ทำอะไรผมมองว่าเป็นการเสียโอกาสมากที่สุด

เพราะถึงยังไงเศรษฐกิจ ไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องฟื้น ดังนั้น การวางเงินในที่ที่ปลอดภัยในขณะนี้ ผมเชื่อว่า หุ้นปันผล เป็นคำตอบ เพราะไม่ว่า ตลาดจะตก แต่คุณก็ยังคงรับปันผล โดยไม่ต้องขาย พอตลาดขึ้นหุ้นก็ต้องมีราคาที่สูงกว่านี้แน่นอน จึงไม่มีอะไรเสี่ยง..

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ