แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

"เงิน"กับเศรษฐกิจโลก


ขนาดของ GDP ทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 50 trillion ซึ่งเท่าๆกับมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกคือ ประมาณ 50 trillion เช่นกัน ส่วนตลาด Bonds ทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 70 trillion ส่วน Derivatives --(ที่เป็นตัวปัญหาของวิกฤตเศรษฐกิจในรอบนี้)มีมูลค่ารวมถึง 400 trillion จะเห็นได้ว่าตลาดของ Derivatives ที่เพิ่งเกิดมาเมื่อปี 1980s กลับมีขนาดที่ใหญ่มาก ซึ่งโดยส่วนมากจะ ทำการซื้อขายแบบ Over-the-Counter (ขณะที่ตัวเลขของ Hedge Fund บริหารเงินทั่วโลก จากปี 1990 ที่ 38.9 billion มาเป็นประมาณ 1.5 trillion ในปัจจุบัน)

ประเด็นที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นคือ ประการแรก GDP ขนาด 50 trillion เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนมือ ซื้อขายได้ มูลค่าของ GDP จึงไม่ได้ขึ้นลงตามอารมณ์ความรู้สึกของ"นักลงทุน" ดังนั้น ถ้าถามว่า มูลค่าของ สินทรัพย์หรือเงินทั้วโลก วัดจากอะไร
--ผมว่าเราต้องเอา GDP ตั้ง ..แล้วเราจะเห็นขนาดเศรษฐกิจที่แท้จริง ส่วนตลาดเงินอื่นๆ เช่น ตลาดหุ้น , ตลาด Real Estate ล้วนแต่ขึ้นลงตาม"ความรู้สึก" จะเห็นได้ว่า จากช่วง Sub prime ที่ผ่านมา มูลค่าของตลาด Real estate และ ตลาดหุ้น ลดหายไปเฉยๆ คือ ลงไปจนต่ำกว่า GDP

(จุดนี้ผม ไม่ได้จะชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้น "ในขณะนี้" ถูก หรือ แพง เพียงแต่อยากให้เห็นว่า มูลค่าของ ตลาดหุ้น และ Asset ต่างๆ มีความผันผวน เกินพื้นฐานที่แท้จริงของเศรษฐกิจ -- เพราะวิกฤตที่ผ่านมา GDP ในประเทศต่างๆอาจติดลบแค่ 5% แต่ตลาดหุ้นกลับตกแรง ร่วงไปมากกว่า 50% ..ดังนั้น ถ้าเรามองให้ดี จะเห็นได้ว่าในทุกวิกฤต หากใครสามารถวิเคราะห์และมองภาพได้ชัดเจน ก็มีโอกาสที่จะ ได้ประโยน์ นั่นหมายถึง "โอกาสรวยจากการซื้อ Asset ที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงนั่นเอง"

อย่างไรก็ตาม หนังสือ เกี่ยวกับตลาดหุ้นมากมายล้วน แสดงแง่คิดที่ต่างกันออกไป ยกตัวอย่างในช่วงที่ตลาดหุ้นตกแรง Great Depression ครั้งแรกปี 1929 ต้องใช้เวลาเกือบ 30 ปี กว่าตลาดจะกลับมาสู่ Peak เดิม (ปัจจุบัน หลายคนมองเศรษฐกิจ)ว่ามีโอกาสที่จะเหมือนกับปี 1929 อีกครั้งหรือไม่

.... ถ้าดูจากที่ตลาด Hit Bottom ปี 2008 พอปี 2009 ตลาดพุ่งพลวดมากว่า 50% ถ้าดูในอเมริกา บริษัทต่างๆที่วิ่งขึ้นมาก็ยังผลตอบแทนไม่ดี --มันน่าจะเป็น "sucker Rally"คือกลายเป็นว่าคนซื้อ ซื้อปั่นราคาตามกัน แต่คนที่ถือคนสุดท้ายซวย..เหมือน"เผือกร้อน" โยนไปมานั่นแหละ

แต่จุดนี้ผมมองว่า ต่างกับหุ้นบ้านเรา ดูอย่างธนาคารบ้านเราผ่านวิกฤตมาแบบ Unscratch คือ ผลประกอบการไม่ได้กระทบเลย กลับดีขึ้น คนที่ซื้อหุ้นไม่ได้เหมือนถือ"เผือกร้อน" เพราะ คนที่ถืออยู่ได้ "เงินปันผล" ที่ขณะนี้เฉลี่ยประมาณ 5% ซึ่งดีกว่าเงินฝากหลายเท่า

(ตอนนี้หลายๆคนยังได้ Capital Gainอยู่ แต่พอตลาดช่วงนี้ ตกแรงก็รีบเทหุ้นทิ้งออกมา.. ถ้ามองให้ดี คือ เรากำลังทิ้งหุ้นที่ให้ปันผลอย่างงาม ในราคาที่ต่ำ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นมักมี Momentum ที่แรง เช่น ถ้าบวก..ก็บวกมากจน Bubble แต่ถ้าลบ หุ้นก็ตกมาก จน น่าตกใจ --- ตอนนี้ผมมองว่า ตลาดเอเชีย ตกมากเกินไป เพราะการที่นักลงทุนต่างๆทิ้งหุ้น

--ผมถามหน่อยว่า แล้วคุณจะเอาเงินไปลงทุนอะไรที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้น --"ไม่มี" ดังนั้น การถอนเงินออกช่วงนี้ของนักลงทุน คือ การขายออกระยะสั้น เพื่อรอจังหวะเข้ามาเก็บหุ้นเหมือนเดิม (คือ ถ้าคุณรู้ว่า ยังไงมันก็จะต้องขึ้น --คุณจะตื่นเต้นวิ่งเข้าออกทำไม เพราะเวลาหุ้นขึ้น ผมว่า คุณไม่มีทางทันพวกรายใหญ่หรอก).. ใครคิดว่าทัน ก็ลองดู ฮิ ฮิ... ((เราอาจค้นพบ"เสือปืนไว"จากวิกฤต..อันนี้ไม่มีใครรู้ หุ หุ หุ ))

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ