วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553
คนส่วนใหญ่คิดว่าการทำงานคือการทำเงิน ซึ่งจริงๆแล้วมันคนละเรื่องกันเลย(จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่รวย)
ความเข้าใจเรื่องงานกับเงิน หลายๆคนเอาไปปนเปกัน คิดว่า ยิ่งทำงานมาก ยิ่งทำงานหนักจะได้เงินมากตาม แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย
ในเรื่องของการทำงานแม้จะได้เงินเป็นผลตอบแทน แต่สังเกตไหมครับว่า มันไม่ได้มากมายอะไร ยิ่งคุณทำงานที่คล้ายๆกับคนเยอะๆ เช่น ทำราชการ วันก่อนรัฐบาลประกาศจะขึ้นเงินเดือน แต่ปรากฏของกินของขายต่างๆ ดันปรับขึ้นไปก่อนขึ้นเงินเดือนเสียอีก "เท่ากับกับว่า การขึ้นเงินเดือนของรัฐบาล ไม่ได้ทำให้ ข้าราชการรวยขึ้น แต่มันเป็นการลดค่าเงินลงต่างหาก"
ในส่วนของการทำงานในภาคเอกชน ก็ใช่ว่าคุณจะได้เงินมาก "หากคุณไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงจริงๆ ..เงินเดือนก็ยังคงต่ำอยู่ดี" ทั้งนี้เนื่องจาก เอกชนเองก็ต้องมีการแข่งขันกับคู่แข่ง ซึ่งถ้าเขาให้เงินเดือนมาก ก็อาจจะมีต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้น การทำงานโดยเฉพาะการที่เป็นลูกจ้าง มันเกือบจะการันตี รายได้อยู่แล้วว่าไม่อาจที่จะสูงมาก ..ทั้งนี้เพราะลูกจ้างอยู่ตรงข้ามกับเถ้าแก่ --"เถ้าแก่ต้องการจ่ายน้อยๆ แต่ลูกจ้างต้องการให้จ่ายมาก --(ผมถามหน่อยแล้วใครจะชนะ!!)"
หลายคนบอกว่างั้นการศึกษาสูงจะช่วยให้รายได้ดีขึ้น อันนี้นี้ถูกต้อง แต่แค่บางส่วนนะ!! หรือ หลายๆคนก็บอกงั้นเป็นผู้ประกอบการซิ จะได้เป็นเถ้าแก่เสียเอง แต่ถ้าดูจากสถิติ การทำธุรกิจเองมีโอกาสเสียมากกว่าได้ เพราะธุรกิจส่วนใหญ่มันตายไปก่อนที่จะโตเสียด้วยซ้ำ
ถึงจุดนี้ผมว่าหลายๆคนคงเริ่มคิดท้อแท้แล้ว ว่ามันไม่เห็นมีวิธีไหนที่จะทำงานให้รวยเลย "แต่มันมีครับ" มันก็คือ(มุ่งไปที่ประเด็น การทำเงินเลย) ..การทำเงินมีหลายวิธี ดังนี้
1. ทำเงินโดยใช้ เงินต่อเงิน คือ ไปเอาเงินมาลงทุน (โอกาสที่จะเจ๊งสูงมากตามสถิติ อีกเช่นเคย) หลายคนที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะ ก็จะโชคดี ที่สามารถหาทุนมาได้ง่าย หรือ อย่างในกรณีมีเงินแล้วอยากลงทุน อย่างเคสของดารานี่ก็ใช่ เนื่องจากได้ค่าตัวแสดงสูงก็เอาเงินนั้นมาทำธุรกิจต่อ ..ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า มันเป็นการทำเงินโดยเริ่มต้นจากทุน (เหมือนเอาเงินมาทุ่ม) ดังนั้น ไอเดียมันจึง ไม่บรรเจิด โอกาสสำเร็จเลยน้อย
2. ทำเงินจากไอเดีย (วิธีนี้แหละใช่เลย)ไม่ว่าคุณอยู่ในสาขาอาชีพใด การเริ่มต้นจากความคิดมันย่อมมีความเสี่ยงต่ำ แต่ประเด็นมันคือ (ยังไงทำกิจการก็ต้องใช้เงินอยู่ดี) ..ดังนั้น คนที่สามารถไปเอาเงินคนอื่นมาลงทุน OPM(Other Prople Money)ได้สำเร็จ มันก็เสมือนว่า คุณ"จับเสือมือเปล่า" และนี่และการทำเงินที่แท้จริง
ผมจะยกตัวอย่างที่คนที่(ทำเงิน) ที่ใครๆก็รู้จัก Bill Gates นั่นเอง ..ระหว่างที่เขายังเรียนอยู่ ปรากฏว่า IBM เริ่มมีการผลิต Personal Computer ซึ่งเวลานั้น Bill Gates กลัวตัวเองจะตกยุค จึงเข้าไปหาบริษัท IBM และเสนอตัวเป็นผู้เขียน Software OS(Operating System)ให้โดยมีข้อแม้แปลกๆคือเขาจะขอค่าลิขสิทธิ์เป็นรายเครื่อง (ซึ่งในเวลานั้น Software เป็นของฟรี ก็ทำให้ IBM ค่อนข้างแปลกใจว่า ทำไม Bill Gates เสนอเงื่อนไขอย่างนั้น "แต่ IBM ก็ตกลง") --ซึ่งตอนที่ตกลงนั้น จริงๆนาย Bill Gates ยังไม่สามารถทำ OS(Operatin System) ได้เองด้วยซ้ำ เพียงแต่เขารู้ว่ามีบริษัทเล็กๆแห่งนึงที่ทำได้ ...สิ่งที่ Bill Gates ทำ ก็คือเอาสัญญากับ IBM ไปค้ำประกันเงินกู้ธนาคาร แล้วก็เอาเงินมาซื้อบริษัทเล็กๆที่ผลิต OS ได้ (ในมุมของเจ้าของธุรกิจเขาก็ได้เงินจากการขายกิจการ แต่หารู้ไม่ว่ากิจการที่เขาขายไปนั้น มันได้ทำให้ Bill Gates ขึ้นมารวยที่สุดในโลกในเวลาต่อมา)
อีกคนที่จับเสือมือเปล่า ก็ Warren Buffet นี่แหละ เขาจัดตั้งกองทุนบริหารเงินของเขาโดยใช้เงินตัวเองเพียงน้อยนิด สาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นนักลงทุนที่รวยที่สุดนั้น มาจากส่วนแบ่งกำไรจากกองทุน ซึ่งประมาณ 20% ของกำไร (ซึ่งในแง่ของนักลงทุน แม้ Buffet จะคิดค่าบริหารเป็นส่วนแบ่งกำไร แต่ที่เหลือ ผลกำไรอีก 80% ที่เจ้าของเงินได้รับ มันก็ยังคงดี กว่ากองทุนอื่นๆ พันธบัตร หรือเงินฝากใดๆในโลก) จุดนี้ผมมองว่ามัน Win-Win คือนักลงทุน(เจ้าของเงิน)ก็ Happy ส่วน Buffet เองก็ Happy เช่นกัน
ทั้งสองเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ที่แสดงให้เห็นได้ว่า "อะไรคือการทำเงิน" "และอะไรคือ OPM "การทำเงินมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คนทั่วไปคิด --ซึ่งหากคุณเข้าใจ คุณก็อยู่ไม่ไกลจาก Bill Gates และ Warren Buffet แล้วล่ะ !!
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
"ใครว่าเป็นนักธุรกิจยาก ..หากเทียบนักกีฬา เกมธุรกิจเล่นง่ายกว่าเยอะ -- เล่นแล้วรวยอีก!!" ..คิดดูนะ ถ้าเราเล่นกีฬาอะไรก็ต...
-
หลายคนสงสัยว่า ตลาดหุ้นผันผวนสุดๆ ทำไมนักลงทุนระยะยาวถึงแทบไม่เคยดูราคาหุ้นขึ้นลงรายวันเลย ? "บ้าหรือ เงินแกว่งขึ้นลงเป็น แสน เป...
-
‘หุ้นไทย’ ไม่มีอนาคตแล้วจริงหรือ ? 1. ’ขาขึ้นรอบใหม่ มักเริ่มเวลาที่ทุกคนสิ้นหวัง’ …ก็ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ซื้อหุ้นต้นรอบ 2. ’ไทยม...
-
7 ข้อ หุ้นก่อนดี มันซ่อนอยู่ตรงไหนกัน ? ซื้อหุ้นก่อนดี คือ ซื้อตอนที่มันยังไม่ดี พอมันดีเราก็รวยแล้ว 1. ‘เป็นหุ้นที่อยู่ในจุดที่โตได้‘ …จุ...
-
6 กลโกง ในตลาดหุ้นที่ใช้หลอกคนมีความรู้แบบง่ายๆ เวลาเสียเงินเองนี่ก็ว่าหนักแล้ว …แต่ถ้าโดนหลอกนี่มักจะหนักกว่า ’เพราะ ความโลภ + เชื่อใจ’ ใ...
-
เข้าใจกลไกเศรษฐกิจที่ซับซ้อน แบบง่ายๆ ใน 6 ข้อ 1. ‘เงินเฟ้อ คือ ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในระบบทุนนิยม‘ …เงินเฟ้อแปลว่า เงินที่เราหาได้เก็บสะส...
-
Real Estate Agent ในเมืองไทยคงไม่ค่อยมีคนรู้จัก เพราะส่วนใหญ่ ซื้อขาย ไม่ค่อยผ่าน Agent แต่ในต่างประเทศ Real estate Agent เปิดกันยิ่งกว่า 7-...
-
7 เรื่องเงิน ที่เปลี่ยนแปลง ตามโลกยุคใหม่ 1. ’เงินใช้แก้ปัญหาได้ง่ายและถูกที่สุด’ …ปัญหาต่างๆ จะง่ายขึ้น ถ้าใช้เงินแก้ (พูดโคตรแรง!!) 2. ‘...
-
ในหนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ ...มีอยู่บทนึงที่พูดถึง การหาตัวตนของเราให้เหมาะกับงาน ...ซึ่งก็คือ การรู้ว่า "จริตการทำงาน" ขอ...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
อีกประเด็นเกี่ยวกับ "จับเสือมือเปล่า" ที่ผมสนใจ คือการทำธุรกิจเครือข่าย กับบริษัทที่ดี ถูกกฎหมาย ซึ่งในประเทศไทย ก็ได้รับการพิสูจน์จากหลายๆ บริษัทแล้วว่า "ทำได้จริง" เรื่องประเด็นของธุรกิจเครือข่าย ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มโปรดของผมเล่มหนึ่งคือ "Secrets of the Millionaire Mind" โดย T. Harv Eker ผมอ่านในฉบับแปลไทย "ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน" ของสำนักพิมพ์ WeLEARN หนังสือเล่มนี้ได้เปิดโลกทรรศน์ของผมมากมายเกี่ยวกับเรื่องการเงิน และผมจะต้องเป็น generation ที่ 1 ของตระกูลให้ได้
ตอบลบ