แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คนส่วนใหญ่คิดว่าการทำงานคือการทำเงิน ซึ่งจริงๆแล้วมันคนละเรื่องกันเลย(จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่รวย)


ความเข้าใจเรื่องงานกับเงิน หลายๆคนเอาไปปนเปกัน คิดว่า ยิ่งทำงานมาก ยิ่งทำงานหนักจะได้เงินมากตาม แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย

ในเรื่องของการทำงานแม้จะได้เงินเป็นผลตอบแทน แต่สังเกตไหมครับว่า มันไม่ได้มากมายอะไร ยิ่งคุณทำงานที่คล้ายๆกับคนเยอะๆ เช่น ทำราชการ วันก่อนรัฐบาลประกาศจะขึ้นเงินเดือน แต่ปรากฏของกินของขายต่างๆ ดันปรับขึ้นไปก่อนขึ้นเงินเดือนเสียอีก "เท่ากับกับว่า การขึ้นเงินเดือนของรัฐบาล ไม่ได้ทำให้ ข้าราชการรวยขึ้น แต่มันเป็นการลดค่าเงินลงต่างหาก"

ในส่วนของการทำงานในภาคเอกชน ก็ใช่ว่าคุณจะได้เงินมาก "หากคุณไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงจริงๆ ..เงินเดือนก็ยังคงต่ำอยู่ดี" ทั้งนี้เนื่องจาก เอกชนเองก็ต้องมีการแข่งขันกับคู่แข่ง ซึ่งถ้าเขาให้เงินเดือนมาก ก็อาจจะมีต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้น การทำงานโดยเฉพาะการที่เป็นลูกจ้าง มันเกือบจะการันตี รายได้อยู่แล้วว่าไม่อาจที่จะสูงมาก ..ทั้งนี้เพราะลูกจ้างอยู่ตรงข้ามกับเถ้าแก่ --"เถ้าแก่ต้องการจ่ายน้อยๆ แต่ลูกจ้างต้องการให้จ่ายมาก --(ผมถามหน่อยแล้วใครจะชนะ!!)"

หลายคนบอกว่างั้นการศึกษาสูงจะช่วยให้รายได้ดีขึ้น อันนี้นี้ถูกต้อง แต่แค่บางส่วนนะ!! หรือ หลายๆคนก็บอกงั้นเป็นผู้ประกอบการซิ จะได้เป็นเถ้าแก่เสียเอง แต่ถ้าดูจากสถิติ การทำธุรกิจเองมีโอกาสเสียมากกว่าได้ เพราะธุรกิจส่วนใหญ่มันตายไปก่อนที่จะโตเสียด้วยซ้ำ

ถึงจุดนี้ผมว่าหลายๆคนคงเริ่มคิดท้อแท้แล้ว ว่ามันไม่เห็นมีวิธีไหนที่จะทำงานให้รวยเลย "แต่มันมีครับ" มันก็คือ(มุ่งไปที่ประเด็น การทำเงินเลย) ..การทำเงินมีหลายวิธี ดังนี้
1. ทำเงินโดยใช้ เงินต่อเงิน คือ ไปเอาเงินมาลงทุน (โอกาสที่จะเจ๊งสูงมากตามสถิติ อีกเช่นเคย) หลายคนที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะ ก็จะโชคดี ที่สามารถหาทุนมาได้ง่าย หรือ อย่างในกรณีมีเงินแล้วอยากลงทุน อย่างเคสของดารานี่ก็ใช่ เนื่องจากได้ค่าตัวแสดงสูงก็เอาเงินนั้นมาทำธุรกิจต่อ ..ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า มันเป็นการทำเงินโดยเริ่มต้นจากทุน (เหมือนเอาเงินมาทุ่ม) ดังนั้น ไอเดียมันจึง ไม่บรรเจิด โอกาสสำเร็จเลยน้อย
2. ทำเงินจากไอเดีย (วิธีนี้แหละใช่เลย)ไม่ว่าคุณอยู่ในสาขาอาชีพใด การเริ่มต้นจากความคิดมันย่อมมีความเสี่ยงต่ำ แต่ประเด็นมันคือ (ยังไงทำกิจการก็ต้องใช้เงินอยู่ดี) ..ดังนั้น คนที่สามารถไปเอาเงินคนอื่นมาลงทุน OPM(Other Prople Money)ได้สำเร็จ มันก็เสมือนว่า คุณ"จับเสือมือเปล่า" และนี่และการทำเงินที่แท้จริง

ผมจะยกตัวอย่างที่คนที่(ทำเงิน) ที่ใครๆก็รู้จัก Bill Gates นั่นเอง ..ระหว่างที่เขายังเรียนอยู่ ปรากฏว่า IBM เริ่มมีการผลิต Personal Computer ซึ่งเวลานั้น Bill Gates กลัวตัวเองจะตกยุค จึงเข้าไปหาบริษัท IBM และเสนอตัวเป็นผู้เขียน Software OS(Operating System)ให้โดยมีข้อแม้แปลกๆคือเขาจะขอค่าลิขสิทธิ์เป็นรายเครื่อง (ซึ่งในเวลานั้น Software เป็นของฟรี ก็ทำให้ IBM ค่อนข้างแปลกใจว่า ทำไม Bill Gates เสนอเงื่อนไขอย่างนั้น "แต่ IBM ก็ตกลง") --ซึ่งตอนที่ตกลงนั้น จริงๆนาย Bill Gates ยังไม่สามารถทำ OS(Operatin System) ได้เองด้วยซ้ำ เพียงแต่เขารู้ว่ามีบริษัทเล็กๆแห่งนึงที่ทำได้ ...สิ่งที่ Bill Gates ทำ ก็คือเอาสัญญากับ IBM ไปค้ำประกันเงินกู้ธนาคาร แล้วก็เอาเงินมาซื้อบริษัทเล็กๆที่ผลิต OS ได้ (ในมุมของเจ้าของธุรกิจเขาก็ได้เงินจากการขายกิจการ แต่หารู้ไม่ว่ากิจการที่เขาขายไปนั้น มันได้ทำให้ Bill Gates ขึ้นมารวยที่สุดในโลกในเวลาต่อมา)

อีกคนที่จับเสือมือเปล่า ก็ Warren Buffet นี่แหละ เขาจัดตั้งกองทุนบริหารเงินของเขาโดยใช้เงินตัวเองเพียงน้อยนิด สาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นนักลงทุนที่รวยที่สุดนั้น มาจากส่วนแบ่งกำไรจากกองทุน ซึ่งประมาณ 20% ของกำไร (ซึ่งในแง่ของนักลงทุน แม้ Buffet จะคิดค่าบริหารเป็นส่วนแบ่งกำไร แต่ที่เหลือ ผลกำไรอีก 80% ที่เจ้าของเงินได้รับ มันก็ยังคงดี กว่ากองทุนอื่นๆ พันธบัตร หรือเงินฝากใดๆในโลก) จุดนี้ผมมองว่ามัน Win-Win คือนักลงทุน(เจ้าของเงิน)ก็ Happy ส่วน Buffet เองก็ Happy เช่นกัน

ทั้งสองเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ที่แสดงให้เห็นได้ว่า "อะไรคือการทำเงิน" "และอะไรคือ OPM "การทำเงินมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คนทั่วไปคิด --ซึ่งหากคุณเข้าใจ คุณก็อยู่ไม่ไกลจาก Bill Gates และ Warren Buffet แล้วล่ะ !!

1 ความคิดเห็น:

  1. อีกประเด็นเกี่ยวกับ "จับเสือมือเปล่า" ที่ผมสนใจ คือการทำธุรกิจเครือข่าย กับบริษัทที่ดี ถูกกฎหมาย ซึ่งในประเทศไทย ก็ได้รับการพิสูจน์จากหลายๆ บริษัทแล้วว่า "ทำได้จริง" เรื่องประเด็นของธุรกิจเครือข่าย ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มโปรดของผมเล่มหนึ่งคือ "Secrets of the Millionaire Mind" โดย T. Harv Eker ผมอ่านในฉบับแปลไทย "ถอดรหัสลับ สมองเงินล้าน" ของสำนักพิมพ์ WeLEARN หนังสือเล่มนี้ได้เปิดโลกทรรศน์ของผมมากมายเกี่ยวกับเรื่องการเงิน และผมจะต้องเป็น generation ที่ 1 ของตระกูลให้ได้

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ