วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงจากความล้มเหลว และหาประสบการณ์ที่กินได้แทน
หลายคนถามผมว่า จะทำอย่างไรถึงจะหลีกเลี่ยงจากความล้มเหลวได้ ..จุดนี้ผมกลับมองว่า มันเป็นความคิดที่ผิดธรรมชาติอย่างมาก --ซึ่งโดยธรรมชาติของมนุษย์ เราก็ได้ชื่อว่าเป็น เผ่าพันธุ์ที่พยายามฝืนหรือต่อสู้กับมันอยู่แล้ว (ธรรมชาติจึงลงโทษเรา!!)
..หากเราพยายามศึกษาจากคนที่ประสบความสำเร็จหรือผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย คนเหล่านี้จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “คนที่ไม่เคยผิดพลาดหรือล้มเหลว ก็คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย” ซึ่งตัวผมเอง ก็ถือได้ว่า สัมผัสกับสิ่งนี้โดยตรง..การที่ผมเกิดในครอบครัวที่มีเงิน มันจึงเป็นอะไรที่ยากมาก ที่ผมจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตจริง โดย ปราศจากพ่อแม่คอยช่วยเหลือ (จุดนี้หลายๆคนอาจมองว่า “คุณบ้าไปแล้วหรือ” การมีพ่อแม่คอยช่วยเหลือมันไม่ดีอย่างไร!!)
สิ่งที่ผมทำก็คือ การมุ่งตรงไปสู่การเรียนรู้ โดยการสร้างกิจการของตัวเองในต่างประเทศ แน่นอนสิ่งที่ได้รับมันกลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน ..การที่ผมไปอยู่ต่างประเทศ ก็เท่ากับว่า ผมเป็น Second Class Citizen ย่อมต้องโดนดูถูก และพบอุปสรรคมากกว่าธรรรมดา
…ดังนั้น ไม่แปลกซึ่งถ้าเราเห็นใครที่สามารถไปทำกิจการ แล้วสำเร็จในต่างประเทศ คนๆนั้นย่อมมีอะไรที่ไม่ธรรมดา (คือ “มันบ้านั่นเอง”…หุ หุ) แต่จุดนี้ ผมไม่ได้มองว่า มันเป็นสิ่งที่เลวร้าย เพราะ แต่ละคนก็ย่อมมี เป้าหมายและข้อจำกัดที่ต่างกัน
บางคนไปต่างประเทศเพราะสถานการณ์บีบบังคับ (ผมไม่ได้พูดถึงคุณทักษิณนะ อย่ามาเตะผม!!) หรือ บางคนก็ไปด้วยการอยากลองของ --ผมนี่ก็คือ ประเภทหลัง ซึ่งก็ได้ไป(เปิดและปิด)กิจการมากมาย
..หากถามว่า ผมได้อะไรจากการทำเช่นนั้น “ผมก็คงบอกได้อย่างเดียวว่า ได้ประสบการณ์” ถึงจุดนี้หลายคนคงนึกขำว่า “โถ!! ประสบการณ์แล้วมันแดกเข้าไปได้ไหมเล่า --(เอ้า!!อย่างนี้ กวนกันนี่หว่า !! …หุ หุ)
พูดถึง “ประสบการณ์ที่กินได้” หลายคนอาจนึกว่า Starbucks เพราะมัน หอมอบอวนจริงๆ (แต่ไม่ใช่!!) --ประสบการณ์ที่กินได้ก็คือ ความผิดพลาดที่คุณสั่งสม จนทำให้ ครั้งต่อไป คุณเก่งขึ้นจนสามารถทำมาหากินได้(ตรงๆอย่างนี้แหละ) ..อย่างนี้ก็แปลว่า ทุกคนต้องผิดพลาดอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงจะเก่ง “อันนี้ถูกต้องเลย” เพราะคนเราไม่เคยเจ็บแล้วจำจากประสบการณ์คนอื่น ดังนั้น หนทางเดียวที่จะเจ็บแล้วจำก็คือ ประสบการณ์เราเอง (เพราะถ้าไม่เจ็บมันก็ไม่เคยจำ)
แล้ว “ไอ้เจ็บแล้วจำคือคน ส่วนเจ็บแล้วทนคือควาย มันคืออะไรล่ะ” ---มันแปลอยู่ตรงตัวอยู่แล้วนะผมว่า!! ..จริงๆถ้ามองให้ลึก มนุษย์จะแตกต่างกัน ก็ตรงประสบการณ์นี่แหละ เพราะถ้าวัดกันจริงๆ ความเก่งของแต่ละคนมันไม่น่าจะเฉือนกันมากเท่าไหร่ (เพราะเดี๋ยวนี้ ใครๆก็เรียนเยอะ ฟังเยอะ อ่านหนังสือเยอะด้วยกันทั้งนั้น) ดังนั้น วิธีการที่จะเก่งกว่าคนอื่น มันจึงเป็นการ “ไปเจ็บตัวนั่นเอง”
การเจ็บตัว จริงๆมันมีหลายแบบนะ ..(ไอ้แบบกวนบาทา อันนี้ไม่แนะนำ เพราะอาจไม่เจ็บธรรมดา อาจเข้าโรงพยาบาล แถมได้ประสบการณ์ แบบที่มันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อีกต่างหาก) --การเจ็บตัวที่เกิดประโยชน์ ก็คือ การที่เราลองผิดลองถูกใน ความรู้และความคิด และลองทำแบบเบาๆเบาะๆ โดยที่เราจำกัดความเสี่ยง เช่น เรื่องการลงทุน (การที่จะเรียนรู้ มีทางเดียว คือต้องเอาเงินคุณจริงๆไปลงเล่น) มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะอ่านหนังสือของ Warren Buffet แล้วคุณจะคิดว่า “ตอนนี้เราเก่งเท่า Buffet แล้ว” (ตลกจริงๆ --แต่แปลกไหมที่คนส่วนใหญ่กลับคิดอย่างนั้น!!)
ประเด็นต่างๆเหล่านี้มันได้กลายเป็น “ปัญหาโลกแตกไปเสียแล้ว” ..กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนพยายามวิ่งหนีความล้มเหลว ทั้งๆที่ในความเป็นจริง “ความล้มเหลวมันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ” …ไม่มีใครหรอกครับที่สามารถหลีกเลี่ยงความล้มเหลวได้ แม้คุณจะบอกว่า “ผมจะไม่ทำอะไรเลย” มันก็เท่ากับว่า ชีวิตของคุณมันล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้ทำอะไรเสียด้วยซ้ำ
ยุคนี้ผมเห็นพ่อแม่หลายๆคนพยายาม ป้องกันทุกวิถีทางให้ลูกพ้นจากปัญหาต่างๆ จุดนี้ผมมองว่ามันเป็นดาบสองคม และมันก็เป็น หนึ่งในสาเหตุที่ลดภูมิต้านทานในชีวิต ..เราจะเห็นประเทศยิ่งพัฒนาไปมากเท่าไหร่ อย่างญี่ปุ่น กลับมีสถิติการฆ่าตัวตายสูงขึ้นเรื่อยๆ ---หากนึกให้ดี ยิ่งประเทศพัฒนา การแข่งขันและความรีบเร่ง กลับเข้ามาบดบัง การมองคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต
ชีวิตมันก็ไม่ได้ต่างจากการสร้างหนัง สักเรื่อง--- ซึ่งแน่นอน หากหนังมันเรียบๆเป็นเส้นตรง ไร้ข้อผิดพลาด มันคงจะเป็นหนังที่น่าเบื่อพิลิก เพราะแม้แต่(เป็นพระ)ก็ใช่ว่าจะต้องราบเรียบรอนิพานเท่านั้น หากแต่การสร้างประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ กลับกลายเป็นสิ่งที่สนุกสำหรับพระ ที่หลายคนมองว่า เป็นชีวิตที่ราบเรียบ
อ่านถึงตรงนี้หลายคนคง งง ว่า (ผมพยายามสื่ออะไร มันวกไปวนมา) เอาเป็นว่า สรุปเลยละกัน ว่า ไม่มีใครหลีกหนีความล้มเหลวได้ เพราะความล้มเหลวมันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ดังนั้น การพุ่งเป้าสู่ความล้มเหลว จึงเป็นทางที่สดใส กว่าการหลีกเลี่ยงมัน --เพราะยิ่งคุณพลาดเท่าไหร่ ความเก่งและภูมิต้านทานของชีวิตมันก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น และสิ่งนี้เอง ที่จะเติมเต็มและสร้างให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ (ชิวิตที่สำเร็จบริบูรณ์ จึงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึง เพราะเขาเหล่านั้น เดินไปผิดทางนั่นเอง… “ดังนั้น คุณเริ่มย้อนกลับเลย !!-- ไม่ต้องกลัวคนอื่นจะหาว่าบ้า เพราะอย่างน้อย คุณก็ยังมีผมที่เดินทางนี้เป็นเพื่อนคุณ!!”
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
เมื่อวันก่อน ผมได้มีโอกาสไปออกรายการวิทยุ Business Line & Life ของคุณม่อน .. มีคนสัมภาษณ์ผมเป็น คนหนุ่มรุ่นใหม่ ทายาทกลุ่ม ธุรกิ...
-
6 ข้อ ปฏิบัติของการเป็น ’นักลงทุนแบบทางสายกลาง’ หลังจากผมลงทุนมานานพอสมควรก็พบว่า ’ทางสายกลาง‘ คือ หลักปฏิบัติที่สำคัญที่ทำให้เราประสบความ...
-
ท่านธนินท์มักกล่าวในงานสัมมนาต่างๆ ถึงแนวคิด "สองสูง" ของท่าน -- ซึ่งสูงแรกก็คือ ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และสูงที่สอง คือขึ้นราคาพื...
-
5 ข้อควรรู้ ‘การคิดเผื่อคนอื่น‘ ทำไมทำให้เราเป็นนักลงทุนที่มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น 1. ’คน Gen ก่อน โดยรวมรวยกว่าคน Gen ใหม่ เพราะ เขาคิดสร้างใ...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
6 ข้อ หลักคิดที่ทำให้เราไม่สามารถซื้อหุ้นในจุดที่ราคาถูกที่สุด และ ขายหุ้นในเวลาที่แพงที่สุด 1. ‘หุ้นไม่มีจุดต่ำสุด‘ …หลายคนคิดว่า ซื้อหุ้น...
-
AEC ย่อมาจาก ( ASEAN Economic Community ) ..ประเด็นที่น่าสนใจคือ เมื่อ ASEAN รวมตัวกันได้ ก็จะทำให้เกิด Win-Win นั่นก็คือ ภาพรวมเศรษฐกิจในปร...
-
"QE2" ตอนนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก เนื่องจากลึกๆแล้ว หัวใจของนโยบายนี้ก็คือ "การเปลี่ยนเงินดอลล่าห์ให้เป็นแบงค์กงเต๊...
-
ตอนนี้แนวทางที่พิสูจน์ตัวเอง ได้สวยในระยะยาวก็เห็นจะเป็นแนว Value Investor (จริงๆแนวอื่นก็สวย แต่เผอิญนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก คือ Warren B...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ก็คงเหมือนกับเด็กน้อยที่ฝึกเดินแล้วก็ล้ม พยายามเดินแล้วก็ล้ม จนสุดท้ายเดินได้ แล้วก็วิ้่งได้ในที่สุด......ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นค้าบบ..
ตอบลบ