ผมนั่งจับกระแส ตลาด Double Dip มาตั้งแต่ต้นปีแล้ว ที่ใครๆก็มองว่า Europe น่าจะเป็น"จุด Tipping point ของ crash รอบสอง" แต่สำหรับผม.. ผมมองว่า มันแค่ Correction เท่านั้น เพราะปีที่แล้วขึ้นมาแรงตลอด ปีนี้จะปรับฐานบ้างก็ไม่มีอะไรน่าแปลก ..ผมเห็นบทความใน Google Finance ที่พูดถึง ว่า "จุดนี้จะเป็น จุดเพื่อขึ้น หรือ จุดเพื่อลง" (มันไร้สาระสิ้นดี..) ถ้าตลาดมัน จะ Crash มันไม่ส่งสัญญาณ ให้คุณเตรียมตัวก่อนหรอกครับ "โอ๊ะ!!! ตอนนี้ตลาดกำลังจะ Crash แล้ว (รีบออก)..(รีบออก)" ขำมากกว่า!!!.. อย่างรอบที่ Crash ล่าสุดปี 2551 ปลายปี "ไม่มีเห็นมีใครมาเตือนเลย ส่วนใหญ่บอกมันจะขึ้นต่อด้วยซ้ำ"
คือ ที่ผมจะบอกคือ "ถ้าตลาดมันจะ Crash ยิ่งแรง ยิ่งไม่มีสัญญาณเตือน" ดังนั้น ถ้ามีสัญญาณเตือนเยอะๆ "อย่างกรณียุโรป"นี้ อย่างมากก็แค่ ปรับฐาน (แต่เผอิญช่วงนี้ ปัญหามันรุมเร้ารอบด้าน ก็เลยปรับแรงสักหน่อย ) ประเด็นคือ คุณ "ควรจะรู้ว่า มันปรับเพื่อลง หรือ ปรับเพื่อขึ้น" ..."แน่นอนปรับเพื่อขึ้น (ดังนั้นฟันธง ถ้าตก เราเก็บ ..ตกแรง เก็บ ..เก็บ ไปเรื่อยๆ..)
หลายคนคงสงสัยว่า "ให้เก็บ" แล้วจะขายเมื่อไหร่ ---"ก็ขายเมื่อเหตุการณ์มันดีแล้วซิครับ" อาจจะอีก 2 -3 ปี ระหว่างนี้ก็รับปันผลไปเรื่อยๆ (ดังนั้น หุ้นช่วงนี้ เหมาะกับคนที่มีเงินและคิดจะซื้อพันธบัตร เงินยิ่งนอนยิ่งเยี่ยมยอด นั่นเอง) ..
ในภาพใหญ่ ตลาดหุ้นบ้านเราตั้งแต่ปี 2540 ยังไม่กลับมา "คึกคัก" อีกเลย .."นี่ปาเข้าไป 12 ปี แล้วตลาดยังไม่กลับไปใกล้ New High เดิมเลย"..ไม่มีอะไรหรอกครับ ที่ลงตลอดกาล (ผมมองบ้านเราเหมือน อเมริกาปี 1930 ที่ตลาดแตะ peak แล้วกลับมาซบเซาอยู่นาน ใช้เวลา 20 กว่าปีกว่าจะกลับมาที่ Peak เดิม ---แต่หลังจากแตะ Peak เดิม คุณดูซิครับว่า ตลาดวิ่งไปอีกกี่เท่า จักกี่เท่า !!!.."และนั่นคือช่วงเวลาที่สร้าง The Legend "Warren Buffet"
บ้านเราตกมาแล้ว 12 ปี จะอีกกี่ปีดี เราจะถึงช่วงเวลา The Making of Warren Buffet เมืองไทยบ้างน๊า..... มาลุ้นกัน !!!
บังเอิญผ่านมาเจอบทความของคุณ Pawawit น่าสนใจดีค่ะ
ตอบลบขอบคุณที่นำแนวคิดดีๆ มาเผยแพร่ ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้คนที่ได้มาอ่าน
ได้รับประโยชน์มากมาย ถ้ามีโอกาสจะแวะเข้ามาอ่านอีกนะคะ ^^