แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประเทศไหนที่มี "คนออมมากๆ" ราคาหุ้นและราคาบ้านกลับถูก (ทำไมล่ะ)


Saving Rate หรือ อัตราการออมของประชาชนบอกอะไรเรา ..หากเราดูอัตรา Saving Rate ของประเทศต่างๆ คือ อเมริกา 3.9% / ญี่ปุ่น 2.8% / Australia 2.5% / Britain 7% / Germany 11.7% / China 38% / India 34.7%..จากตัวเลขเห็นเลยว่า จีนกับอินเดียกลายเป็นประเทศที่มีการออมสูงที่สุด ส่วนอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งเป็น The Most Advance Economy กลับมีอัตราการออมของประชาชนที่ต่ำสุดๆ

มองย้อนไปปีที่ผ่านมา อเมริกาเดิมมี Saving Rate แค่ 1.7% แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาเป็น 3.9%(ขนาดเจอวิกฤต คนอเมริกันก็ยังมีอัตราการออมที่ยังคงต่ำอยู่) สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจาก ประเทศที่พัฒนามากๆ คนจะออมในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่เงินสด อย่างในอเมริกา จะอยู่ในรูปของ อสังหาริมทรัพย์มากที่สุด (เนื่องจากก่อนหน้านี้ความเชื่อที่ว่า บ้านเป็นการลงทุนที่ ดีที่สุด"ราคาบ้านไม่มีวันตก"--แต่ในที่สุด ความเชื่อนั้นก็พังทลายลงในปี 2008 พังไปพร้อมๆกับ Lehman Brother นั่นเอง

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ประเทศที่มีเศรษฐกิจพัฒนามากๆ คนจะมุ่งเข้าถือ Asset เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (เพราะคนในประเทศพัฒนาย่อมมองว่า Asset จะเพิ่มมูลค่า ในขณะที่เงินสดจะมีค่าลดลงเรื่อยๆ "มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง..แล้วอะไรคือปัญหาล่ะ!!")

ปัญหาหลักของ การที่ Idea นี้ถูก(สั่นคลอน) เนื่องจาก "คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามันจะเป็นจริง--ซึ่งการที่ Saving Rate ของคนทั้งประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลานับสิบปี นั่นหมายถึงคนส่วนใหญ่ จะทิ้งเงินสดเพื่อไปถือ Asset แทน" แต่เนื่องด้วย Asset มีจำนวนจำกัด --จึงส่งผลให้ราคา Asset พุ่งขึ้นตลอด อย่างต่อเนื่องยาวนาน (นำโด่งด้วย ราคาบ้าน ที่พุ่งสุดๆ เรียกได้ว่า บ้านในอเมริกาทำสถิติราคาทบต้นทุกๆ 7 ปี อย่างต่อเนื่อง)

ผลที่ตามมาคือ การเกิด Bubble ในราคาบ้านและก็ Asset ต่างๆรวมทั้งตลาดหุ้น ...ถ้าหันกลับมามองประเทศในเอเชียอย่าง จีน ,อินเดีย (รวมทั้งไทย) มี Saving Rate ที่สูง เพราะ"ความไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจและรัฐบาล"จึงส่งผลให้คนนิยมที่จะถือเงินสด มากกว่าการถือ Asset

ซึ่งหากเราวิเคราะห์ให้ดี "มันเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า (ในประเทศที่มี Saving Rate สูง ราคา Asset จะถูกกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งตอนนี้ไม่ว่า จีน อินเดีย ไทย ..) --ส่วนอีกด้านคือ (ในประเทศที่มี Saving Rate ต่ำ ย่อมแสดงว่าราคา Asset ในประเทศนั้นน่าจะ Bubble นั่นเอง)..

6 ความคิดเห็น:

  1. จะเห็นได้ว่าประเทศที่พัฒนาแล้วคนในประเทศมีความรู้ในการลงทุนอย่างอื่นที่ไม่ใช่แค่การออมเงิน แต่ในประเทศที่ยังไม่พัฒนาคนส่วนใหญ่ในประเทศขาดความรู้ ไม่ทราบว่าจะลงทุนอย่างไรนอกเหนือจากการฝากเงิน ซึ่งได้ดอกเบี้ยต่ำมาก (จิงไหมค่ะ)

    ตอบลบ
  2. มี Saving Rate ที่สูง เพราะ"ความไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจและรัฐบาล"จึงส่งผลให้คนนิยมที่จะถือเงินสด มากกว่าการถือ Asset

    ช่วยอธิบายตรงนี้เพิ่มเติมได้ไมครับ ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  3. คือในประเทศด้อยพัฒนาคนจะกลัวไม่มีเงิน(เพราะในยามแก่รัฐบาลไม่เลี้ยง)จึงเก็บเงินสดเป็นส่วนใหญ่ "ทำให้ราคา Asset ในประเทศนั้นๆ ไม่แพง"
    ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้ว มี Social Security ที่แข็งแกร่งเช่น อเมริกา ยุโรป --คนจะเอาเงินมาลงทุนแทนที่จะเก็บไว้แต่เงินสด (เมื่อทุกคนคิดเหมือนกัน เช่น อยากซื้อบ้านเหมือนกัน ราคาบ้านก็จะพุ่ง (ทำให้เกิด Bubble คือ บ้านราคาแพงเกินไป) ...ครับ

    ตอบลบ
  4. อ้อ ความรู้ใหม่ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณมากครับ อยากจะถามเพิ่มเติมว่า มันก็น่าจะเกิดควบคู่กันไปกับ Social Behavior ด้วย เนื่องจาก คนจีนก่อนจะลงทุน ต้องมีเงินทุนก่อน ไม่ใช่ไปกู้มาลงทุน จริงหรือเปล่าครับ ขอโทษที่รบกวนครับ ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  6. ผมว่าการออมของประเทศไม่ใช่การฝากเงินกับธนาคารอย่างเดียว ปัจจุบันเรามีกองทุนเช่น กบข กองทุนประกันสังคม RMF LTF etc..ที่มีมูลค่าเงินลงทุนรวมกันมากกว่า 7-800000
    ล้านบาทแล้ว ประเทศเราไม่ใช่ประเทศที่มีการออมต่ำอีกต่อไปแล้ว

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ