แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จีนอาจไม่ได้เดินตามรอยญี่ปุ่นอย่างที่หลายคนคิด!!


หากย้อนไปดูปี 1980 ยุคนั้นเป็นช่วงที่ ญี่ปุ่น เคยรุ่งแบบจีนในตอนนี้ --"สมัยนั้นใครๆก็มองว่า ญี่ปุ่นกำลังจะครองโลก ...การเติบโตของญี่ปุ่นในเวลานั้น ก็มีจุดเริ่มต้นไม่ต่างจากจีน คือ การผลิตของราคาถูก เนื่องจากแรงงานต่ำ จากนั้นญี่ปุ่นก็รวยขึ้นเรื่อยๆ --จนในที่สุด ณี่ปุ่น Boom เต็มที่ในปี 1990 (ช่วงนั้นเศรษฐีญี่ปุ่น เข้าไปซื้อสินทรัพย์และกิจการมากมายในอเมริกา แต่หลังจากนั้นไม่นานญี่ปุ่นก็เริ่มฝันสลาย เพราะญี่ปุ่นได้เข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ จนแล้วจนเล่า ญี่ปุ่นก็ไม่เคยกลับไปที่จุดรุ่งโรจน์จุดเดิมอีกเลย

สินทรัพย์และกิจการต่างๆ ที่ญี่ปุ่นเคยเข้าไปซื้อในอเมริกา ก็ค่อยๆทยอยขายคืน "แบบว่าซื้อมาสิบบาท ขายคืนสามบาท อะไรประมาณนั้น(ขาดทุนเละเทะ!!) ..ถ้ามองจีนในปัจจุบัน ตอนนี้บริษัทจีนหลายๆบริษัท กำลังเข้าไปเขมือบ กิจการและสินทรัพย์มากมายในอเมริกาเช่นกัน เช่น Lenovo ที่เข้าไปซื้อ IBM (think pad ธุรกิจผลิต Computer ของ IBM) หรืออย่าง Geely รถยนต์โนเนมของจีนที่เข้าไปซื้อ Volvo

คำถามที่เกิดขึ้นคือ "จีนกำลังย้อนรอยญี่ปุ่นหรือเปล่า" ผมว่าจุดนี้เป็นประเด็นที่น่าศึกษามาก ..ถ้าย้อนมาดูที่ญี่ปุ่น ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นเศรษฐกิจย่ำแย่ ตกต่ำทั้งราคาหุ้น และ Real estate ..ปัญหาภายในของประเทศไม่ได้รับการแก้ไข สถาบันการเงินถูกอุ้ม และสร้างปัญหาที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศชะงัก ดังนั้น ทางเดียวที่จะสามารถผยุงญี่ปุ่นเอาไว้ก็คือ การส่งออก แต่เนื่องด้วย "ค่าเงิน ที่แข็งขึ้นเรื่อยๆ" ก็เป็นการบังคับให้ญี่ปุ่นต้องย้ายฐานการผลิตสู่เอเชีย เพื่อไปสู่ต้นทุนที่ต่ำกว่า

วันนี้จีนเกิดปัญหาทั้ง Bubble ในหุ้น และ Real Estate เช่นกัน ..แต่สิ่งที่ต่างคือ จีนมีรัฐบาลที่เผด็จการ ทำให้ยังสามารถประคับประคองเศรษฐกิจเอาไว้ได้ ตอนนี้จีนเร่งการลงทุน Infrastructure อย่างมหาศาล เพื่อระบายผลผลิตที่ล้นตลาด เช่น เหล็ก เอาไปสร้างถนน สร้างสะพาน ..กระตุ้นให้เกิดการจ้างแรงงานในการก่อสร้าง --อีกประเด็นสำคัญที่ต่างคือ จีนเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างมากมาย ซึ่งจุดนี้ต่างกับญี่ปุ่นที่มีต่างชาติเข้าไปลงทุนน้อย

ประเด็นเรื่องการลงทุนของต่างชาตินี่เอง ที่ผมมองว่า จีน เดินนโบบายค่อนข้างฉลาด เพราะการชี้ให้ต่างชาติเห็นถึง อนาคตของเงิน"หยวน"ที่มีทิศทางแข็งสวนทางกับ ดอลล่าห์ ย่อมทำให้นักลงทุนอยากพักเงินที่หยวนมากกว่า ซึ่งจุดนี้ผนวกกับโอกาสการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน จึงไม่แปลกที่เงินทุนมหาศาลจากทั่วโลกไหลเข้าจีน -- หากวันนี้จีนเลือกที่จะ ทำให้หยวนแข็งขึ้น มันย่อมทำให้ สินทรัพย์ของจีนมีราคาสูงขึ้นไปอีก (ไม่ดีอย่างแน่นอน กับ Asset ที่กำลัง Bubble อยู่..ดังนั้นการที่จีนประกาศจะทำให้ หยวนแข็งขึ้น ผมมองว่า น่าจะเป็นไปอย่างช้ามากๆ)

ดังนั้น การที่จีนเร่งซื้อกิจการของอเมริกาในวันนี้ กลับทำให้ผมมองว่า มันเป็นแนวทางที่ฉลาดเอามากๆ เพราะมันหมายถึง การนำเงินของต่างชาติ(ที่เทเข้าในจีน) กลับไปซื้อกิจการของต่างชาติ และท้ายสุดก็นำเทคโนโลยีที่สำคัญกลับมาสู่จีนในที่สุด --ก้าวต่อไปของจีน ก็ไม่ต่างกับญี่ปุ่น ที่กำลังขยายการลงทุนในเอเชียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการวาง Infrastructure ของจีนเข้าสู่ เอเชีย มันหมายถึงการมองระยะยาว ที่จีนต้องการผนึกให้เอเชียเป็นฐานกำลังเพื่อใช้ต่อกรกับอเมริกาในอนาคต

จีนในวันนี้จึงไม่ธรรมดา เพราะจีนได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดของญี่ปุ่นเอามาปรับใช้ ผนวกกับการมีรัฐบาลเผด็จการแบบทุนนิยม(ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า เป็นนโยบายที่เหมาะกับเอเชียที่สุด ทั้งนี้เพราะประเทศที่ใช้ เผด็จการทุนนิยม ก็คือ สิงค์โปร์ และ มาเลเซีย--สองประเทศที่สำเร็จที่สุดใน South east Asia นั่นเอง)..การลงทุนของคุณในวันนี้ จึงมองข้ามปัจจัยจีนไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าการที่เขาอยากมาลงทุนในเอเชีย(เมืองไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆที่จีนหมายตา)ย่อมส่งผลดีต่อราคาสินทรัพย์ที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อจีนขยับตัว ..ญี่ปุ่นอาจไม่เก่งเรื่องการระดมทุน แต่สำหรับจีนซึ่งตลาดหลักทรัพย์เป็นรองเพียง New York จะต้องมีอะไรดีๆให้เป็นในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน !!

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ1 กรกฎาคม 2553 เวลา 00:55

    ปัญหานึงของญี่ปุ่นตอนนี้คงต้อง Reform กันยกใหญ่ โดยเฉพาะระบบข้าราชการ เส้นสาย ฯลฯ แต่ผมว่านโยบายด้านการส่งเสริมโอกาสนักศึกษาต่างชาติซึ่งหมายถึงการวางอนาคตของประเทศในประเทศต่างๆโยงสู่การค้าระหว่างประเทศ หรือการวิวัติของแม่บ้า คนแก่ที่มีเงินออมมากกระจายการลงทุน ค้าเงินมากขึ้น อาจจะทำให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า...sutiwas

    ตอบลบ
  2. จีนอาจแบ่งเป็นสองตลาด....คือยุโรป-อเมริกา --สอง เอเซีย
    การผลิตไฮเทค ส่งไปขายฝรั่ง - สินค้าโลวเทค ผลิตจากโรงงานบ้านนอก ขายแถวเอเซีย-อาฟริกา ยังไงทางเอเซีย ยังรองรับเศรษฐกิจจีนได้อีกเยอะ....ไม่เหมือนญี่ปุ่น คนน้อย ของโลเทคไม่มีออกมาขาย...

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ