แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ชีวิต Leverage จุดกำเนิดของ Asian Miracle



คนหนุ่มสาวยุคนี้ อาจไม่ค่อยคุ้นหูกับคำว่า Asian Miracle เพราะกว่า 16 ปีมาแล้ว ตลาดหุ้นบ้านเรายังไม่เคยกลับไปที่จุดรุ่งโรจน์เท่าปี 1994 อีกเลย (SET 1790 จุด ) ..ณ วันที่ผมเขียนบทความ ปีนี้ กันยา 2010 ตลาด SET ขึ้นมาแตะ 920 จุด “รายย่อยเทขายหุ้นมหาศาล ด้วยความคิดที่ว่า มันแพงเกินไปแล้ว”...จริงหรือ!!

คุณรู้ไหมทำไมคนไทย “กลัวตลาดหุ้น”
หนึ่ง พ่อแม่สอนว่าอย่าเล่นหุ้นนะลูก มันอันตราย (จริงหรือ)..ผมยกกราฟตลาดหุ้นขึ้นมาให้ดู –“คุณรู้ไหมว่า คนที่พร่ำสอนคุณว่า อย่าเล่นหุ้น ...เขาเหล่านั้น เริ่มเล่นหุ้นตอนไหน “ถูกต้อง!! คนส่วนใหญ่สมัยนั้นเริ่มเล่นกันที่ประมาณปี 1993 ( แน่นอนเวลานั้น คุณเข้ามาด้วย ความโลภ และคำชวน ...เข้ามาใกล้ยอดดอย “คุณแปลกใจไหมว่าทำไมคนเหล่านี้ เจ๊ง..หมดตัว”

สอง “คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ” จึงไม่เคยมีใครศึกษาอดีต (เมื่อคุณไม่รู้อดีต ภาพความคิดของคุณก็แคบ ..ต่างกับคนที่ศึกษาอดีต มุมมองเขาก็กว้างขึ้น จากนั้น เมื่อคุณเอาอดีตมารวมกับภาพปัจจุบัน –โอกาสที่ คุณจะสามารถทำนายอนาคต “มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”(ใช่ เมื่อรู้อดีต คุณก็จะเห็นภาพของอนาคต เหมือนผมเอากราฟ SET ภาพใหญ่อันนี้มาให้คุณดู มันก็ทำให้คุณเห็นอะไรมากมายจริงไหม ..เมื่อคุณรู้ว่าอดีต เคยเป็นอย่างไร คุณจะรู้ว่าปัจจุบัน ณ จุดที่เรายืน มันอยู่ช่วงใดของ Cycle และคุณ ก็จะรู้ว่าโอกาสที่ต่อไปตลาดจะขึ้น หรือจะลง คุณก็แค่เอาปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ กับ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมาเทียบกัน คุณก็จะรู้ว่า อนาคตจะไปต่ออย่างไร “ผมรู้แล้วว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร ผมถามหน่อยว่าคุณรู้รึเปล่า!!” ...”คุณเคยได้ยินคนพูดว่า History Repeat Itself !!หรือเปล่า” ---นักลงทุนที่เก่งๆของโลกมักพูดเสมอว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือ แนวคิดที่ว่า “ครั้งนี้ ไม่เหมือนเดิม”

การที่ตลาดหุ้นไทย ตกต่ำมาตลอด 16 ปี แน่นอนมันเป็นเวลา ที่ยาวนานมาก ดังนั้น คนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นมาตลอด 16 ปีนี้ ยังไม่รู้จักคำว่า Bubble ด้วยซ้ำ เพราะมันไม่เคยมีในช่วงอายุของเขา ..แต่ถ้าใครอยู่ใน วัยทำงานตอนปี 1990 – 1994 “ช่วงเวลานั้น คนเหล่านี้จะรู้ดีว่า คำว่า Bubble ที่ผมพูดถึงมันคืออะไร”

ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับ อดีต Broker สมัยยุค Asian Miracle (เขาไม่ขอออกนาม ปัจจุบันเธอเป็นผู้ร่วมงานของผมเอง) ..สมัยนั้นเธอกล่าวว่า “มันเป็นช่วงที่เศรษฐกิจดี อย่างเหลือเชื่อ เงินสะพัด ข่าวตามหนังสือพิมพ์ที่ออกมาทุกวัน ก็มีแต่เรื่องดีๆ” จุดที่ผมสนใจกลับเป็นประเด็นที่ เธอกล่าวว่า “สมัยนั้นไม่มีใครสนใจเงินปันผลหรอก เพราะซื้อหุ้นแค่ ไม่กี่วัน “ก็รวยจาก Capital Gain!!” ..บางคนเป็นเศรษฐีในช่วงข้ามคืน “ผมถามหน่อยว่า คนรุ่นใหม่ เคยเห็นสิ่งที่ผมพูดไหม”

เคยกั๊บ!! นี่ไงกั๊บ TRUE ราคาพุ่งจากข่าวเพียงข่าวเดียว “ข่าวที่ว่า ไม่อนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้าร่วมประมูล (ซึ่งก็คือ ADVANC & DTAC)..จากนั้นต่อมาอีก ไม่กี่อาทิตย์ ข่าวเปลี่ยนกลายเป็นว่า TRUE เป็นผู้ที่มีโอกาสในการประมูลน้อยสุด – “คุณเห็นเหมือนที่ผมเห็นไหมครับ” ว่าจาก “แค่ข่าว” ได้สร้างคนให้รวยได้ (มันเริ่มขึ้นแล้ว ..นี่แหละ The Beginning of Asian Miracle!!)

เมื่อคุณรู้จุดเริ่มต้น ...คำถามต่อไปคือ “ถ้าคุณต้องการรวย คุณต้อง Ride the Wave !! คือ เกาะยอดคลื่นแล้วไปออกที่ยอดดอย (แน่นอน โอกาส กับ ความเสี่ยง มันเป็นของคู่กันเสมอ...High Risk ก็ High Return !!) ไม่มีใครรวยจากการทำงานหนัก โดยไม่มีความเสี่ยงหรอกครับ..(ผมไม่ได้ว่าผู้ใช้แรงงานนะ ในระบบจะต้องมีทุกอาชีพ ประเด็นคือ “แล้วคุณจะเลือกเป็นอะไรนี่แหละสำคัญ”)

มาเรื่องประเด็นของ ชีวิต Leverage ผมได้เกริ่น มาก่อนหน้านี้แล้ว ว่ามันเกิดจากอเมริกา และประเทศตะวันตก ที่เมื่อการเจริญเติบโตถึงขีดสุด แต่รายได้ ไม่โตตาม สิ่งที่จะทำให้สังคมดำเนินต่อไปได้ ก็คือ Leverage ( คนจนที่รายได้น้อย เพราะใช้แรงงานเป็นหลัก ก็สามารถอยู่ต่อไปได้ ด้วยการกู้แทน !! ..กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ มี Credit Card )

ใช่แล้วครับ “ระบบนี้ เป็นการจำกัดกรอบ ระหว่างคนจน กับ คนรวย ..คนจนอยู่ด้วยการผ่อนหนี้ (ซึ่งมีมากขึ้นด้วย เทคโนโลยี Financial Innovation ) ส่วนคนรวยอยู่ได้ด้วยการสร้าง ผลตอบแทนในส่วนของทุนตัวเองให้โตขึ้นด้วย Return on Investment !!

และนี่ก็คือ Leverage สองฝั่ง (คุณลองสำรวจตัวเองซิว่า ..คุณเองอยู่ในฝั่งไหน)
คนรวย ใช้ Financial Innovation อย่าง หุ้น , หุ้นกู้ , ตราสารต่างๆ แล้วใช้ Leverage ทางการเงิน จากเครื่องมือเหล่านี้สร้างผลตอบแทน แบบทวีคูณให้กับกลุ่มทุนของตัวเอง

ส่วนคนจน ใช้ Financial Innovation เหล่านี้มา ทำให้ตัวเองสามารถกู้ได้มากขึ้น เดี๋ยวนี้คนชั้นกลาง สามารถอยู่บ้านหลังละ 10 -20 ล้าน สามารถขับรถเบนซ์ “แต่คุณผ่อน รวมกับบ้านไปเลย 20 ปี”
--- นี่แหละ Leverage แห่งความโง่ !!“ความฟุ้งเฟ้อ และการไม่รู้จักประมาณตน “ และนี่คือ หนทางสู่ความตายของ Leverage แห่งความโง่ (ระวัง!!)

1 ความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ