แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

ตลาดหุ้นสร้างขึ้นมาสะท้อน ความโง่ของมนุษย์


สมัยพุทธกาล ยังไม่มีตลาดหุ้น มิเช่นนั้น ผมบอกได้เลยว่า “มนุษย์ที่จะเล่นหุ้นได้เก่งที่สุดก็คือ ท่านศาสดา (พระพุทธเจ้านั้นเอง)” ..หลายคนกำลังนึกว่าผมเพี้ยนรึเปล่า จะเป็นไปได้อย่างไร

ถ้าสังเกตให้ดี คนที่เสียเงินจากตลาดหุ้น เสียด้วย สองประเด็นเท่านั้นคือ 1.Greed & 2.Fear (คือ ไม่กลัว ก็โลภ !! หนีไม่พ้นกรรม ตามทัน “ซวยครับ ติดหุ้น”)

ผมชอบศึกษาตัวเลข ไปพร้อมกับศึกษา พฤติกรรมของมนุษย์ ..ช่วงหลัง วิชาที่ดังมากๆก็คือ Behavioral Finance มันจิตวิทยาชัดๆ ช่วงแรกผมใช้ทั้ง Fundamental & Technical ศึกษาอย่างจริงจัง (เอ๋อ!!ถ้าการวิเคราะห์ Finance ใช้ได้จริง คุณไม่มีทางเห็น PTT ตอนต่ำๆในราคา150 บาทหรอกครับ.. “ตลกกิน โออิชิ ยังไม่ได้เลย”)

“แล้วราคาหุ้นคืออะไร” (มันไม่ใช่พื้นฐาน) เพราะถ้าคุณดูพื้นฐาน คุณต้องดูที่ผลประกอบการ เช่น “คุณลงทุนเปิดธุรกิจอันนึง คุณก็ต้องมองว่า เงินที่คุณจะได้กลับมาแต่ละปี จะได้เท่าไหร่” แต่ในความเป็นจริงคุณไม่มีทางรู้เลยว่า ในอนาคตกิจการจะเป็นอย่างไร (อะไรที่มั่นคงในปัจจุบัน ไม่ได้การันตีว่า มันจะมั่นคงต่อไปในอนาคต)

ในอดีตธุรกิจที่รุ่งและรวยที่สุดคือ “ธุรกิจรถไฟ” เพราะสมัยนั้น การเดินทางและการขนส่งที่ดีที่สุด และประหยัดที่สุด ก็คือรถไฟ เรียกได้ว่า ใครเกิดในยุคนั้นคง ไม่คิดว่า สิ่งที่มั่นคงที่สุดในเวลานั้น จะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่แย่ที่สุดในปัจจุบัน ..ใช่ครับในปัจจุบัน เรามีทั้งเครื่องบิน การเดินเรือ รถยนต์ เราก้าวพ้นยุคผูกขาดของ รถไฟ มานานมากแล้ว

ประเด็นที่ผมจะชี้ก็คือ ตัวเลขทางการเงินที่เราใช้วิเคราะห์ในการซื้อหุ้น มันเป็นการวิคราะห์อดีต “ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่เราซื้อ” ..ดังนั้น ราคาหุ้นที่เราซื้อก็คือ เราซื้ออดีตของกิจการ!!
คำถามคือ อะไรเป็นตัวกำหนดราคาที่เราซื้ออยู่ล่ะครับ “ถูกต้อง Greed & Fear” หรือ”อารมณ์”นั่นแหละ ดังนั้นใครก็ตามที่สามารถอยู่เหนืออารมณ์ คุณก็จะชนะตลาด --- (ไปเลย คุณไปปฏิบัติธรรมเลย ไม่ได้พูดเล่นนะ มันช่วยได้จริง)

คำถามอีกข้อที่น่าสนใจ คือ “ถ้าคุณอยากรู้ว่า คนส่วนใหญ่ในตลาดคิดอย่างไร..จะทำยังไง” ถ้าถามในมุมของนักการตลาดก็คือ 1. Survey 2. Focus Group ..เหมือนกัน ถ้าคุณอยากรู้ว่าคนส่วนใหญ่คิดอย่างไรต่อตลาดหุ้น คุณก็สุ่มคุย ถาม แล้วคุณก็จะได้คำตอบ (ไม่มีอะไรซับซ้อนครับ อย่าไปถามนักวิเคราะห์ คุณไปถามเพื่อนๆ(คนธรรมดาๆ , ชาวบ้าน) คุณจะได้คำตอบที่ดีกว่า)

เครื่องมือ อีกตัวที่น่าสนใจ ..คุณลองใช้ Google Trend (แต่ตอนนี้ในเมืองไทย ข้อมูลยังน้อย แต่ลองใช้ดู คุณจะรู้ว่า ..ประเทศอะไรบ้า Gold Future มากที่สุดในโลก -- (บอกให้เลยว่าเมืองไทย อันดับหนึ่งของโลก) คุณสามารถ settle สัญญาด้วยเงินสด “นี่ก็คือ casino ที่ถูกกฎหมาย ดีๆนี่เอง” ..ไม่ต้องบินไป “Sand” สิงค์โปร์ครับ คุณเล่น Gold Futures ไปเลย..อิ อิ

กลับมาที่ประเด็น ถ้าคุณรู้ว่าคนส่วนใหญ่คิดอย่างไร (แล้วคุณได้ปฏิบัติธรรมให้อารมณ์ตัวเองนึ่งแล้ว) ..มันก็ถึงเวลาที่คุณจะสามารถทำเงินได้อย่างมหาศาลในตลาดหุ้น --- จากที่เกริ่นมาว่า “ตลาดหุ้นมันสะท้อนความโง่ของมนุษย์” มันเป็นอะไรที่ใช่จริงๆ

เพราะในความเป็นจริง จิตของคน “มันอ่อน” คือ ไม่สามารถเห็นการขึ้นลงของทรัพย์สินตัวเองได้ “ลองนึกดูว่า ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยว มูลค่าของกิจการมันก็ขึ้นลงไม่ได้ต่างจากบริษัทในตลาดหุ้น เพียงแต่คุณไม่สามารถซื้อขายได้ง่าย” ในทางกลับกัน บริษัทในตลาดหุ้นดีกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวของคุณตั้งเยอะ แต่คุณกลับ กลัว และวิ่งเข้าซื้อ วิ่งออก จนในที่สุด อ้าว!! ขาดทุน “จะบ้าหรือ” (แสดงว่าที่คุณขาดทุน เพราะกิจการในตลาดหุ้น มันซื้อขายง่าย ใช่ไหม)

คือหากเราลดความโง่ ให้น้อยลง เราก็เอาวิธีคิดของ "การเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นที่ตั้ง..แล้วคิด!!” คือถ้าคุณจะซื้อหุ้นตัวไหน ไม่ใช่คุณไปซื้อตามคนอื่น (เวลาซื้อตามคนอื่น คุณซื้อแพงเสมอ)... “คุณต้องมองเหมือนเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว” ...คุณต้องดูว่า เงินที่คุณลงทุน จะได้ออกมาเป็น เงินปันผล เท่าไหร่ (อย่าไปมอง Capital Gain เพราะมันเป็นสิ่งที่คุณไม่เห็น)

พวกนักวิเคราะห์ ที่คิดสูตรมาคำนวณราคาอนาคต อย่างซับซ้อน “มั่ว” (ถามหน่อยคุณรู้อนาคตได้อย่างไร)

ดังนั้น จะลงทุน ให้เอาวิธีคิดของการเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวมาใช้ ตอนนี้ยังพอมีเวลา (เพราะตราบที่ดอกเบี้ย ธนาคารยังต่ำ กว่าเงินปันผล)--- ผมว่ามันก็ยังมีเหตุผลพอที่คุณจะซื้อหุ้น “คุณว่าจริงไหม”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ