วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553
(จบตอน) “เมื่อเศรษฐีจะครองโลก” กับ ค่าเงินในสายตา Banker อย่างผม
ตั้งแต่ผมเขียนบทความลง Blog จะมีคนเยอะมากมาถามผมในเรื่องของค่าเงิน เช่น เงินบาทจะแข็งไปถึงแค่ไหน หรือ ยูโรจะเป็นอย่างไร ดอลล่าห์จะมาเมื่อไหร่
จริงๆถ้ามองในเรื่องของค่าเงินผมมองมันเชื่อมโยงกันทั้งโลก โดยที่มีเงิน US Dollar เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยง (เพราะเงินสำรองถ้าไม่เป็นทอง ก็เป็นดอลล่าห์ ..ยูโรจะน้อยมากๆ)..ดังนั้นเงินดอลล่าห์จึงเป็นเงินสำรองหลักของโลกประมาณ 70% “เยอะมาก..สำหรับเงิน แบบ(แบงค์กงเต๊กอย่างดอลล่าห์)”
นักวิชาการหลายคนออกมาโจมตีว่า ดอลล่าห์จริงๆไม่ต่างจาก “แบงค์กงเต็ก” ซึ่งจะมองอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะเงินดอลล่าห์สร้างจากหนี้ ไม่ได้สร้างจาก Asset ดังนั้นรัฐบาลอเมริกันสามารถพิมพ์เงินได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตราบเท่าที่ยังสามารถสร้างหนี้ได้
ปัญหานี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา หลังจากที่อเมริกันยกเลิกการใช้ทองคำ ผูกกับพันธบัตร ส่งผลให้ Supply ของเงินเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ถ้าวัดกันตามมูลค่าเงินที่แท้จริง เงินดอลลาห์ลดมูลค่าไปกว่า 90% …ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เราเผชิญอยู่อย่างเงียบๆก็คือ inflation อย่างมหาศาล
จุดนี้สังเกตให้ดีว่า ในเมื่อ 70% ของเงินทั่วโลกหมุนเวียนใช้กันอยู่ทั่วโลกเป็นดอลล่าห์ ส่งผลให้ทั่วโลก หนีไม่พ้น inflation ในทางอ้อม (ดังนั้น วิธีเดียวที่จะสามารถรักษามูลค่าของความมั่งคั่ง นั่นคือการถือ Asset ) แต่ปัญหาคือมันมี Asset อยู่มากมาย และแต่ละ Asset Class ก็มี Boom & Bust Cycle ที่ต่างกัน -นี่แหละเป็นสาเหตุของการเกิดระบบ Shadow Banking และเหล่า Hedge Fund , Private Equity เข้ามารับหน้าที่ต่อสู้กับ inflation ให้กับเงินทุน
“หากมองในภาพสมดุลย์ การพยายามรักษามูลค่าความมั่งคั่งของเงินทุน ของเหล่า Shadow Banking เหล่านี้ ส่งผลให้ ระบบเกิดความผันผวนอย่างหนัก ..อัตราการเกิดและดับของ Cycle เกิดในอัตราเร่ง (ถ้ามองภาพก็เหมือน โลกเราเป็นอ่างน้ำ แต่การที่กองทุนเหล่านี้โยกไปมา มันก็ทำให้น้ำกระเพื่อม!! “นั่นก็คือเศรษฐกิจทั่วโลกปั่นป่วนอย่างมาก”)
ช่วงก่อนผมเคยเสนอมุมมองของ เหล่า Fund Manager ชื่อก้องโลกอย่าง Soros/Buffet ที่เขามีความเชื่อที่ว่า “หากคุณสามารถ Control Supply ของเงิน ในปริมาณที่มากพอ คุณจะสามารถเคลื่อนตลาดไปในทิศทางใดก็ได้” …ซึ่งจุดนี้เป็นความจริง ที่โหดร้ายของทุนนิยม เพราะแท้จริงแล้ว คนที่สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนไปในที่ต่างๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากสำหรับคนทั่วๆไป โดยเฉพาะประเทศอย่างประเทศไทย ที่มี exchange Control (ทำให้เราเสียเปรียบประเทศที่เปิดเสรีทางการเงินอย่างมหาศาล)
จะเห็นได้ว่า ด้วยข้อจำกัดที่มีมาก ในบ้านเรา ทำให้การเคลื่อนย้ายของเงินทุนไปลงทุนใน Asset Class ที่จำกัดเพียงไม่กี่ตัว เช่น หุ้น, Bond และก็ทอง (จึงไม่แปลกที่คนไทย ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนทางการลงทุนได้มาก อย่าง Fund ที่อยู่ในประเทศเสรีทางการเงิน!!)
กลับมาในส่วนของค่าเงินดอลล่าห์ ที่หลายๆคนมองว่า มันจะอ่อนไปถึงเท่าไหร่ “จุดนี้มันขึ้นอยู่กับความสมดุลย์ทางการค้า” เพราะในปัจจุบัน การได้ดุลการค้าของเอเชียในส่วนหนึ่งก็มาจาก ค่าเงินที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้เราอาศัยข้อได้เปรียบของค่าเงิน มากระตุ้นการส่งออก “ทำให้หลายสิบปีที่ผ่านมา เอเชียสร้างกลไกการเติบโตของเศรษฐกิจด้วยการส่งออกเป็นหลัก”
แต่จากนี้ไป ปัญหาของอเมริกาและยุโรป ที่เศรษฐกิจเข้าสู่ขาลงอย่างแท้จริง มันเป็นทางบังคับที่เอเชีย จะต้องขยายตลาดการบริโภคภายในของแต่ละประเทศให้มากขึ้น …ถ้ามองให้ดีประเทศจีน ได้เริ่มดำเนินการขยายตลาดภายในอย่างเร่งรีบ ---ข้อได้เปรียบของจีนคือ ประเทศใหญ่ ทำให้ยังมี Room ในการขยาย Mega Project ในด้าน Infrastructure ที่ถือว่าเป็นกลจักรสำคัญอันดับต้นๆ ในการสร้างตลาดภายในประเทศให้ใหญ่ขึ้น
ผลของการตกงานของคนอเมริกาในวงกว้าง มันเริ่มจาก รากเหง้าของการ Off shore และ Outsource การผลิตราคาถูกไปยังจีนและอินเดีย ซึ่งจุดนี้เป็นส่วนสำคัญ ที่ฆ่าตลาดแรงงานในประเทศของอเมริกาเอง ..ทางแก้ของอเมริกาตอนนี้จึงแทบไม่มีทางเลือก นั่นก็คือ การพยายามลดค่าเงิน และกระตุ้นการส่งออกสู่ประเทศเอเชียแทน ..ถ้ามองในหลักของความสมดุลย์คือ หลายสิบปีที่ผ่านมาเอเชียผลิตให้อเมริกากิน ดังนั้น ต่อจากนี้อเมริกาและยุโรป ถึงคราวจะต้องผลิตให้เอเชียกินบ้าง!!
ฮึม!! แต่ในทางปฏิบัติมันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น เพราะเดิมอเมริกาเป็นตลาดบริโภคที่ใหญ่มหาศาล แต่คนอเมริกันบริโภคบนฐานของหนี้ เช่น หนี้บัตรเครดิต และ การดึงหนี้บ้านออกมาบริโภค (การ Re-mortgage ต่างๆ) ดังนั้น แท้จริงแล้วหลายสิบปีที่ผ่านมา อเมริกาบริโภคอย่างมหาศาลโดยการสร้างหนี้ (ไม่ใช่บริโภคจากรายได้ตัวเอง) ..แต่ในประเทศเอเชีย ปัญหาคือ ไม่มีเครดิตหรือความสามารถในการสร้างหนี้เหมือนอเมริกา ทำให้ตลาดบริโภคในเอเชีย ไม่มีทางที่จะโตขึ้นมาทดแทนตลาดอเมริกาได้ในระยะเวลาอันสั้น
ทางแก้ของอเมริกา ในมุมมองธุรกิจ ก็คือ การเร่งสร้างรายได้ โดยการคิด Innovation ใหม่ๆ อย่างที่ Apple ทำ แต่ปัญหาคืออุตสาหกรรมเหล่านี้ มันไม่ได้เป็น Labor intensive อีกต่อไป (แถมการผลิตหลักๆอย่างเช่น Apple ก็ส่งไปผลิตที่เมืองจีน)
ซึ่งถ้าดูในภาพนี้ มันชี้ให้เห็นได้ว่า การสร้าง Innovation ในด้าน IT ไม่สามารถตอบโจทย์….ในส่วนของ Innovation ในด้านพลังงาน ที่เรียกว่า New Energy อเมริกาเอง ก็ติดบริษัทใหญ่ที่ค้ำคอรัฐบาล เพราะกิจการเหล่านี้ลงทุนไปมหาศาล ดังนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐบาลจะสามารถผ่าด่านอรหันต์ ของบริษัทน้ำมันใหญ่ๆเหล่านี้ แล้วสร้างอุตสาหกรรมใหม่อย่าง New Energy ..จุดนี้มันชี้ให้เห็นเลยว่า Clean Energy ยังต้องเป็น Niche Market ต่อไปอีกนาน (ซึ่งกิจการที่ขึ้นมาใหม่ทางด้าน Clean Energy ก็ล้วนเป็นบริษัทลูกของ Old energy ทั้งนั้น) เว้นแต่!! Obama เป็นเผด็จการ!! (ขำขำ เป็นไปไม่ได้ครับ)
ในด้านการเมืองวิธีการแก้เศรษฐกิจตกต่ำ ก็คือการก่อสงคราม แต่ตอนนี้ถ้ามองให้ดี สงครามที่อเมริกาทำอยู่มันลาม ไปครึ่งโลกแล้ว แต่มันกลับเป็นสงครามที่ไม่ก่อให้เกิดอะไร “ไร้จุดหมาย” (เหมือนเอาทหารไปนั่งตบยุงในประเทศต่างๆ เพราะคุณไม่มีศัตรูที่ชัดเจน “มันสู้กับใครฟะ คุณรู้ได้ไงว่าจริงๆแล้ว Obama ไม่ใช่ บิลลาเดน ปลอมตัวมา!!..อิ อิ”)
จุดนี้ถ้ามองให้ดี ต่างกับสงครามโลกครั้งที่สองมาก เพราะครั้งนั้น มีศัตรูที่ชัดเจนคือ ฮิตเลอร์ และ ญี่ปุ่น (การมีศัตรูที่ชัดเจน มันถึงจะมีเหตุผลให้ ทุ่มงบประมาณมหาศาล ซึ่งผลลัพธ์ใน WW2 ก็ก่อให้เกิด Technology ใหม่ๆ ที่ล้วนเป็นพื้นฐานของ Technology ที่เป็นรากฐานสำคัญของ New Industry ตลอดศตวรรษที่ 20)
ทุกวันนี้อเมริกาเดินอย่างไร้จุดหมาย(เหมือนไก่ตาแตก!!) แต่ยังโชคดีที่ยังมี “Platform ของ US Dollar อยู่” ทำให้ไม่ว่ายังไงก็ตาม เงินอเมริกาก็ยังไม่สามารถลดมูลค่าได้มากเกินไป แถมยังคงต้องเป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป เพราะตอนนี้อย่างยูโรเอง เศรษฐกิจก็เรียกได้ว่า ห่วยไม่แพ้อเมริกา ..ส่วนจีน ที่พยายามจะผลักดัน “Platform เงินหยวน” ให้เป็นสกุลเงิน ทางเลือกของโลก แต่ถ้านับระยะทาง ยังอยู่ในชั้นอนุบาล (ถ้าเป็นได้จริงก็ต้องใช้เวลาอีกนานมาก!!)
เศรษฐกิจบ้าบออย่างนี้ทั่วโลก ผมมองทางแก้ มีอยู่ทางเดียว คือ “ช่างมัน เอาตัวคุณให้รอดก่อน!!” คุณต้องมอง Asset Class ต่างๆให้ออก ว่าอะไรอยู่ใน Cycle ไหน และเข้าเก็งกำไรให้ถูกจังหวะ ..อย่างจุดที่ผมมองตอนนี้ ผมมองว่า ตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างดี เพราะอย่างน้อยถ้าเทียบในเชิงผลตอบแทนที่แน่นอน (เพราะตลาดหุ้นจ่ายปันผล) ผมมองว่า หุ้นเป็นอะไรที่ Safe กว่าเงินสดในระยะนี้ (ผนวกกับมุมมองในเรื่องค่าเงิน คือ ลองคิดซิว่า ถ้าคุณเป็นเศรษฐีอเมริกัน แล้วรู้ว่าค่าเงินตัวเองจะอ่อนไปเรื่อยๆ “คุณจะทำอย่างไร” …(ถูกต้อง) และที่คือที่มาของ Fund Flow ที่ไหลมายังประเทศต่างๆอย่างในเอเชียนั่นเอง)
ซึ่งหลายๆคนก็มองไปที่ Real estate และ ทอง ..แต่สำหรับผมถ้าให้เลือกทองกับ Real estate ผมว่า “ทอง” น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะ ระหว่างการปรับฐานของ “การมองมูลค่าของ Asset ทั่วโลก” ผมกลับมองว่า เราไม่ควรเอาเงินไปอยู่ใน Asset ที่เงินจม
(อย่าง Real Estate ในไทย มีคนส่วนน้อยเท่านั้น ที่สามารถเข้าถึง “ที่ดินที่มี Liquidity สูง” ..ผมยกตัวอย่างคุณตัน มีที่กลางเมืองหลายผืน พวกนี้ไร่ละเป็นพันล้าน แต่นี่แหละเป็น Real estate ที่มีสภาพคล่องสูง เพราะมันเป็น ที่ต้องการของ Developer ต่างจากที่ดิน ไกลๆราคาถูก ของ “ชาวประชาตาดำๆ” ---พวกนี้คุณจะขายใคร (มีแต่เงินจม) !!)…สรุปสั้นคือ “ที่ดินที่ดี มันแพง (ต้องซื้อแพงแล้วไปขายแพงกว่า เหมือนที่คุณตันทำ) ไม่ใช่ซื้อที่ห่วยราคาจ่ำแล้วรอความเจริญ ..เพราะด้วยการขยายตัวของเมืองแบบนี้ ชาติหน้าที่ห่วยๆนั้น คงขึ้นราคา --“และนี่คือปัญหาการเข้าถึง แหล่งลงทุนทางด้าน Prime Real Estate” ..ก็คือ “คนทั่วไปมีทุนไม่ถึง นั่นเอง!!”
ดังนั้น สำหรับนักลงทุนรายย่อย ผมมองว่า ให้วางเงินไว้ใน หุ้น , Bond (ที่มีสภาพคล่อง) หรือไม่ก็ทอง แต่ผลตอบแทนมันขึ้นกับความสามารถของคุณมากกว่า ที่จะอยู่ใน Right Asset at the right time!! ซึ่งไม่ง่าย (วัดกันที่ฝีมือครับ)
แต่อยากให้ระลึกไว้เสมอว่า ค่าเงิน , มูลค่าเงิน , มูลค่าของ Asset ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทอง , ที่ดิน , บ้าน ,Commodity , Bond ทุกอย่างล้วนมีมูลค่าลวงตา!!-- ขึ้นลงได้เสมอตาม Demand & Supply ดังนั้น จะไม่มี Asset Class ไหนที่ดีหรือแย่ตลอดกาล ทุกอย่างล้วนมี Cycle เป็นของตัวเองเสมอ
..ผมว่าคนที่เข้าใจหลักการนี้ และสามารถเคลื่อนย้ายเงินไปที่ใดก็ได้ อย่างไม่มีข้อจำกัด คุณจะสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาล “และนี่แหละคือ เจ้าป่าแห่งระบบทุนนิยม!!”
“เมื่อคุณมองทะลุภาพลวงของมูลค่าในสินทรัพย์ต่างๆ คุณคือผู้ที่มั่งคั่งอย่างแท้จริง และถาวร!!”
(อีกไม่นาน เตรียมซื้อของ Made in USA ในราคาถูก.. ฮ่า ฮ่า "ฟันธง!!" แบงค์กงเต็ก ๆ ๆ ๆ...)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
6 ข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนยุค Trump 2.0 1. ‘นโยบาย American First’ …Trump จะทำทุกอย่างให้อเมริกาได้ประโยชน์ เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจ 2. ‘Dere...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ความเห็นผม ตอนนี้ยูเอสดอลลาห์ยังเป็นasset สำรองของประเทศส่วนใหญ่อยู่ มูลค่ามันจึงยังไม่ลดลง เนื่องจากแต่ละคนยังช่วยกันอุ้มไว้ แต่ในระยะยาวถ้าอเมริกาฟื้นตัวไม่ทันหรือไม่ปรับปรุงตัวเรื่องบริโภคนิยม มูลค่าเงินดอลลาห์สหรัฐย่อมลดลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากประเทศต่างๆย่อมถ่ายเทไปถือครองassetชนิดอื่นแทนในที่สุด ถึงวันนั้นมูลค่าเงินดอลล่าห์อาจมีค่าเป็นแค่แบงค์กงเต็กอย่างที่คุณภาววิทย์ว่าจริงๆ และคงจะเป็นอย่างนั้นในอนาคตอีก10-15 ปีข้างหน้า (ผมว่าอเมริกาฟื้นไม่ไหวหรอก) หากมีหนึ่งรายถีบหัวส่งเงินดอลล่าห์ ก็จะมีคนทำตาม สุดท้ายทุกคนก็จะแห่พากันทิ้งเงินดอลล่าห์ไม่เว้นแม้แต่ประเทศจีน ที่ตอนนี้อ้างว่ายังไม่เปลี่ยนทุนสำรองจากดอลล่าห์เป็นทองคำก็เถอะ
ตอบลบและขอถามความหมายของประโยคคุณภาววิทย์หน่อยครับ อ่านไม่เข้าใจเนื่อจากไม่ได้เรียนด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์และธุรกิจ มาเลย
ข้อได้เปรียบของจีนคือ ประเทศใหญ่ ทำให้ยังมี Room ในการขยาย Mega Project ในด้าน Infrastructure ที่ถือว่าเป็นกลจักรสำคัญอันดับต้นๆ ในการสร้างตลาดภายในประเทศให้ใหญ่ขึ้น
infrstructure ในที่นี้คืออะไรครับ พอยกตัวอย่างได้ไหมครับ
เยี่ยม
ตอบลบแล้วเมื่อไหร่เราจะซื้อ Made in Euro ในราคาถูก จะได้จองรถซะที
ผมคิดว่า infrastructure นี่หมายถึง project ทางด้านโครงสร้างประเทศ เช่นคมนาคม เช่นรถไฟใต้ดิน ทางด่วน ถนนหนทาง หรือเครือข่าย 3G (ฝันๆ) ที่ต้องมีการลงทุนจากรัฐบาล และการใช้จ่ายนี้จะกระตุ้นเศรษกิจตามกลไกของมัครับหากไม่ถูกรบกวนชี้แนะ
ตอบลบครับ--ใช่แล้วครับ (อย่าง Project 7 แสนล้าน รถไฟความเร็วสูงกับจีน น่าสนใจมาก "ถ้าเกิด ตลาดเราบูมแน่ครับ" ) รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์พยายามสร้าง Mega Project เพราะมันคือ การกระต้นเศรษฐกิจอย่างดี "รอดูกันครับ!!"
ตอบลบแต่บางทีผมก็มองว่าควรลงทุนกับการศึกษาอย่างทั่วถึงทเท่าเทียมทั้งประเทศมากกว่านี้ เนื่องจากมันจะดีอะไรเมื่อของที่สร้างขึ้นมาให้กับคนแค่ในกรุงเทพใช้ และควรจะนึกถึงการเกษตรที่ควรจะนำงบไปพัฒณาให้มากกว่านี้เพื่อการแข่งขันไม่ใช่มัวแต่สร้างรถไฟกับเขื่อนกับไฟฟ้ากันจนเพลิน ที่ผมมอง ผมว่าหากต้องการความยั้งยืนควรลงลึกไปถึงการศึกษาเพื่อประชากรที่มีคุณภาพด้วยอะครับ เห้อเห็นสัดส่วนของ stimulus package 2 ของสุดหล่อแล้วก็หวั่นๆ กลัวว่าเรากำลงจะเดินผิดทาง
ตอบลบ