แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

“Selling Signal” จะรู้ได้ไงว่าตลาดจะ Crash !! (ผมสังเกตเห็นตั้งแต่อยู่ Australia คืออะไร!!)



ผมทำกำไรจากหุ้นอย่างมหาศาลช่วง Sub prime Crash!! ตอนปลายปี 2008 ..(หลายๆคน คิดว่าผมโชคดี “ใช่แล้วครับ!! ผมโชคดี) ..แต่มันก็ไม่ใช่โชคดีทั้งหมด(คือ ในความโชคดี มันเริ่มจากความซวย …ผมถึงชอบ ขงจื้อ ไง ..เวลาไหนชีวิตมันดีๆหลุดจาก mean ไปมากๆ ผมว่าคุณเตรียมพบกับ “ความโชคร้าย”ที่จะเข้ามาเยือน (อย่าประมาท!!)

ก่อนที่ผมจะกลับเมืองไทย ธุรกิจผมคือ Chain ร้านอาหาร กับ โรงงานกระจกที่ผมทำอยู่ที่ Australia เจอวิกฤตเข้ามากระทบอย่างรุนแรง (ถ้าเทียบว่า ชนชั้นของผม ที่อยู่ใน Australia แม้ผมจะเป็น เจ้าของกิจการ แต่ผมก็เป็นไอ้ Yellow อยู่ดี!! …นั่นหมายถึง ผมอยู่ใน Australia ในฐานะของ คนระดับรากหญ้า ..สิ่งที่ผมเจอ คือ ช่วงปี 2007 คนใช้จ่ายลดลงอย่าง ฮวบฮาบ “กิจการทั้งหมดของผม เจอกระทบอย่างหนัก เพราะร้านอาหารของผม ตั้งอยู่ใน เมืองรอบนอก ..ไม่ใช่ใน Sydney ที่อุตสาหกรรม Finance ในช่วงเวลานั้น “รวย เงินสะพัด กันสุดขีด”

คือ ผมเป็นคนที่ ชอบอ่านหนังสือ และติดตามข่าว (แม้ช่วงเวลานั้น ผมจะเป็น แค่เจ้าของร้านอาหาร “คนผัดข้าว” ..ผมก็ยังไม่ละทิ้งการอ่านหนังสือนะ!!) …ผมพบว่า กระแสในช่วงปี 2007 มันเกิดการ บูมอย่างสุดขีดของ อุตสาหกรรมการเงิน ..ช่วงเวลานั้นมันเกิดมี สภาพคล่องของเงินที่ล้นระบบ --เครื่องมือ gearing ที่เขาใช้ในการ Double profit เข้าไปอีกในเวลานั้น ก็คือ “Private Equity” ถ้าใครติดตามข่าวเวลานั้น ทั้ง Blackstone, KKR, Carlyle และเหล่า Private Equity เวลานั้น “รวยกันสุดขีด!! เพราะมันเงินทุนมันหาง่าย”

ช่วงนั้น เกิดการที่ Private Equity เข้าซื้อกิจการจาก “เจ้าของกิจการ” ..ผมจำได้ว่า อ่านบทความนึง จากนิตยสาร BRW Australia บอกว่า “ช่วงเวลาที่เศรษฐีขายกิจการ มันเป็นสัญญาณหายนะ!!” ..หลังจากนั้นปลายปี 2007 ผมเห็นข่าว ถึงการเริ่ม พังของระบบการเงิน ..แต่ช่วงนั้น ตลาดหุ้นยังไม่ crash (หุ้นยังขึ้นต่อ อย่างเริงร่า!!)

ผมกลับเมืองไทยตอนต้นปี 2008 จากนั้นก็เข้ามาทำงานให้ คุณ โทนี่ ในส่วนของ Office of President ของธนาคารกรุงเทพ… ที่แห่งนี้เปิดโอกาสให้เห็น (Banking War room) ..ว้าว!! วาติกัน แห่งเศรษฐกิจเมืองไทย ( …อิ อิ เวอร์ไป !! แต่ผมได้เห็นข้อมูลและภาพรวมของระบบธนาคาร อย่างมหาศาล เพราะผมเข้ามาในธนาคารกรุงเทพ ในจังหวะที่กำลังเตรียมการปรับปรุงครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น !!)

เกริ่นหน่อยว่า “คุณแม่ผมจะซื้อหุ้นไว้จำนวนมาก อยู่ตลอดเวลา” ช่วงต้นปี ผมเอาข้อมูลต่างๆให้แม่ดู แล้ว convince ให้ล้าง Port ทิ้ง …ในที่สุดเราก็ขายล้าง port ไปตอนต้นปี 2008 ..จากนั้นแม่ผม ก็มองหุ้นที่ขายไปหลายๆตัว วิ่งขึ้นไปต่อ “เซ็งสุดขีด!! นั่่นคืออารมณ์ของแม่ผม ในเวลานั้น”

หลังจากตลาดเริงร่า ไปจนถึงกลางปี 2008…ในที่สุดสิ่งที่ีผมกลัวมันก็เป็นจริง!! –ตอนนั้น Lehman Brother เจ๊ง ก่อให้เกิดตลาดหุ้น Crash อย่างหนักทั่วโลก!! จากนั้นปลายปี 2008 หุ้นที่ขายออกไป ราคาตกไปเกือบครึ่ง บางตัวตกไปเกินครึ่งของ ราคาที่ผมขาย …ผมตัดสินใจ “ซื้อ” (แต่ก็อย่างที่บอก ไม่มีใครโชคดีตลอด เพราะในเวลานั้น ผมคิดว่า ตลาดจะตกอีกนานมากๆ “ตามข่าวที่ประโคมกัน” ผมจึงแปลงร่างเป็น Trader เข้าซื้อขายอย่างรวดเร็ว..พอกำไรก็รีบออก

ผม Trade ผ่านช่วง “ปิดสนามบิน” และเข้าออก อย่าง Trader ตลอดปี 2009 (สรุปตลาดวิ่งไป 60% แต่ผมกำไรแค่ 30% …โง่!! แต่เผอิญมันเป็นฐานเงินที่ใหญ่ กำไรที่ได้มันจึง ทำให้แม่ผม แฮปปี้!!ไม่น้อย)

และแล้วรางวัล จากแม่ สำหรับการ Trade แบบไม่ค่อยฉลาดนัก ก็คือ “Mercedes Benz (E200) NGT สีดำป้ายแดง!!” ..ผมซวยจากกิจการใน Australia แต่ก็มาโชคดีจากหุ้น Sub prime (แล้วไงต่อล่ะ!!)

ผมเริ่มสับสนระหว่างผลตอบแทนที่ผมทำได้ ว่าตลาดขึ้นถึง 60% แต่ทำไมผมทำกำไรแพ้ตลาด (ผมกำลังทำอะไรอยู่!!) ..และนั้นก็ทำให้ผม จมปักอยู่กับข้อมูลมหาศาล พร้อมกับเขียน Blog (http://pawawit.blogspot.com) และก็ กลั่นออกมาเป็น หนังสือ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet” (ขายเฉพาะใน web ( www.stock2morrow.com)น่ะครับ!!)
และหนังสือเล่มนี้แหละที่เป็น คำตอบสำหรับการลงทุนในก้าวต่อไปของผม “ที่กำลังเตรียม ความพร้อม ของการเข้าสู่โลกการลงทุนในยุค Asian Miracle 2” …ที่ผมกล้าฟันธง หลายๆอย่าง ทั้งหุ้น และ เศรษฐกิจ ก็เพราะผมเชื่อว่า ตำแหน่งหน้าที่การงานในอาชีพ รวมทั้งข้อมูลที่ผมศึกษาอย่างจริงจัง “มันทำให้ผมมั่นใจ อีกไม่นานคงได้เห็นกันว่า ผมคิดผิดหรือถูก ..เพราะหลักฐานมัน ได้เขียน ชัดอยู่แล้วในหนังสือ เล่มนี้ของผม…อ่าฮ่า!! รอเพียงเวลาครับ”

(ปล.)ใครยังไม่ได้ซื้อหนังสือผม (อย่ารีรอนะครับ!!) มันเป็นหนังสือ ที่ใช้ต้นทุนถึง 20 ล้านบาท ในการเสียค่าโง่!!.. ก่อนจะออกมาเป็นประสบการณ์ที่ผมกลั่นออกมาเป็นตัวอักษร …โอเคเพื่อนๆ คลิ๊กสั้งเข้าไปเลยที่ www.stock2morrow.com (คุ้มๆ..อิ อิ โฆษณาสุดตัว) “ไปซื้อนะครับ!!”

1 ความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ