แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!)......เข้าสู่ ตอนที่ 3



ป๋ากึ้ง : “ขำขำ” อย่าคิดมาก ..ประเด็นต่อไปเลย “มีคนพูดถึงในหนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet” ว่ามีบทนึง พูดถึง การเล่น หุ้นปั่นที่เสี่ยงน้อย …ภาววิทย์ช่วยอธิบายหน่อย

ภาววิทย์ : จริงๆประเด็นมัน ไม่ได้ “ Insider หรือ วิชามาร อะไรหรอกครับ!!” คือ ปัจจุบันนี้เจ้ามือเขาฉลาดขึ้น ถ้าพวกเรารายย่อยตามไม่ทัน “ผมว่าซวยแน่!!” …วันนี้ “หุ้นปั่น” มันไม่ใช่หุ้นไม่มีพื้นฐานอีกต่อไป มันกลับเป็นหุ้นที่ พื้นฐานดี ราคาถูก ปันผลก็สูง (คุณคิดให้ดี.. แล้วอย่างนี้ คุณควรขอบใจคนปั่นหรือเปล่า --เพราะทำให้คนมองเห็นหุ้นดี ..จริงป๊ะ!!) วันนี้ตลาดบ้านเรามีหุ้นดีราคาถูก เยอะมาก แต่ราคาไม่เคยวิ่งไปไหน ...วันนี้นักปั่นเข้ามา “คุณต้องขอบคุณเขา!!” เพราะมัน Win-Win คือ พูดง่ายๆ ถ้าปั่นไม่ขึ้น ก็ไม่เดือดร้อน รับปันผลอย่างเดียว ยังดีกว่าเงินฝากไม่รู้กี่เท่า (วันนี้ถ้าใครเอาเงินฝากธนาคาร ผมว่าคุณใส่ตุ่มแล้วฝังไว้ใต้บ้าน .. “ค่าเท่ากัน” ดอกเบี้ยเกือบจะเป็นศูนย์ ผมถามหน่อย “ฝากทำไม”

วันนี้คุณถามผมว่า “หุ้นดี ไม่ผันผวน ความเสี่ยงต่ำ มีไหม” ผมบอกเลย กองอยู่เต็มตลาด .. อย่างหุ้นที่ P/BV ต่ำกว่าหนึ่ง และปันผลดี มันบอกโดยนัยแล้วว่า ไม่มีคนเล่น ดังนั้น ราคามันไม่วิ่งผันผวน ดังนั้น คุณถือนิ่งๆรับปันผลสบายๆ ..ที่ต้องดูอย่างเดียวคือ เจ้าของกิจการ(ผู้ถือหุ้นรายใหญ่) ดูนิสัย ถ้าเขานั่งอยู่ฝั่งเดียวกับ ผู้ถือหุ้น (เติบโต+ ปันผล) “คุณซื้อได้เลย”
อย่างผมบริหาร port ให้ทางบ้าน ผมไม่ชอบเสี่ยง ผมไม่เข้าไม่ออก คือ เข้าแล้วนิ่งรับปันผลอย่างเดียว ไอ้ราคาที่ขึ้น Capital Gain ผมมองว่าเป็นโชค

อย่างตัวผมเอง เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ ผมใส่เข้าตลาดหุ้น ผมไม่ซื้อ RMF/LTF ผมมองว่าถึงลดภาษี 30% ผมก็ยังมองว่าไม่คุ้ม ผมบริหารเองคุ้มกว่า “ดังนั้นผมไม่ซื้อ..ฮ่า ฮ่า” ทุกวันนี้ผมซื้อตลอดไม่มีการขาย ตลาดตั้งแต่ Bottom ปี 2008 เป็นต้นมา มันเป็นตลาดของผู้ซื้อ ขายไปก็ขายของถูก “จะขายหมูไปทำไม” …คุณดูให้ดีนะ ตั้งแต่ Bottom เป็นต้นมา คนที่กำไรที่สุดคือ คนที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้ขาย …พวกกองทุน พวกต่างชาติ ไม่รู้เล่นบ้าอะไรกัน (บอกเลย มั่ว!!) ทุกรอบที่ทั้งกองทุน ทั้งต่างชาติ ขาย เขาซื้อแพงขึ้นทุกรอบ แต่ก็โทษเขาไม่ได้ เพราะ พวกเขาวัด Performance เป็น Quarter ทำให้เขาต้องโชว์กำไร ..แต่ผมไม่ต้อง ผมวัดท้ายสุดเลย เอาแบบ Buffet คือ ที่เขาเหนือกว่า กองทุนทั่วไป เพราะเขาไม่ได้บริหาร Port แบบกองทุน ..เขาเล่นแบบ “คนมีเงินนอนต่างหาก”

ให้ผมฟันธงนะ ว่าบริหารอย่างไร จึงจะกำไรที่สุด “ก็คือ ซื้อตอนตลาดถูกๆ และขายตอนตลาดแพงๆ” (สังเกตุไหมครับว่า ผมไม่ได้พูดว่าซื้อถูกที่สุด แล้วขายแพงที่สุด ..ไม่ใช่!! เพราะมันเป็นไปไม่ได้) คนทั่วไปบางทีดีใจ ซื้อของมาถูก แต่พอขายดันขายถูกว่าที่ซื้อ (อันนี้จริงๆแล้ว มันหมายความว่าคุณซื้อแพงรึเปล่า!!)

วันนี้หลายคนถามผม “ตลาดแพงหรือยัง” ผมมองเทียบเงินฝาก ปัจจุบันเงินฝากให้ดอกเบี้ย “ถูกเป็นขี้” ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ตอนนี้ซื้อหุ้น รับแค่ Dividend อย่างเดียว ได้มากกว่า ไม่รู้กี่เท่า (มนุษย์ เราไม่ได้โง่นะครับ ---วันนี้ผมมองเห็นโอกาสตรงนี้ แต่อีกหน่อยคนส่วนใหญ่ก็ต้องเห็น (คำถามคือ ถ้าคนส่วนใหญ่เห็น แล้วโยกเงินมาทำอย่างผม --ราคาหุ้นมันก็จะขึ้น ) และเมื่อถึงเวลานั้น ถ้าหุ้นมันขึ้น พอราคามันแพง มันก็คงเข้าช่วงเศรษฐกิจดีแล้ว (ถ้าเศรษฐกิจดี ดอกเบี้ยเงินฝากก็สูง ) ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากสูง ผมก็ขายหุ้นที่ราคา “ยอดดอย” มาวางที่เงินฝาก ..จากนั้นก็รอให้ Bubble มันแตก ผมก็ค่อยถอนจากเงินฝาก เอาไปใส่หุ้นเหมือนเดิม

เห็นไหมล่ะครับว่า จริงๆ การเล่นหุ้นให้กำไรมันไม่ได้ยาก มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เพราะคุณจะต้องรอ Cycle ขาขึ้นขาลง ซึ่งสมัยก่อนหนึ่ง Cycle อาจกินเวลา 20 ปี เดี๋ยวนี้ 10 ปี Cycle ก็เปลี่ยนแล้ว …ลองคิดซิครับ ยิ่งระบบทุนนิยม มีการเคลื่อนย้ายเงินได้อย่างง่ายดาย ย่อมทำให้ Cycle ในอนาคตสั้นลงเรื่อยๆ …อีกหน่อย 5 ปี หรือน้อยกว่านั้น ก็เปลี่ยน Cycle แล้ว
คุณคิดดูนะ นักธุรกิจพอเข้า Cycle ขาลง ทีไร “เหงื่อแตก!!”

(ข้อจำกัดของเจ้าของ คือ คุณจะมาซื้อๆขายๆหุ้นตัวเอง มีหวังโดนข้อหา Insider ได้ไปนอนในคุก!!) …แต่อย่างผม ในฐานะนักลงทุน ผมไม่มีข้อจำกัดตรงนั้น ดังนั้น ผมสามารถซื้อและขายแบบเทหมด Port สวน Cycle …ลองนึกซิครับว่า กลายเป็นว่าทุกๆ Down Cycle นักลงทุนจะรวยขึ้น ขณะที่เจ้าของกลับจนลง …ดังนั้น ถ้าผมจะตั้งกองทุนมาสักกอง แล้วอาศัย Cycle (ที่อนาคตจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ) ผมอาจสามารถ Take over กิจการต่างๆได้ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี (ระวังไว้ บริษัทยักษ์ ใหญ่ที่ชอบ เอาเปรียบรายย่อย ..ระวังรายย่อยจะรวมตัวซื้อคุณไปเลย..หุ หุ)

ต่อไปโลก มันไม่ได้ขึ้นกับว่า คุณใหญ่แล้วคุณจะได้เปรียบ มันอยู่ที่ใคร “คิดเป็น คนนั้นก็ชนะ” ..(ทุน) มันจะวิ่งเข้าหา จุดที่ได้เปรียบเสมอ ..ทุกคนอยากลงทุนกับผู้ชนะ “วันนี้ประเด็นของ The winner take all มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ” ..เกมการแข่งขันในโลกธุรกิจ มันกำลังเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถามว่า ถ้าคุณไม่ปรับตัว “คุณจะรอดไหม!!”

เดี๋ยวนี้ บริษัท จากโรงรถ เอาชนะยักษ์ใหญ่อย่างสบาย “ที่ Bill Gates เคยกลัวว่า วันนึง จะมีบริษัทจากโรงรถ เข้ามาแข่งกับ Microsoft” วันนี้มันเกิดขึ้นจริงแล้ว ทุกวันนี้ Google ใช้เวลาไม่กี่ปี ก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกท้าทาย Microsoft (เห็นไหมล่ะครับ สิ่งที่ Bill Gates กลัวมันได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว)

คู่แข่งของคุณ มันไม่ใช่ เพื่อนบ้าน หรือ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของคุณอีกต่อไป มันรวมถึง เด็กตาดำๆในจีน และ อินเดีย ที่ก้าวขึ้นมาแย่งงาน จากคุณไป!! --วันนี้คนอเมริกาขำไม่ออกแล้ว เพราะงาน วิศวะ และ IT ถูกคนอินเดียแย่งทำ ..งานการผลิต ก็โดนคนจีนแย่งไปทำ …วันนี้อเมริกาเองผู้สร้าง Internet และ Technology การ Outsource --“กำลังเมาตด ที่ตัวเองสร้าง” “อบอวนอยู่ในห้องแคบๆ…เหม็น!!”

หลายคนบอกกลัวอเมริกา!! อเมริกาน่ากลัว ..ผมว่า “มันหมูมากกว่า” วันนี้ คนที่คุณต้องกลัวคือ นักลงทุนต่างหาก เพราะนักลงทุน นั่งอยู่เหนือ Cycle และทำกำไร จากทุกวิกฤต “นี่ซิ..น่ากลัวจริง”

ป๋ากึ้ง : และนี่ก็คือ เหตุผลที่ว่า คุณควรจะเป็นนักลงทุน ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพใดก็ตาม ..การเล่นหุ้นที่กำไร ไม่จำเป็นต้อง วิ่งซื้อขาย ตามคนอื่นให้เหนื่อย เพราะถ้าคุณเข้าใจภาพใหญ่ คุณแทบจะไม่ต้องทำอะไรมากมาย กับความผันผวนของตลาดเลย (สุดยอดจริงๆ!!)-------(อ่านต่อตอนที่ 4..ฉบับหน้า..ฮ่า ฮ่า)

1 ความคิดเห็น:

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ