แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

3G...ใครได้ประโยชน์ (นี่มัน "หวยล็อค" หรือ "สมบัติใคร")



หลังจากฮึมครึมอยู่ว่า "ท้ายสุดเกม 3G มันจะจบอย่างไร" ..สรุปรัฐบาล "จัดให้" ..ประเด็นนี้จากเรื่องเครียดๆ กลายเป็นเรื่อง "ฮากลึ้ง"ทันที ...ทีแรกผมก็กะจะขายหุ้น Advanc ที่ถืออยู่ ภายหลังจากได้ สัมปทาน 3G ทันที เพราะผมมองว่า เมื่อได้ 3G บริษัทจะมีภาระในการลงทุนเครือข่ายใหม่ ไหนจะค่าสัมปทานอีกหลายหมื่นล้าน --แถมลงทุนแล้วก็ใช่ว่ารายได้จะเพิ่ม ลูกค้าก็กลุ่มเดิม "มีใครอยากจ่ายค่ามือถือเพิ่มขึ้น(ผมว่าไม่มีนะ)" (ในมุมมองของผม ถ้าเกิด 3G จริง คนเหนื่อยคือ บริษัทมือถือ!!)

ในที่สุดรัฐบาลอนุมัติให้ TOT ลงทุนเอง "โห!!ผมฟังแล้วรู้สึกว่า ---"เยื่ยม" นี่มันเหมือนหวยล็อคจริงๆ ฮ่า ฮ่า" สรุปเอกชนไม่ต้องลงทุน รัฐบาลลงทุนเอง ..จากนั้นเมื่อ TOT ลงทุนเสร็จก็ต้องมาพึ่งเอกชน ช่วยขายอยู่ดี เหมือน TOT นั่งๆอยู่ก็ผูกคอตัวเองตาย (ตลกมาก ..ฮ่า ฮ่า)

จะว่าไปแล้ว TOT ก็เหมือน องค์กรที่ไม่มีแขนขา เพราะในตลาด "คนที่อำนาจ"ก็คือ ผู้ที่มีลูกค้าอยู่ในมือ "คุณลองมองตลาดมือถือ หลักๆก็อยู่ในมือของ 3 ค่ายใหญ่" ดังนั้น การที่ผู้ลงทุนกลายเป็น TOT ยิ่งทำให้ 3 ค่ายใหญ่ "ยืนยิ้ม" (เพราะท้ายสุด TOT ขายเองไม่รอดอยู่แล้ว เพราะไม่มีแขนขา ไม่มีตลาด ท้ายสุดก็เข้าสูตร "หวยล็อค")

ถ้าผมเป็น 3 ค่ายใหญ่ ผมจะรีบวิ่ง "เอากระเช้าไปให้รัฐบาล แล้วพูดว่าขอบใจมากๆ"(ฮา) เอ๋!!ว่าแต่ กระเช้าจะน้อยไปไหมเนี่ย (เอ๋อ ช่างมันเถอะ!! ขำขำ) ดังนั้น ประเด็นนี้คนสบายก็คือ มือถือ 3 ค่าย เพราะไม่ต้องจ่ายค่าสัมปทานไปอีกหลายปี (รวมกันหลายหมื่นล้าน) ไหนจะค่าลงทุนในแต่ละค่าย ทั้งหมดรวมๆเป็นแสนๆล้าน โดยที่ถ้าลงทุนไปแล้วจริงๆ ก็ไม่แน่ใจว่าจะคุ้มหรือเปล่า เพราะตลาด 3G คนใช้จริงๆก็ถือว่าน้อยมาก (แถมคนที่ยินดีจะจ่ายเงินเพิ่มสำหรับค่ามือถือ ก็น้อยมากเช่นกัน "จ่ายทำไมล่ะ!!")

ดังนั้น การเอาเงินรัฐบาล 1.9 หมื่นล้าน มาโกยทาง แล้ว Sample ดูตลาดว่า ตอบรับดีเพียงใด ก่อนที่เอกชนจะลงทุนเอง ช่างเป็น จุด Sweet spot หรือเรียกได้ว่า "จุดหวานมัน"ของมือถือทั้ง 3 รายยิ่งนัก...จากนั้นเมื่อเกิด กสทช. ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าจริง (ตอนนั้นเอกชนก็คงรู้แล้วว่า จะลงทุนแล้วคุ้มหรือไม่คุ้ม)

ตอนนี้คนเศร้าก็คือ ธนาคารเพราะแทนที่จะได้ปล่อยเงินกู้อีกเป็นแสนๆล้าน ก็แห้วไป คนเศร้าคนต่อไปก็คือ ผู้วางเครือข่าย คือแทนที่จะได้ค่าวางเครือข่ายเป็นแสนๆล้าน กลับได้แค่หลักหมื่นล้าน "จ๋อยไป" แต่!!..ประชาชน ก็กลับเป็นผู้โชคดี เพราะการที่เอกชนไม่ต้องลงทุนมาก ก็จึงไม่ต้องผลักภาระค่าบริการ ทำให้เรายังคงไม่ต้องโดนรีดไถค่าโทรที่แพงขึ้น (ชาวบ้านก็เลยสบายในประเด็นนี้) ..ส่วน MVNO และค่ายมือถือทั้ง 3 ค่าย ก็ยืนยิ้มกันไป "ไม่ต้องลงทุนเอง ใช้ GM แทน (Government Money น่ะ..หุ หุ)

คำถาม Climax คือ แล้วเกมนี้ใครได้ประโยชน์สุดล่ะ "ผมให้ประชาชนละกัน เมื่อการลงทุนไม่ซ้ำซ้อน ผลประโยชน์ก็ตกแก่ผู้ใช้บริการ ที่ไม่ต้องแบกรับภาระ ค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็น" ส่วนค่ายมือถือผมก็เชียร์ Advanc ของผมใจขาด (เจ้าตลาดที่เป็น Market Leader ย่อมได้เปรียบ ในการขยายตลาดใหม่) ..อาฮ่า!! ในเมื่อไม่ต้องเสียเงินลงทุนเอง ปันผลก็ต้องมีมากมาย "เยี่ยม" (จากนั้น ประเด็นจะมาร้อนอีกครั้ง ก็เมื่อสัมปทาน 2G ใกล้หมดอายุนี่แหละ ..แต่ยังไง TRUE ก็หมดก่อน "งั้นผมค่อยดู ตอน TRUE หมดอายุ ก็จะรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดต่อไป)

ระหว่างนี้ "ขอผมไปแอบยิ้มก่อน" ...ขอบคุณรัฐบาลที่ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ (ผมเลยสบายไปด้วย.. อิ อิ) ...เกมพลิกอย่างนี้ Advanc จึงไม่ต้องลงทุนใน 3G ที่มองไม่เห็นอนาคต --จึงมีเงินจ่ายปันผล ให้ผู้ถือหุ้นอย่างผม "อย่างงาม"

.. ผมถือหุ้น Advanc แบบ Value ยาวๆถึงกับเหงื่อแตกกับการทุบข่าว 3G (แต่ผมว่าแล้ว เกมมันยังไม่จบ) กว่าจะโล่งใจก็วันนี้เอง ...เอ๋!!ว่าแต่วันก่อน ตอนข่าวทุบ 3G แล้วใครมาช้อนซื้อวะเนี่ย--- "ช่างหยั่งรู้ดินฟ้าจริงๆ..รึมันเป็นศึษย์ ขงเบ้ง!!" (เก่งเกิน..ฮ่า ฮ่า ขำ -- ไปดีกว่า !!)

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

งานในโลก Online มันต่างกับ “งานปกติ”.. และชุมชน S2M


ผมว่าหลายคนคงสงสัยว่า “เอ๊ะ!! แล้วไอ้งาน Online มันมีด้วยหรือ” เท่าที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ งาน Online ก็คือ Website บ้าบอที่พวกเด็กเล่นกัน “แต่ในความเป็นจริง ..มันกำลังจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราไปเรื่อยๆ เรื่อย ๆ …จนคุณลืมไปเลยว่า ไฟฟ้า ที่เราใช้กันอยู่นี่ มันเปลี่ยนชีวิตของเรา มากกว่ารุ่นปู่รุ่นย่า ขนาดไหน (เรือนไทย “แม่พลอย” ตกค่ำก็จุดตะเกียง กิจกรรมอย่างเดียว “เผอิญไม่มีทีวี” เลยทำ… “ลูกเลยเยอะน่ะ ..ฮา” ---แล้วไอ้ไฟฟ้านี่มันทำให้ สามีคุณมีบอลยูโรดู เลยทำให้ครอบครัวมีลูกน้อยลง “ก็ไอ้ไฟฟ้านี่แหละ…”

ถ้าจะว่าไปแล้ว ไฟฟ้า มันทำให้เรา ดูทีวีได้ มันก็ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมทีวี จากนั้นไอ้พวกยูโร มันก็เลยสามารถมีเงินทุนมาจัดแข่งบอลได้ สรุปมันเป็นเงินจากคน ดูมันเตะบอลกันทั่วโลก สาเหตุหลักๆ ก็เพราะเรามีไฟฟ้าใช้ ..ซึ่งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากไฟฟ้า ก็ส่งผลให้เกิดธุรกิจเป็น แสนๆล้าน ..ล้านล้านล้าน ดอลล่าห์

สรุปไอ้ที่ชีวิตเรายุ่งยาก ต้องหาเงินมากมาย ทำงานตัวเกลียวก็เพราะ “ไฟฟ้า” ใช่ไหม !! (ดังนั้นพรุ่งนี้เราไม่ใช้ ไฟฟ้า กลับเข้าไปในป่า แล้วชีวิตเราจะง่ายขึ้น ไม่ต้องเรียนให้หนัก ไม่ต้องทำงานให้มาก หาของป่ากิน วันๆก็ไม่ต้องดูทีวี ดูสายน้ำและนกแทน … “ดูเป็น Ideal Value ของชีวิตจริงๆ และคุณรู้ไหมว่า ไอ้ชีวิตเรียบง่ายมันเป็นสิ่งที่ เศรษฐีที่มีเงินทั่วโลก อยากมี (อ้าว!! เป็นงั้นไป งั้นมึงเริ่มด้วยการอยู่ป่า ไปเลยดีไหม ฮ่า ฮ่า)

พอเอาเข้าจริงชีวิตมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น “ไฟฟ้า” ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างขาดไม่ได้ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีใช้มัน (เฮ้ย!! ไฟดับ “บ้าเอ้ย..ไฟดับ ซวยล่ะซิ” แต่เดชะบุญ ที่โน๊ตบุ๊คผม มีแบตเตอรี่ ฮ่า ฮ่า)

จากไฟฟ้าที่เราขาดไม่ได้ก็มาสู่ Internet ที่เราขาดไม่ได้ (ผมไม่ได้พูดถึงการเล่น Internet แบบนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ..ผมกำลังหมายถึง Internet is everywhere คือ เมื่อเราสามารถเล่นเน๊ตได้ทุกที่ ผ่านทุกอุปกรณ์ ตั้งแต่มือถือ ยัน ipad -- และเมื่อความเร็วถึงจุดที่เราสามารถส่ง File หรือ ข้อมูลขนาดใหญ่ ในเวลาที่รวดเร็ว …เมื่อนั่นก็จะถึงจุดที่ Internet กลายมาเป็น “ไฟฟ้า”นั่นเอง (ขาดไม่ได้!! คำถามคือ แล้วเราจะทำอะไรให้ได้ประโยชน์จากมันล่ะ)

ธุรกิจในอนาคตจึงเป็นธุรกิจที่เริ่มจากความคิด ไม่ได้เริ่มด้วยต้นทุน ยกตัวอย่างเช่น หากคุณมี idea ที่จะทำการตลาดสู่กลุ่มลูกค้า Shopping คุณก็สามารถสร้างกลุ่มคนที่ชอบในสิ่งเหมือนๆกัน สร้างเป็น Community จากนั้นก็สามารถ Outsource ทางด้านการตลาดให้กับบริษัทที่ต้องการจับลูกค้าที่มี Lifestyle เช่นนี้

จุดนี้มันเป็นการเปลี่ยน Model ทางการขายและการตลาด จากที่เราใช้ Mass Media อย่าง ทีวี , วิทยุ มาเป็นสื่อที่ Niche มากขึ้นอย่าง Social Media

ตัวอย่างใกล้ตัวสุดก็คือ “สิ่งที่ผมทำนี่แหละครับ ผมใช้ Social Media เพื่อติดต่อกับนักลงทุน ..จากนั้นผมก็อาศัยกระทู้ S2M เป็น Channel หรือเป็นอีกเวทีในการสื่อสาร …ส่วนตัวผมก็ link Blog ของผมเข้ากับ Facebook และ Twitter เพื่อเชื่อมโยงติดต่อแบบสองทาง --“สิ่งที่ผมกับคุณ Looking (เจ้าของ S2M) ทดลองก็คือ การออกหนังสือ “แกะรอยหยักสมอง” ขายผ่าน Web “stock2morrow” อย่างเดียว ปรากฏว่า ได้รับผลตอบรับที่ดี

Step ต่อไปก็คือ “เมื่อผมและ S2M ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็น ศูนย์กลางข้อมูลทางด้านการลงทุนที่ครบวงจรขึ้น ประกอบกับเรา สร้าง S2M เป็นเวทีให้กับคนรุ่นใหม่ ในการแสดงความสามารถ เช่น เราสรรค์หา คนเก่งๆ Marketing แจ๋วๆ มาร่วมแบ่งปันความรู้ผ่านกระทู้ของ S2M , เรามีการจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนความรู้อย่างต่อเนื่ีอง ไม่ว่าจะเป็นการจัดของ S2M เอง หรือ การร่วมมือกับ Broker … “จุดนี้คือ การใช้เครื่องมือ Social Media ทั้งหมด ตั้งแต่กระทู้ S2M, Facebook และ Blog รวมกันสร้างให้เกิด การรวมตัวของคนเก่งๆ เพื่อจุดประสงค์ในการ เป็นศูนย์กลางในการลงทุน และเป็นทางเลือกของวิถีการทำงานของคนรุ่นใหม่ อย่าง Gen Y ที่มีความสามารถ รวมทั้งชอบความอิสระ ..ให้มีทางเลือกในการกำหนดชีวิตของตัวเอง นั่นเองครับ”

ฮึม!! สรุปก็คือ ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพอะไร ท้ายสุดไม่มีใครหลีกหนีการลงทุนได้ ..หากคุณหันหลังให้กับการลงทุน เท่ากับว่า “คุณได้กลายเป็นเหยื่อของระบบทุนนิยม ตั้งแต่เริ่มเดินทางเลยทีเดียว” ตัวผมเองวิ่งออกไปไกล ไปทำกิจการของตัวเอง ล้มลุกคลุกคลาน ก็พึ่งจะมาเข้าใจวันนี้เองว่า “อาชีพที่เป็นส่วนหนึ่งในทุกอาชีพ และทุกคน ---- ก็คืออาชีพนักลงทุนนั่นเอง”
หลายคนเป็นลูกจ้างบริษัท แต่รัฐบาลก็ส่งเสริมให้คุณลงทุน ผ่าน LTF/RMF “นั่นเท่ากับบังคับ ให้คุณลงทุนทางอ้อมอยู่ดี” ..เรากำลังเดินตามอเมริกาและยุโรป ซึ่งบังคับให้ทุกคนเล่นหุ้นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่เคยให้ความรู้ -- และนี่เป็นที่มาของ “เหยื่อของระบบทุนนิยม”

“ตกงานตอนแก่” “ชีวิตพึ่งกับการตัดสินใจของคนอื่น” …..(ผมว่า เรามารวมตัวและแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างเสริมปัญญา ในฐานะ นักลงทุนกันเถอะครับ!!)

อิสระ(Freedom) + นักลงทุน (สร้างรายได้ด้วยตัวคุณเอง) + ชุมชนแลกเปลี่ยนความรู้ (S2M …คุยวงใน / สัมมนา / ข่าวสาร)

เข้ามาดูรายละเอียดการสมัครสมาชิก “ร่วมสนับสนุนชุมชนแบ่งปันความรู้ สู่นักลงทุนรายย่อยแห่งนี้”

(คลิ๊กที่นี่ครับ)

อ่าน Fund Flow ว่าเขาทำอะไร (27 กันยายน 2010)

ณ วันนี้ 27 กันยา ตลาด SET แตะ 962 จุด ..ฝรั่งซื้อแหลก ส่วนพี่ไทยขายแหลก --จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาตั้งแต่ Sub-prime (ฝรั่งซื้อโง่ และขายโง่ตลอด) "คุณว่ารอบนี้ฝรั่งจะโง่เหมือนเดิม หรือ คุณว่ารายย่อยจะขายหมู" (น่าคิด !! )

ตอนนี้ขาใหญ่(เซียนป้า เซียนเต่า เซียนต๋อย และเซียนอื่นๆ) ต่างทยอยเทขาย ลด Port อย่างต่อเนื่อง เอาเป็นว่า "ตลาดมันจะต้องย่ออย่างแน่นอน ที่ใกล้ๆ 1,000 จุด" แต่คำถามคือ คุณควรจะขายทิ้งตอนนี้แล้ว รอให้ตลาด correction ย่อลงมาก่อน "แล้วค่อยเข้าไปซื้อดีไหม"

ประเด็นนี้ผมว่า "มันยาก" เพราะจุดที่เราหวังว่าจะกลับเข้ามาเก็บในราคาถูกๆ มันมักจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดเสมอๆ (ทำไงดีล่ะ!! )

(ภาพนี้ยืม "ป๋ากึ้ง" มาให้เราดูว่าหนึ่งปีที่ผ่านมา Fund Flow มีการเคลื่อนไหวอย่างไร)

ช่วงปลายปี 2008 จะเห็นได้ว่า Fund Flow เทขายอย่างต่อเนื่อง ขนเงินกลับไปพร้อมน้ำตา เอาไปอุดตลาดบ้านตัวเอง ตลาด SET รูดจาก 800 จุด ลงมาต่ำกว่า 400 จุด (ช่วงนี้รายย่อย ก็หน้าซีด กระโดดหนีออกจากตลาด ตาม Fund Flow)

หลังจาก เมษา 2009 Fund Flow เริ่มตั้งสติได้ "ก็เลยคิดได้ว่า จริงๆตลาดมันถูก เลยกระโดดกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่องอีก 8 เดือน" จากนั้นปลายปี 2009 Fund Flow ก็ขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดขึ้นมาแรงจาก 400 -750 จุด

จากนั้นต้นปี 2010 Fund Flow ก็เข้ามาเก็บหุ้น หลังจากศาลตัดสินคดี คุณทักษิณ ตลอดเวลา 2 เดือน ..พอเกิดการเผาประเทศ ฝรั่งก็ตกใจขายออก 2 เดือนเต็มๆ...จากนั้นก็กลับลำเข้าต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

สรุปปี 2010 Fund Flow -- เข้าๆออกๆ แต่ตลาดกลับพุ่งขึ้นจาก 750 จุด มาจนถึงเกือบ 1,000 จุดในปัจจุบัน

(จากกราฟหาก เอาการเข้าออกของ Fund Flow มาดูตั้งแต่เกิด Sub-prime เมื่อปลายปี 2008 จนถึงปัจจุบัน ..Fund Flow ตอนนี้การไหลเข้าของเงินทุน ติดลบ 80,000 ล้านบาท ...แต่ SET Index วิ่งสวนทางคือ วิ่งมาจาก 300 กว่าจุด จนถึงเกือบ 1,000 จุดในวันนี้)

ข้อสังเกตุที่น่าสนใจคือ "ตอนนี้ใครๆก็บอกว่า เงินจากประเทศตะวันตกจะเข้ามาในประเทศเอเชียมากขึ้น(สาเหตุหลักๆก็คือนักลงทุนหนี ความเสี่ยงเรื่องดอลล่าห์อ่อนนั่นเอง) แต่ขณะนี้ เรายังไม่เห็นภาพนั้นเลย!! ..ที่เรากลัวๆกันว่า ตอนนี้ฝรั่งซื้อมากไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง Fund Flow จากช่วงก่อน Sub-prime เงินยังติดลบ 80,000 ล้าน !!

"นี่เท่ากับว่า ภาพที่เราเห็น กับสิ่งที่เราคิด มันคนละภาพ"

ตอนนี้ที่ SET ที่เกือบ 1,000 จุด แต่ PTT ยังราคาถูกอยู่เลย ..ความหมายก็คือ "นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ เพราะโดยปกติกลุ่มพลังงานมักนำตลาด" ..แต่จุดนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

-- ข้อดีคือ ถ้าเกิด Fund Flow เข้ามาซื้อ PTT เยอะ (เนื่องจากราคายังถูกหาก Benchmark เทียบกับกลุ่มพลังงานในประเทศอื่นๆ) ..ก็เท่ากับว่า PTT สามารถขึ้นต่อไปได้อีกมาก

แต่ข้อเสียคือ "น้ำหนักของกลุ่มพลังงานต่อตลาดมีมาก" ดังนั้น ถ้ากลุ่ม PTT เริ่มวิ่ง -- SET Index ก็อาจวิ่งขึ้นไปอย่างทะลุ ทะลวง "พุ่งอย่างที่เราไม่เคยเป็นมาเป็นสิบปีแล้ว" ( SET อาจวิ่งไปเลย 1,700 จุด "Peak เดิม"..เอ๋อ!! ผมเว่อร์ไปไหมเนี่ย!! )---(แต่นี่คือ ความเสี่ยงทางจิตวิทยา เพราะคนไทยติดภาพกับตลาดที่ไม่เคยแพง ดังนั้น ถ้า SET ขึ้นไปสูงๆ ก็อาจเกิดการเทขายครั้งใหญ่)

เอาเป็นว่า ก็รอดูกันไป ...แต่ขอย้ำว่า ปัญหาหลักของตลาดในเวลานี้คือ "ขายหมู" ขายหมู ขายหมู.. ฮ่า ฮ่า

ก็ดูไป ขำขำ กันไป ชิวๆ

(ขออย่างเดียวอย่าไปซื้อหุ้นปั่นละกัน ไม่งั้นคุณจะกลายเป็น "มนุษย์มหัศจรรย์" (คือ ตลาดขึ้นเอาขึ้นเอา แต่คุณยังสามารถขาดทุนได้..."เทพจริงๆ")

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

ชอบ idea สองสูง ของท่านธนินท์จัง !!



ท่านธนินท์มักกล่าวในงานสัมมนาต่างๆ ถึงแนวคิด "สองสูง" ของท่าน -- ซึ่งสูงแรกก็คือ ขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และสูงที่สอง คือขึ้นราคาพืชผลทางการเกษตร ...ตอนนี้รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์เริ่มสูงแรกขึ้นเงินเดือนข้าราชการ

ปรากฏว่า ยังมิทันขึ้นแต่ดันประกาศออกไปก่อนว่าจะขึ้นเงินเดือนข้าราชการ "สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ราคาข้าวของวิ่งขึ้นไปดักหน้า เรียบร้อยแล้ว .... ข้าราชการฝากบอกว่า (เงินเดือนก็ยังไม่ขึ้น ของขึ้นไปก่อนแล้ว ตกลงใครซวยฟะ!!)

ในค่ายของนักวิชาการ "ทุนนิยมแบบสุดโต่ง" ก็ประกาศออกมาว่า "แจ๋ว!!" การที่ราชการได้เงินเดือนน้อย คนจะได้มาทำราชการน้อยๆ ..ฮึม!! สาเหตุที่นักวิชาการกลุ่มนี้ สนับสนุนให้ราชการเล็กลง เนื่องจาก Sector ของราชการ หรือ รัฐวิสาหกิจ เป็นอะไรที่เกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจน้อยสุด (เขาบอกว่ายิ่ง ราชการใหญ่ ประเทศก็ยิ่งแย่ ดูอย่างอัฟฟริกา ที่รัฐบาลเป็นทหารผูกขาด ยิ่งทำให้ประเทศห่วย ..ต่างกับประเทศที่ส่งเสริมการค้าและการแข่งขันแบบเสรี .."เพราะการแข่งขัน ทำให้คุณได้รับสินค้าและบริการที่ดีขึ้น ในราคาที่ถูกลง" ซึ่งตรงข้ามกับการผูกขาด ถึงแม้จะไม่แสวงกำไรก็เถอะ มันนำมาซึ่งการบริการที่ห่วย (เพราะไม่มีการแข่งขัน) รวมทั้งหน่วยงานนั้นๆก็มักขาดทุนตลอดกาล เช่น การรถไฟ, ขสมก.)

หลายๆคนอาจมองว่า การมีรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ คุมสาธารณุปโภคหลักๆทำให้ประชาชนเกิดประโยชน์ เช่น ไฟฟ้า , น้ำประปา และ โทรคมนาคม ..แต่จริงหรือ!! -- ย้อนกลับไปสมัยก่อนที่คุณทักษิณจะมาเป็นนายก ผมจำได้ว่าเวลาไปติดต่อราชการ "คุณเผื่อเวลาไปเลยทั้งวัน..แต่หลังจากที่คุณทักษิณเข้ามาเปลี่ยน นำเอาหลายๆรัฐวิสาหกิจต่างๆเข้า Privatize กลายเป็นเอกชน (ปรากฏว่าการบริการดีขึ้น หน่วยงานนั้นก็กำไรเพิ่มขึ้น )

บทสรุปของการเปลี่ยนราชการเป็นเอกชน ที่หลายๆคนมองว่า "เป็นการเอาเปรียบ และจะนำมาซึ่งการเก็งกำไร และคนส่วนใหญ่เสียประโยชน์"(ไม่ใช่เลย!!) ..สิ่งที่เกิดขึ้นมันกลายเป็นการแข่งขัน ที่ทำให้ประชาชนได้รับการบริการที่ดีขึ้น ..การแข่งขันทำให้เราได้ใช้บริการต่างๆที่ถูกลง --ยกตัวอย่างโทรศัพท์ หากวันนี้ไม่ได้อนุญาตให้เอกชนมาทำเช่น TRUE , ADVANC ,DTAC ...คุณลองนึกภาพ ก่อนหน้านี้จะขอโทรศัพท์ที ต้องรอเป็นปีๆ "นี่แหละระบบราชการ !!"

พอเอาเข้าจริงผมกลับมองว่า "กลุ่มนักวิชาการแบบสุดโต่ง" มันส่งเสริมการแข่งขันอย่างเสรี ซึ่งเป็นเรื่องดี อย่างล่าสุด ข้อพิพาษ 3G "คุณว่าปัญหามันอยู่ที่ไหน" (ถูกต้อง) ก็หน่วยราชการทำงานซ้ำซ้อน ฟ้องกันไปกันมา ..."ใครได้ประโยชน์!!(ผมไม่รู้ใครได้ประโยชน์ แต่ที่แน่ๆประเทศเสียโอกาส)" ...เอกชนที่จะลงทุน สร้างให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเกี่ยวเนื่องมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นในเชิงของการสร้างงาน เริ่มจากธนาคารที่สามารถปล่อยสินเชื่อ ทำให้เงินมหาศาลวิ่งเข้าสู่ระบบ เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ

นี่ยังไม่รวมธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น โอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ๆ การ Provide Content การส่งข้อมูลที่รวดเร็ว ..สิ่งเหล่านี้มันเป็นการก้าวต่อไปของ รูปแบบการทำงานที่ประหยัดมากขึ้น เดินทางน้อยลง ..หลายๆคนก็สามารถทำงานที่ใดก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลารถติดเข้ามานั่งพิมพ์งานที่ Office (กลายเป็นว่าทุกอย่างไม่เกิด เพราะราชการ ทะเลาะกันเอง "เฮ้อ!! เมื่อไหร่บ้านเราจะเจริญเนี่ย"

กลับมาที่ท่านธนินท์ กับ "สองสูง" ซึ่งสูงแรก รัฐบาลก็รับไปทำ แต่ด้วยจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน "ฮ่า ๆ อย่าลืมเลือกผม เพราะผมขึ้นเงินเดือนให้คุณ !!" (แต่ก็ต้องขอบคุณที่ สูงแรกได้เกิดขึ้นแล้ว) ..ในส่วนสูงที่สองคือ พืชผลทางการเกษตร ..ส่วนนี้มัน Tricky เพราะหากรัฐบาลใดทำให้ราคาพืชผลแพง เท่ากับว่า เลือกตั้งครั้งหน้า คุณเตรียมเป็นฝ่านค้านได้เลย "ไม่มีใครเลือก"

ประชากรในประเทศกว่า 50% ทำอาชีพเกษตรกรรม แต่รายได้รวมจากอาชีพเกษตรกรรม ไม่ถึง 10% ..ไอ้สาเหตหลักๆก็คือ การตรึงราคา หรือ กดราคาสินค้าเกษตรนี่แหละ ที่มันทำให้คนจน "จนดักดาน" ที่บ้านเราแตกร้าวถึงเพียงนี้ ...."เสื้อแดง" ที่เกิดขึ้น ประเด็นมันก็จุดนี้แหละเป็นสาเหตหลัก

ผมว่า ทำไมเราไม่ฟังคุณธนินท์ กันบ้าง ..หากพืชผลทางการเกษตรราคาสูงขึ้น คนกรุงเทพก็อาจกินข้าวแพงขึ้นหน่อย "แต่คงไม่ถึงกับตาย" ..สมัยผมอยู่ ออสเตรเลีย สัดส่วนของเงินที่ซื้ออาหารกินคือ ค่าใช้จ่ายหลัก ....แต่ในกรุงเทพ ค่ากินถูก แต่ "ค่าไร้สาระมันแพง"--- (ถูกต้อง) สัดส่วนของการบริโภคของประเทศเรามันผิดรูปแบบ "ราคาพืชผลทางการเกษตรมันถูกกดราคาเกินความจริง ..ประเทศเราผลักภาระการบริโภคให้คนจน แบกรับ แล้วเราก็เอารายได้ ไปซื้อของไร้สาระ เช่น ของหรูๆ "

ยกตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น ผลิตผลทางการเกษตรเขาราคาแพง การกินในประเทศเขาก็แพง แต่กลายเป็นว่าความเหลื่อมล้ำทางรายได้เขาไม่ได้มากเหมือนบ้านเรา ..(ถูกต้อง) เขาเน้นการส่งออก เขาเน้นการขยายตลาดกำลังซื้อภายในประเทศ และเขาก็เน้นกระตุ้นการลงทุน "นโยบายของญี่ปุ่น คือ สูงทุกด้าน"

หลายคนแย้งว่า "ไม่ดี" แต่คุณดูให้ดี คุณภาพชีวิตของคนโดยรวมของญี่ปุ่น "ดี" ..GDP ต่อหัว "สูง" ..ค่าเงินก็แข็งทำให้คนญี่ปุ่นสามารถบริโภคของต่างประเทศในราคาถูก หรือ คนญี่ปุ่นก็สามารถไปลงทุนได้ทั่วโลกในราคาถูก --- แต่อย่างของไทย กดราคาผลิตผลหลักของประเทศ "ให้พืชผลราคาต่ำ" ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศไม่ดี ..เมื่อในประเทศไม่มีกำลังซื้อ เศรษฐกิจก็พึ่งพึงกับการส่งออก ใช้แรงงานต่ำ ผลิตของถูกๆ ขายต่างประเทศ (นี่แหละความโง่ ที่ครอบงำ ประเทศที่ถูกความจนครอบงำตลอดกาล)

เอาเป็นว่า ยิ่งเขียนยิ่งยาว ขอสรุปว่า สิ่งที่คุณ ธนินท์เสนอ เป็นเรื่องที่ดี "การทำให้ผลผลิตทางการเกษตรมีราคาสูง" จะเป็นการเพิ่มกำลังซื้อ ซึ่งเป็นการสร้างตลาดการบริโภคภายในประเทศให้ใหญ่ขึ้น (อย่างผมเคยยกตัวอย่างประเทสออสเตรเลีย การส่งออกเขาก็พอๆกับเรา แต่ตลาดบริโภคภายในเขาใหญ่กว่าเราหลายเท่า) ..เมื่อตลาดในประเทศใหญ่ คุณก็สามารถสร้างงานสร้างธุรกิจเพื่อรองรับความต้องการที่ขยายตัว ทุกคนก็รวยขึ้น "และนี่คือทางเดินของประเทศที่เจริญแล้ว"

"ขอบคุณ" คุณธนินท์ ที่ทำให้คนไทยตาสว่างขึ้นครับ!!

วันศุกร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2553

ออสเตรเลีย ขุดประเทศ ขายจีน (ใครฉลาดเนี่ย!!)



จีนกับออสเตรเลียนี่เป็นอะไรที่เชื่อมโยงกันมาระยะใหญ่แล้ว เนื่องจาก ออสเตรเลีย มีทรัพยากรที่จีนต้องการ เช่น ถ่านหิน(Coal), แร่เหล็ก(Iron Ore) และอื่นๆอีกมากมาย

สิ่งที่เกิดขึ้นขึ้นคือ จีนบอก"ออสซี่" ว่า "ขุดได้เท่าไหร่ อั๊วเหมาหมด!!" ทำให้ออสซี่ ก็ขุดเอา ขุดเอา จน Western Australia พรุนไปหมดแล้ว ..ช่วงที่ผ่านมามีการต่อต้านธุรกิจเหมืองแร่ และล่าสุดก็มีนโยบายจากรัฐบาล ในการเก็บภาษีธุรกิจเหมืองแร่ในอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก (ทั้งนี้เพราะระยะหลัง ออสซี่โตจาก เหมืองล้วนๆ --- ส่วนอื่นเน่าหมด ทำให้รัฐบาลเพ่งเล็งมาที่ธุรกิจเหมืองเป็นหลัก)

เศรษฐีคนล่าสุด ขึ้นอันดับหนึ่งในประเทศคือ Andrew Forest เจ้าของ Fortescue Metals ก็เพราะขุดแร่เหล็กขายผูกขาดกับประเทศจีนนี่แหละ ...สถิติของจีนซื้อ iron ore ประมาณ 22 billion (AUD) ต่อปี จาก Export ของทั้งประเทศ 42 billion (AUD) ..ลองนึกภาพว่าจีนซื้อแร่จาก Australia ครึ่งนึงของการส่งออกของประเทศทั้งหมด (เยอะมากๆ)

เงินเดือนเฉลี่ยของคนทำเหมืองคือ 1 แสน (AUD) ต่อปี ก็ประมาณ 3 ล้านบาท "คุณคิดดู คนทำเหมืองในออสเตรเลีย มีเงินเดือนเฉลี่ยต่อปี มากกว่าแพทย์บ้านเราอีก(เลิกเล่นหุ้น ไปขุดดินจะดีกว่ามั้ง!!)"

ล่าสุด BANPU เข้าไปซื้อเหมืองใน Australia เหมืองถ่านหิน (Coal) เพิ่ม Reserves ของ BANPU จาก 14 ปี เป็น 21 ปี "คงไม่แปลกใจนะครับ ทำไมราคา BANPU พุ่งเอา พุ่งเอา" ..ก็คุณ ชนินท์ ท่านเล่นซื้อเหมืองในต่างประเทศเป็นว่าเล่นในทั้ง 3 ประเทศใหญ่ด้านถ่านหินคือ จีน , ออสเตรเลีย และ อินโด ...ทำให้ BANPU กลายเป็นบริษัทถ่านหินที่ใหญ่ที่สุดใน Asia

จุดนี้ผมอยากจะชี้ประเด็นของมุมมอง เพราะอย่าง BANPU เอง ในประเทศไทยมีถ่านหินน้อยนิด แต่กลายเป็นว่า BANPU ทำตัวเป็น Fund Manager คือ เข้าไปซื้อเหมืองในประเทศต่างๆ แล้ววางตัวเป็น EXXON ทางด้านถ่านหินของเอเชีย (นี่แหละมุมมองของเจ้าของหุ้น BANPU มันลึก!!)

จีนเน้นความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ซึ่งอิงอยู่บนทรัพยากรหลักคือ ถ่านหิน เป็นพลังงานหลักของจีน และ แร่เหล็ก เป็นทรัพยากรหลักในการก่อสร้าง Infrastructure ทุกอย่างของจีน

ส่วนในไทยก็ พลังงานธรรมชาติ(นี่แหละพลังงานหลักในการผลิตไฟฟ้าของไทย) "ใคร Control อาฮ่า พี่ PTT นี่เอง"

ดังนั้น ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจมันอยู่ที่คุณ มองเกมออกหรือเปล่า BANPU มองออก , ออสเตรเลียก็มองออก , PTT ก็ไม่เบา ...เห็นไหมครับ เรื่องไม่เห็นเกี่ยวกันเลย แต่สุดท้ายมันสะท้อนราคาหุ้นในระยะยาวของทุกกิจการที่ผมกล่าวมา (บริษัทมองภาพที 20 ปี เราเล่นหุ้น มองกัน 3 ชั่วโมง..มึน!!)

คำถามคือ ถ้าจีน สะดุด อะไรจะเกิดขึ้น (ก็ออสเตรเลีย กับ บ้านปู อวก!!) แต่ PTT เกี่ยวไรด้วยฟะ ...(คิดต่อไป)

เวลาซื้อหุ้น หรือลงทุน มองให้ยาวๆครับ แล้วคุณจะเห็นภาพต่างๆชัดขึ้น อย่าสักแต่ว่ามองราคาขึ้นแล้ววิ่งเข้าซื้อตาม "มองสั้นรวยยาก!!" ...มองยาวๆ ใจนิ่งๆ "เย็นไว้โยม" ฮ่า ฮ่า

แกะรอย Private Equity ซากเน่าที่ยังคงเหลืออยู่จากวิกฤต!!



ก่อน Sub-prime ใครๆก็รู้ว่า Private Equty แจ๋วขนาดไหน "ถ้าจำกันได้ ช่วงเวลานั้น Private Equity เกือบซื้อทั้งโลก ...สาเหตุหลักๆก็มาจาก Easy Credit (ช่วงเวลานั้นผมยังทำงานอยู่ใน Australia เลย..เห็นเศรษฐีดังๆ ขายกิจการตัวเองให้ Equity firm กันอย่างยกใหญ่ด้วยราคาที่สูง)

ณ เวลานั้น ผมมองย้อนไป ก็นึกอิจฉา Private Equity Firm เหล่านั้นเป็นยิ่งนัก เพราะวันๆอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ก็เห็น Private Equity แห่งนั้น แห่งนี้ ...กู้เงินมหาศาลแล้วก็ Take Over กิจการใหญ่ๆ ..ย้อนมามองดูตัวผมเองในเวลานั้นก็ กำลังขยายกิจการร้านอาหาร อย่างรีบเร่งด้วยหนี้สินมหาศาลเช่นกัน (แล้วอะไรเกิดขึ้นล่ะ !!)

วันนี้ผมอ่านบทความเกี่ยวกับ Private Equity ชื่อบทความว่า "The Easy Money Gone" บทความนี้ List เอา Asset ที่ก่อนหน้านี้ Private Equity เข้าไปซื้อด้วยราคาแพง "เอามาดูว่าตอนนี้ Asset นั้นๆเหลือมูลค่าเท่าไหร่"

(ยกตัวอย่าง)
KKR เข้าซื้อ First Data กู้เงินมาซื้อไป 27.5 billion ตอนนี้เหลือมูลค่า 60c ต่อ 1 ดอลล่าห์ (มูลค่าลดลงไป 40%)

อีกบริษัทก็อย่าง Energy Future Holdings กู้มาซื้อไป 43.2 billion ตอนนี้เหลือ 30c ต่อ 1 ดอลล่าห์

หรืออย่างกรณีของ Apollo กู้มาซื้อ Harrah's Entertainment ในราคา 30.7 billion ตอนนี้เหลืออยู่ 63c ต่อ 1 ดอลล่าห์

นี่แค่ยกตัวอย่าง Top Private Equity อย่าง KKR และ Apollo นะครับเนี่ย ไอ้ที่ไม่ Top นี่เจ๊งกันไประนาวแล้ว

ประเด็นที่ชี้ใด้ชัดจากตัวอย่างนี้ก็คือ Cycle ของธุรกิจ ..การที่เราไม่เข้าใจ Cycle ของธุรกิจ มันบ่งชี้ถึงหายนะของกิจการเลยทีเดียว ..อย่างกรณีที่ผมยกขึ้นมา มันเป็นได้ชัดว่า เศรษฐีที่ขายกิจการตัวเองให้กับเหล่า Private Equity ก็แสดงว่าเขามอง ออกว่า ณ เวลานั้น ธุรกิจของเขาอยู่ในช่วง Peak สูงสุด --- "สิ่งที่ฉลาดที่สุดเท่าที่เศรษฐีเหล่านั้นจะทำได้ ก็คือ Cash out โดยการขายกิจการทิ้งไป"

และหลังจากนั้น เช่น เวลานี้ ถ้าเขาอยากได้กิจการตัวเองคืน ก็กลับมาซื้อด้วยราคาที่ถูกกว่าเดิม

เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า "อย่าหลงระเริงกับ Cycle ขาขึ้น เงินสะพัดของธุรกิจ เพราะเมื่อใดที่เงินสะพัด เมื่อนั้นมันกำลังบอกถึงจุด Peak ที่อันตราย"

ในมุมกลับกัน พอเศรษฐกิจย่ำแย่ก็อย่าหลงมัวเมากับความกลัวจนไม่กล้าทำอะไร "เพราะนั่นเป็นจังหวะ ที่คุณควรกระโดดเข้ามาลงทุนมากที่สุดนั่นเองครับ"

เอ๋!! แล้วตอนนี้อยู่ในช่วงไหนครับเนี่ย (ไว้จะไปถามคุณเจริญ"เจ้าของราชา Take over เมืองไทย" ..เห็นท่านซื้อกิจการเป็นว่าเล่น"ตอนนี้ก็เล็งซื้อ Carrefour" ไม่รู้ท่านคิดอะไรอยู่!!")...น่าคิดตาม แต่ทรัพย์จาง ไม่เหมือนท่านอ่ะครับ ฮ่า ฮ่า

กลยุทธ์คุณตัน(โออิชิ)ภาค “รวยแล้วถอย..เขาเรียกรวยจริง!!”



ผมเขียนถึงคุณตันหลายครั้งแล้ว “เพราะผมชอบแนวคิดของคุณตัน” (ชื่อตัน แต่ไม่เคยตัน) ..ล่าสุดได้ยุติบทบาทจาก CEO ของโออิชิ กิจการที่สร้างมาจากศูนย์ แต่จากไปเป็นหมื่นล้าน “Cash”(เงินสด!!) โดยส่งไม้ต่อให้ เสี่ยเจริญ รับช่วงต่อไปด้วยราคาขายที่ไม่ถูก แต่ก็ไม่แพง “เอ๋!!ใครกำไรฟะ เสี่ยตันหรือเสี่ยเจริญ ตู งง!! ”(วันแรกที่ Oishi เข้าตลาด ราคา 19 บาทต่อหุ้น วันที่ขายให้เสี่ยเจริญ(เมื่อ 5 ปีที่แล้ว)อยู่ 32 บาท ..ราคาปัจจุบันประมาณ 70 บาท) เอาเป็นว่ากำไรทั้งสองเสี่ยแบบกินกันไม่ลง!!

หลายคนอาจคิดว่า โออิชิ ใหญ่มากจากร้านอาหารญี่ปุ่น “แต่ไม่ใช่!!” จุด Tipping Point ของ คุณตัน คือ “ชาเขียว” ..ผมยังจำความเมื่อหลายปีก่อนได้ สมัยที่โออิชิ เพิ่งเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นแบบ Buffet ไม่กี่สาขา ตอนนั้นผมกับเพื่อนไปกินที่สาขาแถวสีลม (ช่วงนั้น โออิชยังไม่ใหญ่เลย) ตอนนั้นผมก็สงสัยว่า ทำไมร้านอาหารเล็กๆแบบนี้ ทำชาเขียวใส่ขวดแล้วเอามาแจกให้ลูกค้ากลับบ้านฟรีๆ(ทำเพื่ออะไรวะ!!) “คือตอนนั้นยังคิดอยู่เลย ก็ชาเขียวกดเอาในร้านก็จุกพอแล้ว ไม่ต้องทำจะประหยัดค่าขวดกว่าไหม ..ร้านใครวะเนี่ย ช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลย!!” (แต่จริงๆคนไม่ฉลาดคือผมต่างหาก!!)

หลังจากนั้นไม่นาน ผมเห็น “คุณตันเอาชาเขียวโออิชิ ไปลุยตลาดจตุจักร ขายขวดละ 20 บาท” สรุปกลายเป็นว่า “มันโดน!!” ขายดีสุดๆ จากนั้น โออิชิก็เริ่ม Mass จนในที่สุดเป็นผู้ครองตลาดชาเขียวเกือบทั้งตลาด (ตอนนั้น ลิปตั้น ผู้นำตลาดชา นั่งมึน “คุณตันนี่มันมาจากไหนวะ” คือไม่ว่าคู่แข่งไหนเข้ามา ก็ไม่สามารถตี “โออิชิชาเขียว” ได้)

สิ่งที่ Thai Bev ของเสี่ยเจริญซื้อจริงๆ--ไม่ใช่ปลาดิบ แต่เป็น “ชาเขียวโออิชิ” ซึ่งคุณเจริญจะใช้เป็นหัวหอกในการทะลวงสู่ตลาด Non-alcohol นั่นเอง

ความเซียนจริงๆของคุณตัน ผมว่าเป็น “มุมมอง Vision” ซึ่งหลายคนคิดว่า คุณตันเก่งแต่กำเนิด “ไม่ใช่เลย” ถ้าใครเคยอ่าน Pocket Book ของแก “ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน” จะรู้เลยว่า “ความเก่งของคุณตันไม่ได้เก่งแต่เกิด แต่เก่งเพราะพลาดเยอะ แต่ไม่ยอมท้อ ลุกขึ้นใหม่อีกครั้งและอีกครั้ง (จุดนี้คือจุดที่ต้องยกนิ้วให้คุณตัน มันคือความ “เพียร”!!)

ผมมองคุณตันเป็น idol ในการเดินเกมธุรกิจเลยก็ว่าได้ เพราะ Key Success Factor ของคุณสามารถสรุปเป็น Stretegy สั้นๆได้ว่า “คุณต้องสู้ และจำกัดความล้มเหลว ให้เล็กที่สุด เพื่อที่คุณจะได้ลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ” วันนี้ผมเข้าใจสิ่งที่คุณตันพูดว่า “ยิ่งล้มเหลวคุณยิ่งเก่ง” เพราะมันเป็นเรื่องจริง!!

วันนี้คุณตัน ตัดสินใจอันชาญฉลาดในการออกจาก business ในตอนที่อยู่ในช่วง Peak ซึ่งก็เป็นมุมมองที่ไม่ธรรมดา ..หากเราเข้าใจ Cycle ของธุรกิจ จะเห็นได้ว่า ทุกธุรกิจในโลกล้วนมี Cycle (แต่ต่างกันที่ แต่ละอุตสาหกรรมจะมี Cycle ที่ต่างกัน คนฉลาดคือ คนที่ลงทุนใน Cycle ขาลงเท่านั้น..แล้วเก็บเกี่ยวขาขึ้น “ซึ่งคนทั่วไปมักทำตรงกันข้าม”)

หลายคนอาจเถียงผมว่า การลงทุนใน Cycle ขาลงมันยาก “ใครจะให้คุณกู้ล่ะ” ซึ่งต่างจาก Cycle ขาขึ้น ที่เงินสะพัด --“ก็นี่แหละครับโจทย์ที่คุณต้องคิดและเตรียมการ เพราะทุกธุรกิจมี Cycle ขาขึ้น แต่คนที่ฉลาดเท่านั้น ที่จะเตรียมตัวและเตรียมเงินเพื่อธุรกิจใน Cycle ขาลง)..ปกติในขาขึ้นกิจการต่างๆ จะขยายอย่างบ้าเลือดเช่น ซื้อที่ดิน ซื้อตึก ขยายโรงงาน กู้เพิ่ม สรุปพอลงทุนเสร็จธุรกิจเข้าขาลง -- จากที่เป็น “Business Man of the Year” กลายร่างเป็น “The Worst Decision ever made by a Success CEO!!” (ฮากลิ้ง ครับ)

สุดท้ายก็เพิ่มมาเข้าใจเพื่อพลาดเสียแล้ว “อ๋อ !! ที่พลาดก็เพราะลืมมอง Cycle ธุรกิจ (ผมนี่แหละเจอเอง ดันเสือกขยาย Chain ร้านอาหารไทยในช่วง Boom Cycle ของ Thai Food ใน Australia “กว่าจะรู้ตัวก็กลายเป็นควายไปเสียแล้ว !!”)

กลับมาที่คุณตัน จะเห็นได้ว่า แกเข้าใจ Cycle ของธุรกิจเป็นอย่างดี ..วันนี้แกผันตัวมาเป็น investor เพราะหลังจากที่แกผ่านประสบการณ์ธุรกิจมาอย่างโชกโชน จึงรู้เลยว่า “ที่สุดแห่งระบบทุนนิยม ก็คือนักลงทุน” เพราะเจ้าของกิจการคุณต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงไปกับธุรกิจ แต่นักลงทุนที่ฉลาด เขาสามารถทำสวน Cycle ของธุรกิจนั้นๆ และสร้างผลกำไรอย่างมหาศาล ในขณะที่เจ้าของธุรกิจเหงื่อแตก!!

สรุปนักธุรกิจทำนาบนหลังคน แต่นักลงทุน ทำนาบนหลังนักธุรกิจอีกทีหนึ่ง “นี่แหละเทพๆ!!” (ผมถึงแนะนำให้ลูกจ้าง ที่โดนกดขี่ให้ผันตัวเริ่มศึกษาการลงทุน ไม่งั้นคุณก็ยังตกเป็นเบี้ยตลอดกาล และนี่คือ หลักทุนนิยม ใครเข้าใจ คุณนั้งอยู่บนจุดที่เป็นต่อเสมอ!!)

การลงทุนของคุณตันปัจจุบัน Focus ไปที่ที่ดิน “ผืนงามราคาเป็นพันๆล้าน” ซึ่งคุณตันซื้อไว้ภายใต้ บริษัท ตัน แอสเซ็ท จำกัด เช่น ที่ดินอารีนา 10(ทองหล่อ) 14 ไร่ สถานที่ตั้งสนามบอล , Melt Me , แซบอิลี่ , Funky Villa , Yes Karaoke และ Wedding Studio ที่กระจายอยู่ทั่วทองหล่อ… ที่ดินแถบสุขุมวิท 22 …ที่ดินแถบเพลินจิต 7 ไร่(ที่แบ่งขายให้ Raimon Land ไป 6 ไร่ ราคาตารางวาละ 1.2 ล้านบาท) เหลือไว้ 1 ไร่เอาไว้ Develop ต่อไป… รีสอร์ทหรู แนวโมร็อกโก ที่ปรานบุรี มูลค่าหลายร้อนล้าน..และที่ดินที่ซื้อกระจายในที่ต่างๆ ให้โลตัสเช่า และอื่นๆ อีกมากมาย (สุดจะกล่าว!!)

แต่การที่คุณตันสามารถ ซื้อ Asset เหล่านี้ ก็เพราะคุณตันขาย โออิชิ ไปนั่นเอง นี่เป็นการขายธุรกิจออกจาก Cycle ที่ Peak ของกิจการตัวเอง จากนั้นก็เอาเงินไปลงทุนใน Prime Area ซึ่งใช้เป็นฐานในการ Develop กิจการต่อไปอย่างไม่รู้จบ

และนี่ก็คือความฉลาด ที่ผ่านการบ่มเพาะจากความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน กลายเป็นแนวทางเดิน ที่เลือกเองของ “คุณตัน” บนเส้นทางชีวิตแบบนักสู้ (เท่ห์มากครับ!!)

“คุณต้องสู้ และจำกัดความล้มเหลว ให้เล็กที่สุด เพื่อที่คุณจะได้ลุกขึ้นใหม่ได้เสมอ”

Personal Branding แห่ง “วิกรม กรมดิษฐ์” (ดังเพราะไม่อยากดัง)



วันนี้ผมว่าหลายๆคนกำลังเดินทางผิด “คนที่ดังเพราะไม่อยากดัง” –“คนที่รวยก็เพราะไม่อยากรวย” ..พูดอย่างนี้หลายคนบอกว่า ผมเพี้ยนไปแล้วหรือไง ทุกอย่างต้องเริ่มจาก “ความอยาก” ซิถึงจะถูก!!

ถ้าคุณสังเกตให้ดี ในโลกแห่งทุนนิยม มันเป็นโลกที่คนส่วนใหญ่ Fail แต่คนส่วนน้อยมากๆที่ประสบความสำเร็จอย่างสุดขีด (แต่จุดที่ดี คือ คนที่ประสบความสำเร็จอย่างสุดขีด ก็กลับผ่านความทุกข์อย่างขีดสุดเช่นกัน) หากเรามองให้ดีแล้ว คนที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก มักเป็นคนที่คิดแตกต่างจากคนทั่วไป และดำเนินชีวิตและธุรกิจแตกต่างเช่นกัน

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ “การที่เราคิดต่างทำต่าง” มันทำให้เรากลายเป็นตัวประหลาดในสายตาของคนทั่วไป ..ถ้าคุณสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่า คนที่สำเร็จอย่างสุดโต่ง เหล่านี้จะผ่านปมชีวิตที่มันไม่ธรรมดา (ที่บอกไม่ธรรมดา คือ มันโหดแบบสุดโต่ง ..หากใครอ่าน “ผมจะเป็นคนดี” ของคุณวิกรม จะเห็นเลยว่า ด้วยวัยเด็กที่โหดร้าย เจอความกดดันอย่างรอบด้าน มันทำให้คุณวิกรม เกือบจะทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่มนุษย์คนนึงจะทำได้ คือ “ฆ่าพ่อ” ..โชคดีที่คุณวิกรมยังไม่ได้ทำ!!)

ด้วยความเก็บกดอย่างขีดสุด มันแปรเปลี่ยนเป็น “ไฟอมตะ”(เหมือนหนังของแกฮะ!!) จุดนี้เป็น Tipping point ของการเดินทางในแบบของคุณวิกรม (ซึ่งหลายคนมองว่า ไม่เห็นแปลก) แต่ถ้ามองให้ลึกๆ คุณจะเห็นได้ว่า อย่าง “อมตะ ชิตี้” ที่คุณวิกรมทำมันเป็นอะไรที่เสี่ยงสุดขีด (แถมไม่เสี่ยงอย่างเดียว คือ คุณวิกรมต้องอาศัยเครือข่ายกับผู้มีอำนาจ ในการก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรม จุดนี้ลึกๆ มันคือการ Lobby ซึ่งในเมืองไทยใครๆก็รู้ว่ามันตั้งอยู่บนผลประโยชน์ขนาดไหน “หากคุณทำในช่วงเปลี่ยนรัฐบาล นั่นหมายถึงโครงการคุณต้องเริ่มรื้อใหม่--เสี่ยงโคตร!!” นั่นเพียงฝั่ง Supply แต่ในส่วนของฝั่ง Demand คือ คุณวิกรมต้องไปหาลูกค้า ซึ่งเป็นโรงงานในต่างประเทศให้มาลงทุนในไทย)

..เอ๋อ!!เห็นไหมครับว่า ถ้าคุณไม่บ้าพอคุณทำไม่ได้หรอก เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่คนปกติจะทำ (แค่พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงาน คุณก็ไม่อยากจะทำแล้ว …อิ อิ!!)

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทางเดินของผู้ยิ่งใหญ่อย่างคุณวิกรม จะดูเท่ห์ แต่ลึกๆแล้วมัน ทุกข์อย่างแสนสาหัส (และนี่ก็คือความแฟร์ ของระบบทุนนิยม ที่ท้ายสุดแล้วไม่มีใครได้อะไร หรือผูกขาดอะไรตลอดกาล ..การที่คุณได้สิ่งหนึ่งมา มันย่อมเกิดจากการที่คุณยอมเสียอีกสิ่งไป) “อย่างที่หลายๆคนเคยบอกว่า ชีวิตมันคือทางเลือก” ซึ่งถ้าคุณเข้าใจประโยคนี้อย่างถ่องแท้ คุณจะรู้เลยว่า “หากคุณต้องการทำอะไร ให้คุณเดินไปอีกทาง !!”

สาเหตที่คุณวิกรมดัง(เป็นพลุแตก ดังมากๆ) ก็เพราะว่า คุณวิกรมตัดสินใจวางมือจากธุรกิจ และเริ่มเข้าหาธรรมะ ..คุณวิกรมเริ่มตั้งแต่(การให้) “นั่นคือการเขียนถ่ายทอดเรื่องราว ด้านมืดของตัวเอง ให้เป็นอุทาหรณ์ของสังคม” และนี่แหละคือ สิ่งที่ทำให้คุณวิกรมดัง!! ไม่ใช่ที่เอามาวิเคราะห์กัน เชิงการตลาดบ้าบอ ว่า อ๋อ!!นี่คุณวิกรมใช้ Product /Price/Price/Promotion บวกกับการสร้าง Personal Branding นั่นมัน(น้ำ)ครับ!! …เพราะแท้จริงแล้วในโลกของทุนนิยมยุคใหม่ “ผู้ให้ก็คือผู้ที่ได้อย่างแท้จริง”

อย่างคุณวิกรม ไม่ว่าเขาจะเปิดเผยชีวิต หรือ กลยุทธ์ในการทำธุรกิจ อย่างลึกซึ้งหมดเปลือก แต่มันไม่มีใครหรอกครับ ที่สามารถจะรับได้หมด และทำได้อย่างคุณวิกรม (เหมือนวันนี้ Tiger Woods บอกวิธีการเล่นกอล์ฟ บอกวิธีการทำสมาธิ เอาเป็นว่าบอกเคล็ดลับทุกอย่างของตัวเอง ผมถามหน่อยว่า ถึงคุณรู้ทุกอย่าง “มันก็ไม่มีใครเหมือน Tiger Woods อยู่ดี และที่คือมนุษย์ “คุณเป็นสิ่งเดียวในโลก คุณไม่ใช่ตุ๊กตาปั๊ม ที่ใครจะมาเหมือนกันได้”)ดังนั้น คุณยิ่งให้ คนรับก็ยิ่งรักคุณ!!

คุณวิกรมเข้าใจหลักการนี้อย่างถ่องแท้ และเดินในสายของผู้ให้ ..วันนี้คุณวิกรมดังมากๆ จนช่อง 9 เอาชีวิตของคุณวิกรมไปทำหนัง ซึ่งเขาคือ CEO คนแรกที่ดังจนมีทีวีเอาไปสร้างเป็นหนังคนแรกของไทย (เอ๋อ!! อาจจะต่อจาก อาเหลียง นะ ..ฮึ ฮึ)
“ผู้ให้ คือผู้ที่ได้รับอย่างแท้จริง” และที่คือ Key Message แห่งระบบเศรษฐกิจที่โหดร้ายที่สุด -- “ระบบทุนนิยม!!”

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

(จบตอน) “เมื่อเศรษฐีจะครองโลก” กับ ค่าเงินในสายตา Banker อย่างผม



ตั้งแต่ผมเขียนบทความลง Blog จะมีคนเยอะมากมาถามผมในเรื่องของค่าเงิน เช่น เงินบาทจะแข็งไปถึงแค่ไหน หรือ ยูโรจะเป็นอย่างไร ดอลล่าห์จะมาเมื่อไหร่

จริงๆถ้ามองในเรื่องของค่าเงินผมมองมันเชื่อมโยงกันทั้งโลก โดยที่มีเงิน US Dollar เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยง (เพราะเงินสำรองถ้าไม่เป็นทอง ก็เป็นดอลล่าห์ ..ยูโรจะน้อยมากๆ)..ดังนั้นเงินดอลล่าห์จึงเป็นเงินสำรองหลักของโลกประมาณ 70% “เยอะมาก..สำหรับเงิน แบบ(แบงค์กงเต๊กอย่างดอลล่าห์)”

นักวิชาการหลายคนออกมาโจมตีว่า ดอลล่าห์จริงๆไม่ต่างจาก “แบงค์กงเต็ก” ซึ่งจะมองอย่างนั้นก็ไม่ผิด เพราะเงินดอลล่าห์สร้างจากหนี้ ไม่ได้สร้างจาก Asset ดังนั้นรัฐบาลอเมริกันสามารถพิมพ์เงินได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตราบเท่าที่ยังสามารถสร้างหนี้ได้

ปัญหานี้เริ่มมาตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา หลังจากที่อเมริกันยกเลิกการใช้ทองคำ ผูกกับพันธบัตร ส่งผลให้ Supply ของเงินเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ถ้าวัดกันตามมูลค่าเงินที่แท้จริง เงินดอลลาห์ลดมูลค่าไปกว่า 90% …ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดที่เราเผชิญอยู่อย่างเงียบๆก็คือ inflation อย่างมหาศาล

จุดนี้สังเกตให้ดีว่า ในเมื่อ 70% ของเงินทั่วโลกหมุนเวียนใช้กันอยู่ทั่วโลกเป็นดอลล่าห์ ส่งผลให้ทั่วโลก หนีไม่พ้น inflation ในทางอ้อม (ดังนั้น วิธีเดียวที่จะสามารถรักษามูลค่าของความมั่งคั่ง นั่นคือการถือ Asset ) แต่ปัญหาคือมันมี Asset อยู่มากมาย และแต่ละ Asset Class ก็มี Boom & Bust Cycle ที่ต่างกัน -นี่แหละเป็นสาเหตุของการเกิดระบบ Shadow Banking และเหล่า Hedge Fund , Private Equity เข้ามารับหน้าที่ต่อสู้กับ inflation ให้กับเงินทุน

“หากมองในภาพสมดุลย์ การพยายามรักษามูลค่าความมั่งคั่งของเงินทุน ของเหล่า Shadow Banking เหล่านี้ ส่งผลให้ ระบบเกิดความผันผวนอย่างหนัก ..อัตราการเกิดและดับของ Cycle เกิดในอัตราเร่ง (ถ้ามองภาพก็เหมือน โลกเราเป็นอ่างน้ำ แต่การที่กองทุนเหล่านี้โยกไปมา มันก็ทำให้น้ำกระเพื่อม!! “นั่นก็คือเศรษฐกิจทั่วโลกปั่นป่วนอย่างมาก”)

ช่วงก่อนผมเคยเสนอมุมมองของ เหล่า Fund Manager ชื่อก้องโลกอย่าง Soros/Buffet ที่เขามีความเชื่อที่ว่า “หากคุณสามารถ Control Supply ของเงิน ในปริมาณที่มากพอ คุณจะสามารถเคลื่อนตลาดไปในทิศทางใดก็ได้” …ซึ่งจุดนี้เป็นความจริง ที่โหดร้ายของทุนนิยม เพราะแท้จริงแล้ว คนที่สามารถเคลื่อนย้ายเงินทุนไปในที่ต่างๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยากสำหรับคนทั่วๆไป โดยเฉพาะประเทศอย่างประเทศไทย ที่มี exchange Control (ทำให้เราเสียเปรียบประเทศที่เปิดเสรีทางการเงินอย่างมหาศาล)

จะเห็นได้ว่า ด้วยข้อจำกัดที่มีมาก ในบ้านเรา ทำให้การเคลื่อนย้ายของเงินทุนไปลงทุนใน Asset Class ที่จำกัดเพียงไม่กี่ตัว เช่น หุ้น, Bond และก็ทอง (จึงไม่แปลกที่คนไทย ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนทางการลงทุนได้มาก อย่าง Fund ที่อยู่ในประเทศเสรีทางการเงิน!!)

กลับมาในส่วนของค่าเงินดอลล่าห์ ที่หลายๆคนมองว่า มันจะอ่อนไปถึงเท่าไหร่ “จุดนี้มันขึ้นอยู่กับความสมดุลย์ทางการค้า” เพราะในปัจจุบัน การได้ดุลการค้าของเอเชียในส่วนหนึ่งก็มาจาก ค่าเงินที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ส่งผลให้เราอาศัยข้อได้เปรียบของค่าเงิน มากระตุ้นการส่งออก “ทำให้หลายสิบปีที่ผ่านมา เอเชียสร้างกลไกการเติบโตของเศรษฐกิจด้วยการส่งออกเป็นหลัก”

แต่จากนี้ไป ปัญหาของอเมริกาและยุโรป ที่เศรษฐกิจเข้าสู่ขาลงอย่างแท้จริง มันเป็นทางบังคับที่เอเชีย จะต้องขยายตลาดการบริโภคภายในของแต่ละประเทศให้มากขึ้น …ถ้ามองให้ดีประเทศจีน ได้เริ่มดำเนินการขยายตลาดภายในอย่างเร่งรีบ ---ข้อได้เปรียบของจีนคือ ประเทศใหญ่ ทำให้ยังมี Room ในการขยาย Mega Project ในด้าน Infrastructure ที่ถือว่าเป็นกลจักรสำคัญอันดับต้นๆ ในการสร้างตลาดภายในประเทศให้ใหญ่ขึ้น

ผลของการตกงานของคนอเมริกาในวงกว้าง มันเริ่มจาก รากเหง้าของการ Off shore และ Outsource การผลิตราคาถูกไปยังจีนและอินเดีย ซึ่งจุดนี้เป็นส่วนสำคัญ ที่ฆ่าตลาดแรงงานในประเทศของอเมริกาเอง ..ทางแก้ของอเมริกาตอนนี้จึงแทบไม่มีทางเลือก นั่นก็คือ การพยายามลดค่าเงิน และกระตุ้นการส่งออกสู่ประเทศเอเชียแทน ..ถ้ามองในหลักของความสมดุลย์คือ หลายสิบปีที่ผ่านมาเอเชียผลิตให้อเมริกากิน ดังนั้น ต่อจากนี้อเมริกาและยุโรป ถึงคราวจะต้องผลิตให้เอเชียกินบ้าง!!

ฮึม!! แต่ในทางปฏิบัติมันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น เพราะเดิมอเมริกาเป็นตลาดบริโภคที่ใหญ่มหาศาล แต่คนอเมริกันบริโภคบนฐานของหนี้ เช่น หนี้บัตรเครดิต และ การดึงหนี้บ้านออกมาบริโภค (การ Re-mortgage ต่างๆ) ดังนั้น แท้จริงแล้วหลายสิบปีที่ผ่านมา อเมริกาบริโภคอย่างมหาศาลโดยการสร้างหนี้ (ไม่ใช่บริโภคจากรายได้ตัวเอง) ..แต่ในประเทศเอเชีย ปัญหาคือ ไม่มีเครดิตหรือความสามารถในการสร้างหนี้เหมือนอเมริกา ทำให้ตลาดบริโภคในเอเชีย ไม่มีทางที่จะโตขึ้นมาทดแทนตลาดอเมริกาได้ในระยะเวลาอันสั้น

ทางแก้ของอเมริกา ในมุมมองธุรกิจ ก็คือ การเร่งสร้างรายได้ โดยการคิด Innovation ใหม่ๆ อย่างที่ Apple ทำ แต่ปัญหาคืออุตสาหกรรมเหล่านี้ มันไม่ได้เป็น Labor intensive อีกต่อไป (แถมการผลิตหลักๆอย่างเช่น Apple ก็ส่งไปผลิตที่เมืองจีน)

ซึ่งถ้าดูในภาพนี้ มันชี้ให้เห็นได้ว่า การสร้าง Innovation ในด้าน IT ไม่สามารถตอบโจทย์….ในส่วนของ Innovation ในด้านพลังงาน ที่เรียกว่า New Energy อเมริกาเอง ก็ติดบริษัทใหญ่ที่ค้ำคอรัฐบาล เพราะกิจการเหล่านี้ลงทุนไปมหาศาล ดังนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่รัฐบาลจะสามารถผ่าด่านอรหันต์ ของบริษัทน้ำมันใหญ่ๆเหล่านี้ แล้วสร้างอุตสาหกรรมใหม่อย่าง New Energy ..จุดนี้มันชี้ให้เห็นเลยว่า Clean Energy ยังต้องเป็น Niche Market ต่อไปอีกนาน (ซึ่งกิจการที่ขึ้นมาใหม่ทางด้าน Clean Energy ก็ล้วนเป็นบริษัทลูกของ Old energy ทั้งนั้น) เว้นแต่!! Obama เป็นเผด็จการ!! (ขำขำ เป็นไปไม่ได้ครับ)

ในด้านการเมืองวิธีการแก้เศรษฐกิจตกต่ำ ก็คือการก่อสงคราม แต่ตอนนี้ถ้ามองให้ดี สงครามที่อเมริกาทำอยู่มันลาม ไปครึ่งโลกแล้ว แต่มันกลับเป็นสงครามที่ไม่ก่อให้เกิดอะไร “ไร้จุดหมาย” (เหมือนเอาทหารไปนั่งตบยุงในประเทศต่างๆ เพราะคุณไม่มีศัตรูที่ชัดเจน “มันสู้กับใครฟะ คุณรู้ได้ไงว่าจริงๆแล้ว Obama ไม่ใช่ บิลลาเดน ปลอมตัวมา!!..อิ อิ”)

จุดนี้ถ้ามองให้ดี ต่างกับสงครามโลกครั้งที่สองมาก เพราะครั้งนั้น มีศัตรูที่ชัดเจนคือ ฮิตเลอร์ และ ญี่ปุ่น (การมีศัตรูที่ชัดเจน มันถึงจะมีเหตุผลให้ ทุ่มงบประมาณมหาศาล ซึ่งผลลัพธ์ใน WW2 ก็ก่อให้เกิด Technology ใหม่ๆ ที่ล้วนเป็นพื้นฐานของ Technology ที่เป็นรากฐานสำคัญของ New Industry ตลอดศตวรรษที่ 20)

ทุกวันนี้อเมริกาเดินอย่างไร้จุดหมาย(เหมือนไก่ตาแตก!!) แต่ยังโชคดีที่ยังมี “Platform ของ US Dollar อยู่” ทำให้ไม่ว่ายังไงก็ตาม เงินอเมริกาก็ยังไม่สามารถลดมูลค่าได้มากเกินไป แถมยังคงต้องเป็นเงินสกุลหลักของโลกต่อไป เพราะตอนนี้อย่างยูโรเอง เศรษฐกิจก็เรียกได้ว่า ห่วยไม่แพ้อเมริกา ..ส่วนจีน ที่พยายามจะผลักดัน “Platform เงินหยวน” ให้เป็นสกุลเงิน ทางเลือกของโลก แต่ถ้านับระยะทาง ยังอยู่ในชั้นอนุบาล (ถ้าเป็นได้จริงก็ต้องใช้เวลาอีกนานมาก!!)

เศรษฐกิจบ้าบออย่างนี้ทั่วโลก ผมมองทางแก้ มีอยู่ทางเดียว คือ “ช่างมัน เอาตัวคุณให้รอดก่อน!!” คุณต้องมอง Asset Class ต่างๆให้ออก ว่าอะไรอยู่ใน Cycle ไหน และเข้าเก็งกำไรให้ถูกจังหวะ ..อย่างจุดที่ผมมองตอนนี้ ผมมองว่า ตลาดหุ้นเอเชียค่อนข้างดี เพราะอย่างน้อยถ้าเทียบในเชิงผลตอบแทนที่แน่นอน (เพราะตลาดหุ้นจ่ายปันผล) ผมมองว่า หุ้นเป็นอะไรที่ Safe กว่าเงินสดในระยะนี้ (ผนวกกับมุมมองในเรื่องค่าเงิน คือ ลองคิดซิว่า ถ้าคุณเป็นเศรษฐีอเมริกัน แล้วรู้ว่าค่าเงินตัวเองจะอ่อนไปเรื่อยๆ “คุณจะทำอย่างไร” …(ถูกต้อง) และที่คือที่มาของ Fund Flow ที่ไหลมายังประเทศต่างๆอย่างในเอเชียนั่นเอง)

ซึ่งหลายๆคนก็มองไปที่ Real estate และ ทอง ..แต่สำหรับผมถ้าให้เลือกทองกับ Real estate ผมว่า “ทอง” น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะ ระหว่างการปรับฐานของ “การมองมูลค่าของ Asset ทั่วโลก” ผมกลับมองว่า เราไม่ควรเอาเงินไปอยู่ใน Asset ที่เงินจม

(อย่าง Real Estate ในไทย มีคนส่วนน้อยเท่านั้น ที่สามารถเข้าถึง “ที่ดินที่มี Liquidity สูง” ..ผมยกตัวอย่างคุณตัน มีที่กลางเมืองหลายผืน พวกนี้ไร่ละเป็นพันล้าน แต่นี่แหละเป็น Real estate ที่มีสภาพคล่องสูง เพราะมันเป็น ที่ต้องการของ Developer ต่างจากที่ดิน ไกลๆราคาถูก ของ “ชาวประชาตาดำๆ” ---พวกนี้คุณจะขายใคร (มีแต่เงินจม) !!)…สรุปสั้นคือ “ที่ดินที่ดี มันแพง (ต้องซื้อแพงแล้วไปขายแพงกว่า เหมือนที่คุณตันทำ) ไม่ใช่ซื้อที่ห่วยราคาจ่ำแล้วรอความเจริญ ..เพราะด้วยการขยายตัวของเมืองแบบนี้ ชาติหน้าที่ห่วยๆนั้น คงขึ้นราคา --“และนี่คือปัญหาการเข้าถึง แหล่งลงทุนทางด้าน Prime Real Estate” ..ก็คือ “คนทั่วไปมีทุนไม่ถึง นั่นเอง!!”

ดังนั้น สำหรับนักลงทุนรายย่อย ผมมองว่า ให้วางเงินไว้ใน หุ้น , Bond (ที่มีสภาพคล่อง) หรือไม่ก็ทอง แต่ผลตอบแทนมันขึ้นกับความสามารถของคุณมากกว่า ที่จะอยู่ใน Right Asset at the right time!! ซึ่งไม่ง่าย (วัดกันที่ฝีมือครับ)
แต่อยากให้ระลึกไว้เสมอว่า ค่าเงิน , มูลค่าเงิน , มูลค่าของ Asset ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ทอง , ที่ดิน , บ้าน ,Commodity , Bond ทุกอย่างล้วนมีมูลค่าลวงตา!!-- ขึ้นลงได้เสมอตาม Demand & Supply ดังนั้น จะไม่มี Asset Class ไหนที่ดีหรือแย่ตลอดกาล ทุกอย่างล้วนมี Cycle เป็นของตัวเองเสมอ

..ผมว่าคนที่เข้าใจหลักการนี้ และสามารถเคลื่อนย้ายเงินไปที่ใดก็ได้ อย่างไม่มีข้อจำกัด คุณจะสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมหาศาล “และนี่แหละคือ เจ้าป่าแห่งระบบทุนนิยม!!”

“เมื่อคุณมองทะลุภาพลวงของมูลค่าในสินทรัพย์ต่างๆ คุณคือผู้ที่มั่งคั่งอย่างแท้จริง และถาวร!!”

(อีกไม่นาน เตรียมซื้อของ Made in USA ในราคาถูก.. ฮ่า ฮ่า "ฟันธง!!" แบงค์กงเต็ก ๆ ๆ ๆ...)

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

หุ้นดี ก็มีคนปั่นเหมือนกัน "วันหลังจะส่งพวกนี้ไปปั่นที่โอลิมปิก!!"(มันแน่มาก)

หลังจากที่หุ้น cfresh พุ่งไปแตะ Peak สูงสุดที่ 6 บาทกว่าๆ ...จากนั้นกราฟ Technical ผม "แดงเถือก ติดกัน 3 เดือน" หุ้นตัวนี้เกิดปรากฏการณ์ กดหุ้น จนหน้าเขียวมานาน..จนในที่สุดแล้ว วันที่ 17 กันยา ก็มีมือที่มองไม่เห็น เอ๋อ!! คิดซะว่าเป็นไปตามทฤษฎี "มือที่มองไม่เห็น Invisible Hand ของลุง Adam Smith" (อ่ะน่ะ กูโคตรเชื่อเลยนี่!!)

ในมุมของ Technical เราลากเส้นแนวต้าน และ Fibo ปรากฏว่า "มันแม่นเหมือนจับวาง เพราะมันราคาแตะ 61.8% หุ้นก็พุ่งสวนกลับเป็นเจ้าเข้า (วันนี้ช่วงบ่ายหุ้นวิ่งเกือบ 17% )..ใครซื้อผมไม่รู้ แต่นายแน่มาก ฮ่า ฮ่า



มันช่างเป็นการกระทำที่ "อุกอาดจริงๆ" แต่คุณรู้ไหมว่า หุ้นนี้ทำไมผมไม่บอกว่ามันเป็นหุ้นเลือดสาด (ก็เพราะมันไม่มีใครเลือดสาด ..มันเป็น Win win แบบคนซื้อได้คนขายรวย) ไม่เชื่อคุณลองดูที่พื้นฐานกิจการ

คุณลองดูปันผลของกิจการซิ "มันดีกว่าคุณซื้อพันธบัตรรัฐบาลอีก" แถมข้อดีอีกข้อ คือ มีมือที่มองไม่เห็น มาทำให้ราคาเกิดปาฎิหารย์ ...นี่แหละที่ผมพูดถึง ฮ่า ฮ่า (มันเกิดขึ้นจริงแล้ว) เอ๋อ!!แต่ช่างมันเถอะครับ ..จะว่าไป ผมก็เป็นคนนึงที่ถือหุ้นนี้ตั้งนานแล้ว(นิดหน่อยๆ) เอาเป็นว่าไม่ใช่ ต้นทุนนี้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น

ผมว่าประเด็นจริงๆ มันได้อยู่ที่คุณต้องไล่ราคาหุ้น "วิ่งไปวิ่งมา ...เหงื่อแตกเปล่าๆ" หาหุ้นดีๆ ถูกๆ แต่ปันผลดี "เก็บเอาไว้ เดี๋ยวในที่สุด ก็จะมี (มือที่มองไม่เห็น) มาช่วยดันราคาหุ้นคุณเองแหละ

Adam Smith ไม่เคยหลอกคุณ ...ฮ่า ฮ่า (ในตลาดหุ้นขาขึ้น ท้ายสุดหุ้นทุกตัวก็ต้องราคาขึ้นอยู่ดี ทำไมเราจะต้องไปเล่นหุ้นห่วยๆ ที่มันเสี่ยง ) ..คุณรู้ไหมสิ่งที่โง่ที่สุดเท่าที่ีนักลงทุนจะทำได้ ก็คือ "ขาดทุนใน Bull Market ไง" มัน...เหนือคำบรรยายจริงๆ

(ล้อเล่นนะ ไม่ได้จะว่าใคร) การเล่นหุ้น จริงๆศัตรูคุณ ก็คือ "ตัวคุณเองแหละ" คุณคิดจะชนะตลาดหุ้่น คุณชนะใจตัวเองให้ได้ก่อน

... ฝึกจิตคือการฝึกที่สำคัญที่สุด !! (ฝีมือมันแค่ 20% ส่วนจิตน่ะ 80%)

Survey ตลาดหุ้นล่าสุดจาก ทีม Money kid ฮาล่ะ!!

(รายงานสำรวจตลาดล่าสุด จาก Money Kid !!) .. (ว่าแต่ Monkey Kid คืออะไร ..ฮึมๆ)-- เราคือ การรวมตัวกันให้แน่นขึ้น ของกลุ่มคนเล่นหุ้น ที่แต่ละคนถนัดคนละอย่าง " หุ หุ ยังกับ American Dream team อะไรแบบนั้น อิ อิ" ...การพบปะของเราอาศัย Social Network และ S2M (stock2morrow) เป็นจุดเชื่อมโยง

การชุมนุมครั้งล่าสุด ผ่านห้องประชุมสำนักงานใหญ่ของเรา "ฮ่า ฮ่า Starbucks นั่นเอง" ..ก่อนหน้านี้ ภาววิทย์ กับ หนุ่ม Wizard Kid ก็ได้เปิดเผย ทฤษฎีการ Trade วันละเป็นร้อยล้านของเขา ...เอาเป็นว่า หนุ่มนัก Trade มืออาชีพของ "สถาบัน" อย่าง Wizard Kid ที่ทำกำไรวันละเกือบแสน (ทำงานอิสระแถมรายได้ขึ้นกับความสามารถ Profit Sharing..."รวยแป๊ะ" แต่ก็เสี่ยง เพราะถ้าเสีย สถาบันเขาให้จ่าย Cover เอง ..ดังนั้น Prop. Trade มืออาชีพแบบหนุ่ม Wizard Kid มันไม่ได้ง่ายเหมือนกินก๋วยเตี๋ยวแบบที่หลายๆคนคิดแน่นอน!!) "สรุปว่า วิธีการที่ Wizard Kid ใช้ มันเป็นแนวทางที่น่าสนใจไม่น้อย ตั้งแต่ Gap Theory ไปยัน "สามเหลีี่ยมทองคำ" ...แต่ก็อย่างว่าน่ะครับ "การลงทุนมันไม่ใส่ศาสตร์ แต่มันเป็น Art" อีกทั้ง Wizard kid เขาใช้เงินสถาบัน ค่าใช้จ่ายในการ Trade ก็คนละต้นทุนกับรายย่อย --​(เอาเป็นว่าเรียนรู้เป็นกำไรชีวิต แต่ของอย่างนี้สูตรใครก็สูตรใคร เขาเรียก (รสมือ) "หมู ฉึก ฉึก")

เอาละเรามาเข้าเรื่อง การ Survey ครั้งล่าสุดจากทีม Money Kid เราพบอะไร !!

ตอนนี้ความผิดพลาดอันดับหนึ่งในตลาด ก็คือ (ใช่แล้ว!!) มันก็คือ "ขายหมู" นั่นเอง (คือ คนส่วนใหญ่ที่เราคุยด้วย พักหลังมานี้ มีประสบการณ์คล้ายๆกันก็คือ หุ้นที่ตัวเองเพิ่งขายไป กลับราคาพุ่งขึ้นเป็นพลุแตก!!)
จะว่าไปแล้ว มันก็กึ่งๆจะไม่ใช่ปัญหานะ เพราะในเมื่อคุณขายแล้ว มันขึ้นต่อ นั่นก็แปลว่า อย่างน้อยคุณก็ยังได้กำไร (เพียงแต่มันไม่ได้มาก อย่างที่คุณควรจะได้ "จริงหรือ")

(ไม่จริง!! หรอกครับ) เงินที่คุณควรจะได้ ไม่ใช่ราคาที่คุณเห็น แต่มันเป็นราคาที่คุณขายนั่นแหละ เหมาะสมแล้ว ..."คุณต้องยอมรับอย่างนึงว่า เหตุการณ์การขายหมู มันเป็นภาวะทางจิตใจ ..มันแสดงว่า คุณยังไม่แก่พรรษา ให้ฝึกฝนต่อไป"

เมื่อเราได้ข้อสรุปของปัญหา "อันดับหนึ่งในตลาดตอนนี้ (ขายหมู)" ทำให้เรามานั่งคุยกันว่า .."ทำไมปัญหานี้จึงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ พบในขณะนี้" (ปั๊ดโถ่!! เส้นผมบังภูเขาจริงๆ!!) ก็ไอ้การที่คนส่วนใหญ่ขายหมู นั่นก็เพราะ ภาพรวมในตลาด "มันขึ้น"ยังไงล่ะ!!

ใจความสรุปของเส้นผมบังภูเขา ก็คือ "ในเมื่อตลาดภาพใหญ่ มันยังคงขึ้นเรื่อยๆ ถ้ามันยังไม่ถึงจุด Peak สูงสุดของตลาด ..ใครก็ตามที่ขายหุ้น "ก็คือขายหมูนั่นเอง" ..ดังนั้น จริงๆมันไม่ใช่ปัญหา แต่มันเป็นเรื่องปกติต่างหาก (อย่างหลังปี 1997 เป็นต้นมา จนถึงปี 1998 ตลาดเข้าขาลง ตอนนั้น ปัญหาที่ฮึตสุดก็คือ "ติดดอย" ดังนั้น อย่าไป เศร้าโศก เพราะมันคือ ปัญหาของการมอง Cycle ใหญ่ไม่ออกต่างหาก)

ในที่สุดเราก็มาคุยกันเรื่องวิธีแก้ในภาพใหญ่ในเวลานี้ (จริงๆก็ไม่ยากอะไรเลย)..วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับ นักลงทุนระยะยาว ก็คือ "ไม่ขาย" แล้ว "ซื้ออย่างเดียว" ...เริ่มจาก การเลือกหุ้นที่ปันผลดี จากนั้น ก็ถือไปเรื่อยๆ ไม่ขาย ..พอได้ปันผล ก็เก็บรอ จนเวลาหุ้นที่เราชอบตกลงมามากๆ ก็ให้เข้าไปซื้อ (เพราะโดยปกติตลาดจะ Correction เป็นระยะๆอยู่แล้ว ดังนั้น Value Investor ก็มองแต่ขาซื้ออย่างเดียว)

เอาละนั่นเป็นวิธีเล่นแบบนึง (ซึ่งอย่างที่บอกครับว่า ในความเป็นจริง คุณไม่สามารถ Copy ลีลาการเล่นของใครได้อย่าง 100% ...ดังนั้น สุดท้ายคุณก็ต้องพ้ฒนาวิธีการเล่นหุ้นของคุณเอง)

ตลาดเป็นการรวมตัวของ คนประหลาดๆและหุ้นที่หลากหลาย มันก็ไม่ต่างจาก "ภาพจำลองเล็กๆของสังคมมนุษย์" ที่คนแต่ละคนก็จะมีความสามารถและทำงานที่แตกต่างกัน ... คนที่ประสบความสำเร็จก็คือ คนที่หาจุดที่ตัวเอง สามารถแสดงออก ด้วยความสามารถที่เราถนัดที่สุด ได้อย่างเต็มที่นั่นเอง (หาเวทีนั้นให้เจอ ... หาวิธีการเล่นหุ้นแบบนั้นให้เจอ "เจอเมื่อไหร่ ...ชีวิตคุณจะ รุ่งพุ่งแรงชัวร์ (ฟันธง!!)" อิ อิ อิ

ศพใครอยู่ใน PTTAR และ THAI (หุ้นบั้งไฟ !!)

ตอนนี้มีหุ้นร้อน อย่างการบินไทย กำลังจะเข้าตลาดเพิ่มทุน...หลายคนถามผม "ซื้อดีไหม" ผมกระโดดโผงแล้วบอกว่า "แล้วแต่โชคชะตา และบุญกรรมของคุณ ..ฮ่า ฮ่า" ..ประเด็นมันมีอยู่ว่า ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา(2009 -2010) หุ้น IPO เรียกได้ว่า "ยิ้มกันถ้วนหน้า..กำไรเต็มๆสำหรับคนที่ซื้อหุ้น IPO" (ผมว่าหลายๆคนหวังหุ้นอย่างการบินไทยจะเป็นบ้าง.."ฮึม น่าสนใจ")

ท้าวความถึงหุ้นการบินไทยหน่อยว่า ตั้งแต่ THAI เข้าตลาดมา ก็เหมือนกับหุ้น PTTAR ในกราฟ คือ "เลือดสาด สำหรับผู้ที่ซื้อลงทุนแรกๆ" ...(ความแตกต่างระหว่างหุ้น เลือดสาดของนักลงทุนเริ่มต้น ระหว่าง THAI & PTTAR คือ ตัวTHAI เท่าที่จำความได้ ใครซื้อตอนเวลาปกติเหงื่อแตกกันทุกราย ผลประกอบการขึ้นลงอย่างกับรถไฟเหาะ (เงินมันเอาไปไหนวะ อ๋อ!! ลืมไป ใครๆก็บินฟรี ในสายการบินนี้ ..ชาติหน้ากิจการมันคงกำไรงาม อิ อิ อิ) ส่วน PTTAR แม้จะ ทำนักลงทุนที่เข้ามาแรกๆ เลือดสาด แต่ก็ให้ปันผลอย่างสม่ำเสมอ

(จากกราฟ) ถ้ามองในเชิง Technical นับ Elliot Wave พูดได้เต็มปากเลยว่า PTTAR เข้ามา IPO ในช่วง Wave C (ซึ่งเป็นช่วงที่ห่วยที่สุดในกิจการ) โชคดีคือ คนทำ IPO ก็พวกนั้นก็อิ่มกันไป -- แต่คน "เลือดสาด" ก็คือนักลงทุนรุ่นแรกๆของกิจการนี้

จะพูดได้ว่า ผมนี่ชอบกลยุทธ์ของ "เทพแห่ง Wave C" (ซึ่งก็คือ มุ่งหากิจการที่เข้า Wave C แล้วก็เข้าไปซื้อ จากนั้นก็ถือไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ..ข้อแม้อันเดียว ของผมคือ "มันต้องปันผล..ถ้าไม่ปัน ซื้อทำบ้าอะไรหุ้น ไปซื้อทองดีกว่า -- ดังนั้น หุ้นในมุมมองของผม มันต้องปันผล" ...เอาเป็นว่าเมื่อหา Wave C เจอแล้วมันหมายความว่าอะไรล่ะ (น่าสนใจไหม!!)

เมื่อเราหาแนวต้าน Wave C เจอ "ผมก็พบจุดทางสว่างของ PTTAR ไงล่ะครับ..จากจุด Low ก็ถึงเวลาขึ้น จะขึ้นไปถึงไหน (ไม่มีใครรู้ ต้องไปถามเทวดา ฮ่า ฮ่า) " ...แต่ประเด็นที่จะชี้ให้เห็นคือ
หนึ่ง การกอดหรือถือหุ้นที่มี Growth Potential เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
สอง ยิ่งหุ้นนั้นปันผลด้วย --- "ยิ่งน่าสนใจ"

กลับมาที่การบินไทย ณ ราคา เพิ่มทุนที่ 31 บาท ..ราคาต้องไปต่ออย่างไม่ต้องสงสัย แต่หลังจากนั้น ก็ลุ้นกันไป ..(ปีที่แล้ว THAI ลงไปต่ำกว่า 7 บาท) ดูแล้วเหนื่อย ปีนี้วิ่งมาแตะ 40 บาทก่อนหน้านี้ ..แล้วตอนนี้จะมาเพิ่มทุนที่ 31 บาท (ขำมาก หุ้นนี้) -- แต่ใช่ว่าหุ้นนี้จะไปต่อไม่ได้ (ไปแน่นอน เพราะถ้าไม่ไป "เสียหน้ากันทั้งก๊ก" ดังนั้น ระยะสั้นราคามันต้องไปในระดับหนึ่งล่ะ)

เขียนไปเขียนมา (งง) เอา ขอตั้งชื่อหุ้นการบินไทยว่า "หุ้นบั้งไฟละกัน" (จากนั้น ราคามันจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ เรามาดูกันไป ศึกษากันไป ขำขำ...) สู้ สู้ั

เอาเป็นว่าฝาก PTTAR กับ THAI ไปวิเคราะห์ ผสมกัน มันทำให้เราเป็นภาพหลายมิติของสังคมไทย "สังคมแห่งผู้มีอำนาจ และเลือดสาดของแมลงเม่า"

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

Low cost Airline กับผู้ก่อตั้ง JETBLUE

ตอนนี้ Low Cost Airline กลายเป็นเรื่อง intrend สุดๆ เมื่อการบินไทยกำลังจะลงมาเล่นในตลาดนี้ ..จริงๆจะว่าไปแล้ว ก่อนหน้านี้ การบินไทยก็ชิมลางเข้ามาสัมผัส "นกแอร์" แบบ งงๆ เพราะเท่าที่ผ่านมา มันไม่เวิร์ค!!

ใน Australia สายการบินแห่งชาติอย่าง Qantas ก็โดดลงมาเล่นในตลาด Low Cost Airline เช่นกัน ..คือช่วงแรกๆ ที่ตั้ง JetStar ก็ดูท่าจะไปได้ที ..แต่สุดท้ายก็เหลว ไม่เป็นท่า -- ถ้าไปดูตัวอย่าง Low Cost Airline ที่สำเร็จที่สุดในโลกต้องไปดู Southwest Airline เพราะสายการบินแห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อ Low Cost อย่างแท้จริง (ของจริงมันต้องอยู่ในสายเลือด ไม่ Fake!!)

จุดที่น่าสนใจ คือ "ความสำเร็จของ Southwest Airline คือ ความแท้ หรือ ความ Original ไม่เสแสร้ง ซึ่งนับเป็น Key Success Factor ของธุรกิจในยุค Red Ocean อย่างในปัจจุบัน

หลายคนสงสัยว่าทำไมผมพูดถึง Red Ocean ทำไมไม่ Blue Ocean อย่างที่ฮึตๆกันล่ะ ....จุดนี้จะว่าไปแล้ว ใครๆก็อยากวาง positioning ตัวเองเป็น Blue Ocean (คือมีความแตกต่างและโดดเด่น ในกลุ่ม Category ของตัวเอง) แต่พอเอาเข้าจริง (ในโลกของธุรกิจจริง) มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เขาเขียนในตำรา

คุณลองคิดดูซิว่า ถ้าคนทั่วไป อย่างเราๆท่านๆ ต้องการจะเปิดธุรกิจ มันก็หนีไม่พ้น Retail Business ซื้อมาขายไป ..สรุปสิ่งที่คุณต้องเจอ คือ เจ้าของตึกหน้าเลือดอย่าง CPN (เขาเคี่ยว หุ้นเขาเลยน่าซื้อ.. อิ อิ) นอกจากนั้น คุณก็ต้องเจอกับคู่แข่งมหาศาล -- นั่นแหละ Red Ocean !!

การเป็น Blue Ocean มันหมายถึง Innovation อย่างเช่น Apple ทำ (ซึ่งผมว่า คนไทยมีหัวทางด้านนี้น้อย)..ไม่เป็นไร คนไทยเก่งอย่างอื่นชดเชยกัน.. อิ อิ

วันนี้ผมเอา การสร้าง Career Path ของ David Neeleman ผู้ก่อตั้ง JetBlue (สายการบิน Low Cost ชื่อก้องโลก) และล่าสุดนาย David ก็ร่วมก่อตั้ง Azul สายการบิน Low Cost ลุยตลาดปราบเซียนอย่างประเทศ Brazil

"ใน 12 เดือนแรก สายการบิน Azul เคลื่อนผู้โดยสารได้ถึง 2.2 ล้านคน ...ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูงในอุตสาหกรรมการบินซึ่งย่ำแย่มาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา" จากสถิติของ Fortune500 ธุรกิจสายการบิน ให้ผลตอบแทน Return on investment -12.6% Annually ตั้งแต่ปี 1999 - 2009...ธุรกิจสายการบินขาดทุนรวม $60 billion ...ขนาด Warren Buffet ยังยอมรับรับว่า การตัดสินใจลงทุนใน US Airway เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด

แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้ David Neeleman ประสบความสำเร็จ ในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ "นี่แหละเป็นสิ่งที่น่าศึกษา" มันคือการมองโอกาสจากวิกฤตนั่นเอง

ประเทศ Brazil เป็นประเทศที่กำลังเติบโตในอัตราเร่ง มีประชากรประมาณ 200 ล้านคน แต่ระบบขนส่งทางไกลอย่าง รถไฟ ไม่ได้เรื่อง-- "อย่างแย่" ..ส่วนสายการบิน (นับต่อหัว คือเครื่องบิน 1 ลำต่อคน 1 ล้านคน ..ในขณะที่ US เครื่องบิน 1 ลำต่อคน 65,000 คน..."นี่เป็นโอกาสมหาศาล")

การจับตลาดกำลังพัฒนาที่คนส่วนใหญ่ยังไม่มีรถส่วนตัว แถมค่า Taxi แพงมาก ..ก็คือการมีรถ Shutter Bus ไปส่งตามจุดสำคัญๆของเมือง ซึ่งเป็น Value Added ที่ Neeleman ให้แก้ลูกค้าฟรี!! การลดค่าตั่วให้ถูกสุดๆ จนคู่แข่งสู้ได้ยาก และขยายธุรกิจในอัตราเร่ง "มันเป็น Business Model ที่เสี่ยง แต่จะว่าไปแล้ว มันก็คล้ายกับสมัย คุณเจริญ สร้างเบียร์ช้าง ตีตลาดไทยนั่นแหละ"(เร่งให้โต แล้วผูกขาดตลาด ด้วยต้นทุนที่รายเล็กทำไม่ได้)

"ความสำเร็จทั้งหมดนี้" ผมกลับมองว่า มันไม่ได้มาจาก Textbook แต่มันมาจากประสบการณ์ล้วนๆ ..ถ้าย้อนดูประวัติของ Neeleman จะเห็นได้ว่า เขาเป็นคนแรงตั้งแต่หนุ่ม เริ่มสร้างธุรกิจส่วนตัว Travel Agency ตั้งแต่อายุ 23 จากนั้นก็ "ธุรกิจล้มเหลวตั้งแต่หนุ่ม"

ตอนอายุ 34 เขาสร้างธุรกิจที่สอง แล้วขายให้กับให้กับสายการบิน Southwest Airline จากนั้นก็ทำงานให้สายการบินแห่งนี้ จนไต่เต้า จ่อตำแหน่ง CEO ต่อจาก Herb Kelleher --ก่อนที่เขาจะโดน Herb "ไล่เขาออก" (ตกงาน)

จากนั้นเมื่อ Neeleman อายุ 39 ปี เขาก่อตั้งสายการบิน JetBlue จากนั้นปี 2007 Neeleman ก็โดนขับออกจากสายการบินที่ตัวเองก่อตั้ง (ถ้าดูไปจะคล้ายกับ Steve Jobs ที่โดนขับไล่ออกจาก Apple ในยุคแรก)

ปัจจุบัน Neeleman อายุ 51 ปี ก็ได้ร่วมกับนักลงทุนก่อตั้ง Azul Airline ในประเทศ Brazil "และนี่แหละที่ผมบอกว่า คนที่ประสบความสำเร็จ มันไม่ได้ มาง่ายๆ อย่างที่หลายๆคนคิด" ...การทำธุรกิจมันเป็น Process ระยะยาว และสิ่งที่สำคัญที่สุดมันคือ "ประสบการณ์" ที่ไม่มีใครสามารถจะเอาไปจากคุณได้

ด้วย"ประสบการณ์"ที่มากพอ --- มันจะเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ !! (นี่คือชีวิตจริง)

ตลาดการลงทุนกับ Smart Phone (คุณจะถือ ipad หรือ iphone ดีล่ะ!!)


Smart Phone เป็นตลาดที่เริ่มมีสีสรรค์ตั้งแต่ Apple ส่ง iphone เข้ามาเขย่าตลาดเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา..ปัจจุบัน iphone มีสาวก 42 ล้านเครื่องทัั่วโลก (ส่วนแบ่งตลาด Smartphone ของโลก --- ที่หนึ่งคือ ซิมเบียนของ “Nokia” 47% ที่สองคือ “BlackBurry” 20% และที่สามก็คือ “Iphone” นั่นเองที่ 15%)

ถ้ามองผิวเผินอาจดูว่า iphone “แค่ที่สาม” แต่ถ้าเรามาดูให้ดีจะเห็นได้ว่า “ก่อนหน้านี้ Apple ไม่ใช่บริษัทมือถือ แต่อยู่ดีๆก็กระโดดเข้ามา(แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย!!) งับส่วนแบ่งตลาดโลกไปถึง 15% ซึ่งถ้ามองในอัตราเร่ง ของการสร้างฐานลูกค้าจากศูนย์ (จุดนี้ไม่ธรรมดา!!) ..มูลค่า Brand ของ Apple พุ่งขึ้นในอัตราเร่ง!! --ปีที่ผ่านมาหุ้น Apple โตขึ้นเกือบสองเท่าถึงขั้น Microsoft และ Google ต่างหนาวไปตามๆกัน..กลัวตกขอบ!! “คุณลองคิดดูว่า ถ้าคุณจะขยายบริษัทที่ใหญ่อย่าง Apple ให้โตได้ขนาดนี้ คุณต้องมีลูกบ้าไม่น้อย!!”

จุดที่ไม่ธรรมดาอีกข้อคือ “ความฉลาดของ Steve Jobs” คุณลองคิดดูว่า Nokia เจ้าตลาด มียอดขายมือถือรวมเป็นพันล้านเครื่อง แต่ตอนนี้กลุ่มลูกค้า Top of the Cream โดน Steve Jobs คาบไปกินเสียแล้ว (นี่ยังไม่นับตลาด Second Top of the Cream ที่ Blackburry เข้ามาฉกไปไม่น้อยเช่นกัน) สรุป Nokia ขายไปขายมา เจอคู่แข่งชิงลูกค้า Topๆ ไปดื้อๆ

เฮอะๆ!! มองแล้วคล้ายๆกับตลาด Banking ของประเทศไทยที่แต่ก่อนธนาคารกรุงเทพเป็นผู้นำในทุกด้าน ตอนนี้คู่แข่งแต่ละคนตอดลูกค้าไปจนเครียด!!…ดูไปดูมาในโลกปัจจุบัน ด้วยความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว การเป็น Niche Player แล้วสร้าง Niche ของตัวเองให้แข็ง กลับเป็นอะไรที่สร้างความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ..ถ้าจะให้มองผมว่ามันคล้ายกับสมัย Bakery Music สร้างกลุ่ม Niche ของเพลงแนว Bakery จนในที่สุดกลายเป็นว่า กลุ่มนี้ได้โตขึ้นกลายมาเป็น Mainstream จน RS และ Grammy เกือบปรับตัวไม่ทัน --จุดนี้ถ้าวิเคราะห์กันให้ดี หากเวลานั้น Bakery แข็งแกร่งเหมือน Apple ผมว่า ตอนนี้ Grammy ไม่รู้จะไปมุดอยู่ตรงไหนของตลาดแล้ว!!

กลับมาที่ตลาด Smartphone จะเห็นได้ว่า Target Market ของ iphone มันคือ กลุ่ม Niche ที่เป็น influencer (คือ เป็นกลุ่ม Top ๆ ของสังคม พวกที่ดูดี ไฮโซ บ้าบออะไรประมาณนั้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่ ไม่ว่าบริษัทไหนจับได้ “คุณรวยแบบไม่ต้องโฆษณา” ..ถ้าใครจำช่วงก่อนที่กลุ่มคนเหล่านี้บ้า Brand Name ก็ทำให้ LV รุ่งสุดๆ ..ต่อมากลุ่มนี้มาบ้าแนว “เชอร์ๆ” กลายเป็น No Brand หรือ “ตัวกู” เข้ามาแทน Brand Name --ตอนนี้คนกลุ่มนี้กำลังจับอยู่กับ Smart Phone มันจึงเป็นปัจจัย ที่ชี้ประเด็นบางอย่างที่น่าสนใจมากๆ!!

ในตลาดเราจะมี First Mover ที่มักจะเลือกใช้ Product ใหม่ๆก่อนคนอื่น (ซึ่งจริงๆกลุ่มนี้ไม่ใช่กลุ่มใหญ่ แต่มันเป็นกลุ่มที่มีพลังในการชี้นำสังคม โดยเฉพาะยุคนี้ ที่ Social Media กำลังก้าวขึ้นมาเป็นกลไกขับเคลื่อนกำลังซื้ออย่างมหาศาล) “ใกล้แล้วครับ The Death of Advertising!!” ดังนั้น เกมการแข่งขันในโลกอนาคต มันอยู่ที่ใครสามารถจับคนกลุ่มนี้ได้ก่อน “จะอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบ!!”

Steve Jobs บิดาของ Apple ถือว่าเป็น Marketer ตัวพ่อ ที่เก่งมากๆ ในการจับกลุ่มคน Top of the cream เหล่านี้ ถ้าสังเกตให้ดี ตั้งแต่เขาเริ่มวาง position ของ Apple ใหม่ --- จาก ipod / Macbook / iphone / ipad ทุกสินค้ามีความสอดคล้องกัน “Message ที่ Steve Jobs ต้องการสื่อ ออกไปคือ ใครใช้ Apple –(คุณ Cool !! สุดๆ)” ถ้าคิดลึกอีกนิดจะเห็นว่า Timing ของ Steve Jobs กับการเกิดของ Social Media อย่าง Facebook / Twitter / Blogging เป็นอะไรที่สอดคล้อง ส่งผลให้ Apple มาแรงสุดๆ (ถ้าเกิดความสอดคล้องระหว่าง Innovation Product ของ Apple กับ Social Media เป็นความอังเอิญ “มันก็ไม่ได้น่าตื่นเต้น” แต่ถ้ามันเป็น Planning ที่ออกมาอย่างเป็น step ล่ะ ..บอกได้คำเดียวว่ามันเหนือชั้นแบบ“ขั้นเทพ!!”)

ทุกวันนี้ผมให้ความสนใจกับ Strategy ในองค์กรของธุรกิจมากๆ เพราะยุคนี้เราได้ผ่าน ยุคของการที่เงินเป็นใหญ่ “บริษัทใหญ่สามารถเอาเงินฟาดหัวลูกน้องและลูกค้า แล้วก็นั่งแท่นผู้นำต่อไป” แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ ..หากเราดูบริษัทอย่าง Nokia ที่คุณเป็น Market Leader มีลูกค้าเป็นพันล้านคน แต่ท้ายสุดคุณกลับรักษากลุ่มลูกค้าที่ดีที่สุดของตัวเองไว้ไม่ได้
“และนี่สัญญาณมรณะของธุรกิจที่มองว่า(ทุน)และความใหญ่จะได้เปรียบ ..แต่มันผิดถนัด!!”

นี่แหละโลกของ The Next Generation ของ Business (มันไม่ใช่การที่คุณทุนหนา ใช้ทรัพยากรเปลืองๆ เน้นตลาด Mass แล้วคุณจะชนะ) หากวันรุ่งขึ้น ตลาด Mass ของคุณกลายเป็นหดหายไปเรื่อยๆ ในขณะที่ตลาด Niche ของคู่แข่ง กลับขยายจนกลายเป็น Mainstream… “คุณจะทำอย่างไร”)
“วันนี้เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ Power of Idea อย่างแท้จริง!!”

คุณคิดว่าการเข้าของ Fund Flow มัน(โง่)แค่ไหน!!


ปีนี้อย่างที่รู้ๆกันว่า "ฝรั่ง" ปีนี้ซื้อแพง และก็ขายหมู (ถ้าใครจับตาดู Fund Flow ไหลเข้าออกอย่างใกล้ชิด จะเห็นได้ว่า ตอนชุมนุมใหญ่เสื้อแดง ฝรั่งเล่นมั่วแค่ไหน)

สิ่งที่ผมเจอ มันกลับเป็นสิ่งที่แปลก "แต่เดิมการเข้าออกของ Fund Flow จะค่อนข้างชัดเจน คือ ถ้าเข้า ก็เข้ายาว ออกก็ออกยาว...แต่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ทำไม (เข้าๆออกๆ)" ..ซึ่งจุดนี้ทำให้คาดเดาการเล่นของ Fund Flow ยาก

(จากตาราง) จะเห็นได้ว่ายอดการซื้อสุทธิของ Fund Flow ตอนนี้เฉียดๆ 2 หมื่นล้าน ...สิ่งที่ผมสนใจคือ "ต้นทุนของเงิน(ช่วงเวลาเข้า)ต่างหากที่สำคัญมากกว่า" เพราะหากคุณรู้ต้นทุนเงิน คุณจะรู้ว่า จุดอ่อนไหวของราคาของฝรั่งอยู่ตรงจุดไหน

จุดต้นทุนเงินที่ผมมอง คือ เราต้องย้อนไปปี 2009 ที่ฝรั่งเข้ามาเก็บสุทธิประมาณ 3 หมื่นกว่าล้านบาท (ถ้าดูให้ดี เงินก้อนนี้มีต้นทุนที่ต่ำมาก ประมาณเฉลี่ยที่ 500 จุด (แต่ต้นปี 2010 เจอความ "งง" ของการเผาเมืองทำให้ปล่อยหมูต้นทุนต่ำไปอย่าง งงๆ ประมาณเกือบ 40% ของ Port --- จากนั้นก็กลับมาเก็บหนักๆที่ SET 800 จุด ถึงจุดนี้ถ้ามองภาพคร่าวๆ หลายคนอาจนึกว่าต้นทุนฝรั่ง "แพง"

"แต่ไม่ใช่..ผิดถนัด!!" คุณต้องสังเกตกลุ่มที่ฝรั่งซื้อ อย่างหุ้น Blue Chip ส่วนใหญ่ยังไม่ได้แพง ดังนั้ัีน ถ้าดูให้ดีจะพบว่า ฝรั่งไม่ได้เข้า โดยดูที่ Index ..แต่เขากลับดูราคาหุ้นกลุ่มที่เขาซื้อต่างหาก!! ..เพราะถ้าใครจับราคารายกลุ่ม จะรู้เลยว่า ราคาของกลุ่มพลังงานขณะนี้ ไม่ได้แพงกว่าตอนที่ตลาดอยู่ที่ประมาณ 700 จุดสักเท่าไหร่

ดังนั้น ตอนที่ฝรั่งขายหมู (แต่คนไทยกลับไม่ได้ซื้อหมู --ดันไปปั่นตัวเล็กให้ราคาขึ้นมาแทน ..เรารู้กันนะว่า กลุ่มนักปั่นคือใคร "อย่าไปพูดถึง") เอาเป็นว่าสรุปฝรั่งขายหมู แล้วก็กลับมาเก็บหมูที่ตัวเองปล่อย --- "คุณเห็นประเด็นที่ผมชี้ไหมครับ"

ตอนนี้ SET Index ขึ้นมาสูงมากๆ คนไทยเริ่มหวั่นไหว (แต่ถ้าคุณแยกออกมาดู เป็นรายตัว ภาพมันไม่ได้แพงอย่างที่คุณเห็น ...หุ้นที่ีแพงคือหุ้นตัวเล็กที่รายย่อยถือ "มันก็ควรเสียวอยู่หรอก")

สรุปแล้วรอบนี้ "คนไทยอัดกันเอง" ฝรั่งก็ค่อยๆเก็บ "หมู" ที่ตัวเองเผลอปล่อยออกมาเข้า Port คืน --"คุณคิดให้ดีว่า อย่างนี้ใครโง่กันแน่"

ล่าสุด กลุ่ม นอมินี ธนาคารอเมริกา และก็กลุ่มสถาบันการเงินในยุโรป -- พวกนี้เข้ามาเก็บหุ้น ADVANC ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาเข้า Port ไปเกือบ 100 ล้านหุ้น (ดูจากกราฟจะเห็นได้ราคาที่เขาเก็บ ADVANC มันไม่ได้ถูก แสดงว่าเขาต้องการ "ซื้อแพงไปขายแพงกว่าอีกมาก" (แล้วถามต่อไปว่า ถ้าฝรั่งเข้าซื้อ ใครขายล่ะ !! ...ก็รายย่อย กับสถาบันของเราปล่อยอีกนั่นแหละ)

ประเด็นที่ผมยกมา ผมมองว่า "รายย่อย" ตอนนี้เริ่มมึน คือเล่นๆไปแล้วหลุดภาพใหญ่ ทำให้ถูกหลอกปล่อยหมูคืนฝรั่งง่ายๆ ... "คุณสังเกตไหมครับ หุ้นที่รายย่อยปล่อยหมูออกมา มันเป็นหุ้นที่ปันผลสูง ซึ่งจุดนี้ถ้าดูให้ดี ก็คือ ฝรั่งสามารถติดหุ้นที่เขาช้อนซื้อกลับ ได้เป็นเวลานาน เพราะ "เงินปันผล + กำไรจากค่าเงินที่แข็งขึ้นๆ" --- เขาสามารถอยู่ได้นาน ในขณะที่หุ้นที่รายย่อยเล่นมันไม่ใช่ !!

ถ้าผมมองใน worst case คือ อเมริกากลับไปแย่อีกครั้ง "คุณลองคิดให้ดี ว่าหุ้นแบบไหนที่สามารถต้านความเสี่ยงได้ดีกว่า ..ถูกต้อง!!มันคือหุ้นของฝรั่งนั่นเอง"

ดังนั้น ตอนนี้ที่หลายๆคน "นั่งขำว่า" โถ!!ฝรั่งมันโง่หรือเปล่า เข้ามาซื้อหุ้นแพง (แต่หารู้ไหม รายย่อยกลับเป็นคนที่ปล่อยหมู ทิ้งหุ้นดี แล้วกระโดดเข้าไปเก็บหุ้นห่วย ...สรุปถ้ามีอะไรเปลี่ยน คนที่ซวยก็คือ คนที่ถือหุ้นห่วยไง ...น่าคิดจริงๆ)

"รายย่อย!!"

( Chart หุ้น ADVANC ช่วงที่ฝรั่งเข้ามาเก็บหนักๆ )

ค่าเงินบาท กับ เศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป


ช่วงนี้หลายๆบริษัทโดยเฉพาะธุรกิจส่งออก กำลังกลัวการแข็งค่าของเงินบาท ..ซึ่งถ้ามองจริงๆแล้ว ไม่ใช่แต่เราเท่านั้นที่แข็ง อย่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นคู่แข่งการส่งออกกับเราก็แข็งไม่แพ้กัน (อย่างญี่ปุ่น กับ มาเลเซีย ก็แข็งค่ามากกว่าเราเล็กน้อย)

ในมุมของนักลงทุน ผมกลับมองต่าง เพราะการแข็งค่าของเงินแม้จะกระทบต่อธุรกิจส่งออก แต่ก็ไม่น่าจะแย่ทั้งหมด เพราะ ในส่วนของการนำเข้าก็สามารถซื้อได้ถูกลง ดังนั้น จะประหยัดในส่วนของวัตถุดิบการผลิต แต่ในบริษัทที่ใช้วัตถุดิบทั้งหมดภายในประเทศ ตรงนี้อาจจะเหนื่อยหน่อย !!

แต่หากเรามองภาพรวม มันก็คือ Cycle ของกิจการ ซึ่งถ้าเงินบาทเราแข็งขึ้นเรื่อยๆจริง --- มันก็ดีเช่นกัน อย่างธุรกิจนำเข้าบ้านเราถือว่า "ตายสนิทมานานแล้ว" แต่ถ้าเงินบาทแข็งขึ้นเรื่อยๆ ก็อาจ "ปลุกผี ธุรกิจนำเข้า ให้เฟื่องฟูอีกครั้งก็เป็นได้" ..ผมว่านักธุรกิจที่ฉลาด ต้องมองไปในอนาคตแล้วเตรียมพร้อมกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ไม่ใช่จมปักอยู่กับ "ความหวังและความช่วยเหลือ"

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การช่วยเหลือโดยหน่วยงานรัฐบาล ผมว่า หวังถูก Lottery ยังจะง่ายกว่า.. อิ อิ"...ดังนั้นหากเราเก็งว่าเงินบาทจะแข็ง เราต้องมองไปที่ธุรกิจการนำเข้า ....ซึ่งบางคนอาจมองว่า การนำเข้า ทำให้เศรษฐกิจไม่แข็งแรง (แต่แล้วไงล่ะ!! ประเด็นก็คือ การให้ฝรั่งมันผลิตให้เรา นั่งบริโภคบ้าง ไม่ดีหรือ !!! ...ผมว่าจุดนี้ต้องมองเป็น Cycle นะ ...เพราะเอเชียเราเป็น(ขี้ค่า) การผลิตให้ฝรั่งบริโภคมานานแล้ว --พวกฝรั่งก็ไม่ต้องทำอะไร วันๆก็ Cash out กู้มาบริโภค อย่างสบายๆ)

ถ้า Cycle มันจะวนมาให้ประเทศเอเชีย กลายมาเป็น ผู้บริโภคบ้าง ...ผมกลับมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดี "โบราณว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก" เพราะน้ำมันไม่ขึ้นตลอด เดี๋ยวมันก็จะลง ดังนั้นรอบนี้ถ้าเงินเราจะแพง เราก็ควรซื้อหาของ อเมริกา และยุโรปมาบริโภคบ้าง ...สร้างฐานเครดิตเราให้ใหญ่ขึ้น --จุดนึงก็เป็นการสร้างตลาดบริโภคภายในประเทศให้โต ซึ่งมันเยี่ยมมาก!!

สิ่งที่เราจะต้องทำ --- ผมมองว่า เราก็แค่ Repeat สิ่งที่อเมริกาทำ คือ ขยายสินเชื่อ และก็ Loan ประเภทต่างๆ เป็นการขยายตลาด Credit เพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ "จุดนี้จะเป็นตัว Trigger ให้เราขยายกำลังการบริโภค ทำให้เราสามารถบริโภคสินค้าของทางอเมริกากับยุโรปได้มากขึ้น" (เฮอะๆ ..ถึงคราวเราจะมีบุญได้บริโภคของดี ในราคาถูกก็คราวนี้แหละ!!)

อย่างอเมริกา เขานั่งอยู่บนหอคอยงาช้างมานานแล้ว คนเขาทำงานน้อย กู้เยอะ และบริโภคมาก (ต่างจากคนเอเชีย ทำงานหนักกาย กู้ก็ไม่ได้ แถมไม่มีแดก !!) ดังนั้น ถ้ามันถึงคราวที่ประเทศเอเชีย จะวนเวียนมานั่งบน หอคอยงาช้างบ้าง ..จะเป็นอะไรไปล่ะ "ก็ดีซะอีกครับ!!"..จริงไหม !!

นักธุรกิจที่มองโอกาสออก ก็ต้องเน้นไปที่การนำเข้า การขยายตลาดการบริโภคภายใน และในมุมของนักลงทุนหรือกิจการ ก็เป็นจังหวะที่ดี ในการจะขยายกิจการ เช่น การไปหาซื้อเครื่องจักรใหม่ หรือ เทคโนโลยีใหม่ๆ หรือ กิจการที่แข็งแกร่งก็อาจมองโอกาสในการลงทุนในอเมริกา และยุโรป(ไปซื้อกิจการต่างชาติในราคาถูก) เป็นการใช้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็ง "นี่แหละครับถึงจะเรียกว่า มองโอกาสออก และมองการณ์ไกล"

เห็นตอนนี้มีแต่โวยวาย "บ่น ๆๆ บอกตรึงค่าเงินบาทซิ.. จำกัดการลงทุนซิ.." ("ตลก!!"..ผมว่ามันเป็นการกระทำของคนโง่มากกว่า) เพราะท้ายสุดคุณไม่สามารถต้านกลไกของตลาดได้ การฝืนกลไกของค่าเงิน ก็เหมือนการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ดูอย่างปี 1997 ต้านไปต้านมา "เงินหมดแบงค์ชาติ" สรุป เจ๊งกันทั้งหมด

นี่แหละถึงเวลาที่เราต้อง Smart ขึ้น "ไม่ต้องตื่นตูมกับเหตุการณ์ต่างๆ" ต้องมีสติ เพราะผมเชื่อว่า ในทุกวิกฤต มันก็เป็นโอกาสสำหรับคนที่มองออกเสมอ

(สังเกตให้ดี ถ้าค่าเงินบาทเริ่มแข็งมากๆ ธุรกิจต่างๆเริ่มลงทุนมากขึ้น ขยายกิจการมากขึ้น คนเราเริ่มบริโภค เริ่มกู้ บริโภคของแพงมากขึ้น "คุณเห็นเหมือนผมไหม" นี่แหละ Tipping Point ของ Asian Miracle 2 ที่ผมพูดถึง).."เตรียมตัวให้ดีครับ" --- History Repeat itself !!

(แข็งไปเจอ เส้นแนวต้านไหนดีเนี่ย!! ..ไปเรื่อยๆ ๆ ๆ)

วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

เมื่อเศรษฐีจะครองโลก เขาจะทำอย่างไร (ตอนที่ 2)


ในระดับประเทศ Infrastructure Investment ถือเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระดับ Macro เลยทีเดียว ..ก่อนหน้านี้มีการพิมพ์หนังสือออกมาตีแผ่ จากอดีต ETM (Economic Hitman) ชื่อว่า John Perkins (เล่มนี้อ่านแล้วเหมือนผจญภัยไปกับเขา จนเราต้องย้อนมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า “โลกที่เราอยู่มันโหดถึงเพียงนี้เชียวหรือ”)

หลักการในช่วงแรกของการขยายจักรวรรดิอเมริกา ก็คือ การกอบโกยทรัพยากรสำคัญๆเข้าประเทศ ซึ่งวิธีการก็คือ ใช้ ETM (Economic Hitman) นี่แหละไป Deal ..เช่น การแลกทรัพยากรประเทศนั้นๆกับการเข้าไปสร้าง Infrastructure ใหญ่ๆ เช่น เขื่อน , โรงไฟฟ้า หรือ ที่โด่งดังทั่วโลกก็ ปานามา กับการผูกขาดเส้นทางการค้าในช่องแคบ!!

หากเราย้อนเวลาไปสักร้อยปี ก่อนที่จะเกิดระบบทุนนิยม โลกเราพัฒนาไปอย่างช้าๆ แต่หลังจากนั้น ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ก็เป็นจุด Trigger ให้โลกเราพัฒนาในอัตราเร่ง ..จนมาเจอ The Rise of America ซึ่งเกิดขึ้นแรงๆภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ --“หยุดตรงนี้ก่อน!! ท่านลองคิดดูซิครับว่า ตอนแรกโลกเรา Dominate โดยยุโรป แต่ทำไมอเมริกาสามารถพลิกกลับมาเป็นผู้นำแทน” – “ใช่แล้ว!! “War !!” สงครามเป็นจุด Change ในบทบาทของประเทศอเมริกัน

ทำไมเป็นเช่นนั้น!! ..ในช่วงสงครามอเมริกาต้องทุ่มงบอย่างมหาศาลไปในระบบทางการทหาร ซึ่งผลก็คือมันเป็นจุดกำเนิดของ ยุคอุตสาหกรรมใหม่ ที่มี IT และ คอมพิวเตอร์เป็นตัวขับเคลื่อน -- อย่าง Internet ที่เป็นนวัตกรรม Change โลก จริงๆแล้วก็เป็นผลผลิตของ เทคโนโลยีทางการทหารทั้งสิ้น

ถ้าเรามองให้ดีแล้ว ยุคนี้คุณไม่สามารถทำธุรกิจโดยที่ไม่พึ่งคอมพิวเตอร์ได้ “และนี่ก็คือ Platform ของการใช้ Computer เป็นตัวผูกขาด”

“Platform” คืออะไร!! …ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า การที่เราจะยิ่งใหญ่ คนธรรมดาอาจมองที่การสร้าง ธุรกิจ เช่น การเปิดร้านกาแฟ หรือ ร้านขายของชำตามอัตภาพ แต่ในมุมมองเศรษฐี(ผู้คิดครองโลก) เขาจะมองในเรื่องของการสร้าง Platform … จักรวรรดิอเมริกาสร้าง Platform 3 หลักๆ ก็คือ

1.“Knowledge Platform” คือ “ภาษาอังกฤษ” จะเห็นได้ว่า ฐานความรู้ที่ลึกๆ และสำคัญๆของโลก คุณต้องรู้ภาษาอังกฤษจึงจะสามารถเข้าถึงได้

2.“Financial Platform” คือ “เงิน US Dollar” ที่อเมริกาเป็นประเทศเดียวที่จะพิมพ์ธนบัตรออกมาเท่าไหร่ก็ได้ นี่เรียกว่า การ Create Unlimited Supply ซึ่งจุดนี้คือการลดค่าเงินทั่วโลก และสร้างให้คนอเมริกา รวยในอัตราเร่ง (ถ้ามองให้ดี นี่คือ การปล้นจากคนทั่วโลก ผ่านค่าเงินนั่นเอง... “เศรษฐีเก่าผู้เก็บเงินไว้ในตุ่ม ล้วนเข้าใจดีว่า 30 ปีที่ผ่านมา อเมริกาปล้นมูลค่าเงิน จากเขาได้อย่างไร!!” ) -----อเมริกาเพิ่ม Supply ของเงินมหาศาล เพื่อ Funding Innovation ในด้านต่างๆ จุดนี้ทำให้อเมริกาเป็น Center ของ IPO ที่สำคัญๆ นั่นหมายถึง “อเมริกาจะเป็น Destination ของเงินทุนจากทั่วโลก” คนอเมริการวยในอัตราเร่ง ในขณะที่ประเทศที่ผลิตของจำเป็นพื้นฐานอย่างไทย ไม่มีทางตามได้ทัน (ทางแก้คือ คุณต้องไม่ซื้อ Innovation จากอเมริกา “ไม่ซื้อ Ipods” -- ซึ่งเป็นไปไม่ได้!!)

3.“Computer Platform” คือ “IT Innovation” ตั้งแต่ OS ในโลกของ Computer ซึ่งก็คือ Window , OS ในโลก Internet ซึ่งก็คือ Google …รวมทั้งส่วนเสริมของ Computer Platform เช่น Social Network อย่าง Facebook , Twitter , Apple , Blackburry (ไม่มีอันไหนเลยที่คุณ จะหนีจากมันได้ ..บ้าชิบ!!)

เห็นไหมล่ะครับว่า เพียงแค่ 3 Platform ที่ผมกล่าวมา ล้วนเป็นเครื่องมือที่อเมริกาใช้ครองโลกทั้งสิ้น ….อย่างที่ผมบอกว่า ถ้าเราไม่อยากตกเป็น เบี้ยล่าง เราจะต้องเข้าใจระบบให้ลึกซึ้งก่อน “สู้”…

เมื่อเศรษฐีจะครองโลก เขาจะทำอย่างไร “ขอกระชากหน้าให้ดูกันหน่อย!!” (ตอนที่ 1)


ในประเทศพี่ใหญ่ของระบบทุนนิยม จะมีเศรษฐีอยู่กลุ่มนึง ที่ไม่ว่าใครมาเป็น ประธานาธิปดี ก็ต้องไป “ซูฮก ปะป๋า เหล่านี้ซะก่อน” ..ตอน Obama หาเสียง หากใครจำได้ “เราจะถอนกำลังออกมาจากอัฟกานิสถาน ..ชัวร์ ๆ” แต่พอ Obama มาอยู่ในตำแหน่งประธานาธิปดี กลายเป็นหนังคนละม้วน (เอ๊ะ!! หรือว่า Obama กินยาไม่เขย่าขวด!! ..ฮิ ฮิ)

ไม่ใช่หรอกครับ..Obama ไม่ได้แตกต่างอะไรกับนักการเมืองทั่วๆไป ซึ่งในการบริหารประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม หากคุณใช้ “Pure อุดมการณ์” บทสรุปก็คือ กระสุนเจาะกบาล!! -- เฉกเช่น ประธานาธิปดี รุ่นพี่ที่เก๋าๆอย่าง Lincole และ John F. Kennedy นั่นแหละ

ไม่ว่าจะเป็นระบอบ การปกครองไหนทั่วโลก มันก็ล้วนมีเจ้ามือ “หรือปะป๋า” ทั้งนั้น …แต่ตั้งแต่โลกเราได้สัมผัสมาเรื่อยๆ ก็มีแต่ทุนนิยมนี่แหละที่ Damage น้อยสุด ..(ว่าแต่ 10 ปีมานี้ทุนนิยม กำลังเจอท้าทายจากระบอบ “เผด็จการทุนนิยม” ที่มีรากเหง้าจากสิงค์โปร์ จนถึงจีนนี่แหละ “เอ๋อ!! ระบอบเมืองไทยใช้ไม่ได้นะ เพราะหัวใจของระบอบนี้ผู้นำห้ามโกง ..อิ อิ …งั้นประเทศเราปิดประตูเลย (ฮา)”

กลับไปที่อเมริกา นักการเมืองต้องอาศัย “ทุน” หนุนหลังเป็นกลไกในการขับเคลื่อน ...ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ Obama จะเอาเงินจ่ายตรงๆ มันเป็นการเอื้อกันทางนโยบายต่างหาก ..สาเหตุที่อเมริกายัง Addicted to Oil !! อย่างสุดๆ ก็ไม่แปลกเพราะเหล่า “ปะป๋า” ล้วนมีส่วนในการลงทุนในเรื่องของน้ำมันไม่มากก็น้อย (แต่เกือบทุก ปะป๋า มีสัดส่วนการลงทุนในน้ำมันที่มากโข!!)
พูดมาซะยาว “ใครคือปะป๋า ฟะ!!” ก็กลุ่มยิวที่คุมการเงินโลกในเวลานี้นั่นไงครับ!! (คงไม่ต้องแฉ เป็นตระกูลๆ ไม่งั้น ถ้า CIA อ่านภาษาไทยออก เดี๋ยวผมคงจะถูกทำให้หายตัวไปอย่างลึกลับอีกคน..หุ หุ “น่ากลัว!!”)

ดังนั้น ถ้ามองในมุมมอง Obama แล้วการ Balance Power ระหว่าง (อำนาจกับเงิน) --- เป็น “หัวใจ”ของการเดินทาง!! ถ้าใครเคยอ่านหนังสือของ Obama “ The Audacity of Hope” มันเป็นอะไรที่สวยหรู แต่อย่างที่บอก พอเขา เข้ามาอยู่ตรงจุดนี้มันคือหนังคนละม้วน….(ผมยังจำสมัยคุณทักษิณหาเสียงเมื่อครั้งยังอยู่พรรคพลังธรรม “ผมจะทำให้กรุงเทพ รถไม่ติด!!ในไม่กี่เดือน(ผมจำตัวเลขไม่ได้)” สรุปถึงตอนนี้รถก็ยังติดอยู่ (อิ อิ) ขำขำ)

“เมื่อเศรษฐีจะครองโลก!!” เขาจะทำอย่างไร …อย่างแรก คุณต้อง establish ตัวเองเป็น “ปะป๋า” ก่อน เมื่อคุณมี นโยบาย เป็นเครื่องมือจากนั้นก็เข้าสู่ขั้นตอนของการสุมหัว (หากใครเคยดูหนังเรื่อง Skull จะเห็นได้ว่า ประเทศยิ่งใหญ่ ….ความซับซ้อนของการบริหาร ก็ยิ่งซับซ้อนตาม ก่อให้เกิดองค์กรลับๆ อย่างมากมาย และจุดนี้เป็นจุดที่เราเถียงไม่ได้ ว่ารากฐานแห่งระบบทุนนิยม ล้วนมีจุดเชื่อมโยงมายัง Origin ซึ่งก็คือ องค์กรลับเหล่านี้นั่นเอง)

ปัจจุบัน เกมของการครองโลกมันเปลี่ยนจาก “อาวุธ” มาเป็น “เงิน” จะเห็นได้ว่าประเทศเดียวที่พิมพ์เงินได้โดยที่ไม่ต้อง ใช้ “ทอง” มา Back ก็มีอเมริกาประเทศเดียว “นี่คือ อเมริกาสามารถผลิตอาวุธ(เงิน) ได้อย่างไร้ขีดจำกัด” ถึงจุดนี้คุณพอจะเห็นภาพหรือยังว่า ทำไมอเมริกามัน so powerful!!

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไม Obama ยังคง ก่อสงครามต่อไป ทั้งที่มันขัดกับจุดยืนของตัวเอง ..เพราะท้ายสุดมันหลีกเลี่ยงไม่ได้!! ..การกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างสุดโต่งมีอยู่วิธีเดียว นั่นก็คือ “War(สงคราม)!!” เพราะถ้าเราเอา History ของตลาดหุ้น S&P ของอเมริกา มาดูจะเห็นได้ว่า ภาพรวมของตลาดมันเข้าสู่ขาลงอย่างเต็มตัว (ซึ่งในมุมมองนักธุรกิจ เราอาจ จะใช้ Innovation ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ---- ซึ่งอเมริกาใช้ในสมัย Bill Clinton ที่อาศัย Silicon Valley ดึงให้อเมริการอดพ้นจาก Downturn ในครั้งนั้น

-- แต่ในมุมของนักการเมือง “เครื่องมือ” ที่ต้องใช้ มันน่ากลัวกว่ามาก นั่นก็ War นั่นเอง อย่างเช่น การที่อเมริกา เข้าสู่สงครามเวียดนาม หรือ ล่าสุดที่ลุยอิรัก และ อัฟกานิสถาน ..ทั้งหมดนี้มีจุดเริ่มจาก หลักฐานปลอมทั้งสิ้น “อย่างที่ทุกคนรู้ว่า อิรัก แท้จริงแล้วไม่ได้ ซ่องสุมนิวเคียร์บ้าบออะไร ตามที่ CIA กล่าวหา”)

เหตุที่สงครามถูกนำมาใช้ มันผูกกับเรื่องทรัพยากร และ Infrastructure investment ..หากคุณวิเคราะห์ให้ดี การลงทุนที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุด คือ “ทุบสะพาน ทุบถนน แล้วสร้างใหม่ (ทุบแล้วสร้าง)” และแนวทางการทำเช่นนี้ในระดับประเทศอย่างเร็วที่สุด ก็คือ “สงคราม” (ระเบิดเมือง แล้วสร้างใหม่!!)

ถูกแล้วครับเราไม่ได้อยู่ในโลกของ Ken & Barbie เหมือนที่เราเรียนๆกันอยู่ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย!! (วู้!! เศร้า!!)
("กลุ่ม Skull&Bones" : Skull and Bones is a secret society at Yale University in New Haven )

โฆษณาขายเมืองไทยใน World Expo (ต้อง NICHE --- it’s work!!)


ได้อ่านแนวคิดการไปจัดงาน World Expo ในเมืองจีนของแม่ทัพใหญ่ค่าย Index คุณ เกรียงไกร กาญจนะโภคิน งานนี้ถือเป็นงานช้างโปรโมรทการท่องเที่ยวที่ จัดในประเทศจีน โดยผู้เข้าร่วมจากประเทศทั่วสารทิศ ..แต่ที่โดดเด่นในงาน เห็นจะเป็น จีน / ญี่ปุ่น / ซาอุ / UAE / เกาหลี และแน่นอนเมืองไทย ..ฮ่า!!

อย่างที่รู้กันว่า จีน ทำอะไรเล็กๆไม่เป็น งาน World Expo นี้จัด 6 เดือน รองรับคนที่จะเข้าชมงานประมาณ 70 ล้านคน ..นับเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ ไทยได้โปรโมรทการท่องเที่ยว ---คุณ เกรียงไกรผู้จัดคาดว่า ในส่วนของ Thailand Pavilion คาดว่าจะมีผู้เข้าชม 10% จากทั้งงาน คือ 7 ล้านคน (ซึ่งตกวันละประมาณ 30,000 คน)

ครั้งนี้ไทยทุ่มงบค่าจัด Pavillion 599 ล้านบาท (ดูเยอะ!!) แต่ถ้าเทียบกับ จีนเอง 7,200 ล้านบาท (จัดบู๊ต บ้านมันนะ ..โคตะระ(โคตร) แพง!! -- งบนี้สร้าง Siam Paragon ได้เลย (ขำขำ เว่อร์ว่ะ !!) คือ ถ้างบเยี่ยงนี้ ผมจัดให้มีระมีระบำ “หลินปิง” รับรอง ตะลึงกันทั้งโลก!!) ..อย่างซาอุ จัดบู๊ตไป 5,000 ล้าน (แต่!!) ความแจ๋วมันอยู่ที่การท่องเที่ยว …ยุคนี้ผมมองว่าเรากำลังเข้าสู่ยุค การท่องเที่ยวแบบ “แปลก ใหม่ ใหญ่ ดัง”

อย่างในสิงค์โปร์ก็มีการลงทุนเปิด Casino ของ Sands ชื่อว่า “Marina Bay Sands” เจ้าของคือ เศรษฐีนาม Sheldon Adelson ผู้กว้างขวางในวงการ Casino ที่เพึ่งลงทุนอย่างมโหฬาร ไปใน มาเก๊า …พูดถึง Adelson เดิมเป็นนักธุรกิจที่กล้าได้กล้าเสีย แต่เร่ิมด้วยการจัดงาน Com Expo ซึ่งท้ายสุดก็ขายได้กำไรมหาศาล ก่อนนำเงินทั้งหมดมาลงทุนในกิจการ Casino นาม “Sands”

การลงทุนในสิงค์โปร์เที่ยวนี้ใช้เงินกว่า $ 5.5 billions (ซึ่งถ้ามองในระยะสั้น ตอนนี้นับว่าประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งทีเดียว เพราะ “Marina Bay Sands” ได้การเป็น Destination ของการท่องเที่ยวไปเลย แต่ประเด็นมันอยู่ที่ตอนนี้ หลายๆประเทศอย่าง เกาหลี, อิตาลี , สเปน และ กรีซ ต่างพยายามทาบทามให้เขาไปลงทุน สร้าง Casino แบบนี้บ้าง ..ซึ่งจะว่าไปแล้ว Adelson เป็นต้นแบบของการใช้ความอลังกาฬ เช่น เขาเป็นคนแรกที่เอาผนวกโชว์ระดับโลก เข้าสู่วงการ Casino และเปลี่ยนวงการ ทำให้ Casino กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของทั้ง Family

ก่อนหน้านี้ผมเคยนำเสนอเรื่องราวของ Harrah Casino ที่ดึงเอาอาจารย์อย่าง Loveman เข้ามาใช้ “สถิติ + การใช้ Reward Program” สร้างให้ Harrah เป็นที่หนึ่งในด้านของ Reward & Customer satisfaction ผนวกกับการสร้างกำไรในระดับที่สูงกว่า Average ของอุตสาหกรรมนี้มาก ..ซึ่งจุดพลาดก็คือ ความไม่กล้าเสี่ยงของ Loveman ในการไม่ตัดสินใจลุยมาเก๊าที่เป็นตลาด “Star” แถมดันไป Privatised กิจการด้วยหนี้ในจังหวะที่เลวร้าย ส่งผลให้ Harrah ปัจจุบันกู่ไม่กลับ !!

ประเด็นที่ผมสนใจก็คือ การลงทุนอย่างหนักๆของ Market Leader ในประเทศท่องเที่ยว มันเป็นเสมือนสัญญาณของการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งเมืองไทย ถ้ามองในจุดนี้ก็นับเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่ง

…โดยการจัดงาน World Expo ในคราวนี้ แม้จะใช้เงินไม่มากเหมือนประเทศอื่น --- “แต่ก็สร้างเอกลักษณ์ในความเป็นไทย” ซึ่งผมมองว่าเป็นสิ่งที่ดี --- เพราะการไปมุ่งสร้าง “แปลก ใหม่ ใหญ่ ดัง” เหมือนประเทศที่รวยๆ คงเป็นอะไรที่ผิดเป้าหมายอย่างแรง

ดังนั้น ยุคนี้ผมกลับมองว่า การโปรโมรทการท่องเที่ยวในแบบของเรา (แบบสบายๆ และการขายวัฒนธรรมเด่นๆ ในแต่ละท้องถิ่น) ถือเป็นจุดขายที่ดี …ถ้ามองไปรอบๆจะเห็นได้ SME ส่วนมากของไทย ล้วนประกอบกิจการท่องเที่ยวทั้งนั้น

….ดังนั้น การที่เราจะสามารถอยู่ในเวทีโลกและแข่งขันได้ มันจำเป็นที่เราจะต้องสร้าง “จุดเด่น และ เรื่องราว (story)” …. แต่ไม่ใช่การใช้เงินทุ่มสร้างให้หรูหรา

“ยุคนี้ Niche มาแรง ..มันคือ จุดยืนที่ตั้งอยู่บนจุดแข็งของกิจการ และหลักแห่งความพอเพียง !!”

วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553

หุ้น IPO เอาราคา snapshot มาดูกัน "มันส์หรือไม่!!"

การ IPO คือ "เติมน้ำใหม่ใส่ตลาด" คือ ถ้าน้ำเน่าพอเอาน้ำสะอาดเทลงมาก็เน่า (อิ อิ ) ไม่ใช่ พูดเล่น!! ตลาดเราก็มีน้ำดีอยู่ ไม่ใช่จะเน่าซะทีเดียว!!.. นี่ผมเอาสถิติการระดมทุนใหม่ เติมน้ำใหม่ใส่ตลาดมาให้ดู(น้ำดีบ้าง เสียบ้างเคล้ากันไป) จะเห็นได้ว่า 1 - 2 ปีนี้มีคนเข้ามระดมทุนน้อย สาเหตหลักๆ ก็เพราะตลาดหุ้นไม่ดี ....แต่หลังจากความร้อนแรง ทำตลาดวิ่งปลอดแตก แตะ 900 จุดในเดือน กันยายน 2010

ผมไม่ต้องทาย ก็รู้ได้ว่า จากนี้ไป จะมีกิจการใหม่ๆ เข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นอีกมากมาย ...ถามว่า "ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์" จุดนี้ผมว่าน่าสนใจ!!

ลองคิดดูนะครับว่า ในเวลาที่มีคนมาระดมทุนน้อย อย่างเช่น ปี2008 - 2009 ตลาดยังมีความ Panic สูงกลัวว่าหุ้นจะแย่ มันต้องพัง ทำให้หลายๆบริษัทเบรกแผนในการะดมทุน "ถ้าบรรยากาศเป็นเช่นนี้ จะส่งผลดีต่อผู้ลงทุน เนื่องจาก ตลาดไม่ดี เจ้าของก็ไม่สามารถตั้งราคา IPO สูง"

สรุปคือ เวลาระดมทุนในตลาดหมี(ตลาดแย่) คนที่ได้ประโยชน์ก็คือนักลงทุน เพราะซื้อหุ้นได้ถูก เช่น หุ้นร้อนแรงปีที่แล้ว BLA กรุงเทพประกันชีวิต ราคาIPO ที่ 13.5 บาท ตอนนี้ 30 กว่าบาท (พุ่งเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่ถึงปี) อีกหุ้นหนึ่งก็ IVL ที่ IPO ที่สิบบาท ตอนนี้ก็วิ่งไปเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์

สิ่งที่ผมอยากให้ข้อสังเกตคือ หุ้น IPO ถ้าทำในช่วงตลาดดี มันจะมีความหมายว่า IPO = It 's probably Over Value (คือ ในเวลาตลาดปกติ หุ้น IPO มันเห็นหุ้นแพง)

อย่าง AOT หุ้นท่าอากาศยานไทย ตอนที่ IPO นี่สุดร้อน ผ่านมา 6 ปี ราคากลับมาอยู่ต่ำกว่าราคา IPO อีก ..อีกตัวนึงก็ PTTAR ตอน IPO ราคา 40 กว่าบาท ทุก Brokeเชียร์ใจขาด ตอนนี้เหลือ 20 กว่าบาท (ทีตอนถูกไม่เห็นแย่งกันซื้อ ..ไม่เป็นไรผมเก็บเอง ฮ่า ฮ่า)

ประเด็นของ IPO มันอยู่ที่ว่า คุณทำเวลาไหน ถ้าทำในช่วงตลาดดี เจ้าของก็ได้ประโยชน์ แต่ถ้าทำในช่วงตลาดแย่ นักลงทุนก็ได้ประโยชน์ หลักการคิดมันก็กลับมาที่ Basic ของ Demand & Supply นั่นแหละ

พูดมาซะยาว "แล้วสรุปว่า ตอนนี้ตลาดเรา ดีหรือแย่ กันแน่" (ลองคิดกันดู อิ อิ)

((เอาผลงาน IPO มาฝาก ให้ดูกัน!!))
( พวก IPO หลัง Sub prime เขียวกัน ถ้วนหน้า!!) ...แล้วที่กำลังจะ IPO จากนี้ไปจะเป็นไง ลองคิดดู!!

(IPO ปี 2005 - 2008 ก่อน Sub prime ส่วนใหญ่ยังแดงเถือก "ขาดทุนไง!!"



วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

คุณสงสัยไหมว่าทำไม SET หุ้นที่ดีๆไม่มีสภาพคล่อง แต่หุ้นปั่นมี!!

ช่วงนี้ผมก็นั่งพล่ามว่า "เอ๋!! ทำไมหุ้นที่เขาเอามาปั่น มันมีแต่หุ้นที่พื้นฐานห่วยๆ หรือ ไม่มีพื้นฐาน" ผมเลยไปถามเซียน ..แกตอบผมมาเลยว่า "ไอ้น้อง..เอ๊งคิดดูซิ ถ้าเอ๊งเป็นเจ้าของบริษัท แล้วบริษัทนี่ ดีเยี่ยม แต่ราคาหุ้นถูกสุดขีด ..ถามหน่อย เอ็งในฐานะเจ้าของบริษัท จะขายหุ้นไหม!!" (โห..ใช่เลย ตรงประเด็นผมถึง "บางอ้อ" เลย..ว่าทำไมตลาดเรามันถึงมี Liquidity น้อยมาก

ถ้าย้อนไปดู ตั้งแต่ "วิกฤตต้มยำกุ้ง ตั้งแต่ปี 1997" ตลาดเรา พังซ้ำพังซาก ..คิดดูจากวันนั้น ถึงวันนี้ GDP ขยายตัวไม่รู้กี่เท่า รายได้คน รายได้บริษัท เพิ่มขึ้นมหาศาล... แต่ตลาดหุ้น "ห่วย" เล็กเหมือนเดิม

ปัญหาก็คือ "เจ้าของบริษัทดีๆ ก็มองว่า หุ้นตัวเองถูกเกินไป ก็ไม่ยอมขายหุ้น ..คนเห็นหุ้นนิ่ง ก็ไม่เข้ามาซื้อขาย "เข้าประเด็น -- มึงเริ่มก่อนดิ!!" ..สรุปคุณรู้ไหม ใครเริ่ม (ใช่ครับ) ก็ไอ้บริษัท เน่าๆที่ร่วมมือกับขาใหญ่ -- นี่มันเริ่มก่อนเลย --- คือบริษัทพื้นฐานแย่ๆ พวกนี้ อยากขายหุ้นตัวเอง ใจจะขาดอยู่แล้ว !!

เรื่องมันอยู่ที่การ "โคจรมาพบกัน ของ เจ้าของบริษัทห่วย กับนักปั่นหุ้น ... และนี่คือ จุดกำเนิดของความเน่า อย่างสนุกสนานในตลาดบ้านเรา"

จริงๆ ประเด็นนี้ผมได้เคยคุย กับผู้บริหารระดับสูงของ Broker แห่งนึง(ไม่ขอออกนาม) เขาก็บอกว่า "ตลาดก็อยากให้คนมาซื้อขาย ..ผมฟังไปก็ขำไป" -- ปัญหาคือ "ของมันเน่า ใครจะอยากลงทุนวะ ผมนี่ งง มาก"

จริงๆ มันต้องคุยกันที่ Fact ตลาดหุ้น คุณต้องเข้าใจว่า จริงๆมันเกิดได้เพราะ Greed (ความโลภ) .."ผู้บริหารตลาดหุ้นไทย อ่านเกมไม่ขาด แต่กลายเป็นว่า (เจ้าของกิจการเน่ากับนักปั่น อ่านเกมขาด!!) ..เขารู้นี่ว่า Greed ประเด็นเดียวเท่านั้น ที่จะชักจูงคนมาเล่นหุ้นได้ -- ไม่ใช่การจัดสัมมนา การลงทุน "โห!! เซ็ง ฟังแล้วหลับ"

ต่างกันเลย "นักปั่น นี่ปั่นหุ้นบ้า !!..ปั่นปั๊บพุ่ง !! --- คนแรกเห็น เข้ามาซื้อ "อ้าว!! เฮ้ย (มันรวยเว้ย!!) ..คุณคิดดู อยู่ดีๆ เพื่อนคุณลงไป 1 แสน ได้มา 3 เท่า ..(หันไปข้างๆ เดี๋ยว เพื่อนอีกคนได้เงินอีกแล้ว !!...) ...คุณคิดดู สุดท้าย "ทนไม่ได้ ต้องเข้าตลาด " ...แต่ปรากฏว่า พอเข้ามาหารู้ไม่ "ไอ้หุ้นร้อนแรง --พุ่งๆ.. มันไม่มีพื้นฐานสักตัว"

"เป็นอะไรที่น่าสงสารจริงๆ แต่ทำไงได้ --ก็กูอยากรวยบ้างนี่ !!" ไม่รู้ล่ะ ผมโทษ กลต. ก่อนเลย ไม่ยอมเป็นหูเป็นตา ...อ้าว สรุป ตกลงคนผิด ไม่ใช่ความโลภของมัน กลายเป็น กลต. กับ ตลาดหุ้น "เป็นแพะ ไป อิ อิ"

ผมว่าจริงๆ นะทางออก คือ ตลาดหลักทรัพย์ ต้องเข้าไปคุยกับเจ้าของกิจการ ต้องไปคุยกับ Broker ไปคุยกับรายใหญ่ ..ไปเอาของดีมาให้เล่นกันบ้าง --- ไม่ใช่ให้เขาไปนั่งจับกลุ่มกันมืดๆ "หุ้นที่ แรงขึ้นมาก็เลยมีแต่ อีแบบ -- มืดๆ แบบนี้ ผมว่ามันเศร้านะเนี่ย"

เอาว่าฝากไว้ ไม่ว่าจะเป็นตลาด กลต. หรือ ขาใหญ่ นักปั่นน่องเหล็ก ..คุณไปเอาหุ้นดีๆมาเล่นบ้าง "อย่าเรียกปั่นเลย ฟังแล้วห่วย เรียก โครงการ คืนสภาพคล่องสู่หุ้นพื้นฐานดี ดีกว่า"

ปัญหาวันนี้ ผมว่า ทุกคนมองสั้น ต้องการทำเงินเร็ว "ตลาดเราเลยไม่ไปไหน" จริงๆ SET มันควรเลย 2,000 จุดไปเป็นชาติแล้ว ..คุณดูเจ้าของหุ้นที่เก่งๆ อย่าง BJC , IVL , BLA , CPF หุ้นพวกนี้เจ้าของเขามองยาว ราคาหุ้นวิ่งสุดๆเขาก็ไม่โกยกำไร ทุบหุ้นตัวเอง ...อย่างนี้สิครับ ตลาดมันถึงจะคึกคัก

ไม่ใช่ไอ้ หุ้นสามวันขึ้น สองวันทุบ "บ้าหรือ" ...ผมว่า กินยาวๆ พอหุ้นคุณแพงติดลมบน ในที่สุด "ราคาหุ้น คูณ กับจำนวนหุ้น ก็จะกลายเป็น กิจการระดับ เป็นหมื่นเป็นแสนล้าน" ดู IVL พอติดลมบน คราวนี้ทุนต่างชาติก็สามารถลงในกิจการคุณได้ เพราะมันใหญ่พอให้เขาเล่น ---- "ไอ้อย่างปัจจุบัน ไม่มีการซื้อขายไม่มีสภาพคล่อง ไม่ไหวๆ"

ดูกันไป จริงๆโอกาสมาแล้ว ผมว่า ทุกคนควรให้ความสำคัญกับตรงนี้นะ "ช่วยกันๆ"

"คืนสภาพคล่องสู่หุ้นพื้นฐานดี อิ อิ" น่าจะดี.... (หยุดคืนสภาพคล่องสู่หุ้นห่วยที่ทำกันอยู่ตอนนี้เถอะครับ มันทุเรศ!!!)

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ราคาหุ้นในตลาดวันนี้ "ใช่ราคาที่เจ้าของหุ้นส่วนใหญ่ยอมขายหรือเปล่า"



คำถามเด็ดประจำวันนี้คือ (ราคาหุ้นในตลาดวันนี้ "ใช่ราคาที่เจ้าของหุ้นส่วนใหญ่ยอมขายหรือเปล่า"!!)--- (นี่เป็น คำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวของผม วันนี้เลย ..ตอนเย็นกลับบ้านมานั่ง "ติ๊ง!!" --- มันโดนจริงๆครับ!!

เย็นนี้ผมเพลินๆ ก็เข้าไปเช็คราคาปิดของหุ้นต่างๆ สิ่งที่ผมสังเกตเห็นในหุ้นหลายๆตัวคือ "ราคาหุ้นมันตก แต่ Volume มันกลับน้อยมากๆ" ผมก็มานั่งนึกนะว่า มันหมายความว่าอะไร !!!

มันก็หมายความว่า "ไอ้ราคาที่ตกๆ นั่นน่ะ ไม่ใช่ราคาที่เจ้าของหุ้นส่วนใหญ่ ยอมขาย(น่ะซิ) ...ดังนั้น การที่ราคาของหุ้นตัวนั้นๆตก และ Volume ลดลง -- มันก็อาจหมายถึง มีใคร ต้องการมาทุบหุ้น เพื่อเก็บหมู ..ถูกไหม!!"

อีกประเด็นที่มัน โผล่เข้ามาในสมองผม อีกอย่างก็คือ "ทุกวันเรามักจะเอาราคาปิดของหุ้นที่เราถือ มาคุณกับจำนวนหุ้นที่เราถือเพื่อ หาว่า "ตกลงแล้ววันนี้ คุณรวยขึ้นหรือจนลง เท่าไหร่" (บ้าหรือ!! ทำอย่างนั้นเพื่ออะไร!!) ..ผมว่า มันผิดประเด็นสุดๆ

คุณลองนึกดูนะ สมมุติวันนี้ คุณถือหุ้น PTT อยู่ (สมมุติคุณซื้อมาในราคา 250 บาทต่อหุ้น) ..อยู่ดีๆก็มี "กลุ่มนักสู้แดนมืด!!"กลุ่มนึง เข้ามาทุบหุ้น PTT เทขายอย่างหนัก จนราคาหุ้น PTT ตกไปเหลือ 150 บาท --- ผมถามหน่อยคุณรู้สึกอย่างไร

หนึ่งถ้าคุณเป็นพวก Panic หน่อย "คุณก็จะวิ่งออกมาที่ถนน แล้วตะโกนขึ้นว่า "ไอ้บ้าเอ๊ย..หุ้นทำกูหมดตัว ..เลวชาติชั่วจริงๆ " จากนั้นเมื่อคุณตะโกนเสร็จ พรุ่งนี้เมื่อตลาดเปิด คุณก็จะเตรียมขายทิ้งทันที

สอง มีอีกพวกนึง "เขาเรียกตัวเองว่า VI (Value Investor) เขาใช้สมองที่จริงๆ ไม่ได้ลึกล้ำอะไร คำนวณอย่างดีแล้วว่า ในราคา 250 ที่เขาซื้อเป็นราคาที่ไม่แพง แถมได้เงินปันผล เป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่า ... เมื่อ นาย VI เห็นราคา PTT ตกลงไปที่ 150 บาท --เขากลับตะโกนว่า "อุ๊แม่เจ้า มันถูกมากๆ" จากนั้นเมื่อตลาดเปิดในวันต่อไป เขาก็เตรียมจะเข้าไปช้อนซื้อ เท่าที่เขาจะทำได้

ตัวอย่างที่ผมยก มันเป็นการสะท้อน มุมมองต่อราคาหุ้นในตลาด "เพราะแท้จริงแล้ว ราคาหุ้นที่คุณเห็น มันเป็นการเปลี่ยนมือของคนไม่กี่คน ที่ซื้อขายหุ้นในวันนั้นๆต่างหาก ดังนั้น การที่ราคาหุ้นมันขึ้นหรือลง -- คุณแน่ใจแล้วหรือว่า "นี่ไม่ใช่กับดัก ที่ล่อให้คุณ ทำอะไร โง่ๆ" (คุณเข้าใจประเด็นผมไหมครับ)

"ราคาที่คุณเห็น (เช่น หุ้นตกอย่างแรง) มันไม่ได้แปลว่า คุณจนลง ...คุณต้องดูให้ดีว่า ปัจจัยต่างๆ มันเปลี่ยนหรือเปล่า "นี่แหละสำคัญกว่า ราคารายวัน" -- คุณลองดูซิ กิจการยังกำไรเหมือนเดิม หรือเปล่า ..ปันผลเหมือนเดิมหรือเปล่า หรือปัจจัยที่เข้ามากระทบ มันทำให้บริษัทแย่จริงๆหรือเปล่า (ต้องคิดลึกๆ อย่าไปบ้าตามภาพลวง)

กิจการที่ผมซื้อแต่ละตัวผมต้องศึกษาให้มั่นใจก่อนว่า "มันมีพื้นฐานที่ดี" อย่างเช่น ผมซื้อ PTT กับกลุ่มโรงกลั่น ...ถ้าพรุ่งนี้ PTT Group เจ๊ง ผมถามหน่อย ประเทศไทยเดินต่อไปได้ไหม ---"ปาด ปาด ..ไม่ได้" ...นี่ถ้า PTT Group อยู่ในอเมริกา ผมว่าป่านนี้โดนฟ้อง Anti-trust (ผูกขาดตลาด) เหมือนที่ Microsoft โดนแล้ว

ยกให้ดู ขำขำ ..เอาเป็นว่า "เวลาหุ้นคุณราคาขึ้นลง อย่าตกใจ --ตื่นตูม ...ดูให้ดีๆ ว่าเขาหลอกให้คุณปล่อยหมู หรือเปล่า" ....เก็บหมูไว้ครับ ตอนนี้ Inflation กำลังไล่จี้ตูดเราอย่างเสียว!! (ถ้าจะเก็บเป็นเงินฝาก หยุดเลยพี่ ใส่ตุ่มไปเลย มีค่าเท่ากัน เดี๋ยว inflation ก็กินจนหมดค่าอยู่ดี)

ระวัง!!! เหนื่อยๆ ๆ Inflation "มันโหดจริงๆ"

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ