วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เก็บตกมาฝาก บทเรียนที่หนึ่ง ของ The Stock Master ..."ความเสี่ยง"
ในที่สุดก็ คัดผู้กล้ามาได้ 28 คนที่เป็นตัวแทนจากทุกสาขาอาชีพ ...จุดเด่นของภารกิจ The Stock Master คือ "การ Ride หรือ ขึ้นขี่จักรยานของจริง ...ผ่านความโลภและความกลัว ที่เราเรียกว่า Greed & Fear" ...เพราะเงิน 1 แสนบาทที่วางไว้ข้างหน้าของแต่ละคนคือเงินของเขาเอง ...มันจึงไม่ใช่การเล่น Click2win..ที่ Click กันมันส์ แต่ไม่ได้อารมณ์ มิน่าละ ..หลายคน คลิ๊กเท่าไหร่ก็ไม่เป็น "มันต้องขี้จักรยานจริง ..ล้มเข่าแตกเล็กๆ ..ถึงจะเข้าใจว่า การขี่จักรยาน หรือการลงทุนจริง มันคืออะไร" -- สิ่งที่อยากปลอบใจคือ "เมื่อคุณขี่เป็นแล้ว ...คุณจะขี่เป็นชั่วชีวิต ...และ การเดินทางสู่ความมั่งค้่งของคุณในแต่ละจุด ก็จะเร็วกว่าคนส่วนใหญ่ เพราะคุณรู้จักให้เงินทำงานนั่นเอง"
ครับ!! การเดินทางครั้งนี้ ของคุณ ไม่พึ่งโชค ..เพราะเราไม่ต้องการสร้าง "สามล้มถูกหวย" อีกคนในตลาดหุ้น ที่ได้เร็ว เจ๊งไว กลับไปจนเหมือนเดิม ..แต่เรา The Stock Master อยากสร้าง คนที่เข้าใจกลไกของความมั่งคั่ง ว่าไม่มี Overnight Success ..การลงทุนเสมือนการปลูกต้นไม้ ที่ค่อยๆ โต ...และโตด้วยการ วางแผน ...ใช่!! ในมุมของเรา ความรวยไม่มีฟลุ๊ก แต่เกิดจากการวางแผน และ ความอดทน ที่จะเดินทางอย่างมุ่งมั่นสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้
...มาเดินทางกัน!!
บทเรียนที่หนึ่ง "ความเสี่ยง"
หลาย คนพูดถึงความเสี่ยงต่างๆ นานา ...แต่ถามจริงๆ เถอะ คุณว่าความเสี่ยงมันอยู่ที่ไหน -- ถามปั๊บ หลายๆ คนชี้ไปที่หุ้น ไปที่ตลาดหุ้น ไปที่ตลาดการเงิน ...แต่หารู้ไม่ ...เงินฝากธนาคารคุณเอง หากคุณไม่เข้าใจว่า เวลาไหนควรฝาก คุณยังอยู่ในความเสี่ยงเลย ...หรือ อย่างสิ่งที่สอนกันในวิชา Finance อย่างดิบดีว่ามันคือ Risk Free Asset อย่างพันธบัตรรัฐบาล ...ถามหน่อย !! ให้คุณวิ่งไปซื้อพันธบัตร กรีซ , สเปน ..คุณกล้าไหม!! ..ทั้งที่เขาเจริญกว่าไทย ...แล้วคิดว่า ในอนาคต เราจะไม่เข้า Cycle แบบเขาบ้างหรือ ...สิ่งที่ผมอยากจะชี้ ไม่ใช่ ชี้ให้กลัว แต่ชี้ให้ตาสว่าง ...ว่าสิ่งต่างๆ ล้วนไม่เที่ยง วิ่งเป็น อนิจจัง เป็น Cycle ...มีขึ้น ขึ้นลง ...มีลง ลงสุด ..แล้วขึ้นใหม่ ขึ้นสุด ...ลงใหม่ ลงสุด
ใช่ครับ!! ความเสี่ยง ไม่ได้อยู่ที่ Asset ไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือการเงิน ...แต่อยู่ที่ "ตัวเรา" ...คำว่า "ตัวเรา" คือ ความเข้าใจของเราต่อสิ่งที่เราลงทุน หากคุณไม่มีความเข้าใจ (ไม่ศึกษาให้รู้จริง)...เงินฝากธนาคารหรือพันธบัตรรัฐบาล ยังโคตรเสี่ยงสำหรับคุณ --- หลายคนหันหลังให้กับการศึกษาเรื่องการเงิน โดยหารู้ไม่ว่า ชีวิตเราถูกขับเคลื่อนโดยเงิน ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม
วันนี้ทุกคนพูดว่า "ฉันอยากมีอิสรภาพ" แต่วันๆ นั่งทำงานอย่างหนักเพื่อรับเงินเดือน ต่างเหงื่อและ แรงงาน เพียงได้เงินมากพอ ที่จะดำรงชีวิต ...ครับ!! คุณขายแรงงาน และ เวลาของคุณ แลกเงิน ..ดังนั้น คำว่า "อิสรภาพ หรือ Freedom" มันจะมีแก่เราเมื่อเรามีเงินมากพอที่จะซื้ออิสรภาพนั่นเอง
ถ้า วันนี้ คุณอยากจะ "หยุดทำงาน" สิ่งที่คุณต้องมี คือ Cash Flow หรือ เงินที่วิ่งเข้ามา ในแต่ละเดือน มากกว่า ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ...ถ้าใครสามารถหยุดทำงานแล้วยังมี Cash Flow ไหลเข้ามา มากกว่า ค่าใช้จ่าย อย่างสม่ำเสมอ ...นั่นแหละ "อิสรภาพทางการเงิน" ...เอาล่ะก่อนจะถึง Step ของอิสรภาพทางการเงิน(ด้วยตัวเราเอง) ผมขอกลับไปที่ Step ของการสร้างเงินก่อน ว่า ประเด็นแรก คุณเข้าใจเรื่องการวางแผนจริงๆ สู่ความมั่งคั่ง ด้วยตัวคุณเองหรือยัง
"ความเสี่ยง" ...จริงๆ แล้ว ผู้ที่จะรวยทุกคน ไม่ใช่คนที่ focus อยู่ที่การจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ ...ไม่ใช่!! ..หากแต่ผู้นั้นต้องเข้าใจ กลไกของการ Control Risk หรือ การจำกัดความเสี่ยง ให้ได้เสียก่อน
ถ้าถามว่า ในตลาดหุ้น มีสิ่งใดที่เราสามารถ Control ได้บ้าง ... แน่นอน ++ ไม่ใช่ผลตอบแทน เพราะไม่มีใครรู้ว่าอนาคตตลาดจริงๆ จะเป็นอย่างไร ...แต่สิ่งที่คุณสามารถกำหนดได้อย่างเดียวคือ จุดจำกัดความเสี่ยง ที่เราสามารถตั้งได้ เช่น ใครก็ตามที่บอกว่าเขารับความเสี่ยงได้เท่าไหร่ หากเขามีวินัย หรือ สัจจะเพียงพอกับแผนการลงทุน เขาจะไม่มีทางเจ๊ง หรือ เสียหายมากกว่า จุดที่เขา Control ความเสี่ยงมากมาย ...ดังนั้น คิดให้ดี คนที่เสียหายหนักๆ จากการลงทุน มันแปลอีกนัยว่า เขาไม่รู้จัก "ความเสี่ยง" ...หรือ เขารู้จัก แต่เขาก็ไม่รู้จักการ "จำกัดความเสี่ยง" ...ถึงได้เสียหายนั่นเอง
การสอนในวันแรก เราโยนโจทย์ให้ The Stock Master ทั้ง 28 ท่านว่า
"ในกลุ่มนี้ ใครทนความเสียหายได้ น้อยกว่า10% บ้าง"
...ไม่มี!! -- งั้นแปลว่า เงิน 100,000 บาท ของทั้ง 28 คนนี้ "คุณสามารถเสียได้ 10% ก็คือ เสียได้ไม่เกิน 10,000 บาท" ...โอเคไหม!!
ดี มาก ...สิ่งที่เหล่า "เจได" จะให้การบ้านคุณคือ ...ไปเลือกหุ้นมา 5 ตัว วางว่าจะซื้อเท่าๆกันคือ ตัวละ 20,000 บาท แล้ว จำกัดความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัวไว้ที่ 10% ..นั่นหมายความว่า ถ้าคุณเลือกเข้าตัวไหน แล้วมันดันไปตรงข้ามกับสิ่งที่คุณมอง ...ยกตัวอย่าง คุณซื้อ INTUCH เพราะมัน Break Trendline (ซึ่งแสดงแนวโน้มขาขึ้น) ...แต่พอคุณซื้อ มันดันลงสวนทาง ...กฏคือ คุณต้องขายทิ้งทั้งหมด ถ้า INTUCH ราคาลงมาถึง 10% ซึ่งเป็นจุด Cut Loss ของคุณ ...ลองคิดดูนะ สมมุติ คุณเลือก INTUCH แล้วมันพลาด ...สิ่งที่คุณจะเสียคือ 10% ของเงิน 20,000 บาท ...ซึ่งก็คือ 2,000 บาท -- "นั่นแหละความเสี่ยงสูงสุด ของแต่ละตัวใน Port ของคุณ ก็คือ แต่ละตัว คุณจะเสียหายไม่เกิน 2% ของเงินทั้ง Port ของคุณ 100,000 บาท"
นั่นแหละ การบ้าน ...คือ เราให้คุณไปหาหุ้น 5 ตัว ที่คุณจะ Trade ...โดย ในครั้งแรก เราให้คุณไปลุยหาเอง ...ไปลองตี Trendline เอง ซึ่งผม Guide ให้นิดนึงว่า ...การตี Trendline หาหุ้น "ขึ้น" ...เรามีการตีได้ 2 แบบ ...โดยจุดที่เราตีใช้ "ยอด ชน ยอด" ...ซึ่งสามารถตีได้ทั้งแนวนอน และก็ แนวเฉียง
โอเค!! หลายคน อาจจะคิดว่า ทำไม ผมแทบไม่สอนอะไรเลย แต่ให้คุณไปลองผิดลองถูกแบบเสี่ยงๆ ..."แต่คิดดีๆ นะ " ...ผมได้จำกัดความเสี่ยงโดย Portfolio Management ให้คุณแล้ว ...ผมบอกว่าให้คุณ เลือกหุ้น 5 ตัว ...ดังนั้น ไม่ว่า หุ้นตัวไหน คุณจะว่าสวยอย่างไรก็ตาม คุณก็สามารถซื้อได้เพียง20% ของ Port เท่านั้น ...ดังนั้น ถ้าคุณดันเลือกหุ้นแต่ละตัวได้ "ห่วยแตก" ..สิ่งที่คุณจะเสียคือ แค่ 10% ของหุ้นตัวนั้น ...ซึ่งเทียบเท่ากับ คุณจะเสียเงินแค่ 2% ของ Port ทั้งหมด
เอาล่ะครับ ...อย่ารีรอ ..."ไปเริ่มขี่จักรยานได้แล้ว" ...หนทางนับหมื่นลี้ เริ่มที่ก้าวแรก ...หากคุณไม่มีความกล้า -- เมื่อไหร่คุณจะขี่จักรยานเป็น!!
สิ่ง ที่ผมคาดหวัง จากคุณ The Stock Master คือ การเข้าใจ "การ Diversify หรือ กระจายความเสี่ยง" ..และ การ Control Risk...และผมหวังลึกๆ ว่า ใน 5 ตัวที่คุณเลือก คุณอาจจะโดน Cut Loss สัก 2 ตัว ...ส่วนอีก 3 ตัว คุณน่าจะเลือกหุ้นที่ Break ได้ถูกทาง ..แล้วอย่าลืม Let Profit Run ...โดย ใช้เส้น Moving Average ที่ "เจไดเอก" สอนคุณ ...เอาเส้น Moving Average (EMA) 10 วัน เป็นตัว Let Profit Run ในหุ้นที่เลือกถูกละกันครับ
การ Let Profit Run ก็คือ การยกจุด Stop Loss ตามราคาขึ้นไป ..."ตราบใดที่ ราคายังวิ่ง อยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยก็ถือต่อไป ...เมื่อไหร่ที่ราคาหลุดเส้นค่าเฉลี่ย ..คุณก็ ออกได้กำไร" ...ส่วนเส้นค่าเฉลี่ยจะใช้ 10 วัน หรือ 5 วัน หรือ 25 , 35 ...คุณเลือกสักเส้นที่คุณทนได้ละกัน
"นี่คือ บทเรียนที่หนึ่ง" -- ขอให้ทุกคน ไปลองจริง ...จากนั้น ครั้งต่อไป เรามาเรียนในวิชา "เจได" ขั้นต่อไป
แล้วเจอกัน "เหล่า Stock Master"
โชคดีครับ!!
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 จุด ในงบการเงินที่ใช้ในการจับผิด จับโป๊ะหุ้นเด็ด !! 1. ’Net Profit Margin’ …ขาย 100 บาท ได้กำไรกี่บาท ? …ยิ่งเยอะ ก็ยิ่งแสดงว่า การแข่งขั...
-
6 หลักการ คัดหุ้นปันผลดีเติบโตแล้วเลี้ยงเราได้ไปยาวๆ หลักการนี้สำหรับ คนชอบซื้อแล้วถือ กินปันผลยาวๆ 1. ‘หุ้นมี Market cap ขนาดใหญ่‘ …หุ้น...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
-
'ทฤษฎี กับ การปฏิบัติ ต่างกันอย่างไร ?' ประเด็นนี้ ผมเจอน้องๆ นักศึกษามาถาม ..เค้าคงอยากรู้ว่า สิ่งที่เขาเรียนในทฤษฎี เวลาเขาไป...
-
6 ข้อดี ของสงครามการค้าระหว่าง จีนกับอเมริกา ต่อเศรษฐกิจไทย …เรารู้กันอยู่แล้วว่า สงครามอะไรก็ตาม มันไม่ดี …งั้นเราลองมา Explore ข้อดี เผื่...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
7 ข้อ ‘มิตร’(ฉาชีพ) กับ การลงทุน 1. ‘คนที่โกงเราได้คือคนที่เราไว้ใจ’ …ถ้าเราไม่ไว้ใจเราคงไม่เอาเงินให้เขาตั้งแต่แรก 2. ‘ข้อเสนอของเขามัน T...
-
6 ข้อ เศรษฐกิจและการลงทุนยุค Trump 2.0 1. ‘นโยบาย American First’ …Trump จะทำทุกอย่างให้อเมริกาได้ประโยชน์ เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจ 2. ‘Dere...
-
6 ข้อ โลกเปลี่ยน มันจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ? 1. ‘ของแพงจะขายดีขึ้น ของถูกจะขายแย่ลง‘ …ของแพงคู่แข่งน้อย เพราะสร้างยาก ต้องสร้าง Brand …ส่วน...
-
5 ข้อ ชวนคุย Generation และการเปลี่ยนแปลง วิธีคิดและการใช้ชีวิต เราแบ่งมนุษย์เป็นหลายแบบ ถ้าแบ่งตามภูมิศาสตร์ คนแต่ละประเทศก็แตกต่างกัน …แต...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น