แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"The Idea Rider" เงินสร้างได้จากแนวคิด


ช่วงนี้ ผมพยายามเสาะหา Idea การทำธุรกิจใหม่ๆ เอามานำเสนอ ...ก็พอดีกับทาง Asiasoft เข้ามา Roadshow ที่หลักทรัพย์บัวหลวง เราได้ คุณ ปราโมทย์ ถ้าถามว่า เขาคือ ใคร ก็ตอบง่ายๆ ก็คือ "เขาเป็นเจ้าพ่อเกม Online ที่วันรุ่นทั่วฟ้าเมืองไทย ติดเหมือนยาบ้านั่นแหละ" ...

คำถามแรกที่เรายิงตรงสู่ คุณปราโมทย์ ก็คือ ธุรกิจ Asiasoft ทำเงินได้ไง ...อ่ะ !!

"ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือ เราเหมือนเป็น เจ้าของโรงหนัง ที่ไม่มีโรงหนัง"

อะไรว๊า!! เจ้าของ โรงหนัง แต่ไม่มีโรงหนัง ...

"ใช่!! ที่พูดว่า เจ้าของโรงหนังที่ไม่มีโรงหนัง เพราะ Asiasoft เป็นผู้นำเข้า Game Online เข้ามาตีตลาดเมืองไทย ที่ดังๆ ก็เช่น Rag na rok อะไรทำนองนั้น ซึ่งตอนนี้ Asiasoft นำเข้า เกมมาให้คนไทยเล่น 32 เกม ...เท่านั้น ไม่พอ Asiasoft ยังนำเข้าเกม มาให้ต่างชาติอย่างสิงคโปร์ , มาเล , อินโด , เวียดนาม นั่นก็คือ 39 เกม ...รวมเป็น 71 เกม ที่บริษัท Asiasoft ซื้อมาให้บริการ"

ตรงๆ เลยครับ ...แล้ว "ทำรายได้อย่างไร"

"ก็คนเล่นเกมส่วนใหญ่ เล่นฟรี แต่จะมี Hardcore ประมาณ 8% จากสถิติ ที่เขาจ่ายเงินซื้อ Pre-Paid Card แบบ One-2-Call มาเติมเงิน ..นี่แหละรายได้หลัก ประมาณ 80% ของธุรกิจ ที่ยอดขายแต่ละปีเกือบ 2,000 ล้านบาท"

แล้วที่คุณ ปราโมทย์ บอกว่า Asiasoft เหมือนโรงหนัง Major มันหมายความว่า กระไร ??

"ครับ !! ที่ว่าเหมือนโรงหนัง เพราะ การที่เราไปเลือกซื้อเกมมาให้บริการ ก็เหมือนเราไปเลือกหนัง มาให้คนเล่นได้เล่น ถ้าเลือกเกมดี ก็เหมือนเอาหนังฮิตมาฉาย ก็จะได้เงินเยอะ ..แต่ที่บอกว่า เราไม่มีโรงหนัง เพราะ ทุกอย่างมันอยู่บน Online ...ดังนั้น ตัวโรงหนัง ก็คือ เครื่อง Computer Server , เรื่อง IDC และ Brandwidth ..ถ้าพูดให้เห็นภาพ เรามี Server ที่รองรับ นักเล่นเกม ให้เข้ามาเล่นได้ถึง 10 ล้านคน ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ...คือ ความสามารถรองรับขนาดนี้ ก็เหมือนเราเป็น ISP "Internet Service Provider" ที่ใหญ่เลยแหละ" ...เอ้า เล่าให้ฟังต่อ โลกใบนี้ มีเกม Online ที่เล่นกัน ประมาณ 3,000 เกม และ เดี๋ยวนี้ "เกาหลี" เขาค่อนข้างมาแรง มันเป็น Creative Economy เพราะ ธุรกิจประเภทนี้ มันอยู่บน Online หมด ดังนั้น พอเปิดธุรกิจปั๊บ คุณเป็น Global Player ได้ทันที อยู่ที่ความสามารถของตัวเราเอง

อย่างใน South East Asia หรือ ที่เราเห่อๆ ประเด็น AEC มีประชากร 60 ล้านคน ...คุณรู้ไหมว่า คนเล่นเกมในตลาดนี้ 50 ล้านคน ...และ กำลังขยายตัวปีละ 10% โตตาม ความเร็วของ Internet และ ก็เครื่อง Computer ที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ ...วันนี้ Asiasoft เป็นเบอร์หนึ่งในตลาด เมืองไทย มีส่วนแบ่ง 35% ของตลาด , เป็นเบอร์หนึ่งในตลาด สิงค์โปร์ และ ก็เป็น เบอร์หนึ่งในมาเลเซีย ....ด้วยยอดขายขนาด 2 พันล้าน บอกเลยว่า โอกาสในการขยายมันมหาศาล ...

ว้าว!! ฟังแล้ว อึ้ง -- ถามต่อว่า Asiasoft ซื้อเกมมาขาย เคยคิดจะทำเองไหม ...น่าจะกำไรดีกว่า และ วันนี้คนไทยก็เก่งขึ้น น่าจะทำเกมได้รึเปล่าครับ

"ก็เคยมอง แต่จริงๆ จะพูดให้ชัด อย่างที่บอกว่า เราเป็นเหมือน เจ้าของโรงหนัง แล้วมีคนถามว่า คุณจะเป็น ผู้กำกับ แล้วสร้างหนังเองไหม ..ก็ต้องตอบว่า อยู่ที่ความพร้อม แต่หลักๆ ธุรกิจเราก็ยัง Focus ในเรื่องของการ ให้บริการ และ หาเกมมาตอบสนองความต้องการของตลาด มากกว่า จะมาผลิตเอง ...และอย่างเมืองไทย อาจจะยังสู้ เกาหลี หรือ ญี่ปุ่น ไม่ได้ ในเรื่องของ นักพัฒนาเกม เพราะ Infrastructure ของเขา ไปไกลกว่าเราเยอะ -- ก็สรุปว่า เราดูโอกาส และ หาสิ่งที่ดีที่สุด ต่อธุรกิจเรา ส่วนจะทำเอง หรือ ไม่ ก็ขึ้นกับ โอกาสและ ความคุ้มทุน"

แจ๋ว!! -- อยากให้ คุณ ปราโมทย์ แนะนำ คนรุ่นใหม่ ที่อยากทำธุรกิจ แนวๆ แบบที่ไม่ใช่ "ร้านอาหาร หรือ ร้านกาแฟ" ...มีไรแนะนำไหมครับ

"ก็โอกาส ในการทำธุรกิจ มันขึ้นกับ ความสุดในการจินตนาการ ...ลองคิดง่ายๆ ว่า อะไรก็ได้ ก็คือ ธุรกิจ หากลูกค้า เขายอมจ่ายเงินเพื่อซื้อมัน ...อย่าไปจำกัดกรอบให้แคบว่า ต้องทำ สิ่งที่คนอื่นทำ ...ให้มองหาโอกาสใหม่ ๆ ยิ่งเดี๋ยวนี้ Internet และ โลก Online มันเติบโต ...จะส่งผลให้ โอกาสในการทำธุรกิจ มันเปิดกว้างมากขึ้น เพราะ Online Business มันวางบนต้นทุนที่ต่ำ แถมมีโอกาสในการขยายตัวระดับ Glonbal ได้เร็วมากๆ ... ก็ประมาณนั้น จินตนาการคุณสุดที่ไหน นั่นแหละ สุดทางฝันของ การสร้างเงินและโอกาสของคุณ"

ขยายจินตนาการ เท่ากับ ขยายโอกาส ... สู้ต่อไป ทาเคซิ !!

"อยากเป็นลูกจ้าง" หรือ "อยากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว" ..ใครช่วยเราได้


ผมเจอคำถามนี้เยอะมาก "อยากเป็นเจ้าของกิจการ ต้องทำอย่างไรบ้าง" ..เหมือนเขาต้องการหาคำตอบที่เป็นสูตรสำเร็จ ..อยากบอกตรงๆ แบบไม่ให้เสียกำลังใจนะ ว่าจริงๆ สูตรสำเร็จของการเป็นเจ้าของกิจการส่วนตัวมันไม่มีนะ ...อย่าได้คิดว่า มีเงินหนึ่งก้อน แล้วไปซื้อหนังสือ วิธีการทำร้านกาแฟ แล้วคุณจะมาเปิดแล้วสุดท้ายเป็น Starbucks ..ไอ้ที่ว่า ได้เปิด ถ้าเรามีเงิน เราได้เปิดแน่ แต่สุดท้ายมันเจ๊งไง -- แล้วเอาไงดี ??

การสร้าง The Stock Master ขึ้นมาจริงๆ เราอยากสร้าง Community ที่เริ่มจากการลงทุนเป็นแก่น ...เพราะไม่ว่าคุณจะต้องการมีอาชีพใดก็ตาม สุดท้ายคุณหนีไม่พ้นเรื่องเงินที่คุณต้องจัดการอยู่ดี ..ขนาดคุณเป็นศิลปิน ติสแตก แค่ไหน ท้ายสุดก็ต้องมาจัดการเรื่องเงินในที่สุด -- มันมีทางเลือกอยู่สองทาง คือ หนึ่ง ทางเลือกที่พี่โน๊ต เลือกคือ จัดเดี่ยว แล้วได้เงินเยอะมาก เอาไปให้คนอื่นจัดการ ผลก็คือ เราได้ดู "เดี๋ยว" กันอีกหลายครั้ง..55 เพราะ เงินมันหายหมด ...สอง ทางเลือกที่เรามาศึกษา วิธีการจัดเงิน แล้ว สุดท้ายเราก็สามารถ เอาเงินนั้นมาจัดการ ไม่ว่าจะเป็น การปลูกเงินทำงานในระยะยาว หรือ จะเป็นการเก็งกำไรแบบมีแบบแผน ก็ทำได้ตามแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเรา

ไหนๆ ก็เกริ่นเกี่ยวกับ The Stock Master ก็ขอเล่าต่อไปละกัน ว่า "หลักทรัพย์บัวหลวง" เขาเข้ามาเป็นแม่งาน คือ มาสนับสนุน มันไม่ใช่มีแต่รายการ Reality แต่ก้าวต่อไป คือ การสร้าง Center จริงๆ ขึ้นมาเป็นศูนย์กลาง ให้ความรู้แก่เพื่อนนักลงทุนอย่างจริงจัง ...อย่างงานสัมมนาใหญ่ The Stock Master มือใหม่ Day ที่ผ่านมา เราได้ทางตลาดเข้ามาช่วย แถมบอสใหญ่ คุณ จรัมพร ก็มาดูงานเองเลย อันนี้สุดยอดมาก ...เอาเป็นว่า เดี๋ยวต้นปีหน้า เพื่อนนักลงทุนจะได้มี Center และ กิจกรรม "แนวๆ" ในการเป็น One Stop ทางองค์ความรู้ และ ชุมชนย่อย ที่เป็น ศูนย์กลางในเรื่องของการลงทุนที่เหมาะกับอาชีพของตัวเอง โดย เราจะมีการนำ The Stock Master รุ่นที่แล้ว ที่เขาเป็นตัวแทนในอาชีพต่างๆ ผลัดกันมาให้ความรู้ ..."คุณเชื่อเถอะว่า คนที่ยิ่งแบ่งปัน ความรู้ เขายิ่งได้รับโอกาส และ ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง" ที่บอกอย่างนั้น เพราะ เรื่องการแบ่งความรู้แล้ว ได้รับโอกาส มันเกิดกับตัวผมเองจริงๆ ..การที่ผมได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาการลงทุนให้บัวหลวง มันเป็นการต่อยอดโอกาส จากที่ผมแบ่งปันความรู้การลงทุน จนในที่สุดบัวหลวงก็เห็นว่า แนวทางนี้ควรได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจัง ...นั่นเป็นที่มาของ การสนับสนุนทุกอย่าง เพื่อสร้างชุมชนของ "รายย่อย เพื่อ รายย่อย" อย่าง The Stock Master ขึ้นมา โดย บัวหลวง อาสา ออกเงินสนับสนุน และ เป็นพี่เลี้ยงในการให้ความรู้ การลงทุนในแบบที่ถูกต้อง ..."วิสัยทัศน์หล่อ มันเป็นเยี่ยงนี้เอง..อิ อิ"

เอาว่า "รอต้นปี" ..ผม และ The Stock Master จะเริ่ม "ปล่อยของ แบบจัดหนัก" ..แต่จะเป็นอะไรนั้น ขอให้อดใจรอกันสักนิด --- ระหว่างที่รอ ก็มาร่วมศึกษา แนวทางการลงทุน กันได้ในwww.facebook.com/thestockmaster แห่งนี้กันก่อนละกัน

กลับมาเรื่องการ อยากเป็น เจ้าของกิจการ ...ผมขอแนะนำเลยว่า ให้คนรุ่นใหม่ใจเย็นๆ ...อย่างแรกของความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกิจใดก็ตาม คุณต้องมี หนึ่ง ความเชียวชาญ และ สอง คุณต้องเข้าใจลูกค้า ... จริงๆ มี สาม คือ ต้องมีเงิน ..แต่เรื่องเงิน ถ้าคุณเก่งพอ มันสามารถใช้ Other People Money ได้ ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะ ตัวผมเอง ผ่านมาทั้งสองแบบ ...ครั้งแรก ผมคิดว่าผมเก่ง ผมก็เลยเอาเงินของ My Family มาละเลง ทำธุรกิจตามที่ผมฝันไว้ แต่สุดท้ายผมก็มารู้ว่า จริงๆ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ฝัน ..ถ้าย้อนเวลาคิดในจุดนั้น บอกได้เลยว่า มันพลาดตั้งแต่เริ่ม เพราะ ความพร้อมเราไม่มี แต่เราดันทุรัง เพราะ นึกว่าตัวเองเก่ง ...

เวลาผ่าน ความคิดก็เปลี่ยน ...วันนี้ผมแทบไม่มีธุรกิจไหน ที่เริ่มจาก เงินเลย ...การทำงาน แนวคิดทุกอย่างจึงเปลี่ยน ...ถ้าถามว่า ไม่เริ่มจากเงิน แปลว่า ธุรกิจไม่ต้องใช้เงิน ใช่หรือไม่ ...ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ ...ทุกธุรกิจในโลก ต้องใช้เงิน เพราะ เราอยู่ในโลกของทุนนิยม ...แต่ความเข้าใจ กลบทมันต่างกัน ..คือ คนที่เข้าใจในธุรกิจเพียงพอ มันต้องเริ่มในส่วนที่ไม่ใช้เงิน ...อย่างช่วงหลังๆ นี้ ผมได้คุยกับ เจ้าของธุรกิจมากมาย ที่เขาเริ่มจากไม่มีเงินเลย ...ที่สัมภาษณ์ล่าสุดก็อย่าง OOKBEE คนทำ Ebook ..ที่เขาเริ่มจาก รับงานฝิ่น งาน Freelance ต่างๆ แล้วค่อยๆ ฝึกฝีมือ จากนั้นก็รวมตัวกันเป็นบริษัทเด็กแนวๆ ทำงานเกี่ยวกับ Software ที่ตัวเองถนัด ...วันนี้เขาได้ INTUCH เอาเงินมาลงทุน เป็น Venture Capital ให้ ใส่เงินมา 59 ล้าน ..แล้วตีค่าธุรกิจให้ 240 ล้าน ...ทำเพื่อสุดท้ายระดมทุนในตลาด ให้เป็นมหาชน --- ครับ ผมกำลังจะบอกคุณว่า ธุรกิจแบบนี้ เริ่มจาก "ความสามารถ" แล้วก็ค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ จากการเข้ามารับงานจากโลกความเป็นจริง โดยเป็น Freelance จากนั้น ก็ค่อยๆ ปรับ ระหว่าง ความฝัน ที่ตัวเองมี เข้ากับโลกความจริง ว่า สิ่งที่เราคิดมันสามารถทำเงินจริงๆ ได้หรือไม่ ... "ไอ้ Model ที่ผมเล่ามา จริงๆ ก็ไม่ต่างจาก Facebook , Google หรือ บริษัทใน Silicon Valley เท่าไหร่ ...คือ มันมี ความสามารถเป็นแก่น ...ส่วนเงินมันใช้เงินคนอื่น ...วันนี้โชคดีที่คุณและผม เริ่มเข้าสู่ยุคที่ เราเริ่มเข้าถึงโอกาสที่ ไม่ต้องเริ่มธุรกิจจากเงิน แต่เริ่มจากความสามารถ"

โอเค เริ่มความเข้าใจของ Start Up 101 คือ "เริ่มที่ความสามารถ" .... คำถามคือ แล้ว อะไร ล่ะ !!

ผมแนะนำเลย ว่า อย่างแรก คุณต้อง จูนความฝันที่คุณมี เข้ากับ โลกความจริง ...โดย การลองรับงาน ที่เขายอมจ่ายเงินคุณเป็นเงินจริงๆ เช่น ถ้าคุณเป็นนักศึกษา ลองหางาน Freelance ที่คุณกับเพื่อนๆ รวมกลุ่ม ไปรับงานบริษัท ทำอะไรก็ได้ ที่คุณและเพื่อนๆเก่ง ..ถ้าเล่าในส่วนของผม สมัยผมอยู่มหาวิทยาลัย ผมรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ไปรับงานสร้าง Website ให้บริษัทแห่งนึง ...บอกตรงๆ ผมเอง เขียน Website ไม่เป็น แต่ผมไปหาเพื่อนที่มันเก่ง ...จากนั้นผมก็รวมกลุ่มเพื่อนๆ อีก 2-3 คน เข้ามาทำเรื่อง Content ...ถามว่าสำเร็จไหม ก็ต้องบอกว่า ไม่สำเร็จ แต่สิ่งที่ได้คือ ผมและกลุ่มเพื่อนๆ ได้ค่าขนมในการทำงาน และ ก็ได้เรียนรู้ว่า การหาเงินจริงๆ ในธุรกิจจริง กับความฝันของเด็กมหาวิทยาลัย มันต่างกันอย่างไร ...บอกตรงๆ ว่า สิ่งที่ผมได้รับ มันมากกว่าเงิน แต่มันทำให้ผม เข้าใจโลกมากขึ้น ..สุดท้ายมันกลับมาช่วยให้ การเรียนผมยิ่งดีขึ้น ..เพราะ จากจุดนั้น ผมก็ทำธุรกิจอื่นมาเรื่อยๆ อย่างขายตรง ผมยังไปเจอ อาจารย์เป็น Upline เลย ...ถามว่าแล้วขายตรงผมสำเร็จไหม ก็ไม่สำเร็จ แต่ผมก็ได้สนิทกับอาจารย์ และได้แลกเปลี่ยนมุมมอง เปิดโลก และการเรียนรู้ให้ผมมากกว่า แค่เรียนไปวันๆ ในตำรา ... ไม่รู้ซิครับ ผมว่า เดี๋ยวนี้ การที่คนๆ นึงจะเก่ง และ ประสบความสำเร็จ มันไม่ได้เป็นเส้นตรง หรือ สูตรสำเร็จ ...แต่มันเป็นการรวบรวม และ เก็บเกี่ยวประสบการณ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

แล้ว เมื่อเริ่มรับ งาน Freelance แล้ว เอาไงต่อ !!

ก็ Keep Walking เก็บเกี่ยว ประสบการณ์ และ ความรู้ ... สิ่งที่คุณจะเจอ แล้วสอนคุณตลอด คือ "ปัญหา" ...ครับ ทุกอย่างที่คุณทำในโลกนี้ ต้องเจอปัญหา แน่นอน ...คนที่เก่งเพราะเขา เจอปัญหาแล้วอยากแก้ ..."เข้าใจคนแนวนี้ไหม ..อะไรง่ายๆ ให้คนอื่นทำไป ...อะไรยาก ส่งมาให้กู..ฟังดูฮา แต่คุณรู้ไหม ไอ้คนแนว Troble Shooter สุดท้ายแม่งได้ดีทุกคน ..ไอ้เพื่อนผมหลายๆ คน วันนี้ มีธุรกิจใหญ่โต บางคนเป็นผู้บริหาร ก็มาจากไอ้แนวความคิดแบบ ยากให้กู นี่แหละ!!"

ก็ประมาณนี้ ...ใครที่สนใจ อยากเป็นเจ้าของกิจการ ให้เริ่มจาก "ปรับความฝัน ให้เข้าสู่ Mode ความจริง" โดย การไปขาย Idea ให้บริษัท หรือ ธุรกิจ ลองรับงาน Freelance หรือ Outsource ดู ... "ถ้าไม่มีใครจ้าง ให้คิดไว้เลยว่า หนึ่ง คุณ Pitch งานไม่เป็น ไปฝึกใหม่ ...ฝึกให้คุณ ขาย Idea ให้ได้ เพราะเชื่อผมเถอะ ถ้าคุณขาย Idea แลกเงินไม่ได้ อย่าหวังจะเป็น นักธุรกิจ ร้อยล้าน พันล้าน ..คนเหล่านั้น จริงๆ แม่งทำอะไรไม่เป็น แต่เก่งขาย Idea คือ Idea เขาขายได้ จากนั้นเขาก้หาคนมาทำ ...อย่าคิดว่าตลกนะ อย่าง Bill Gates ที่เขารวยสุดในโลก ก็มาจากขาย Idea ให้ IBM นี่แหละ ..ตอนที่เราขายได้ เขายังไม่มี Software ในมือเลย คิดดูดีๆ Bill Gates จริงๆ ก้เก่งจากตรงนี้แหละ -- ถ้าคุณเริ่ม ต้องเริ่มจาก หน้าด้าน ...ใช่!! หน้าต้องด้าน แล้ว ขายให้เป็น เอา Idea แลกเงินให้ได้ ..เริ่มจาก Freelance และ Outsource เล็กๆ นี่แหละ ลองดู!!"

โอเค ...ไปลองคิดกันดูครับ 

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"It's Work for Me" บันทึกการเปลี่ยนแปลง วันที่ 001



ช่วงปลายปีงานสัมมนาส่งท้ายปีค่อนข้างมาก เลยไม่ค่อยมีเวลามาเขียนบทความ ...แต่ยิ่งจัดงานสัมมนาให้ความรู้นักลงทุนเท่าไหร่ ผมยิ่งเห็นโอกาส และ เข้าใจนักลงทุนมากขึ้น

วันนี้พูดได้เต็มปากเลยว่า "เด็กรุ่นใหม่ คนไทย เก่งมาก" ...แต่แค่ความเก่งเดี๋ยวนี้มันไม่พอ วันนี้การที่โลกเรา Globalize แบบสุดๆขนาดนี้ ย่อมหมายถึง การยกระดับการแข่งขันของต่อสู้ในทุกๆด้านของชีวิต เริ่มตั้งแต่ การเรียน การทำงาน การใช้ชีวิต และ ไปจนถึง แข่งกันเรื่องเป้าหมายของชีวิต

สองอย่างหลังนี่น่าสนใจ คือ "การใช้ชีวิต และ เป้าหมายของชีวิต" ...ในอดีต สองอย่างนี้ แทบไม่มีมนุษย์ในยุคก่อนให้ความสำคัญเท่าไหร่ ..สิ่งที่เราถูกปลูกฝังเสมอมาตั้งแต่เด็ก คือ เรียนให้เก่ง เรียนให้สูง หางานทำดีๆ ทำให้หนัก เก็บเงิน แล้วมีครอบครัวที่ดี

บอกตามตรง สิ่งที่ผมประสบโดยตรง มันก็ไม่ใช่แล้ว ...เดิมทีผมเคยคิดว่า ที่เขาปลูกฝังมามันคือ ทางสู่ความสำเร็จ แต่ยิ่งนานวันเข้ายิ่งเข้าใจว่า ทุกๆอย่างมันไม่ได้เป็น "เส้นตรง" หรือ เป็น "ทางชัดเจนสู่ความสำเร็จ" ...เพราะ ทั้งหมดแท้จริงแล้ว มันมีตัวชี้วัดความสุขในชีวิตอย่างเดียว ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ "ใจของเราเอง"

ใช่!! ยิ่งเรียนหนัก ทำงานก็หนัก ก็ยิ่งรู้สึกว่า มันเครียด!! และ นั่นไม่ใช่เฉพาะผม แต่ผมเชื่อว่ามันเกิดกับทุกคนเช่นกัน ...หากเรามองไปที่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ผ่านทางสายนี้ "สายความเครียดและการแข่งขัน" มาก่อนหน้าเรา จะพบว่า คนของญี่ปุ่นในยุคมนุษย์เงินเดือน มีความเครียดสูงมาก เนื่องจาก การแข่งขันที่หนักหน่วง โดยเฉพาะกับนิสัยของคนญี่ปุ่นที่ชอบทำอะไรจริงจัง และ ทำให้ดีที่สุด ..มันยิ่งเพิ่มความกดดันให้ ทุกๆคน -- ผลลัพธ์ของญี่ปุ่น ก็ออกมาในรูปแบบของการ ฆ่าตัวตายของคนที่มีอัตราสูงมาก ... ผมยังนั่งคุยเล่นกับเพื่อนเลยว่า "เฮ้ย!! ตลกว่ะ ไอ้พวกที่มันฆ่าตัวตายนี่ มันพวกที่รักดีทั้งนั้นเลย ..แต่ไอ้พวกรักสนุก มั่วโคตรๆ ไม่เห็นมีใครอยากฆ่าตัวตายบ้างเลย ..เอ๊ะ หรือ ว่า ประเด็นนี้มันพยายามสอนอะไรบางอย่างแก่มนุษย์ -- รักดีเท่ากับฆ่าตัวตาย ..รักสนุกกลับรักชีวิต ตกลงไอ้พวกรักสนุกคงต้องเปิดสัมมนาสอนไอ้พวกรักดีให้รู้จักรักตัวเอง และ แคร์คนรอบข้างรึเปล่า !!"

นั่นแหละปัญหา !! ...ผมว่า ทุกวันนี้ "คนรักดี" มันเยอะ ...แต่มันเข้าใจอะไรผิดๆ ..ยิ่งประเทศพัฒนาไปเท่าไหร่ การเอาแต่ตัวเอง ปากกัดตีนถีบมันสูงขึ้นเรื่อยๆ ..สูงจนมิตรภาพ รอบๆตัวมันหายไป เหลือแต่ ความจอมปลอมและการแข่งขันที่ดุเดือด ...ใช่!! เมื่อไม่มีเพื่อน เราก็ไม่รู้สึกว่าเราต้องรักใคร แม้กระทั่งเราก็ไม่จำเป็นต้องรักตัวเอง ...ผมว่าประเด็นนี้น่าคิดมาก คือ เรามองแต่ตัวเอง พยายามเอาชนะคนอื่น แต่แท้จริง เรามิได้รักตัวเอง ...เรื่องที่พูดนี่ ถึงขนาดมีนักเขียนฝรั่งเขาไปทำการวิจัยออกมาเลยว่า สิ่งที่พูดมานี้ เป็นความจริงกับคนที่อาศัยอยู่ในเมือง หรือ Metropolis ...และถ้ามองให้ดี สังคมทุกวันนี้ ก็เป็นสังคมที่เร่งสร้างเมืองให้เร็ว และ พยายามขยายให้มากที่สุด

ที่กล่าวมา เพียงผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า "ค่านิยมต่างๆ ของคนรุ่นใหม่ปัจจุบัน" มันเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ...ถึงกลับมาแตะประเด็นเรื่อง การใช้ชีวิต และ เป้าหมายของชีวิต ...

อย่างแรก "การใช้ชีวิต" ..เรื่องนี้ น่าสนใจ เพราะ คนรุ่นใหม่ปัจจุบัน ต้องการเหมือนกันทุกคนคือ หนึ่ง "รวยเร็ว" ...ถ้าถามว่า ต้องการรวยเร็วแค่ไหน ..เขาจะตอบว่า "ต้องการรวยเร็วโคตรๆ" ..แต่ในโลกความจริง มันไม่มีใครสามารถรวยโคตรๆ ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะ ความมั่งคั่ง มันเหมือนการปลูกต้นไม้ ที่ต้องอาศัยระยะเวลาและความอดทนในการปลูกความมั่งคั่งให้เกิดขึ้นได้จริง ...และ ที่น่าสนใจคือ คนรุ่นใหม่เก่ง แต่ขาดความอดทน ...ซึ่งความอดทน จริงๆ เป็น Key Success Factor หลักสู่ความสำเร็จเลยก็ว่าได้ ...ดังนั้น สรุปง่ายๆ ว่า คนรุ่นใหม่ กำลัง "ใช้ชีวิต" ที่ตรงข้ามกับ "เป้ามหาย" ที่เขาตั้งไว้ ....

อย่างที่สอง "การใช้ชีวิต ตามเป้าหมาย" ที่คนรุ่นใหม่ อยากจะเป็น คือ "รวย" มันแสดงออกมาถึง การบริโภคที่ฟุ่มเฟือย เช่น การไปใช้ชีวิตหรูๆ ซื้อของแพงๆ ..ไม่ได้ห้ามซื้อนะ เพียงแต่ การซื้อ และ การใช้ชีวิตในแบบนี้ ต้องเหมาะสมกับรายได้ ของคุณ !! ...ซึ่งมองไปรอบๆ ตัว คุณจะเห็นเลยว่า 80% ของคนที่ใช้ชีวิต เขาใช้หรูเกินกว่าที่เขาสามารถจะหาได้ ..พูดแบบแรงๆ ก็คือ "รสนิยมสูง รายได้ต่ำ" ...ปัญหา คือ "ความอดทน" คนรุ่นใหม่ ไม่สามารถทนรอ ให้รายได้สูงก่อน ที่จะใช้ ...เขาต้องการจะใช้ และ ใช้ล่วงหน้า นั่นเป็น ยุคเฟื่องฟู ของ "บัตรเครคิด" และ Consumer Credit -- "คุ้นๆ ไหมครับ ว่า การสร้างหนี้ โดยภาคเอกชน ที่บริโภคเกินตัว ทำให้สุดท้ายเกิด วิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่สุดในอเมริกา และ ยุโรป ...วันนี้มันกำลังเริ่มก่อตัวในประเทศเราแล้วนะ!!"

อย่างที่สาม "เป้าหมายของชีวิต" ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ทุกคนเข้าใจ ว่าจริงๆ แล้ว เป้าหมายชีวิต มันมีไว้หลอกเด็กเท่านั้นแหละ เพราะ ในความเป็นจริง มีน้อยคนมากที่จะประสบความสำเร็จ ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ...และ ถึงแม้เขาจะถึงเป้าหมายชีวิตที่วางไว้ เขาก็จะเขยิบเป้าหมาย ไปต่อ ..."เอ๊ะ!! มันคือ การไม่รู้จักพอหรือเปล่า" -- จริงๆ ไม่ใช่ เพราะ การมีเป้าหมาย กับ การไม่มีเป้ามหาย ก็เหมือน คนนึงเดินทางโดยรู้ว่าตัวเอง จะไปที่ไหน ...กับ อีกคนเดินทางโดย ไม่รู้ว่าจะเดินไปไหน ...ซึ่งถ้าถามตรงๆ มันก็แค่นั้นอ่ะนะ เพราะ อย่างที่เราเข้าใจตรงกัน คือ การใช้ชีวิต ก็คือ "เวลา" ที่เราอยู่บนทางเดิน ระหว่างการไปสู่เป้าหมาย ดังนั้น ความสุขจึงเป็นการสนุกกับรายละเอียดบนทางเดินของชีวิต ซึ่งจุดนี้ ผมเชื่อว่า คนรุ่นใหม่ หลายๆคน เข้าใจ และ พยายามใช้ชีวิตให้สนุกบนทางที่เดินไปตลอดเช่นกัน

ไม่ต้องแปลกในหรอกครับ ว่า วันนี้คุณและผม กำลัง "งงงวย" กับ ชีวิต ว่าสรุปแล้ว มนุษย์ในยุคนี้ เขากำลังทำอะไร เขาควาญหาอะไร และ เขาจะเดินไปไหน ...มันเหมือนพายเรือวนในอ่างนั้นแหละ เพียงแต่การพายเรือวนครั้งนี้ มันมีปัจจัยเรื่องเวลา ที่มันเปลี่ยนเร็วมาก ...ถ้าใครมองดู GDP คือ มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศต่างๆ ในช่วง ไม่กี่ 10 ปีที่ผ่านมา มันโตเป็นเท่าตัว จากที่อดีตไม่ได้มีการโตเช่นนี้ ...ทั้งหมด มันอิงกับการบริโภค และ การกินดีอยู่ดี มากขึ้น ...การขยายเมืองที่เร็ว เพื่อตอบสนองคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้น ของคนทั่วโลก ซึ่งเราก็รู้กันดีว่าทั้งหมดที่ว่า ..การเพิ่ม GDP ต่อหัว หรือ รายได้ ต่อหัวที่สูงขึ้น พร้อมๆ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น มันตอบสนอง ความต้องการทางร่างกาย คือ กายสบาย แต่ในเรื่องของ "ใจ" มันสวนทางอย่างสิ้นเชิง

ผมกำลังจะบอกคุณว่า ยิ่งเราวิ่งเข้าหา ระบบทุนนิยมแบบสุดโต่ง อย่างที่เราทุกคนกำลังเดินไป มันอาจทำให้ชีวิต เราสะดวกสบายขึ้น แต่ "ใจ" เรากลับจะยิ่งแย่ลง

เอาล่ะครับ เกริ่นมาซะยาว เพียงอยากจะบอกว่า วันนี้เราตั้ง Facebook และ โครงการ The Stock Master ขึ้นมา เพื่อจะพยายามฉีกข้อจำกัด ทางความคิด และ อาชีพ ...วันนี้ผมเชื่อว่าประเด็นที่ Hot สุด สำหรับ ปัญญาชนรุ่นใหม่ คือ การหาอิสรภาพ หรือ Freedom ..อย่างหนังสือ Freedom Trader ที่ผมเขียนขึ้นมา ...มันเห็นหนึ่งในหนังสือ ที่ขายดีมากๆใน SE-ED ก็เพราะ "ชื่อมันโดน" ... ใครๆ ก็อยากมีอิสระทั้งนั้นแหละ ..แต่ปัญหามันอยู่บน เส้นทางสู่ อิสรภาพน่ะซิที่มันไม่ง่าย ..เพราะ ถ้าง่ายทุกคนก็ อิสระ กันไปหมดแล้ว ไม่ต้องมีใครมาเป็นมนุษย์เงินเดือน ที่หาเงินใช้เดือนชนเดือน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนคอนโด และ ทำวนเวียนไปเหมือนติดคุก

ก็เอาล่ะ จากนี้ไป ผมจะค่อยๆ เล่าให้เพื่อนๆ นักลงทุนฟังว่า จริงๆ แล้ว หากเราเริ่มที่เข้าใจตัวเรา เข้าใจศักยภาพของตัวเราเองก่อน ...เราจะรู้ว่า เราจะเริ่มพัฒนาตัวเอง ที่ตรงจุดไหน ...จากนั้น ก็ค่อยๆ ต่อยอดความสามารถและโอกาสที่เริ่มจากตัวเรา

ไว้พรุ่งนี้ ผมจะมาเล่าให้คุณฟังว่า โครงการ The Stock Master ของหลักทรัพย์บัวหลวง แม่งบ้าแค่ไหน ...และ เราอยากจะเปลี่ยนอะไรในสังคม

คำว่า "เปลี่ยน" หรือ Change ...ผมบอกเลยว่า มันคือ คำที่มีพลัง และ มันเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างในชีวิตของเราได้ทุกคน

ฝากคิด เรื่อง การ "เปลี่ยน" สำหรับตัวคุณ ...หากคุณวันนี้เป็น นักศึกษา คุณยังมีเวลา ...หากคุณเป็น พนักงานบริษัท คุณโชคดี ที่มีบริษัทรับความเสี่ยงให้คุณในก้าวแรก ...หากคุณเป็น เจ้าของกิจการ คุณก็โชคดี ที่เริ่มก้าวแรก ที่ท้าทายความกล้าของตัวคุณเอง (ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้า) ... ถ้าวันนี้คุณจะ "เปลี่ยน" ลองเขียนลงไปในสมุกบันทึกสักเล่มว่า "คุณจะเริ่มเปลี่ยนจากอะไร"

เปลี่ยน อะไร !! ในชีวิตคุณ ....

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"มีตำนานเล่าว่า เล่นหุ้นปั่นแล้วเจ๊ง" แล้วทำไมเราจะไม่เล่นล่ะ จะได้เจ๊ง คิดไงอ่ะ



บอกตรงๆ นะ เดี๋ยวนี้พูดยากมากว่า เล่นหุ้นใหญ่ Blue Chip แล้วจะ "ชิว" เพราะ BANPU ทำลายความเชื่อนั้น ...หรือ เล่นหุ้นเล็ก หุ้นปั่นๆ แล้วจะเจ๊ง เพราะ ตั้งแต่เกิดน้ำท่วมมหาอุทกภัย มาตลอดปี 2012 ...หุ้นเล็ก หุ้นซิ่ง ก็ทำกำไรให้ผู้เล่นอย่างงาม ...จะพูดได้ง่ายๆ เลยว่า ปี 2012 นี่ มันตีลังกา นักลงทุนครั้งใหญ่ เพราะ หุ้นที่ทำกำไรได้จริงๆ ปีนี้ เป็นหุ้นเล็กเกือบทั้งหมด

แต่ถ้ามองให้ลึกขึ้น "คิดดีๆ นะครับ ว่า ทั้งหมดที่พูดมา มันมีเหตุผลรองรับ แบบ Make Sense ด้วย" ...เมืองไทยนะ ตั้งแต่อดีตมา ตลาดหุ้นห่วยแตกตลอด กล่าวคือ ลงมากกว่าขึ้น แล้วก็เป็นอย่างนี้มาตลอด 30 กว่าปี ที่ตลาดหุ้นไทยเปิดทำการ ...คนส่วนใหญ่โดย สถิติ ที่เข้ามาโลดแล่น ก็รวยเพียงชั่วคราว แล้วสุดท้าย 80% ของคนที่เข้ามาในยุทธจักรวงการหุ้น ก็เจ๊งกันซะส่วนใหญ่ ... ความแปลกที่เปลี่ยนไป (ในทางดี) คือ "วิกฤตเศรษฐกิจของโลก ที่เดิมทีจะเกิดเฉพาะประเทศด้อยพัฒนา อย่างประเทศเอเชีย ลาติน ..เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาเกิดที่ประเทศมหาอำนาจอย่าง อเมริกา และ ยุโรป"

ความต่างที่ว่าคือ เดิมทีวิกฤตเกิดในประเทศด้อยพัฒนาอย่างเมืองไทย เราจะเจ๊ง ก็เจ๊งไป ..ประเทศอย่างอเมริกา หรือ ยุโรป เขาไม่ได้มาเจ๊งด้วย ..หนำซ้ำ เวลาเราเจ๊ง เขากลับดีขึ้นไปอีก ...แต่วันนี้มันไม่ใช่ เพราะ อเมริกา และ ยุโรป มีปัญหา ในขณะที่ประเทศด้อยพัฒนากลับดี ..ปัญหาคือ เราใช้เงินอ้างอิงกับ ยูโร และ ดอลลาร์ ..และ นั่นแหละ ที่เป็นปัจจัยเดียว ที่เราถูกดึงเอาไว้ ...เพราะ เขาก็ใช้ "ค่าเงิน" นี่แหละ ที่เป็นตัวช่วยพยุงเศรษฐกิจของเขาเอาไว้ ... "กดค่าเงินให้อ่อน ..ดอลลาร์ และ ยูโร ซึ่งเป็นเงินที่ใช้แลกเปลี่ยน 90% ของโลก กดให้มันอ่อน ..ก็ทำให้สินค้าของเขาขายดีขึ้น ...และ กดดันให้สินค้าที่ส่งออกโดยประเทศเราขายได้แย่ลง"

จริงๆ แล้ว หลายคนมองว่าเราเสียเปรียบ แต่ในความเป็นจริง มันขึ้นกับว่า "มิติ หรือ ภาพไหน ที่เราเอามาชี้วัดความได้เปรียบ หรือ เสียเปรียบที่แท้จริง"

วันนี้ถ้ามองให้ดี คนไทย จะส่งลูกไปเรียน เมืองนอก ..เดี๋ยวนี้ถูกลง จริงไหม หรือ เราจะซื้อสินค้าของอเมริกา และ ยุโรป ซึ่งเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ก็ซื้อได้ถูกลง ... กลับกันนะ ประเทศอเมริกา และ ยุโรป เขามีปัญหา เรื่องใช้จ่ายเกินตัว เดี๋ยวนี้ เขาก็ต้องรัดเข็มขัด ต้องประหยัด ..สินค้าที่พวกเขาบริโภค ก็กลายเป็นต้องบริโภค สินค้าด้อยคุณภาพ เช่น ผลิตจากเมืองจีน ซึ่งนำเข้าโดย WAL-MART .. ก็บริโภคของห่วยไป ... จะเห็นได้ว่า ในมุมนี้ ยิ่งค่าเงินเราแข็ง เมื่อเทียบกับ ดอลลาร์ และ ยูโร ก็จะส่งเสริมการบริโภคสินค้าคุณภาพ และ การนำเข้า

..ผมถามคุณ อย่างนึงว่า ถ้าคุณเป็นผู้ประกอบการที่ฉลาด ในเวลานี้ คุณจะวาง Strategy ธุรกิจคุณอย่างไร ??

ผมอยากจะเล่าให้ฟังว่า เวลานี้ คนไทย โดย เฉพาะผู้ประกอบการ เขาเก่งขึ้น เพราะ เขาผ่านวิกฤตมามากมาย ...ในเวลานี้ สิ่งที่เขามองคือ การขยายการลงทุน ..แทนที่จะขยายการผลิตสินค้าคุณภาพต่ำ ที่ทำอยู่เดิม ก็เปลี่ยนเป็น ไปขยายโดย ไปจับสินค้าคุณภาพสูง เช่น การเข้าไปซื้อบริษัทในยุโรป ในอเมริกา ...ไปซื้อ Brand name ซึ่งไม่ใช่เฉพาะของหรู แต่รวมไปถึง ไปซื้อ Technology ...ซึ่งผลลัพธ์ของการลงทุนดังกล่าว ก็ช่วยให้ บริษัทที่เดิมทีผลิตสินค้าคุณภาพต่ำ แบบโรงงานนรกในเมืองไทย ได้เริ่มไปเป็นเจ้าของ Technology และ Brand ระดับโลก

...โอเค นี่คือ ภาพที่เกิดขึ้น !! แต่คำถามคือ อเมริกา กับ ยุโรป เขาทำไมต้องขายกิจการ แล้วเรา เจ๋งกว่าเขาตรงไหน ที่เราจะไปซ์้อ บริษัทเหล่านั้นแล้วเราจะทำได้ดีกว่าเขา ??

"ประเด็นนี้แหละ ที่น่าคิด" ...ผมตอบได้เลยว่า ทุกอย่างมี Cycle ของมัน ... วันนี้คนเอเชีย เริ่มจากบริโภคของคุณภาพต่ำ แล้วส่งออกของคุณภาพดี ...พอเวลาเปลี่ยนไป เราพัฒนาขึ้น เรารวยขึ้น ..คนของเราก็ย่อมต้องการบริโภคสินค้า และ Lifestyle ที่มีคุณภาพ ...นี่แหละ คือ ตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุค Asian Miracle 2 ...การที่อเมริกา และ ยุโรป เขาเกิดวิกฤต คนของเขาก็จะเปลี่ยนไปบริโภคของห่วย ..ส่วนเอเชีย ที่รวยขึ้น ก็จะเริ่มมาบริโภคของดี ..ดังนั้น ตลาดของ Quality Product & Service ก็จะเติบโตขึ้น เกิดเป็น อุตสาหกรรมใหม่ แล้วเติบโตมหาศาล

ที่เล่ามาเพื่ออยากจะชี้ ให้เราอย่าไปมองภาพเหมือนคนอื่น ...โอกาสจริงๆ คือ เราเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นหรือเปล่า ...ผมไม่ได้บอกว่า ผมเก่ง แต่ผมอยากจะบอกว่า ผมชอบมองในมุมที่คนอื่นไม่มอง ..ผมเองพูดเรื่อง Asian Miracle 2 มาตั้งแต่ผมเขียนหนังสือ แกะรอยหยักสมองภาคหนึ่ง เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ...สิ่งที่ผมทำ คือ ซื้อหุ้นแล้วถือ ซึ่งตอนนี้ผลลัพธ์ก็เริ่มเห็นชัดเจนว่า กิจการต่างๆ มันโตขึ้น ...เดี๋ยวนี้กิจการมันดีขึ้น จน สะท้อนออกมาเป็น "เงินปันผล" ของบริษัทเกือบทุกบริษัท ที่ดีขึ้น แล้ว สะท้อนออกมาในราคาหุ้นในที่สุด

กลับมาที่ปี 2012 "ปัจจุบัน" ...บริษัท เล็กๆ น้อยๆ ...หุ้นพุ่งกระฉูด ...แน่นอน คนที่เห็นแล้วเข้าลงทุน เพราะเชื่อมั่นในกิจการ คุณว่า เขาคือ ใคร ....ถูกต้อง แทบไม่ต้องคิดว่า หุ้นเล็ก ๆ ถ้าไม่ใช่ รายใหญ่ หรือ เจ้าของ คงไม่มีใครกล้าซื้อหุ้นเล็กๆ หรอก ...ประเด็นคือ เขาเห็นอะไร ในกิจการของเขา ในขณะที่คนอื่นไม่เห็น ...แต่สิ่งที่เรารู้ได้ คือ "มันเปลี่ยนไป"

สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นคือ การลงทุน มันมีหลากหลายวิธีการไปสู่เป้าหมาย ...แต่สิ่งที่กำหนดได้ คือ "ความเสี่ยง" ...วันนี้ผม และ หลักทรัพย์บัวหลวง ริเริ่มโครงการ The Stock Master ขึ้นมา ...เอาคนแต่ละอาชีพเข้ามาแข่ง Trade หุ้น ...สิ่งที่พบคือ เขาเล่นหุ้นปั่น ไปจนถึง DW ซึ่งผันผวนสุดขีด แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่า The Stock Master ทั้ง 28 ชีวิต ที่เข้ามาแข่งขัน ไม่มีใครเจ๊งหนักเลย ...เสียหายสูงสุดก็ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ ...มันชี้เห็น ชัดๆ ว่า สุดยอดวิชา ที่เราสอนคือ การ "Control ความเสี่ยง" และ การเรียนรู้ฝึกฝนวิชา Technical ให้แก่กล้า

สุดท้ายถ้าคุณเข้าใจ ..การ Stop Loss คือ สุดยอดวิชา ของการ "ควบคุมความเสี่ยง" เพราะ เราแค่กำหนด ความเสียหายที่เรารับได้ เช่น 10% แล้วก็ฝึกให้ตัวเองมีวินัย เท่านั้น คุณก็เสียหาย จำกัด ...และ คิดให้ดี ...การที่เราเสียหาย "จำกัด" ก็แปลว่า ทุกครั้งที่เราพลาด เราก็ยังสามารถกลับขึ้นมายืนใหม่ได้เสมอ -- คนฉลาด คือ คนที่ชนะ และ ก็แพ้ เป็น ...รู้จัก รักษาตัว เมื่อแพ้ แล้วฝึกปรือวิชา ให้กลับมายืนใหม่ อีกครั้งด้วยชัยชนะ ...

นั่นแหละ คำตอบ ..."ที่เจ๊ง ไม่ใช่ หุ้นปั่น แต่มันเจ๊ง ที่ตัวเรา ไม่รู้จัก แพ้ และ จำกัดความเสี่ยง ไม่เป็น" ....น่าคิดนะ !!


 "เรียน Technical แล้วรู้จัก จำกัดความเสี่ยง" ...ก็จะล้มเป็น แล้วลุกได้ เสียหายจำกัด ...ฝึกวิชา สู้ต่อไป ทาเคชิ !!

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

"การบ้าน 4" ...จะซื้อหุ้นจริงๆ แล้ว เอาไงดีอ่ะ ...By The Stock Master


คำถามนี้ Classic มาก "คือ บางคนอ่านหนังสือมาหลายเล่ม ศึกษาหุ้นมาพอสมควร แต่ไม่กล้าซื้อซักที เพราะ กลัวว่า จะซื้อผิดตัว กลัวๆ ๆ ไปหมด ...คำถามคือ ก็อยากจะเริ่มแล้ว จะซื้อยังไงดี"

ตอบตรงประเด็นเลยว่า "ซื้อเป็น Port" คือ การเล่นหุ้นอย่างน้อย 5 ตัว เพื่อกระจายความเสี่ยง ...และที่เด็ดกว่านั้นคือ ไม่ใช่เจอ 5 ตัวแล้วกระโดดเข้าไปซื้อทันที เพราะ ถ้าทำแบบนั้น จะเป็นอย่างที่ผมเกริ่นๆ มาในการบ้านครั้งก่อนๆ คือ หุ้นที่คุณเลือกมา มักจะเป็นหุ้นที่แพง แล้วใกล้จะติดดอยเต็มที่แล้ว ...การกระโดดเข้าไปซื้อทันทีสำหรับมือใหม่ โดยไม่มีการวางแผนถือว่า "ผิดอย่างแรง" เพราะมันการันตีความซวย คือ "ติดดอยแน่นอน"

โอเค ทางแก้ คือ เลือกหุ้นให้มากกว่า 5 ตัว แต่เวลาซื้อจริงๆ ให้รอสัญญาณ ทาง Technical ว่าส่งสัญญาณ Bullish หรือ ไม่ ...ถ้าไม่ Bullish ก็ไม่เข้าซื้อ และ ที่ต้องทำคือ กระจายความเสี่ยง ..ที่ผมบอกว่า ให้เลือกหุ้น 5 ตัวมันคือ การกำหนดว่า การซื้อหุ้นใดก็ตาม ไม่ว่าคุณจะชอบมันมากแค่ไหน สำหรับมือใหม่ คุณห้ามซื้อเกิน 20% ของ Port -- ดังนั้น ถ้าคุณซื้อหุ้นตามสัญญาณ Technical ได้เต็ม Port คุณก็จะมีหุ้นทั้งหมด 5 ตัว นั่นเอง

"ทำไมต้อง 5 ตัว" ...จริงๆ มันไม่มีกฏตายตัวว่าต้องกี่ตัว แต่เป้าหมายคือ การกระจายความเสี่ยง เพราะ ทางตลาดเขาสำรวจมาว่า มือใหม่ ที่ส่วนใหญ่เจ๊ง เพราะ เล่นหุ้นตัวเดียว ชอบซื้อหุ้นที่ขึ้นมาแรงๆ พร้อมข่าวลือต่างๆ นานา หรือ หุ้นปั่น ..พอเสียหายก็ เจ๊งไปเลย เพราะหุ้นปั่น ราคาอาจลงเป็นครึ่งนึงเลยก็ได้ ...แต่ในทางกลับกัน คุณอาจจะเล่นหุ้นปั่นเหมือนกัน แต่คุณลงทุนเป็น Port คือ ซื้อแต่ละตัวไม่เกิน 20% ของเงินทั้ง Port ..สมมุติเกิดเหตุการณ์อย่างเลวร้าย หุ้นลงทันที 50% ...มันจะกระทบ Port โดยรวมของคุณแค่ 10% เท่านั้นเอง --- ลองคิดตามจะเห็นได้ว่า สำหรับ "มือใหม่" แล้ว ผมจะให้ความสำคัญกับ โอกาสในการเรียนรู้ ไม่ใช่การรวยเร็ว เพราะ ตลาดหุ้นผมบอกเลยว่า "มือใหม่" ผิดพลาดมากเสมอตามสถิติจริงๆ ดังนั้น ผมถึงแนะนำให้ซื้อหุ้นใน Port 5 ตัว ซื้อตัวละไม่เกิน 20% และ ที่สำคัญ ต้องซื้อเมื่อมันเกิดสัญญาณ Bullish

"ฮึม!! ว่าแล้ว อะไรคือ สัญญาณ Bullish ล่ะ"

ครับในการดู Technical เราแบ่งว่า เรามองขึ้น หรือ ลง จากภาพกราฟที่เราดู ..ถ้าเรามองว่า ขึ้น เราก็เรียกว่ากราฟมัน Bullish ...แต่ถ้าเรามองลง เราก็เรียกว่ากราฟมัน Bearish ...นั่นแหละครับ ลองมาดูกัน


สมมุติว่า ผมเลือกหุ้นมาด้วยพื้นฐานว่าดูโอเค สัก 20 ตัว ...สิ่งที่ผมต้องรอ คือ รอซื้อเมื่อตัวใดก็ได้ ใน List ที่ผมเลือกมา เกิดสัญญาณ Bullish  

อันนี้ยกตัวอย่าง DELTA เกิดสัญญาณ Bullish ที่จุด "ราคาตัดเส้น Moving ขึ้นมา(ตรงลูกศรสีเขียว)" -- จุดนั้นผมก็เข้าซื้อทันที ...จากนั้น ก็ถือมาเรื่อยๆ Let Profit Run ไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่ เกิดการลงแรง (ตรงลูกศรสีแดง) จุดนี้ คนที่เล่นรอบใหญ่บางคน อาจมองว่า เป็นการลงเพื่อขึ้นต่อ เพราะ ในภาพจะเห็นได้ว่า ราคายังสามารถวิ่งอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย Moving Average มาโดยตลอด ...คิดแบบนั้นก็ได้ -- แต่บางคนอาจมองว่า อยากออกเร็วหน่อย เพื่อรักษากำไร เพราะหากการลงครั้งนี้ ไม่ใช่การลงเพื่อขึ้น ก็อาจต้องขาดทุนกำไรเยอะกว่า ดังนั้น บางคนอาจเลือกออกในสัญญาณ Technical ในภาพที่เร็วกว่า ... ก็สมมุิตว่าผมเลือกออกที่จุด ลูกศรสีแดง 

จะเห็นได้ว่า กำไรทีเกิดขึ้น เกิดจากการ "เล่นตามรอบ" ...ดูดีๆ ว่า ผมไม่ได้ซื้อในจุดที่ต่ำที่สุด แต่ผมรอให้ราคามันขึ้นมาแล้ว ถึงได้ซื้อตาม ...จากนั้น ผมก็ไม่ได้ไปขายในจุดที่สูงที่สุด แต่ผมรอให้ราคามันย่อลงมาก่อน แล้วมองว่า ไม่น่าจะขึ้นต่อทันที ก็เลยขายทำกำไรออกมา 

นั่นแหละประเด็น ...การเล่นหุ้นที่เข้าใจรอบ ต้องเข้าใจว่า "อย่าไปพยายามหา จุดต่ำที่สุด และก็อย่าพยายามไปหาจุดสูงที่สุด" แต่ให้พยายามหาจุดที่เราสามารถทำกำไรตามรอบถึงจะเรียกว่า การลงทุนอย่างฉลาดนั่นเอง

เอาล่ะครับ อันนี้เป็น "การบ้านครั้งที่ 4" ของ สัมมนา "The Stock Master มือใหม่ Day" ..ก็ฝากให้ มือใหม่ ทุกคนไปทำการบ้านที่ผมแชร์ให้ดู คือ

หนึ่ง ไปคัดหุ้นเป็น Stock Wist List ของคุณ กี่ตัวก็ได้ แต่เวลาซื้อจริง ให้ซื้อไม่เกิน 5 ตัว แล้วก็แต่ละตัวไม่เกิน 20% ของเงินใน Port 

สอง "รอสัญญาณ Technical" คือ ต้องรอว่าสัญญาณของตัวไหน Bullish ก๋อน ก็ "จัดเข้ามา" เป็นหนึ่งใน Port ...

สาม "ตรงนี้สำคัญมาก ต้องทำ" คือ วาง Stop Loss ..คือ ต้องกำหนดก่อนเลยว่า เรารับความเสี่ยงได้กี่ % หากหุ้นที่เราเลือกมันไม่ขึ้นตามที่เรามอง (คือ เราอาจมองผิด ดังนั้น เราต้องกำหนดว่า ถ้าเรามองผิด เราจะตัดขาดทุนที่กี่เปอร์เซ็นต์) ...โอเค สำหรับมือใหม่ ผมให้ไปเลย 10% ...คือ ถ้าคุณมองผิด คุณมองว่าขึ้น แล้วพอเข้าไปมันลง ลง ลงไปจนขาดทุน 10% ก็ให้คุณ Cut Loss ขายทิ้งทันที -- คิดดีๆ ถ้าคุณทำตามที่ผมแนะนำนี้ การขาดทุนสูงสุดของหุ้นแต่ละตัวใน Port 5 ตัวของคุณ จะกระทบทำให้ Port รวมคุณเสียหายไม่เกิน 2% -- แปลตรงๆว่า ผมกำลัง สอนคุณในเรื่องของ "การจำกัดความเสี่ยงในการลงทุน" ...อันนี้แหละ วิธีคิดของนักลงทุนมืออาชีพ 

สี่ "ไปทำการบ้าน" -- เดี๋ยววันสัมมนา เอาหุ้นที่คุณเลือกมาอวดกันด้วยล่ะ !!

นิดนึง !! คนที่อยากเปิดบัญชี เข้าไปกรอกข้อมูลใน http://itrading.bualuang.co.th/th/dashboard_booth.phpด้เลย ... จะได้สะดวกในวันงาน คือ สามารถใช้เครื่องมือ Fundamental และ Technical ได้เลย (งานนี้มีของแถม ทั้งเสื้อแนวๆ และ หนังสือของผม) ..คุ้มอ่ะ รีบไปกรอกข้อมูลเปิดบัญชี Online เป็นลูกค้าของบัวหลวงเถอะ เราจะร่วมเดินทางในโลกการลงทุนแบบถูกต้องไปด้วยกัน แบบจริงใจ ...."จัดไป!!"



"การบ้าน 3" ..ก้าวแรกสู่การดู Technical เพื่อเข้าใจจังหวะในการซื้อขาย ..by The Stock Master

เรื่องของ Technical ขอทำความเข้าใจกับ นักลงทุนมือใหม่ทุกท่านก่อนว่า มันอยู่ที่คุณ "บางคนมองว่ายาก ก็คือยาก ส่วนคนมองว่าง่ายก็คือง่าย"

ดังนั้น ง่ายๆ ผมจะมาแนะนำวิธีที่ง่าย ...เริ่มแรกต้องเข้าใจว่า Technical คือ การดูสถิติของราคาที่เอามา Plot เป็น Chart ...ดังนั้น การใช้ Technical มันไม่มีอะไร "เป๊ะ 100%" แต่มันคือ การเข้าใจสถิติ และ การใช้ "ความน่าจะเป็น" เข้ามาช่วยในการอ่าน Trend ของราคาว่า ขึ้น หรือ ลง

คิดง่ายๆ เลย การเล่นหุ้นให้ได้กำไร คือ เรารู้ว่า ราคามันขึ้นหรือลง แล้วก็ซื้อตามนั้น ....ลองมาดูกัน


อันนี้ผมจะแนะนำการดู Chart แบบง่ายๆ ซึ่งในวันสัมมนา "The Stock Master มือใหม่ Day" เราจะมี กูรูเน๊ต ที่จะมาแนะนำการใช้ กราฟที่บัวหลวงแจกให้ลูกค้าใช้ฟรี ว่าจะเปิดอย่างไร ตั้งค่าอย่างไร ... "คือ เราจะแจกเครื่องมือการดู Chart หุ้นนั่นเอง สำหรับมือใหม่ทุกท่าน" ..แต่ก่อนอื่น สิ่งที่สำคัญคือ คุณต้องเข้าใจก่อนว่า มันใช้อย่างไร

จาก Chart ที่ผม ยกขึ้นมาให้ดู เราจะเริ่มดูจาก Trend ใหญ่ ...ผมเลือกเวลาหรือ Time-Frame ในการดู เป็น Week (ในการเลือกดูกราฟ แต่ละแท่ง Candlestick ของราคา มันแทนช่วงเวลา ...ยกตัวอย่าง ถ้าผมเลือก กราฟ Day แต่ละแท่งก็จะ เป็นตัวแทนของ หนึ่งวัน ราคาเปิดปิดสูงต่ำ ของแต่ละวัน ... ถ้าผมเลือกดูกราฟ Week แต่ละแท่ง ก็จะแสดง ราคาเปิดปิดสูงต่ำ ของแต่ละ Week ... จุดนี้ ขึ้นอยู่กับเราว่า เราต้องการดูภาพใหญ่ หรือภาพเล็ก -- ทั้งหมด ให้คุณจินตนาการภาพของน้ำทะเล ...ถ้ามีใครถามคุณว่า คุณมองภาพไหน เช่น บางคนมองเพียงฟองคลื่น ...บางคนมองคลื่นลูกใหญ่ ...บางคนมองคลื่นลูกเล็ก ...ซึ่งบอกตรงๆ ว่า ในการเล่นหุ้น มันไม่มีใครมองภาพเดียวกัน -- คุณสามารถเลือกช่วงเวลาในการดู และ การลงทุนที่แตกต่างกัน ...เช่น คนที่ต้องการเล่นหุ้นเร็วๆ ก็อาจเลือกกราฟ Day หรือ Intra-day ...ส่วนคนที่เลือกเล่นหุ้นในจังหวะที่ช้าลง อาจเลือกภาพ Week แล้วค่อยมาดูกราฟ Week ละหนึ่งครั้ง) -- ครับ !! ลองทำความเข้าใจง่ายๆ ก็ตามนั้น คือ ทุกคนมีจังหวะและมุมมองในการลงทุนที่แตกต่างกัน ...ในคลื่นใหญ่ มีคลื่นกลาง ในคลื่นกลางมีคลื่นเล็ก ...ความแตกต่างคือ คลื่นใหญ่ หรือ ภาพใหญ่ เราก็เห็น Trend ว่าขึ้นหรือลงที่ชัดเจนกว่าภาพเล็ก ก็เท่านั้นเอง ... ส่วนภาพเล็ก เราก็เห็น Trend ที่ให้สัญญาณเร็วกว่า แต่ก็อ่านยาก แล้วขึ้นๆ ลงๆ ผันผวนมากกว่า

อย่างในภาพนี้ ผมยกหุ้น THCOM ขึ้นมา ....จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ผมใช้ใน Chart มีไม่กี่เครื่องมือ 

เครื่องมือที่หนึ่ง ผมใช้ Moving Average คือ "ค่าเฉลี่ยของราคา" ....การดูว่า หุ้นตัวนี้ อยู่ใน Trend ขาขึ้น หรือ ขาลง มองได้ง่ายมาก ...คือ ถ้าราคาวิ่งอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย Moving Average ก็แปลว่า หุ้นอยู่ใน Trend ขาขึ้น -- การซื้อตามแล้วขายในราคาที่สูงขึ้นก็สามารถทำกำไรได้  .....อย่างในภาพนี้ เราจะเห็นได้ว่าใน Chart Week ของ THCOM ยังอยู่ในขาขึ้น ....คนที่เล่น "ซื้อแล้วถือ" ก็กำไรได้ไม่ยากเพราะหุ้นอยู่ในขาขึ้น

เครื่องมือที่สอง Trendline เป็นแค่เส้น ที่เราเอามาลากเพื่อหา Trend เหมือนกัน ...แต่ความยากของ Trendline คือ เราต้องลากเอง ..."การลากที่ถูกต้องคือ เมื่อลาก Trendline แล้ว ส่วนของราคาที่วิ่งอยู่เหนือ Trendline เราก็แปลง่ายๆ ว่าอยู่ในขาขึ้น ... ส่วนราคาที่อยู่ใต้ Trendline ก็คือ อยู่ในขาลง -- เครื่องมือนี้ มีความแม่นยำ แต่ต้องฝึกลาก ด้วยการลองใช้จริงๆ 

ผมใช้สองเครื่องมือ ก็มองได้ว่า ณ จุดที่ดู หุ้นTHCOM ยังเป็น Trend ขาขึ้น -- ก็แปลง่ายๆ และ ทำกำไรง่ายๆ คือ ซื้อแล้วถือ ...คำถามคือ จะถือไปถึงเมื่อไหร่ ...ก็ง่ายๆ ก็ถือ ไปจนเรามองว่า ไม่เป็นขาขึ้น ก็ให้ขายทำกำไร ... ประเด็นนี้ ในสัมมนา เราต้องทำความเข้าใจให้ลึกขึ้น เช่น เราอาจเข้าในภาพใหญ่ แล้วออกในภาพเล็กก็ได้ ต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจครับ



มาดูตัวอย่าง หุ้นใน Trend ขาลงบ้าง ...ลองดู BANPU ...จะเห็นได้ว่า ภาพมันตรงกันข้ามกับ THCOM เลย 

อย่าง BANPU จะเห็นได้ชัดเจนว่า ราคาวิ่งอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ย Moving Average มาตลอด ...ก็แปลง่ายๆ ว่า BANPU ยังอยู๋ใน Trend ขาลง

เอาล่ะครับ !! ...ลองไปทำการบ้านกันดูครับ ใครที่เปิด Chart เป็นแล้ว ลองไปเปิดกราฟ Week ของหุ้นที่คุณสนใจ ทุกตัว แล้วลองวิเคราะห์ซิว่า ภาพของหุ้นแต่ละตัวที่คุณสนใจ มันอยู่ในขาขึ้น หรือ ขาลง

โอเค ไปทำการบ้านนะครับ แล้วเดี๋ยวมาดูกันว่า คุณมองภาพถูกหรือไม่ !!!


"การบ้าน 2" ...การอ่านพื้นฐานเตรียมตัวสู่ "มือใหม่ Day" ....โดย The Stock Master

หลังจากเราเข้าใจ Mindset การลงทุนแล้ว ...ก็ถึงขั้นตอนที่เราต้องเข้าใจพื้นฐาน หรือ Fundamental ของหุ้น 

"หุ้น" เป็นตัวแทนของบริษัทที่เราอยากซื้อเป็นเจ้าของ ...ดังนั้น การเข้าใจว่าบริษัทหรือธุรกิจที่เราจะเข้าไปซื้อนั้นดีอย่างไร จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นมาก

อย่างแรก ต้องเข้าใจก่อนว่า "การซื้อหุ้น ก็เสมือนเราเข้าไปซื้อส่วนหนึ่งของกิจการ คือ เราไปเป็นเจ้าของ เป็นหุ้นส่วนของบริษัทตามจำนวนหุ้นที่เราซื้อ" -- การซื้อหุ้น ทำให้เรามีสถานะเป็น "ผู้ถือหุ้น" (เจ้าของส่วนเล็กๆ นั่นเอง)

คำถามคือ หุ้นพื้นฐานดี คืออะไร !!

ครับ!! หุ้นพื้นฐานดี ก็ต้องดูว่า บริษัทนั้นๆ ทำธุรกิจแล้วกำไรหรือไม่ ... แล้วต้องดูต่อไปว่า เมื่อบริษัทกำไรแล้วเขาจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นหรือไม่

ดังนั้น คิดง่ายๆ ว่า ถ้ากิจการนั้นๆ กำไรต่อเนื่อง และ มีปันผลตลอด มันแปลตรงๆ ว่ากิจการนั้นๆ เป็นกิจการที่ดี .... ถ้าดูต่อไปก็ต้องดูว่า

หนึ่ง ยอดขาย โตขึ้นไหม ... 
สอง กำไรโตขึ้นไหม ..เพราะ ถ้ายอดขายโต กำไรก็ควรโตตาม เพราะ นั้นหมายความว่าธุรกิจขยายโดย ตลาดโตขึ้น ไม่ใช่การขยายโดยการลด แลก แจก แถม 

..... "การวิเคราะห์ว่าหุ้น ถูก หรือ แพง ดูอะไร ง่ายที่สุด"

โอเค !! วันนี้ผมจะอธิบายแบบง่ายๆ (ให้จำพวกอัตราส่วนที่ผมยกให้ดูไปก่อน เดี๋ยวงานสัมมนาจริง เราจะมาเจาะลึกต่อว่า แต่ละอัตราส่วนเมื่อเอามาวิเคราะห์กับหุ้นจริงๆ ในตลาด มันใช้ได้จริงเพียงใด เป็นการเรียนแบบ Workshop ก็คือ เราจะเอาตัวอย่างหุ้นจริงๆ ยกให้ดูนั่นเอง)

ตัวอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้ในการวิเคราะห์ความถูกแพงของหุ้นแบบง่ายคือ P/E , P/BV และ Dividend Yield

ตัวแรก P/E เป็นการเอา "Price (ราคาหุ้น)" มาเทียบหารกับ "Earning (กำไร)" ...ยกตัวอย่าง สมมุติเราอยากซื้อหุ้นตัวนึงที่ราคา 100 บาท เราก็เอา กำไรต่อหุ้นมาเทียบว่า ถ้าเทียบแต่ละหุ้น EPS หรือ กำไรต่อหุ้นเป็นเท่าไหร่ ...ยกตัวอย่าง EPS (Earning per share) เท่ากับ 10 บาท ....ก็คำนวณ P หารด้วย E --- P/E = 100 / 10 ก็เท่ากับ P/E 10 เท่า ...แปลตรงๆ ว่า ถ้าซื้อหุ้นที่ราคา 100 บาท แล้วบริษัทได้กำไรต่อหุ้นปีละ 10 บาท ...ก็เท่ากับว่า การลงทุนซื้อหุ้นที่จ่ายเงินไป 100 บาทนั้น จะได้เงินต้นคืน จากกำไรบริษัทก้ต้องใช้เวลา 10 ปี ---- สรุปง่ายๆ คือ P/E ก็เท่ากับ จำนวนปีที่เราน่าจะคืนทุนจากการซื้อหุ้นนั้นๆ 

ตัวที่สอง P/BV คือ การเอา Price หารด้วย Book Value (ตัว Book Value คือ การหาว่า เจ้าของเอาเงินมาลงทุนในกิจการ เท่าไหร่) ...ถ้า P/BV เท่ากับ 1 ก็แปลว่า เจ้าของ กับ นักลงทุน สามารถซื้อหุ้นในราคาที่เท่ากัน .... แต่ถ้า P/BV น้อยกว่า 1 ก็แปลว่า "หุ้นราคาถูกมากๆ" เพราะนักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่า เงินที่เจ้าของเอามาลงทุน (แต่ในกรณีที่ P/BV น้อยกว่า 1 มักไม่เกิดบ่อย ...จะเกิดในช่วงที่ตลาด Crash หรือ Panic หนักๆ เท่านั้นเอง)

ตัวที่สาม Dividend Yield ...ดูเงินปันผล ...อันนี้เป็น Common Sense ง่ายๆ ของการลงทุน ...ถ้าเรามองหุ้นเหมือน เครื่องผลิตเงิน สิ่งที่เราจะได้จากหุ้นแค่เราถือเฉยๆ ก็คือ เงินปันผล (ในกรณีที่บริษัทมีกำไร แล้วแบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้น) ...คิดๆ ง่ายๆ ถ้าบริษัทปันผลปีละ 10% ... เราถือหุ้นเฉยๆ 10 ปี โดยเราไม่ซื้อขายเลย ก็เท่ากับว่า เราได้หุ้นนั้นฟรีเลย "ใช้เวลา 10 ปี" ....นั้นแหละ หลักการคิดเปรียบเทียบง่ายๆ

สรุปว่า ลองไปทำความเข้าใจความสัมพันธ์ ระหว่าง P/E , P/BV และ Dividend Yield ...เราเอาปัจจับต่างๆ มาวางเทียบกัน ก็พอจะเห็นภาพคร่าวๆ ว่า หุ้นนั้นๆ ถูกหรือ แพง

เอาล่ะครับ นี่เป็นการมอง การเลือกหุ้นแบบง่ายๆ ....เพื่อนๆ ลองไปทำการบ้านดู แล้วเดี๋ยว วันสัมมนา "The Stock Master มือใหม่ Day" เราก็จะยกหุ้นจริงๆ ขึ้นมาวิเคราะห์ให้ดูว่า ด้วยงบการเงิน เรามองว่าหุ้นตัวนั้นๆ ถูกหรือไม่

ไปลองทำการบ้านแล้ว เลือกหุ้นมาดูกัน ....เดี๋ยวในวันงาน ก็จะให้ เหล่ากูรู และ Stock Master ช่วยกันดูว่า หุ้นที่เพื่อนๆ นักลงทุนมอง มันดีหรือแย่อย่างไร

-- "ไปทำการบ้านครับ" ....เลือกมาเลย หุ้นที่ท่านคิดว่า มันถูก หรือ แพง ...เลือกมาดู !!


บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ