แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

เกมตามรอย Google

พอดีผมอ่านบทความใน Bloomberg ที่เขาไป Interview ผู้ก่อตั้ง Google นาย Larry Page ..ซึ่งเป็นเวลาครบหนึ่งปีที่นาย Larry กลับมาเป็น CEO อีกครั้ง ..ประมาณว่าเข้ามาล้างบ้านเนื่องจากเจอคู่แข่งอย่าง Facebook และ Apple ตีตลบหลัง ..ซึ่ง Case นี้ผมตามดูมานานแล้ว มันเด็ดจริงๆ

เดิมที Google ในช่วงก่อนหน้านี้ 2-3 ปี เราจะเจอบทความว่า Google จะมาแทน "พระเจ้า" เพราะเราต้องการอะไร Google จะหามาได้หมด ..ซึ่งช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ Google เข้าตลาดมาไม่ถึง 10 ปี เติบโตจากโครงการวิจัยของ นักศึกษาปริญญาเอกสองคน คือ Larry Page & Sergey Brin ที่มหาวิทยาลัย Stanford ..ใช้เวลาประมาณไม่ถึง 10 ปี งานวิจัยนี้กลายมาเป็นบริษัท Google ที่ปัจจุบันมูลค่า 6 ล้านล้านบาท (ก็คิดไม่ออกว่าใหญ่แค่ไหนก็นึกภาพ ว่าใหญ่ใกล้เคียงกับมูลค่าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมดของบ้านเรามารวมกันนั่นแหละ)

ประเด็นที่หลายสื่อจับตามองในเวลานี้คือ เขาเริ่มมองกันว่า Google อาจจะไม่ใช่ผู้นำอีกต่อไป เมื่อ Facebook และ Apple พลิกกลับมาเป็นคู่แข่งแบบตีท้ายครัว ...ยังไง!! -- อย่าง Facebook ผมว่าเป็น ประเด็นที่น่าศึกษามา เพราะ Facebook ไม่ได้แข่งกับ Google ในเกมของ Google เหมือนที่คนอื่นๆ พยายามทำ ...เพราะก่อนหน้านี้ ถ้าเราดูผู้ท้าชิงของ Google ทั้งหมด จะเป็นผู้ท้าชิงอย่าง Microsoft หรือ Yahoo และบริษัทอีกมากมายที่พยายามแข่งโดย พยายามสร้าง Search Engine ให้ดีกว่า Google -- "ถ้ามองง่ายๆ คือ บริษัทเหล่านี้พยายามจะชนะผู้นำ ในเกมที่ผู้นำสร้าง ..ซึ่งไม่ Make Sense -- เหมือนกับ คุณจะพยายามบอกผมว่า คุณจะสู้กับคนที่เก่งที่สุดในโลก โดยเข้าไปสู้ตรงๆ ...มันจะได้หรือ!!" ..แต่คุณรู้ไหมว่าอย่าง Facebook เขาไม่ได้แข่งกับ Google ในเกมของ Google ...เขาสร้างและกำหนดเกมการแข่งขันขึ้นมาใหม่  -- "I Create New Game !!!"

Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ตั้งโจทย์ขึ้นมาใหม่ว่า .."เขาไม่มองว่า คนจะต้องการใช้เวลากับ Search Engine อะไรมากมาย ..แต่คนเราอยากรู้เรื่องที่เพื่อนเรารู้ คือ พูดง่ายๆว่า เขามองว่าสังคมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ...และการ Ranking ความสำคัญของ Facebook จะมาจาก เพื่อนที่คุณสนใจมากที่สุด ..จะเป็นคนหาสิ่งที่คุณอยากรู้บน Internet มาให้คุณเอง -- ผลก็คือ สถิติคนใช้ Facebook 850 ล้านคนทั่วโลกใช้เวลาประมาณ 7.5 ชั่วโมงบน Facebook ต่อเดือน ..ในขณะที่ คน 100 ล้านคน ใช้เวลาเพียง 3.3 นาทีบน Google+ ..นั่นแปลว่า ในเกมของ Social Network ..มนุษย์ใช้เวลาที่จะติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เพื่อนๆของเขาสนใจ มากมายจริงๆ ...ซึ่งเดี๋ยวนี้สังเกตได้ว่า คนรุ่นใหม่บางคนไม่ดูทีวีเลย .. แถมใช้เวลาบน Internet สูงขึ้นเรื่อย" ....ถามจริงๆ ถ้าคุณเป็น เจ้าของสินค้าแล้วอยากจับคนรุ่นใหม่ ..คุณจะมองแบบเดิมคงไม่ใช่ถูกไหม ... ทีวี และสื่อเก่าๆ ที่ปัจจุบันกุมเม็ดเงิน อย่างแค่ในเมืองไทย ก็มูลค่าตลาดโฆษณาบนศื่อเดิมๆปีละหลายแสนล้าน อีกหน่อยก็จะย้ายมาอยู่บน Platform ใหม่ ที่แข่งกันดุเดือดนี่เอง

"ไม่รู้ซิ ..ผมว่าเกมมันเริ่มเผ็ดมันส์ ... นี่ยังไม่ได้พูดถึง Apple ที่จริงๆ เขาแทบจะไม่ใช่บริษัทขายคอมพิวเตอร์อีกต่อไป" -- อ้าว!! แล้ว Apple ขายอะไร

"ก็ขาย Solution ไง... ทุกวันนี้(ผม)ชีวิตเปลี่ยน เพราะไอ้เครื่อง iphone ที่อยู่ข้างๆผม .. ผมว่าเวลาเราไปประชุมกับใคร เราจะเริ่มนิสัยเสียขึ้น ..ประมาณว่าคนที่ประชุมด้วย เขาจะรู้สึกว่ากำลัง พูดอยู่คนเดียว ในขณะที่เราจะยกโทรศัพท์มาดูเป็นระยะๆ ..55 "ตลกดี" ..ผมว่าชีวิตเราเริ่มเปลี่ยน งานมันเริ่มยกไปไหนก็ได้ ..เดี่ยวนี้ Mail บริษัทผม Link กับ iphone เลย ..เวลาไปไหนก็คือ งานไปด้วย ..ส่งงานรับงาน ที่ไหนก็ได้ .. ไม่ใช่ดีนะ ..ซวย!! -- เพราะเหมือนเราต้องทำงานตลอดเวลา ..." ...จริงๆ ผมว่า ปัจจุบันนี้ พอทุกอย่างมันเปลี่ยนไป งานมันเข้ามาใกล้เราเรื่อยๆ มันถึงต้องมาถามว่า งานที่เราทำ เรารักมันไหม ..เพราะถ้าเรายิ่งไม่ชอบงานที่ทำ แล้วมันเข้ามาใกล้ขึ้น ผมว่า "นรก" มาเยือนแน่นอน

ต่อไปไม่ต้องฟันธงก็รู้ว่า "พวกเราชีวิตเปลี่ยนแน่นอน" ..บางคนบอกไม่เปลี่ยน แต่มันไม่ได้หมายความว่าคู่แข่งของคุณเขาจะไม่เปลี่ยน ... มันจึงกำลังเป็นสังคมที่สุดโต่งขึ้นเรื่อยๆ ..เดี๋ยวนี้ดูง่ายๆ คนรุ่นใหม่ที่เข้าทำงานใหม่ๆ มันจะแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกรับเงินเดือนหมื่นห้า (ค่าแรงขั้นต่ำ) ..ส่วนอีกกลุ่ม Unlimited "รายได้ไม่จำกัด"

หลายคนอาจสงสัยว่า รายได้ของคน ทำไมมันแตกต่างๆ คิดง่ายๆ ทุกอย่างมันตั้งอยู่บนหลักของเหตุผลอยู่แล้ว ...คนที่รายได้สูงเพราะเขาสร้าง "รายได้" ทำเงินให้บริษัทได้มากนั่นเอง ...ดูอย่างองค์กรที่รายได้สูงอย่าง Apple จากบริษัทที่ใกล้จะตายเต็มที่ ..พอผลิตสินค้าที่ลูกค้าต้องการ ก็เปลี่ยนเป็น Super Company วันนี้ Apple กลับมาเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากมูลค่าของกิจการในตลาด ... เอาว่า วันนี้วิธีคิดต้องเปลี่ยน ... ผมอยากเชียร์มุมมองให้เพื่อนๆ ว่าให้มองหาโอกาส และ คิดให้ออกว่า สิ่งที่เราทำอยู่ จะเปลี่ยนชีวิตของคนอื่นให้ดีขึ้นอย่างไร ผ่านสินค้าและบริการ ที่บริษัทของเรานำเสนอสู่ตลาด

วันนี้มันไม่ได้จำกัดแค่เราอยู่ใน ธนาคาร อยู่ในธุรกิจค้าปลีก อยู่ในธุรกิจพลังงาน อยู่ในธุรกิจหลักทรัพย์ เพราะเดี๋ยวนี้ 7-11 ยังจะมาแข่งกับธนาคารเลย ...ดังนั้น อย่าไปกำหนดกรอบ ..ให้มองที่ลูกค้า --- ลองคิดซิครับว่า จากสิ่งที่คุณทำ คุณจะสร้าง Create Value เพิ่มขึ้นให้ลูกค้าอย่างไร ...ย่ิงถ้าทำด้วยต้นทุนที่จำกัด ...ฟันธง คุณรวยแน่นอน "และถ้าไม่มีใครจ้างคุณนะ ..เปิดกิจการเองเลย ...ถ้าเปิดไม่ได้มาคุยกับผม ..เดี่ยวเราเปิดร่วมกัน...555"


อาลล่ะครับ -- "ผมไปนอนดีกว่า" ..ประมาณว่า อ่านบทความ Google แล้วฟุ้ง!! ...อิ อิ





วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

หลังไมค์พฤกษา ขาใหญ่บ้าน


..............."ฮึม!! เสี่ยครับผมขอหุ้นเด็ดๆสักตัวซิ..ฮ่า ฮ่า".....................

วันนี้ถือเป็นโอกาสดี ที่ทีมงาน "แกะรอยหุ้น" ได้เข้าไปสัมผัส ตัวเป็นๆของเศรษฐีหุ้นอันดับหนึ่งของเมืองไทย -- คุณ ทองมา ..

ประเด็นที่ผมสนใจมากคือ คุณทองมา ไม่ใช่คนที่ฐานะร่ำรวยมาแต่กำเนิด จะเรียกว่าค่อนข้างลำบากเสียด้วยซ้ำ ...คุณทองมา จบ ป.4 ก็เริ่มเข้าสู่โรงเรียนชีวิต นั่นคือ ทำงานหาเงินตั้งแต่เด็ก และ สอบเทียบเอา จนไปสอบติดวิศวะจุฬา

"คุณทองมา เป็นคนพูดน้อย ..คิดเยอะ" และ คิดอย่างเป็นระบบ .. เริ่มจากผู้รับเหมาเล็กๆ วันนี้พฤกษาก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในอสังหา โดยเฉพาะ ทาวน์เฮาส์ และ บ้านเดี่ยว ..ปัจจุบัน ยอดขายของพฤกษาระดับ 3 หมื่นล้านต่อปี นับว่าเดินทางมาไกลทีเดียว จากจุดที่ผมถามคุณทองมาว่า วิกฤตต้มยำกุ้งเป็นอย่างไร
คุณทองมา "โอ๊ย!! สมัยนั้นเรายังเป็นบริษัทเล็กๆ ยอดขายแค่หลักร้อยล้านเท่านั้นเอง"

แล้ววิกฤต Sub-prime ล่ะครับ

"ช่วง Sub-prime เราแทบไม่ได้รับผลกระทบเลย .." (ก็จริงนะ ยอดขายตอนปี 2008 เป็นต้นมา ของพฤกษามันโตแบบก้าวกระโดด เรียกได้ว่าหุ้นในเวลานั้นมันย่อให้ซื้อจริงๆ "ก็พื้นฐานดีขึ้น แต่ราคาหุ้นลงซะขนาดนั้น ปี 2008 เลยเป็นโอกาสครั้งใหญ่จริงๆ"...555)


 คุณทองมาไม่ได้มองพฤกษา เป็นแค่บริษัทสร้างบ้าน แต่มองเป็น "โรงงานสร้างบ้าน"

(ยังไง!!) ..ก็บริษัทรับเหมาปกติสร้าง 6 เดือน พฤกษาบอก 1 เดือนก็เสร็จทยอยออกของ มาเรื่อยๆ ขายเรื่อยๆ "ผมฟังคุณทองมาก็เริ่มจินตนาการตาม ที่คุณทองมาพูดว่า บ้านมันมี Process ขายอย่างไร และ พฤกษา ทยอยสร้างบ้านออกมาอย่างไร!!" ..ก็คุณทองมาเล่นมอง การสร้างบ้านแบบ สายพานการผลิต แต่แทนที่สินค้าจะเคลื่อนตามสายพาน กลับใช้แรงงานและวัสดุ เคลื่อนที่ ..และที่ดินเป็นจุดที่รองรับขบวนการผลิต ดังนั้น พฤกษาจึงทำหน้าที่เป็นเจ้าของโรงงาน ออกหาทำเล ซื้อที่ดิน แล้วก็ผลิต ผลิต และ ก็ผลิต (ความฝันที่คนไทยทุกคนมีบ้านคงไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้าคุณทองมายังตลุยผลิตเช่นนี้) ...โอ๊ว!! คิดต่างแบบนี้นี้เอง จึงเป็นพฤกษา

จะว่าไปแล้วพฤกษาโดยเด่นในเรื่องของการนำ Pre-cast มาก่อสร้าง ซึ่งคุณทองมาบอกว่า แม้ต้นทุนจะไม่ได้ถูกกว่า แต่เวลาที่ใช้ในการสร้างมันรวดเร็ว แถมคุณภาพดีกว่า ...คุณทองมาเล่าเรื่อง แผ่นดินไหว ซึ่งถ้าสร้างด้วยเทคโนของพฤกษาเวลานี้จะรับแผ่นดินไหวได้ 7 ริกเตอร์ "ไม่รู้นี่ คุณทองมา พูดเป็นนัยๆ ว่าจะไปลุยตลาดภูเก็ตอะเปล่า..นะ..อิ อิ"

ผมถามต่อไปว่า ...อุตสาหกรรมสร้างบ้านขายมันเหมือน "หมาล่าเนื้อ" ..ต้องออกล่าทุกปี ..กับยอดขายขนาด 3 หมื่นล้าน มันเยอะมาก -- ผมสงสัยว่า ถ้าเกิดวิกฤตพฤกษาจะทำอย่างไร

คุณทองมา ก็ยก Case ล่าสุดให้ฟังว่า ปี 2011 น้ำท่วม นี่แหละวิกฤตที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา.. แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ ..เพราะ มันคือ Supply Chain ของระบบการสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งมันเป็นของจำเป็น และยิ่งพฤกษาเลือก Focus ในตลาดที่กำลังโตที่สุด นั่นคือ "Middle Class" ซึ่งแน่นอน ไทยเราต่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่ เขาชนชั้นกลางหดตัว แต่ในบ้านเรา ชนชั้นกลางกำลังขยายตัว ..และถ้าเทียบ Technology ในการสร้างบ้านในเอเซียแล้ว พฤกษาถือว่าไม่เป็นรองใคร ..ดังนั้น ประเด็นการเปิด AEC เป็นโอกาส ..จะเห็นการรุกคืบของกลุ่มพฤกษา เข้าไปใน ตลาด อินเดีย , เวียดนาม และ มัลดีฟ ..และก็โอกาสต่อๆไปใน ASEAN

อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ การเก็งกำไรในอสังหาจนเกิดฟองสบู่ว่าจะเกิดในบ้านเราหรือเปล่า ...คุณทองมาบอกว่า ตอนนี้ยังไม่มี เพราะตอนนี้สถิติคนที่ซื้อเก็งกำไรเวลานี้อยู่ที่ประมาณ 15% ของตลาด และ ธนาคารก็ไม่ได้ปล่อยกู้ มั่วๆเหมือนตอนสมัยต้มยำกุ้ง ...ดังนั้น ณ เวลานี้ ก็ยัง So far So Good อยู่

สุดท้ายคุณทองมา เน้นในเรื่องของ "คุณภาพ" ซึ่งเป็น Key Success Factor ของธุรกิจนั่นเอง

ก็นับว่าเป็นการคุยที่น่าสนใจ แม้คุณทองมาจะพูดน้อย ..แต่ต่อยหนักนะ..555 -- ใครอยากฟังบทสัมภาษณ์เต็มๆ ก็รอติดตามดูได้ในรายการ แกะรอยหุ้น @ Money Channel นะครับ..เด้อ!!

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

ความหมายบนทางที่เราเดิน



"ผมเป็นคนนึงที่พยายามหาคำตอบเสมอ ว่าความหมายของชีวิต คืออะไร"

... คนเราเมื่อผ่านจุดล้มเหลวสุดๆ คุณจะหลุดกรอบ ..กรอบที่เรียกว่า "ความกลัว" ..แต่สิ่งที่เราได้มาอีกอย่างแบบไม่รู้ตัวจากวิกฤตชีวิต มันคือ "สติและปัญญา"

ของแบบนี้ แนะนำกันได้ แต่สอนกัน ไม่ได้ เพราะมันคือ จังหวะก้าวเดินที่ทุกคนต้องผ่าน ... "สำเร็จ และ ล้มเหลว" มันเป็นทางเดินที่ ทอดยาวไปด้วยกัน 

..คนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ แปลว่า เขาได้เดินผ่าน Cycle ของสิ่งที่คนอื่นกลัวและก้าวไม่ผ่าน แล้วเดินต่อ ต่อไป ต่อไป ...และ ต่อไป ..."นั่นแหละชีวิต ..มันคือ สิ่งที่แต่ละคนเลือกเอง" 

-- ผมเลือกจะรู้ว่า สิ่งที่ผมเลือกจะพาผมไปสู่เป้าหมายอะไร 

... ถูกต้อง!! สุดท้าย เราเอาอะไรไปไม่ได้เลย ... เงินจึงต้องเปลี่ยนเป็นความสุขระหว่างทางที่เดินไป 

(สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด คือ ปัญญาของเรา ..ทุกครั้งที่เราล้ม หากเราลุกขึ้นมายืนได้ เราจะพร้อมกับสิ่งที่ใหญ่ขึ้น ..) 

.. ทำสิ่งที่คุณรัก ..กล้าที่จะก้าวไป ..นั่นแหละชีวิตของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ในแบบของเราเอง!!

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

EXXON กับพลังงานอเมริกา และป๋าลี(กวนยู)


ผมไปเจอบทความนึงใน Fortune น่าสนใจมากเกี่ยวกับ EXXON บริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ...เขาเอาเรื่องของ ก๊าซธรรมชาติขึ้นมา เขาบอกว่า ปัจจุบัน Technology ของการสกัดน้ำมันอย่าง Fracking (คือ การอัดแรงดันน้ำ หรือ ทราย ลงไปในหลุมน้ำมันด้วยแรงสูง ..ผลก่อคือ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ติดอยู่ลึกๆ ที่สมัยก่อนสกัดออกมาไม่ได้ ก็จะหลุดออกมา ..ส่งผลให้บ่อน้ำมันที่เคยนึกว่า ไม่มีน้ำมันแล้ว ..จริงๆแล้ว ยังมีน้ำมันหลงเหลืออยู่มากมาย)

ด้วยเทคโน Fracking มันส่งผลให้อเมริกา จากที่เคย "ซวยในเรื่องพลังงาน" เนื่องจากปัจจุบันต้องนำเข้าพลังงานเยอะมากๆ (ซึ่งให้การนำเข้าพลังงานเยอะจัด โดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง มันส่งผลให้เกิดสงครามผู้ก่อการร้าย เพราะมันแย่งผลประโยชน์เรื่องพลังงานกันนี่แหละ) ..โอเค สิ่งที่น่าสนใจคือ EXXON พบว่า ใต้ผืนดินของอเมริกาเอง มีก๊าซธรรมชาติหลงเหลืออยู่เยอะมาก และมากขนาดที่ว่า ด้วยการใช้พลังงานในอัตราปัจจุบัน สามารถใช้ไปได้อีกกว่า 150 ปี "มันแสดงว่า อนาคตความมั่นคงทางพลังงานของอเมริกามันดูสดใสมากขึ้น ..ซึ่งจุดนี้ผมมองว่าดี เพราะมันจะลด Conflict ของการเมืองระหว่างประเทศลงได้บ้าง"

ตัวเลขที่ EXXON ประมาณการในเรื่องของ "ก๊าซธรรมชาติ" ว่าจะมาเป็นพลังงานหลักของอเมริกาคือ ตัวเลขสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติของอเมริกาจากปี 2008 มีสัดส่วนการใช้ที่ 11% ..ตอนนี้ปี 2012 การใช้ก๊าซธรรมชาติเพิ่มสัดส่วนขึ้นมาเป็น 28% และเขาคาดว่าในปี 2035 อเมริกาจะใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติคิดเป็นสัดส่วนที่ 60% -- "ตรงนี้ขอบอกว่า อเมริกากำลังเดินตามรอยเท้าของไทย..ฮ่า ฮ่า คุณอ่านไม่ผิดหรอก เพราะไทยเราใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานหลักกว่า 60% ของประเทศอยู่แล้ว ..งานนี้พี่ไทย มาก่อน เท่ห์ระเบิด..555" และประเด็นอีกตัวที่น่าสนใจคือ อุตสาหกรรม Fracking ของอเมริกาได้จ้างงานไปกว่า 6 แสนตำแหน่งแล้ว นับได้ว่า อุตสาหกรรมนี้ใช้แรงงานเยอะ Labour Intensive ..ซึ่งจุดนี้เป็นการดี เพราะมันก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจอเมริกาได้อีกทาง (ถ้าประเด็นนี้มา ผมว่า ประธานาธิปดีอเมริกา ปฏิเสธก๊่ซธรรมชาติไม่ได้แน่)

แต่ประเด็นอีกประเด็นที่น่าสนใจ แต่ไม่ได้พูดไว้ใน Fortune คือ ในเรื่องของ "ราคาก๊าซธรรมชาติ" ผมเอา Chart มาดู จะเห็นว่า จากปี 2008 ราคาก๊าซธรรมชาติมันตกต่ำลงเรื่อยๆ (อันนี้แทรกให้ฟังขำขำ ..ราคาก๊าซธรรมชาติลงแบบเทรนด์ใหญ่ แต่บ้านเรา PTT บอกว่าต้นทุนเพิ่ม ขอขึ้นราคาก๊าซธรรมชาติ ..อ่ะนะ ..ไม่รู้ต้นทุนอะไร..ขำขำนะ -- คนตัวเล็กๆอย่างเราที่ทำได้ ก็เมื่อสู้ตัวใหญ่ไม่ได้ ก็ซื้อหุ้นเป็นเจ้าของมันซะเลย "จริงไหม..อิ อิ" ...อันนี้เป็นแนวคิดของ ลี กวน ยู นะ ..ที่สนับสนุนให้ชาวสิงคโปร์ซื้อหุ้นจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศ ..ไว้ผมจะมาเขียนเล่าให้ฟัง)

(หนังสือเล่มนี้ สุดยอดมาก เขียนโดย "ลี กวน ยู" เอง ..ผมกำลังอิน "อ่านอยู่" ..แต่มันจะหนาสักหน่อย ..มันเหมือนการอ่านแล้วเข้าใจเศรษฐกิจอาเซียน เข้าใจระบบทุนนิยมที่เราอยู่ และ การก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ของเศรษฐกิจสิงคโปร์ จากที่ไม่มีอะไรเลย..เก่งขั้นเทพ)

แต่ถ้ามองในมุมของ Technical Analysis จาก Chart มันไม่ได้แย่ขนาดนั้น เพราะ ราคาก๊าซธรรมชาติ มันลงมา Oversold ในภาพ Month แปลง่ายๆว่า ..ผมมองจาก Chart นะ ราคาก๊าซธรรมชาติ ใกล้จุดต่ำสุดแล้ว (ในภาพระดับ Month) ...คือ ด้วยทรง Chart บอกได้เลยว่า เมื่อขาลง ลงสุดจบเมื่อไหร่ ..ขาขึ้นของจริงของราคา ก๊าซธรรมชาติ จะขึ้นแบบบ้าคลั้งอีกครั้ง (เป็นรอบๆ ไปเรื่อยๆ) ..นี่แหละประโยชน์ของ Technical Analysis คือ เราไม่บ้าไปตามคนอื่น เรานั่งอยู่ดู Chart ก็รู้แล้วว่า Cycle ของราคาของสิ่งต่างๆมันเป็นอย่างไร ...จากนั้น ก็มาคิดว่า เมื่อเป็นแบบนี้แล้วเราจะได้ประโยชน์อย่างไร ..ราคาน้ำตาล ราคายาง ..พวกนี้มี Cycle ของมันหมด ..ไม่ต้องไปประท้วงเอายางเท ราดหน้าบ้านนายกหรอกครับ เพราะมันไม่ได้ช่วย ...สิ่งที่ช่วยคือ การ Hedging จาก Futures Contract ...พูดง่ายๆว่า เรากำลังอยู่ในระบบทุนนิยม ...คนที่จะมั่งคั่งจากระบบ ไม่ใช่คนบ้าที่วิ่งไปฝืนระบบ เพราะ มันไม่มีประโยชน์ "เราเป็นแค่กลไกเล็กๆในระบบ" -- ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้คือ ศึกษาและเข้าใจระบบ ...แค่นี้ก็รวยแล้วครับ

อย่าง Exxon ผมเห็นอนาคตเลยว่า CEO Rex Tillerson ทำไมถึง Bet ไปที่ ก๊าซธรรมชาติ ..เพราะในไม่ช้าพอราคามัน Break ขึ้นมา Exxon จะขึ้นมาผงาดอีกครั้ง ..ซึ่งการ Fracking ..ผมว่า PTT เรายังไม่ได้ใช้นะ ..ไม่แน่นะ บ้านอาจมีพลังงาน ที่หลงเหลือมากมาย อยู่ในอ่าวไทย และใต้ผืนแผ่นดินนี้

ก็ลองจับตาดูกันดีๆ ผมว่าประเด็น พลังงาน มันเป็นเรื่องระดับโลก และ ระดับประเทศที่ทุกคนควรเข้าใจ !!

(ปล. จริงๆแล้วพลังงานเป็นกลไก ที่กำหนดทิศทางการเมืองระหว่างประเทศ ..อย่างอเมริกาเอง จะเข้าไปยุ่งที่ประเทศไหนต้องแน่ใจว่ามีพลังงาน คือ มี "เงินและผลประโยชน์มหาศาลนั่นแหละ" ..ดังนั้น เวลาประเด็นอย่างเรื่อง อิรัก อิหร่าน ...พวกนี้จะเกี่ยวกับอเมริกาอย่างแรง จริงไหม!! ...ในช่วงที่มี Arab Spring คุณคิดดูดีๆ ..ทำไมประเทศอิยิปต์ ถึงล้มรัฐบาลได้ ก็เพราะประเทศน้ำมันเหล่านี้ไม่เอื้อผลประโยชน์ให้อเมริกันอ่ะดิ ..อย่างซาอุ อย่างงี้ ไม่มีทางทางเลยที่อเมริกาจะปล่อยให้มาล้มกลุ่มปกครองซาอุ เพราะเขาให้ผลประโยชน์อิงกับอเมริกา ..เพราะถ้าประเด็นการล้มล้างมันสำเร็จ -- มันก็ต้องมองให้ดีต่อไปลึกขึ้นใน Deal นั้นๆ ว่าอเมริกาจะเข้าไป Control ผลประโยชน์ อย่างลิเบียเป็นต้น -- ถ้ามองลึกๆ มันไม่มีอุดมการณ์ทางการเมือง โลกเสรี หรือ ประชาธิปไตย ...แต่มันเป็น "น้ำมันธิปไตย และ ผลประโยชน์ เท่านั้นเอง" นั่นคือ การแบ่งผลประโยชน์ให้ลงตัว โดยที่อเมริกาต้องได้มากที่สุด อย่างนั้นจะเรียกว่า "เสรีภาพ" (ในมุมของอเมริกานั่นเอง) -- ตลกดี ..แต่ผมว่า เราในฐานะประชาชนตาดำๆ ควรเข้าใจกลไกเหล่านี้ เพราะไม่เช่นนั้น เราจะเป็นเบี้ย ที่เราถูกจูงมาเพื่อ ผลประโยชน์คนอื่นเสมอ!! ..."ไม่คุ้มเลยครับ"

-- บทความนี้ ฝากไว้ให้คิดกัน คือ อุดมการณ์จริงๆที่เรายกขึ้นมาให้ดูดี มันเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มนึงรึเปล่า ...คนที่จริงใจจริงๆ มันต้องกางผลประโยชน์ออกมาให้ดูกันเลย แล้ว Talk แบบ Business Talk ...และ Business ที่ยั่งยืน ไม่ใช่ Take & Take แต่มันต้อง Give & Take บนหลักการของ win-win ... น่าคิดครับ!!)

... ผมเองคิดแบบนักธุรกิจเสมอ แต่ธุรกิจที่สำเร็จ ต้องถามว่า "คุณให้อะไรลูกค้า ..ก่อนที่คุณจะมาถามว่า แล้วเราจะได้อะไร -- ถ้าทำแบบนี้ได้ คุณคิดดู ..ยังไงธุรกิจนี้ก็สำเร็จครับ"

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

คลิ๊ปย้อนหลัง "แกะรอยหุ้น CFRESH"

หุ้น CFRESH เข้ามาในตลาดหุ้นอย่างยาวนานมากกก ..กิจการเติบโตต่อเนื่อง ผ่านลม ผ่านฝน ...ให้ปันผลที่ดีอย่างต่อเนื่อง ...ว่าแต่!! ราคาหุ้นทำไมผันผวนสุดโต่ง (เยี่ยงนี้!!!) ..หาคำตอบประเด็นนี้จาก เจ้าของตัวจริงอย่างคุณ ณฤทธิ์ เลยดีกว่า (เขาเป็นชาวมาเล ที่เข้ามาปักหลักในเมืองไทยอย่างถาวร ..เป็นนักลงทุนระยะยาวหรือ VI ในตลาดหุ้นมาตั้งแต่ตลาดหุ้นไทยเปิด ถ้าใครเปิดโผผู้ถือหุ้นใหญ่ของหุ้นใหญ่ๆ หลายต่อหลายตัว ก็จะคุ้นชื่อกันดี กับ ณฤทธิ์ เจียอาภา ผู้นี้ ..นอกจากลงทุนในหุ้นแล้ว เขายังลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากมาย อย่างตึก Charter Square ที่ตั้งอยู่โดดเด่นบนถนนสาธร นั่นแหละของคุณณฤทธิ์ "ธุรกิจกุ้งไม่ง่าย คนใหม่เข้ามา ถ้าไม่เข้าใจ อวกแตกครับ การผันผวนของราคากุ้ง ราคาต้นทุน Commodity และ Technology การเกษตร") ..วันนี้คุณณฤทธิ์ เข้ามาให้สัมภาษณ์กับรายการเรา มาพร้อมกับมือการเงินคู่ใจ และลูกชายที่เริ่มเข้ามาฝึกปรือฝืมือการเงินและการบริหาร เรียกได้ว่า มาครบ ... คุณณฤทธิ์ เป็นคนพูดน้อย ไม่ค่อยยอมออกสื่อ แต่เราบอกว่า คนติดตามรายการเราเป็นคนรุ่นใหม่ทั้งนั้น จึงเป็นที่มาของการมาเปิดใจเล่าประสบการณ์ต่างๆ

... โอเค ที่เหลือไปดูใน คลิ๊ป แล้วจะพบว่า คนที่ก้าวขึ้นมาระดับนี้ ไม่ธรรมดาครับพี่น้อง!!

วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

“การเมืองชีวิต” …โลกมายา ของตำนานแห่งอำนาจ ตอนที่ 1



“ตาแก่ ที่นั่งอยู่ตรงมุมนั้น ..เขาคือ ใครกัน” …นั่นแหละ ท่านประธานบริษัท “คุณรู้ไหมว่า ท่านประธานเป็นคนที่ Low Profile มาก มีคนเคยบอกว่า ท่านนั่งเรือมาพร้อมกับ เจ้าสัวเมืองไทย ..เรือลำนั้น ก็คือ เรือที่สร้างเศรษฐีหมื่นล้าน …เพราะทุกคนที่นั่งเรือลำนั้นมาจากเมืองจีน ต่างกลายเป็น เจ้าสัวใหญ่ และ ขยายอาณาจักรของตัวเอง ในด้านต่างๆของประเทศไทย ตั้งแต่ กิจการธนาคาร , ค้าปลีก , การขนส่ง และ ก่อสร้าง”

จะว่าไปแล้ว ส่ิงที่ผมพูดเป็นเรื่องปกติ เพราะในอดีต แค่เสื่อผืนหมอนใบ … และพกความขยันและอดทนมาเต็มกระเป๋า รับรองรวย เพราะ แผ่นดินขวานทองของไทย มันคือ “ทอง” ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว .. ภาพนี้มันไม่ใช่ในสถานการณ์ปัจจุบัน

… ชายหนุ่มผู้ที่ใช้เงินมหาศาลของครอบครัว ไปร่ำเรียนปริญญาจากต่างแดน ก็กลับมายืนที่ริมน้ำ “เฮ้ย!! น้ำแม่งเน่านี่หว่า… เฮ้ย!! ข่าวออกทีวี ต่างจังหวัดน้ำท่วม ทุกปี สูงขึ้นเรื่อยๆ ..รอบนี้ชาวบ้านต้องขึ้นไปอยู่บนหลังคา ..ฮึม!! ท่วมคราวหน้า ผมว่า อย่ารอเลย … ไปสร้างเรือ แบบโนอา รอไว้เลย …เพราะท่วมคราวหน้า ..แม่เจ้า!! ผมว่า มึงแจวเรือตามน้ำท่วมมา ลงอ่าวไทยแน่!!” … เอ๊ะ!! ว่าแต่ แล้วในน้ำทำไมไม่มีปลา และ ในนาทำไมน้ำท่วม …แล้วปริญญาระดับเมืองนอก จะเอามาหาเงินอย่างไร … นั่งคิดอยู่ริมน้ำ อีกสามวันยังคิดไม่ออก

..โชคดีมีตาแก่ คนนึงเดินผ่านมาแล้วพูดขึ้นว่า

“ไอ้หนุ่มเอ้ย !! ทำไมเอ็งไม่ไปทำมาหากินวะ มายืนอยู่ริมน้ำทำไม … เอ๊งรู้ไหมว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดของมนุษย์ ก็คือ เวลา …ถ้าข้าหนุ่มแบบเอ็ง ข้าสบายแล้ว”

ในใจของเด็กหนุ่มก็คือ “สบายเป็ดอะไรวะ เครียดชิบหาย เพิ่งจบมาจากเมืองนอก ใช้เงินทางบ้านไปหลายล้าน กำลังจะมาสมัครงานรับเงินเดือน หมื่นห้าพันบาท …กูรับไม่ได้ ถึงต้องมายืนริมน้ำนี่ไงวะ ..แล้วชายแก่นี่มาพล่ามอะไรวะ … “เวลา” ไม่เห็นเข้าใจ .. เวลากูมีมากมาย ..กูเหลือเวลาถึงสิ้นเดือน กว่าจะเริ่มทำงานใหม่ ..ตอนนี้เลยมายืนคิดอยู่ริมน้ำนี่ไง เพราะตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี แล้วไปต่อโทเมืองนอก แล้วกลับมาถึงวันนี้ ผมรู้สึกว่า ยังไม่ได้หยุดคิดเลย มันวิ่งวนจนเหนื่อย ..แต่ก็รู้สึกว่า เดินมาไกลพอสมควร …แต่ยังไง แม่งก็ไม่สมควรกับ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท …อันนี้แหละ กูรับไม่ได้ รับไม่ได้ …ขอยืนคิด ต่อที่ริมน้ำอีกเดี๋ยว … “เดี๋ยวคงรับได้!!”

“เดี๋ยวคงรับได้!!”

นี่แหละ กำแพงมนุษย์ ..เราอยู่ด้วยความอดทนไง ..เคยอ่านธรรมมะ เขาบอกว่า ..หลักการเป็นมนุษย์ คือ ต้องอดทน!! …อด ในสิ่งที่อยากได้ แต่ไม่ได้ และทน ในสิ่งที่ต้องทำ แต่ไม่อยากทำ -- “ว่าแล้ว แล้วชีวิตแม่งรันทดแบบนี้ …ผมว่าเรารวมกลุ่มใน Facebook แล้วไปเผาบ้านเผาเมืองเหมือนใน อาหรับ และ ประเทศอังกฤษดีไหม … ในเมื่อคิดไม่ได้ เราก็ควรทำลาย ..รึเปล่า!!

ใช่รึเปล่า!! หากกูไม่ได้ กูก็ต้องทำลาย มันใช่ทางออกของชีวิต หรือเปล่า …. ผมไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมเล่ามัน ตรงกับชีวิตใครบ้าง แต่ผมว่า มันเป็น แง่ความกดดันที่เกิดกับ ครอบครัวชนชั้นกลางที่พยายาม พลักดันให้ลูกได้ดี โดยการต้องส่งเรียนเมืองนอก …จนมันกลายเป็น Trend …Trend ที่ใครๆก็จบนอก ..ครับ!! ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ..เป็นหนึ่งในคนที่รู้สึกแบบนี้ …สิ่งที่เข้ามากระทบจิตใจเราตลอดคือ หรือว่า เราเรียนสูงไม่พอ ดังนั้น ผมต้องเรียนปริญญาเอก …ซึ่งคนที่คิดแบบนี้ ก็เพิ่มจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนมี ด๊อกเตอร์ อยู่เยอะจนเดินชนกัน

“เอ๊ะ!! ลูกคุณเป็นด๊อกเหมือนกันหรือ … ฮึม!! ไม่ใช่ ลูกฉัน ไม่ใช่ด๊อก แต่เป็น ด๊อกเตอร์ ..ช่วยกรุณาเข้าใจให้ถูกด้วนะยะ!!” … ฮึม!! ฟังแล้ว รู็สึกว่า ลูกท่านสูงศักดิ์จริงๆ แต่สุดท้าย เราก็ขอต้อนรับลูกคุณ เข้าสู่คลับหรรษา … “คลับวังวน แห่งคนเก่ง” (คลับนี้ มีแต่คนมีความสามารถ แต่ไม่มีเวทีให้เขาแสดง เขาจึงมายืนริมน้ำ แล้วคิด คิด และ ก็คิด!!)

ผมคุยกับ ด๊อกเตอร์หลายคน ซึ่งปัญหาที่เกิดคือ ความสามารถเกินงาน .. “ไม่มีงานที่เหมาะกับความสามารถที่สูงอย่างเขา ในประเทศด้อยพัฒนาอย่างเมืองไทย …และทางเลือกที่ สมเกียรติที่สุดคือ ไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ซึ่งเงินเดือนเริ่มต้น น้อยกว่า ค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล.. “บ้าหรือ!! เรียนมา 10 ล้าน มารับเงินเดือนอาจารย์ น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำของรัฐบาล …อิฉัน รับไม่ได้ .. นี่ลูก ไม่ต้องทำงาน เดี๋ยวแม่เลี้ยงเอง …แม่ยังมี ที่ดิน สมบัติเสด็จปู่ ทิ้งไว้ให้ ยังไม่ได้ขาย มูลค่าเป็นร้อยล้าน เดี๋ยวแม่ขายได้ บ้านเราก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ..รวยสุดๆ”

ไอ้ลูกก็ถามแม่ว่า “นี่แม่!! ถ้าแม่คิดจะขายที่กินแบบนี้ .. แม่จะส่งผมไปเรียนเมืองนอกทำไม ..เรียนมันเมืองไทยก็พอแล้ว …ไม่เอาอ่ะแม่ ..ผมจะไม่แบบนั้น ผมจะสร้างตัว ด้วยตัวผมเอง” … จากนั้น ลูกก็ออกจากบ้าน ไปตามทางเดินของผู้กล้า แล้วสร้างตัว รวยในสามปี …อิ อิ นั่นมันชีิวิต โก๊ะตี๋ ..นั่นเขามีพรสวรรค์ เขาเป็นตลกระดับประเทศ แต่คุณมันนักเรียนนอก คุณจะทำได้เหรอ!!

พูดก็พูดเถอะครับ ..ถ้าชีวิตมันเป็นแบบในละครก็ดีซิ ..นางเอก จริงๆ ไม่ใช่ยาจก แต่เป็นทายาทตัวจริง ของตระกูล ..ดังนั้น จริงๆแล้วนางเอกคือ ผ้าขี้ริ้วห่อทอง ..หรือไม่ ก็พระเอก ขับ Ferrari เพราะบ้านรวยจัด ทำตัวคุณชาย และ ก็หล่อเลือกได้ ไปวันๆ … “ฮึม!! พินัยกรรมเขียนไว้ว่า ถ้าไม่ได้แต่งงานก่อนอายุ 21 ปี สมบัติทั้งหมดจะเป็นของคนใช้ …อะไรประมาณนั้น … เรื่องทั้งเรื่องของละคร จึงเป็น เรื่องของชายหนุ่มโคตรรวย ที่มีสมบัติหมื่นล้านรออยู่ …เพียงแต่ สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือ ต้องหาเมียให้ได้ แล้วแต่งงานก่อนอายุ 21 ปี …แม่เจ้า!! ถ้านิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง คงดีสัดๆ แต่ขอบอก นั่นคือ นิยายน้ำเน่า ..ไม่ใช่เน่าธรรมดา แม่งโคตรเน่่า!! ..ไม่มีโว้ย!!” --- ครับ!! ไม่มีใครหรอกครับ เกิดมาแล้ว กิน ขี้ ปี๋ นอน แล้วมีความสุข Happy Ending แบบนั้นตลอดชีวิต เพราะถึงเป็นได้แบบนั้นจริง แต่สิ่งที่มันไม่สุข ก็คือ “ใจ” อยู่ดี

“คุณว่าคนรวยเขาสบายกว่าคนจนเหรอ” …จริงๆ ไม่ใช่เลย คนรวยจริงๆ ลำบากสุดๆ เพราะ มันมีความกดดัน ในด้านต่างๆ ที่คนจนไม่มี …ไหนจะสถานะทางสังคมของตัวเอง ของพ่อแม่ที่สร้างมา และภาพลักษณ์ของตระกูล ซึ่งจำกัด ให้เราต้องพูดช้า เดินช้าๆ และยังต้องรักษา สมบัติของครอบครัวที่โดน “เงินเฟ้อ” กัดกินในอัตราเร่ง …. ถ้าคุณได้เงิน 10 ล้านจากพ่อแม่ ..คุณว่า คุณจะรักษามันอยู่ไหม!!

คุณรู้ไหมครับว่า ถามคน 100 ทั้ง 100 จะตอบว่า “โห!! สบาย ถ้าผมได้ 10 ล้านจากพ่อแม่ ผมก็แค่ฝากธนาคารกินดอก ..ไม่ต้องใช้เงินต้นเลย … เออดิ นั่นมันสมัยดอกเบี้ยสูงๆ แต่เดี๋ยวนี้ดอกเบี้ย ก็ต่ำ เงินเฟ้อก็สูง …ข้าวของนี่ราคาขึ้นในอัตราเร่ง ดังนั้น เดี๋ยวนี้ฝากธนาคารอยู่เฉยๆก็จนลงตลอดเวลา ..ครั้นจะวางเงินในที่เสี่ยงอย่างหุ้น ก็ไม่มีเวลาศึกษา เพราะ ภาระในงานประจำเงินเดือนหมื่นห้า มันหนักอก ต้องทำหน้าที่สำคัญนี้ ย่ิงชีพ” ..สรุปไอ้ 10 ล้าน ที่คุณได้มา ในเวลาที่คุณไม่พร้อม มันก็ย่อมหมดไป!!

“ผมไม่ได้ตลก มันหมดทุกคน ..เรื่องนี้สามล้อ หลายคนลองมาแล้ว ..คือ เรื่องมันมีอยู่ว่า มีสามล้อเกิดไปถูกหวยได้เงินมา 100 ล้าน …แต่สุดท้ายเงินที่ได้มาก็หมด ..และเขาก็กลับไปขับสามล้อ เหมือนเดิม …ไม่ตลก!! เพราะสถิติเขาจับมาแล้วว่า คนที่ถูกหวยส่วนใหญ่ จะกลับไปจนเท่าเดิม เกือบทุกคน”

เพราะอะไร!! ทำไม !! …ตอบง่ายๆคือ ก็เพราะคนที่ถูกหวย หรือ ได้เงินก้อนมาในเวลาที่ไม่พร้อม มันไม่สามารถรักษาได้ เพราะ อย่างแรกเลย พอถูกหวยแล้ว ญาติเยอะ เพื่อนก็เยอะ (ก่อนถูกหวย ไม่เห็นใครนับญาตกูเลย ..ตอนนี้ญาตเต็มเลย) ..และไม่เต็มธรรมดา ..ญาติและเพื่อน ทุกคนมีปัญหา ที่เราไม่ช่วยไม่ได้ …สรุปเราก็ให้ยืมเงินไป “อันนี้ให้ยืม แต่ต้องมาคืนนะ” -- ผมถามหน่อย คุณเคยให้เงิน ญาติและเพื่อนยืมไหม … ผมบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ถ้าคุณต้องต้องการเลิกคบใคร คุณรีบให้เขายืมเงิน “ทำไมน่ะหรือ” ..ก็เพราะหลังจากคนๆนั้นยืมเงินคุณไป คุณจะไม่เห็นหัวมันอีก ชั่วชีวิต!!

…. ฮึม!! นอกจากนี้เวลาคุณถูกหวย คุณจะอยากซื้อในสิ่งที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง ..ของหรู ..รถหรู ..บ้านหรู .. คิดง่ายๆ ถ้าคุณ “ใช้เงินเป็น แต่สร้างไม่เป็น ..คุณมีร้อยล้าน หรือ พันล้าน มันก็หมดได้ทั้งนั้น …มีเท่าไหร่ก็หมด และนั่นแหละ ที่เป็นเหตุผล ที่ตอบได้ว่า ทำไมสามล้อถูกหวยถึงต้องกลับไปจน ..ก็เพราะ เขาสร้างเงินไม่เป็น แต่ใช้เก่งนั่นเอง”..เลิกเล่นเถอะ การพนัน มันไม่เคยทำให้ใครรวย นอกจากเจ้าของบ่อน เพราะคุณ หาเงินจากสิ่งที่ไม่แน่นอนอย่างการพนัน แต่คุณใช้เป็น …คิดดีๆ หาเงินแบบนี้ ชาติหน้าก็ไม่รวย …คนที่รวยคือ ต้องหาเงินเก่ง แต่ใช้เงินไม่เก่ง มันถึงจะเก็บได้มากกว่าใช้ ..ถึงจะรวย!!

ท่องเป็นสูตรเลยครับ “คนจะรวย ต้องใช้ให้น้อยกว่าที่หามา แล้วก็ Repeat Process นี้ด้วยความอดทน ..ยิ่ง Process หามากกว่าใช้ มัน Repeat เรื่อยๆ ๆ ๆ ..สุดท้ายก็จะรวย และก็รวยโคตรๆ”

ถามจริงๆ เถอะ คุณเข้าใจประเด็นที่ผมพล่ามมาไหมเนี่ย … “ชายหนุ่มนักเรียนนอก การศึกษาดี แต่หาทางไปไม่เจอ ..ครับ!! มันคือ ตัวผมเองในอดีต ..ผมบอกตรงๆ ผมหาทางไปต่อไม่เจอ จนวันนึง ผมก็เจอประตู”
เจอประตู!! “ประตู อะไรนี่ !!… มันมีแสงอยู่หลังประตูด้วย” (มา..เราเข้าไปดูกันครับ พี่น้อง)

(อ่าฮ้า!! ...อย่าลืมไปอ่านต่อ ใน หนังสือ คลินิคหุ้นมือใหม่ ทุกแผงหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ กันล่ะครับพี่น้อง ... "หนังสือหุ้นเข้าใจง่ายๆสำหรับผู้เริ่มต้น และ ผู้ที่กำลัง งงๆ ในการลงทุน ..ที่อ่านเหมือนนิยายชีวิต..555") -- โฆษณาแฝง..อิ อิ

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

ตลาดลงแล้ว โลกแตกแล้ว -- จริงดิ!!



"วันนี้เป็นอีกวันที่ตลาดลงเยอะ.. คุณเดาซิว่าอารมณ์ของคนส่วนใหญ่คืออะไร" ..ใช่!! เฮ้ยน้อง หุ้นพี่เป็นไง .. (เสียงตามสายตอบกลับมา)"แย่แล้วพี่..แม่เจ้า!! รายใหญ่ขาย.." (เออ..มันรู้ได้ไงฟะ) .."ตั้ง ตั้ง ตั้ง" (เออนะ ..จะออกแล้วยังมีตั้ง คงได้ขายหรอก..) ..เอาล่ะ ถามจริงๆ ตลาดแบบนี้ คุณน่ะคิดอย่างไร !!

ผมเอา Chart มาให้ดู เผื่อจะช่วยในการมองภาพ "แผนที่ขุมทรัพย์ทางการลงทุนของเราได้ชัดเจนขึ้น" ... ดูจากกราฟคือ สองแท่งที่ผ่านมา (สองวันที่ผ่านมา) มันลงเยอะ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะต้องวิ่งไปแห่ขาย ..ประเด็นสำคัญคือ คุณรู้ได้อย่างไรว่า นี่เป็นการลง เพื่อจะลงต่อ และลงจริงๆ ในวันนี้เลย ...นั่นแหละ อารมณ์ของตลาดเข้ามาครอบงำอารมณ์ของเรา ...แล้วทำไงดีล่ะ!!

ตอบง่ายๆ มันขึ้นกับว่า คุณเข้ามาด้วยวิธีไหน และ คุณวางกลยุทธ์การลงทุนของคุณว่าจะออกด้วยอะไร ..ประมาณว่า คนที่ทำตามแผนก็ไม่เห็นต้องตื่นเต้นอะไรเลย เพราะคุณรู้อยู่แล้วว่า คุณมีความเสี่ยงเท่าไหร่ เหมือนมี Insurance ความเสียหายอยู่แล้ว จะกลัวอะไร "ฮึม!! แต่มันกลัวอ่ะพี่" ... "ความกลัวน่ะ คือศัตรูหมายเลขหนึ่งของตลาด ที่ชนะความโลภ ดังนั้น ขาลงของหุ้น จริงๆลงแรงกว่าขาขึ้นเสมอ.. สิ่งนี้ใครเข้าใจ ได้เปรียบครับ!!"

Red Zone คือ ช่วงที่ตลาดทำ Overbought "ซื้อมากไป" สูงที่สุดในช่วงเวลานั้นๆ จากนั้น พอมันเริ่มย่อ ก็บ่งบอกได้ว่า คนในตลาดที่เข้ามา เขาพร้อมทำกำไรได้ทุกเมื่อ เพราะเขาเข้ามาตั้งนานแล้ว ดังนั้น เขาพร้อมขายได้ตลอด ..แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่าตลาดจะต้องลงทันที แล้วจบรอบ ปรับฐาน เละ!! จบ!! .. "มันไม่ง่ายอย่างนั้น"

การขึ้นส่งสัญญาณแบบไหน การลง ก็ต้อง ส่งสัญญาณแบบนั้น ..ลองดูในภาพ ขาขึ้น มันไม่ใช่ขึ้นแบบจรวด แต่มันมีการ Developing Trend จากขาลง ค่อยๆ ตัดเป็นขาขึ้น ...จากราคาวิ่งตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นขึ้นก่อน จากนั้น ก็ค่อยๆ ตัดค่าเฉลี่ยเส้นที่ยาวกว่า ขึ้นทะลุขึ้นไปเรื่อยๆ ...จากนั้นเราจะเห็นการ ยืนของราคาอยู่บนเส้นสั้น แล้ว เส้นยาวขึ้นเรื่อยๆ -- นึกถึง การเคลื่อนที่ของ "รถ" ซิ มันก็ต้องไต่ระดับความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ...คนที่เข้าใจ คุณอ่านได้ขาด สบาย ชิวโคตร!! ... จากนั้น พอมัน Developing Trend ชัดเจน มันก็ขึ้นกระจาย อย่างช่วงที่ผ่านมา ... พอถึงตอนนี้ มันเริ่ม Developing Trend ครั้งใหม่ ...ซึ่งแน่นอน การสร้าง Trend ขาลงก็ต้องใช้เวลาในการสร้าง ..ดังนั้น หากเราอ่านการ Developing Trend ออก เราก็จะบอกได้ว่า เมื่อไหร่ที่ราคามันเริ่มตัดเส้นค่าเฉลี่ย เส้นสั้น ลงมาเส้นยาว จากนั้น ต้องดูว่ามันเด้งขึ้นมา แล้วยืนไม่ได้บนค่าเฉลี่ย ..หรือ วิ่งอยู่ใต้เส้นค่าเฉลี่ย -- นั่นแหละ ถึงจะส่งสัญญาณ ขาลงอย่างแท้จริง

"แล้วตอนนี้ ...มันเป็นอย่างไร ..."

.... "อ่าฮ้า!!!"

"นี่แหละครับ ความยากของตลาด เมื่ออารมณ์ของเราเข้ามาเกี่ยวข้อง มันคือ ศัตรูหมายเลขหนึ่ง ที่สร้างจาก ตัวเราเองนะ คิดดีๆ"

วันนี้ฝากไว้เท่านี้ ..ลองฝึกอ่าน Trend ให้ออก ดูการ Developing Trend ..ทุกอย่างมันมีสัญญาณบอกเสมอ ..อย่าใช้อารมรณ์อ่าน ให้เปิดใจแล้วอ่านภาพอย่างเข้าใจ "ถึงจะเข้าใจ และลงทุนเป็น!!"

คนที่เป็นนักลงทุน และอยู่ในตลาดได้จริงๆ "ไม่ใช่แมลงเม่า" .."ไม่ใช่กระต่ายตื่นตูม" -- แต่เป็นคนที่เข้าใจตัวเอง และรู้จักจุดความเสี่ยงที่เรารับได้นั่นเอง!!

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

แกะรอย "กิมจิ" ต้องเอามาเล่าให้ฟัง


ก่อนเล่าเรื่อง "กิมจิ" ขอเกริ่นภาพรวมการท่องเที่ยวของโลกให้เห็นภาพกันก่อน ...คือ ประมาณว่าถ้าใครไปเที่ยวจะสังเกตเห็นได้ว่า เงินสำหรับ นักท่องเที่ยวที่เตรียมไปละลายทิ้งในเวลาไปเที่ยวมันไม่ใช่เม็ดเงินน้อยๆ ..พูดง่ายๆว่า แลกมาเท่าไหร่ ก็หมดเท่านั้น บวกกับบัตรเครคิดเท่าที่จะรูดได้.. ฮึม!! สุดยอด

การท่องเที่ยวของโลกแต่ละปี จะมีคนเดินทางประมาณ 1 พันล้านคน ... ลองดูสถิติประเทศ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากที่สุดก็คือ ฝรั่งเศส ..ไม่ต้องสงสัยนะว่า ทำไม Bernard Arnault เจ้าของ Louis Vuitton ถึงรวยระดับโลก "เพราะเขาจำกัดให้ให้ซื้อได้ แค่คนละใบไง ..สุดยอด Exclusive ดังนั้น ล้านใบ ก็แค่เป็นสัดส่วนเล็กๆของคนที่ไปเที่ยวฝรั่งเศส ..แน่นอน ใบละหลายหมื่น ..เอาแค่นักท่องเที่ยว ที่รู้สึก Exclusive ว่าได้ซื้อเพียงหนึ่งใบก็ได้เงินไปหลายหมื่นล้านแล้ว" ..และนั่นแค่ส่วนเล็กของยอดขาย LVMH นะ -- อันนี้ ฝรั่งเศส มันกลยุทธ์ระดับโลก


มาดูในฝั่งเอเชีย คนมาเที่ยวก็ประมาณ 1 ใน 4 ของทั้งโลกปีละ 200 กว่าล้านคน ..จีนซัดไปมากสุด ตามมาด้วย มาเล , ฮ่องกง , ไทย(อะจ๊าก!! จริงดิ) ..และเกาหลี แค่ครึ่งนึงของเรา

สิ่งที่น่าสนใจที่ทั้งเกาหลี และเมืองจีน ทำเหมือนๆกัน คือ รัฐบาลเข้ามาสนับสนุนการท่องเที่ยวเต็มที่ ถึงขนาดให้คนที่ตกงาน หรือ นักศึกษาฝึกงานมา ช่วยอำนวยความสะดวกและถ่ายรูปขายเรา ..มันคือ Service Industry ที่สร้างอิงจาก อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ดีทีเดียว ..และนี่ยังรวมถึง สถานที่ต่างๆ ที่ขายสินค้าของรัฐบาล ..ถ้าให้ผมเปรียบเทียบ ก็ประมาณ OTOP ของบ้านเรา แต่ของเขาอย่าง โสม และ สมุนไพรของเขา สร้างได้ หรูหรา อลังการ ..สรุปว่า แพง แต่ ทุกคนต้องซื้อติดมือ ... "อารมณ์ว่า ผมอยากเห็น OTOP ของเรา ได้รับการยกระดับ จากรัฐบาล ทั้ง Image และ R&D เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ...คงทำเงินให้ประเทศเราไม่น้อยเลยทีเดียวจากนักท่องเที่ยว ..."

(อุตสาหกรรม Service ที่สร้างจะลดการตกงาน เพราะ Service เป็น Labour Intensive คือใช้แรงงานมาก และมีแนวโน้มจะกระจายรายได้ได้ดีกว่า อุตสาหกรรมการผลิต ดังนั้น ประเทศที่เจริญแต่รายได้กระจุกตัวต้องสนับสนุน Service Industry และ การสร้างรายได้จากความคิด การออกแบบ จินตนาการ บันเทิง และ การ Maintenace หรือการบำรุงรักษา ซึ่งในประเทศด้อยพัฒนาจะมองแต่การผลิตและสร้างโดยไม่คำนึงถึงการรักษา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการสร้างเสียอีก)

นอกจากนี้ในส่วนของ Duty Free เขาทำได้น่าสนใจมาก ...จะให้เดาผมว่า พวกนี้เขาตั้งขึ้นมาขายแต่นักท่องเที่ยว เพราะคนเขาเองคงไม่ซื้อ ...คิดเล่นๆ น่าให้ เศรษฐี พม่า ลาว เวียดนาม มาเที่ยวดูการผลิตรถยนต์ของเรา แล้วให้เราสั่ง รถปิกอัฟกลับบ้าน แบบ Duty Free หรือ สามารถสั่งของระดับโรงงานผลิตของไทย (ซึ่งบอกตรงๆ บ้านเรา มีแต่ของคุณภาพส่งออกยุโรป อเมริกา) ..น่าจะทำรายได้ไม่น้อย

อันนี้เอาภาพ "ศูนย์ละลายเงินวอน" มาให้ดู ตั้งขึ้นมาเพื่อให้นักท่องเที่ยว เอาเงิน "วอน" ที่ยังเหลืออยู่ มาละลาย ก่อนกลับบ้าน ..."แม่เจ้า!! คิดได้ไงนี่" ...นี่ตั้งขึ้นมาเป็นตึกเลย ให้เราซื้อขนมเกาหลี เช่น สาหร่าย ขนมขบเคี้ยว ของฝากต่างๆ .. พูดตรงๆนะ ถ้าเมืองไทย เราทำ ศูนย์ละลายเงินบาท แล้วเอาขนม OTOP เรามาขายนะ ..เกาหลี ชิดซ้าย -- พวกนี้ทำให้ผมนึกถึงผู้ประกอบการไทยเลย ที่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตสินค้า แต่ไม่มีหน้าร้าน ...คนเหล่านี้ถูก Modern Trade และ ห้างสรรพสินค้าบีบให้ขายถูกๆ จนไม่ได้อะไร ..คือ ถ้าผู้ประกอบการเหล่านี้ รวมตัวตั้ง "ศูนย์ละลายเงินบาท" แล้วทำสินค้าจับกลุ่มนักท่องเที่ยว น่าจะเป็น Target Marget ใหม่ ที่น่าสนใจทีเดียว




ภาพนี้ "ไม่ต้องสงสัย" มันคือภาพของ สนามบิน สุวรรณภูมิ ที่กำลังจะแตก เพราะตั้งแต่บ้านเราเริ่มการเมืองสงบนิดๆ นักท่องเที่ยวก็หลั่งไหลเข้ามา ... คุณรู้ไหมเสน่ห์ของคนไทย ที่เกาหลีชิดซ้ายคือ "รอยยิ้ม" ...ใครไปสังเกตุดีๆ ว่าการบริการและรอยยิ้มของไทยเรา ชนะขาดครับ "ฟันธง!!" ...จริงๆ มีเรื่องที่อยากเล่าอีก คร่าวๆละกัน เช่น ผับของเกาหลี ..โอ้ !! แย่... สู้บ้านเราไม่ได้เลย ...สงสัยต้อง จัดทัวร์ ให้เขามาเที่ยว หนึ่ง ทองหล่อ สอง รัชดา ..สาม... เออ อะไรก็ว่าไป .. ไม่รู้ซิครับ ไปเที่ยวต่างประเทศแล้วนึกถึงไทยเราเลยว่า ...จริงๆ ประเทศเรามีศักยภาพและโอกาสทอง ที่ยังไม่มีใครจับ ... วันไหนถ้าประเทศเรามาเอาจริงจัง กับการท่องเที่ยว แบบมี Theme ...ขอย้ำว่าแบบมี Theme ...คือ มีเรื่องราวว่า มาอะไร มาทำไม ..แล้วมีประวัติ ..มีการจัด Content ดีๆ .. ประเทศอื่นหนาวแน่นอน!!

ผมฟังเรื่อง "ยุทธศาสตร์การตั้งของประเทศเกาหลี" ที่โอบล้อมไปด้วย ประเทศมหาอำนาจ อย่าง ญี่ปุ่น จีน รัสเซีย และ ก็อเมริกา ที่พุ่งเข้ามาทางใต้ ... แล้วย้อนกลับมาดูเมืองไทย ที่โอบล้อมด้วยมหาอำนาจ และ เป็นศูนย์กลางที่ไม่ต่างจากเกาหลี ...วันนี้จีนอยู่บนหัวเรา พยายามใช้เราเป็นทางผ่าน ...ญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ระยอง จีนก็เริ่มเข้ามาสร้างฐานทัพ โดยเริ่มจากระยองเช่นกัน เพราะเขาบอกว่า น้ำท่วมไม่ถึง..555 ..แต่เที่ยวนี้ ไม่ใช่ ฐานทัพสงครามโลกทางการทหาร ..แต่เป็นสงครามเศรษฐกิจ ที่กำลังปะทุ -- มองดีๆครับ วันนี้ โอกาสอยู่รอบตัว ..ช่วยๆกันคิด ช่วยๆกันมอง และ ช่วยๆกันลงมือทำ สร้างโอกาสให้ตัวเอง ... รวยชัวร์อ่ะ!! --- สนามบินล้น!!! ฮ่า ฮ่า ... เอาไงต่อดีนี่ ...

(ฝากไปช่วยกันคิด ...สิ่งที่เราสู้เกาหลีไม่ได้ คือ Theme หรือ เรื่องราวที่ เขาสร้างให้กับการท่องเที่ยว การซื้อสินค้า ..เพราะ นอกนั้นไม่ว่าจะเป็น การบริการ รอยยิ้ม หรือ จำนวนนักท่องเที่ยว และ สิ่งที่น่าสนใจ ที่เป็นจุดขายของประเทศเรา ..เรากินขาดครับ ...เหมือนของดี แต่ขายไม่เป็นนั่นแหละ !!)

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

อ่านภาพ SET แบบง่ายๆ ในขณะนี้



ก็สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเข้าตลาด อาจ งงๆ ว่าตอนนี้หุ้นขึ้นหรือลง ... ก็ลองใช้ Technical เข้ามาช่วย จะทำให้ภาพมันอ่านได้ง่ายขึ้น

เรื่องของ Trend ว่า "ขาขึ้น" หรือ "ขาลง" มันดูง่ายๆ เช่น ใช้ MACD เข้าช่วย

... ดีอย่างไร!!

"มันช่วยบอกว่า ขณะนี้ Trend ของตลาดอยู่ใน ขาไหน ... และเราควรจะมองทิศทางไหนเป็นหลัก จริงไหม!! ..อย่างใน Chart เวลานี้ MACD มันสีเขียวอยู่เหนือศูนย์ เหนือน้ำ ก็แปลว่า มันอยู่ในขาขึ้น ..ส่วน Signal ที่ตัดลงมาสีแดงเป็นระยะ ก็คือ ภาพ Bearish เป็นระยะ .. อย่างที่บอกว่า ว่าหุ้นมันแกว่งขึ้นลงตลอดเวลา ดังนั้น เราต้องมองให้ออกว่า ภาพใหญ่เวลานี้ คือ อะไร ภาพเล็กคือ อะไร ...และกลับมาถามที่ตัวเราว่า แล้วเราลงทุนในภาพไหน ..ก็จะช่วยให้เราเข้าออก ได้ตามภาพที่เราจะลงทุน -- อย่ามั่วไปมั่วมา ต้องชัดว่าเราลงทุนภาพไหน และเลือกวิธีไหนในการลงทุน"

ในส่วนของ เส้นค่าเฉลี่ยของราคา หรือ Moving Average มันก็ช่วยในการอ่าน Trend ได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ... อย่างในเวลานี้ ทั้ง MACD และ ราคาก็วิ่งอยู่เหนือ ค่าเฉลี่ย ทุกๆเส้น ก็แปลว่า ในภาพใหญ่เวลานี้ ยังขึ้นอยู่นั่นเอง ...ถามว่าเมื่อไหร่จะลง -- ก็ดูง่ายๆ ก็เมื่อมันลง มันก็จะส่งสัญญาณ Bearish ออกมา เริ่มจาก ราคาจะเริ่มหลุดจากเส้นค่าเฉลี่ยเส้นสั้น ถัดลงมาเรื่อยๆ ...และจากนั้นเส้นค่าเฉลี่ยเส้นสั้น ก็จะเริ่มตัดลงมา ...ในส่วน MACD ก็จะย่อลงมา แล้วตัดลงใต้ศูนย์ ลงใต้น้ำ

"สิ่งที่น่าสนใจคือ มันมี การ Developing Trend ที่แฝงอยู่ในภาพเสมอ ...พูดง่ายๆ คือ คนที่มีประสบการณ์ จะอ่านได้เร็วกว่า ว่า มันกำลัง Form ตัวเปลี่ยน Trend อะไรประมาณนั้น"

(พูดแล้วตลกนะ คิดดีๆ ดิครับ แค่ซื้อหุ้นถูกทาง มันแค่รู้ว่าขึ้นหรือลง ก็ได้เงินแล้ว หลับตาโยนหัวก้อย ยังมีโอกาส 50/50 ที่จะเดาถูก แต่คนส่วนใหญ่ ทั้งเปิดตา เปิดหู ..ทั้งดูทั้งฟังข่าวรอบด้าน แต่ 80% เจ๊ง!! ..เล่นสวนทางอ่ะ -- ประเด็นนี้เหมือนตลก แต่ถ้าคุณเข้าใจ จะรู้เลยว่า คนส่วนใหญ่ เขาไม่ได้เปิดใจเรียนรู้ในเรื่องการลงทุนเลย.. น่ากลัวจริงๆ .. ถ้าใครเล่นหุ้นแล้วขาดทุนตลอด เราแค่โยนเหรียญไปให้เขา แล้วพูดว่า "เฮ้ย!! นายอ่ะ คราวหน้า ถ้าจะซื้อขาย โยนเหรียญเอา ..โอกาสชนะ จะมากขึ้นครับ จาก 80% เจ๊ง จะเหลือแค่ 50% ...555")

นอกจากนี้ เครื่องมือ ที่น่าสนใจมากๆ คือ RSI มันช่วยบอกได้ว่า คนส่วนใหญ่ "ซื้อมากไป"(Overbought) หรือ "ขายมากไป"(Oversold) เพราะ ในตลาด "ราคาหุ้น" ไม่ได้วิ่งลงตามพื้นฐาน แต่วิ่งขึ้นลงตาม Demand & Supply ความต้องการซื้อหรือขายของหุ้นตัวนั้นๆ ซึ่งก็คือ ผลลัพธ์จากปัจจัยและข้อมูลต่างๆ ที่นักลงทุนได้รับนั่นแหละครับ

...ตอนนี้ ผมเห็นนักลงทุน "มือใหม่(อายุน้อย)" เข้าสู่ตลาดเยอะ เลยอยากให้ ศึกษากันมากๆหน่อย ลงเงินอาจจะน้อยๆหน่อย..อิ อิ -- คือ อย่ามาเป็นหมู ต้องเข้าใจตลาดเสียก่อน ...อย่ามานั่ง งง ว่าหุ้นถูก ทำไมยิ่งถูก ..หรือ หุ้นแพง ทำไมขึ้นเอาขึ้นเอา ...คือ ทุกอย่างมันตอบได้ด้วยการทำความเข้าใจ ยิ่งศึกษามาก เราก็ยิ่งเข้าใจว่า นักลงทุนส่วนใหญ่เล่นตามแห่ และ เราจะเอาตัวรอดโดยคิดต่างจากคนส่วนใหญ่อย่างไร เท่านั้นเอง

..."คนที่จะทำการบ้าน ..ให้เอา Chart การขึ้นลงของราคาย้อนหลังของหุ้นที่เราอยากจะเล่น มาศึกษา ..ทำการบ้านให้มาก เดี๋ยวก็เก่ง มันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย" .....พฤติกรรมของราคา มันเป็นอย่างไร มันก็จะเป็นอย่างนั้นแหละครับ

...คนที่รวยจากตลาดหุ้น คือ เขาผิดครั้งเดียว แต่คราวต่อไป เขาเอาสิ่งนั้นเป็นบทเรียน และ ไม่ท้อถอย ...จำกัดความเสี่ยง (Stop Loss เป็น) เข้าใจการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง และ Let Profit Run -- ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รวยให้มันรู้ไป!!

คนที่เจ๊ง มันทำตรงข้าม คือ ..ไม่ศึกษา เล่นหุ้นตามแห่ ตามเชียร์ ...ซื้อตอนแพงๆ Overbought กับข่าวดีๆ นี่แห่กันเข้าไป แล้วไปอยู่บนดอยทุกๆรอบ จากนั้นทนถือ มาขายตอนหุ้นลงมาถูกที่สุด(ทนไม่ไหว) พอขายปั๊บ ขึ้นเลย ...งง ด่าตลาด (จริงๆ ตัวเองนั่นแหละ) .. แถมมีความมั่นใจไร้สติ ..เวลากำไร ชอบรีบขาย กลัวรวย!! ..เวลาลง ขอเป็น VI ถือจนตาย ..แล้วก็ตายจริง ... เออ อย่าเป็นแบบนั้นละกัน...555

ฮึม!! ว่าแต่ถ้าเพื่อนคนไหนของคุณ เป็นแบบนี้ เวลาเขาอยากซื้อ ให้คุณขาย เวลาเขาอยากขาย ให้คุณซื้อ ...แม่เจ้า!! สุดยอด...555

ใครเริ่มต้น พยายามอ่านหนังสือ คลินิกหุ้นมือใหม่ให้เข้าใจครับ ..แล้วค่อยๆต่อยอดไป -- สู้ สู้ ครับ ... ตลาดทุน มันทำให้รวยได้จริง แต่ไม่ง่าย ต้องมุ่งมั่น!!

วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

คลิ๊ปย้อนหลัง "แกะรอยหุ้น" กิมเอ็ง MBKET

คุณมนตรี ศรไพศาล ที่รู้จักกันดีในวงการตลาดทุนในฐานะเบอร์หนึ่งของกิมเอ็ง.. อดีตนักเรียนที่สอบได้ที่หนึ่งของประเทศไทย ..ไม่น่าแปลกที่ตระกูล "ศรไพศาล" เก่งทุกคน ..และที่น่าสนใจกว่านั้น คุณมนตรี เคยอยู่ตักกสิลา ที่สร้างมนุษย์หมาป่า หรือ Fund Manager ชั้นนำ และแห่งแรกในเมืองไทย ..ใช่ ผมกำลังพูดถึง "จาร์ดีน เฟอมมิ่ง" อดีต บริษัท Investment Bank มือเก๋าที่เข้ามาบุกตลาดเอเซีย และ ประเทศไทยเป็นกองทุนแรก.. สร้างมือการเงินที่ปัจจุบันคุมบังเหียนบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ..ครับ คุณมนตรี คือ หนึ่งในผู้ถูกปั้นจากที่นั่น เฉกเช่น คุณ กรณ์ จาติกวณิช และ ผู้บริหารสายการเงินหลายๆท่านที่คุมกำลังหลักของ "เงิน" ในระบบเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ..ขอบอกว่า เรื่อง จาร์ดีนเฟอมมิ่ง มันเท่ห์และลึกลับมาก!! เดี๋ยววันหลังมีโอกาสจะค่อยๆเล่าให้ฟังกันครับ ..วันนี้ลองฟังวิสัยทัศน์ของคุณมนตรีกัน ... ลึกล้ำ ไม่ธรรมดา พร้อมฟัง กลเม็ด ผูกรัก ..ในคลิ๊ปนี้ ..โย่ว!!

คลิ๊บย้อนหลัง แกะรอยหุ้น "CPN"

ดูย้อนหลัง "แกะรอยหุ้น CPN" ..วิสัยทัศน์ของ มือการเงินกลุ่มจิราธิวัฒน์ ..ลุ่มลึกยิ่งนัก ..เซ็นทรัลในอดีตเป็นธุรกิจลงทุนใหญ่ แล้วเก็บกินแบบน้ำซึมบ่อทราย ..แต่ปัจจุบัน มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว -- เครื่องมือการเงินอย่าง Property Fund มันปลดแอกเงินจม กำไรทันทีแก่ CPN ใน 2 เด้ง.. เด้งแรก ขายทำกำไรใส่กองทุนที่รายย่อยชอบซื้อ ..เด้งสอง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน Property Fund และได้ค่าบริหาร Fund ..เรียกว่าทั้งรับทั้งเด้ง ..จากนั้นปลดเงินสดทันที เอามาสร้าง เซ็นทรัลสาขาต่อไป -- วันนี้เซ็นทรัลผุดเป็นดอกเห็ดทั่วประเทศ ..."ถ้า CPN ไม่มีเครื่องมือการเงิน "ไฉนเลยจะขยายตัวรวดเร็ว และแข็งแกร่งเยี่ยงนี้" -- หาคำตอบวิสัยทัศน์นั้นในคลิ๊ปนี้ นั่นเอง

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ