แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

เรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ !!



ปีนี้นับว่าเป็นปีที่ตลาดมีความผันผวนสุดโต่งจริงๆ แต่ก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย เพราะเนื่องด้วยการที่ตลาดหุ้นของเราขึ้นแรง มาตลอดสองปีที่ผ่านมา ..คำถามที่เกิดขึ้น คือ มันแปลว่าอะไร -- จริงๆ ก็แปลว่า มันผันผวนเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่เรากำลังเผชิญในภาพใหญ่ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ถ้าจะท้าวความถึงปี 2008 ที่เราเจอ Sub-Prime แล้วตลาดเราร่วงลงไปที่ SET 380 จุด .. ณ เวลานั้นผมยังจำได้ว่า กูรู ทุกคนฟันธงว่า มันจะไปถึง Low เดิมเมื่อปี 1997 ที่ 200 จุด ..แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ช่วงนั้นผมจำได้ดีในช่วงที่มีการปิดสนามปิด .. Volume ในตลาด SET เหลือแค่วันละ 3 พันล้าน ..."พูดง่ายๆ ไม่มีใครซื้อขาย ..แต่ละวันก็มีแต่ข่าวแย่ๆ ..และที่แย่กว่านั้น คือ การเมืองก็ร้อนระอุ แบบที่ว่า ทั้งต่างประเทศก็แย่ ..และในประเทศก็ยิ่งแย่" ...ช่วงเวลานั้น ความผันผวนสุดขีด น้ำมันจากที่พุ่งไป 140 เหรียญ ก็ตกรูดกลับมาที่ 30 เหรียญ ..ช่วงนั้นโรงกลั่น ถึงขั้นกระอักเลือด เพราะขาดทุน Stock อย่างอาน ...ทองก็ร่วงรูด ..แต่มีสิ่งเดียวที่ดีดขึ้นมาคือ ดอลลาร์ "สรุปง่ายๆว่า ณ เวลานั้นไม่มีอะไรดีเลย มีแต่ข่าวร้าย ทุกอย่างเลวร้าย" แถมที่แย่กว่านั้น ดอกเบี้ยต่ำติดดิน ...

จากนั้นตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา SET ก็วิ่งจาก 380 จุด ขึ้นมา 1,000 จุด ...อย่างที่เห็น .. "มาถึงตอนนี้ ทั่วโลกกำลังวิตกว่า หนี้ยุโรป และ สหรัฐ จะไม่รอด" ก็ทำให้หลายๆคน คาดการณ์ว่า โลกเราอาจจะกลับไปสู่ Double Dip เหมือนอย่างปี 2008 เหมือนเดิม

"ผมขออธิบายในเรื่องของเงินดอลลาร์ นิดนึงว่า ..ณ ปัจจุบัน เงินดอลลาร์ก็ถือเป็นสิ่งที่คนวิ่งหาเป็นอันดับหนึ่งเวลาเกิดวิกฤต นั่นเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ของปี 2008 ที่เมื่อเกิด Sub-Prime ทั่วโลกทิ้งทุกอย่างแล้ว กระโดดเข้าถือ ดอลลาร์ ..แต่นั่นเป็นแค่ช่วงสั้นๆ เพราะแท้จริงแล้วในภาพใหญ่ ดอลลาร์ลดมูลค่าในอัตราเร่ง (ตั้งแต่ปี 1971 หลังจาก US ถอดค่าเงินดอลลาร์ออกจาก Gold Standard คือ เรียกว่า สามารถพิมพ์เงินโดยไม่ต้องมีทองมารองรับ ..และที่แย่กว่านั้น คือ ธนาคารกลางทั่วโลก สามารถถือดอลลาร์เป็น Reserve แทน "ทองคำ" ได้ ...ถ้าคุณไปเปิดบัญชี Foreign Reserve ของประเทศต่างๆดู คุณจะตกใจว่า ประเทศอเมริกาและยุโรปเอง ไม่ได้ถือ ดอลลาร์เป็นเงิน Reserve แต่ถือ "ทอง"(ฮึม!! โคตรชั่วเลย..ดูในภาพครับ) ... ส่วนประเทศที่ถือ ดอลลาร์เป็น Reserve มากที่สุด คุณคงพอจะเดาได้ ..ใช่!! จีน ..ตามมาด้วย พวกอาหรับ และก็ ASEAN นี่แหละ

(ประเด็นคือ ประเทศอเมริกา ค้าขายขาดดุลตลอด แต่ประเทศเอเชีย และก็อาหรับ เราก็ยอมรับดอลลาร์แต่โดยดี ..ปัญหาคือ ดอลลาร์มันลดมูลค่าในอัตราเร่ง เพราะตั้งแต่ 1971 เป็นต้นมา อำนาจการซื้อของเงินดอลลาร์ ลดลง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ -- ดังนั้น ไม่น่าแปลกที่ในอีกไม่ถึง 10 ปี ข้างหน้า เงินดอลลาร์ อาจลดอำนาจซื้ออีก 10% ที่เหลือ ...แต่แน่นอน เงินดอลลาร์เป็น 0 ไม่ได้ เพราะมันเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นสื่อกลางในการค้าขาย อยู่ในปริมาณ 70% ของทั้งโลก ..มันเป็นเงินของโลก ดังนั้น ดอลลาร์ยังต้องใช้อยู่ ..เพียงแต่มูลค่ามันจะยิ่งลดลงในอัตราเร่ง เท่านั้นเอง)

สิ่งที่หลายๆคนสงสัยคือ เมื่อดอลลาร์ลด แล้วอะไรเพิ่ม ..ก็ Asset ต่างๆนี่แหละครับ ที่จะเพิ่ม

สิ่งที่สะท้อนเงินเฟ้อได้เห็นชัดที่สุดคือ "ราคาทอง" ในปี 1971 ตอนที่ Nixon ยกเยิก Gold Standard ตอนนั้นทองมีมูลค่า 35 เหรียญต่อ 1 oz. แต่ปัจจุบันทะลุ 1,800 เหรียญไปเรียบร้อย (คิดดีๆว่า จริงๆแล้ว อำนาจการซื้อของทอง มันแค่ไม่ได้ลดลง แต่เงินดอลลาร์มันลดมูลค่า ..เราจึงเห็นราคาทองพุ่งกระฉูด แต่ทองหนึ่งก้อนเมื่อ 30 ปีแล้ว ใช้ซื้ออะไรได้ ปัจจุบันมันก็ยังคงซื้อได้เท่าเดิม ... แต่เงินคุณต้องเอามากองเท่าภูเขา ถึงจะซื้อของได้เท่ากับเมื่อ 30 ปีก่อน) -- นี่คือ ภาพที่เกิดขึ้น และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ครับ!! สิ่งที่ เรากำลังเผชิญ อยู่ในปัจจุบันคือ "เงินเฟ้อ" ...จริงๆแล้ว หุ้น และ Asset ต่างๆ รวมทั้งทอง เป็นเพียงหนึ่งใน Instrument ที่ช่วยให้เรา สามารถพยุงความโหดร้ายของสงครามการเงินในครั้งนี้ ..เพราะอย่างน้อย เมื่อเงินลดมูลค่า ..สิ่งที่เพิ่มมูลค่าก็คือ Real Asset ..."ซึ่งตรงนี้มันอยู่ที่แต่ละคนแล้ว ว่ามีความชำนาญในการลงทุนใน Asset ใด ..สิ่งนั้นก็จะช่วยแต่ละคนอยู่รอดได้ดีนั่นเอง"


ตัวผมเอง ชอบหุ้น เพราะผม ศึกษา Fundamental แล้ว สามารถหาค่าว่า ผลตอบแทนที่ผมรับได้คืออะไร เมื่อเทียบกับการลงทุนที่อื่น เช่นในเงินฝาก ...ดังนั้น เมื่อผมเห็นราคาและความเสี่ยงที่รับได้ ผมก็แค่เอาเงินวางในหุ้นในเวลาที่ดี ก็สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ ในระยะยาว

ปัญหาของอเมริกาในเวลานี้ คือ "ค่าเงินมันแพงไป" ..ทำให้ นำเข้า มากกว่า ส่งออก ...ทางแก้คือ De-value ค่าเงิน แต่ถามว่า "จีน" จะยอมหรือ ..ไม่มีทาง เพราะถ้าจีนยอมให้ US ลดค่าเงิน การส่งออกของจีนจะเน่า ..อเมริกาจะดีทันที เพราะ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนมากๆ การส่งออก US ก็จะดี ..อัตราการว่างงาน ซึ่งเป็นหัวใจของวิกฤตที่แก้ไม่ตกในครั้งนี้ ก็จะได้รับการเยียวยาทันที .."แต่ มันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น เพราะ ทั่วโลก ก็ยังคงผูกค่าเงินไว้กับดอลลาร์อยู่ดี ..." -- ดังนั้น ภาพใหญ่ที่เกิดขึ้น ก็คือ ค่าเงินทั่วโลก กอดคอกันตาย ... ส่ิงที่ต้องพุ่งมหาศาลนั้นคือ Asset ต่างๆ ...

ภาพใหญ่คือ พื้นฐานเศรษฐกิจในเอเชียเรายังดี เพราะ อย่างที่บอกว่า การค้าขาย เราส่งออกมากกว่านำเข้า ซึ่งจะส่งผลให้ "ค่าเงิน" ของเรา ดูดีกว่า อเมริกาและยุโรป ...อัตราการว่างงาน อย่างในประเทศไทยเอง เรามีอัตราการจ้างงานเกือบ 100% นั่นแปลว่า เรามีเศรษฐกิจพื้นฐานที่อเมริกาและยุโรปอิจฉา ...สิ่งที่เราส่งออกไปยุโรปและอเมริกาส่วนมากก็ไม่ใช่ของ Luxury แต่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องกินต้องใช้ ..ดังนั้น ถึงอเมริกาและยุโรปแย่เพียงใด ก็ไม่สามารถหยุดบริโภคทั้งหมด(ส่วนที่ขายไม่ได้ ก็บริโภคกันเอง!!).. ในส่วนของ ASEAN และจีนเอง ก็เริ่มพัฒนาจาก Inside-Out คือ ตอนนี้เริ่มเน้นการบริโภคภายใน ..นั่นหมายความว่า ถ้านโยบายเหล่านี้สำเร็จ เราจะกลายเป็น Consumption Engine ของโลก เพราะด้วยประชากรของ ASEAN เอง ก็ 600 ล้านคน รวมกับ BRIC อีก 3,000 ล้าน เท่ากับว่า ..การเติบโตของโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า ต้องมาจาก ซีกโลกตะวันออก อย่างแน่นอน

"ถามว่าอเมริกา และยุโรป ต้องการให้เอเชียเราขึ้นมายิ่งใหญ่ไหม ..แน่นอน ไม่ต้องการ จึงพยายาม สร้างความวุ่นวายในโลกการเงิน ..และพยายามลด Credit Rating ต่างๆ ..พูดง่ายๆว่า ถ้าเตะสกัดขา เอเชียได้ก็จะทำทุกวิถีทาง"..แต่อย่างไรก็ตาม ภาพใหญ่ที่เกิดขึ้น มันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะสุดท้ายพื้นฐานมันก็จะสะท้อนราคาที่แท้จริง ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลาเสมอ !! ...อย่างปี 2008 แน่นอน หุ้นร่วงทั้งโลก แต่หลังจากนั้นไม่นาน เอเชียเราก็เด้งกลับมาอย่างรวดเร็ว ... รอบนี้ ผมไม่รู้ว่าจะร่วงขนาดไหน(อาจแรงมากก็ได้) แต่สุดท้าย เวลาเด้งกลับมา เราก็จะเป็นพระเอกเช่นเดิม "ดังนั้น ในแต่ละรอบ ก็สร้างเศรษฐีเอเชียรุ่นใหม่เสมอ ..เพราะในวิกฤต มันมีโอกาสไง!!"

การเพิ่มขึ้นของ การบริโภคของ ซีกโลกตะวันออก จะเป็นการสร้างกลุ่ม Middle Class ขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือ คนชั้นกลางจะบริโภค Commodity และ อาหารในปริมาณที่สูง ..ประกอบกับ Global Warming เราจะเจอภาวะการผลิต Supply หดตัว ...และนั้นจะเป็นตัวกระตุ้นในอีกด้านของราคา Commodity และ อาหาร ที่จะเป็นตัวกระตุ้น เงินเฟ้อ ในอีกด้าน!!

นี่แหละครับ จุดเริ่มต้นของ Asean Miracle 2 "มันกำลังเกิดขึ้น ... 10 ปีจากนี้ Asset ที่ดี จะเป็น The Winner และคนที่เข้าใจ จะเห็นโอกาสการลงทุน ..ส่วนเงินเฟ้อจะกระฉูดสุดๆ"

"เตรียมตัวกันให้ดีนะครับ เพราะ เรากำลังสู้กับ โลกที่เงินเฟ้อสุดโต่ง ในไม่ช้า" ...สู้ สู้ครับ ...

3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ22 กันยายน 2554 เวลา 22:56

    ขอบคุณมากครับ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณครับ อ่านแบบนี้มันส์ดี สนุกกว่าอ่านรายงานหนังสือพิมพ์และได้ข้อมูลแน่นปึ้กเนื้อๆเน้นๆไม่แพ้กัน สนับสนุนคุณแพทครับ

    พอล

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ25 กันยายน 2554 เวลา 22:53

    ขอคุณค้าบบบ

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ