วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555
Mitt Romney คู่แข่งคนสำคัญของ Obama
ปลายปี 2012 จะเป็นปีมังกรที่น่าสนใจมาก เพราะอเมริกาจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ...ซึ่งคู่แข่งที่น่าสนใจของ Obama ก็เห็นจะเป็น Mitt Romney คนนี้ (ซึ่งยังไม่แน่ว่า เขาจะได้เป็นตัวแทนของพรรค Republican ได้หรือไม่ ก็ยังต้องติดตามกัน) ..แต่สิ่งที่ผมสนใจคือ นโยบายของ Romney
ความน่าสนใจของ Romney คือ เขาเป็น Business Man และผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจ ..แถมเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Bain Capital ซึ่งเป็นหนึ่งใน Private Equity ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา (ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเสมือนเป็นหนึ่งในอดีต "The Wolf of Wall Street" หรือ ผู้ล่าที่เคยคร่ำหวอดใน Wall Street มานั่นเอง) ..และจุดนี่เองที่ทำให้ Romney มีสายสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับกลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ และนักการเงิน ซึ่งถ้าเทียบกับ Obama ที่มีพื้นเพเป็น "นักกฏหมาย" ก็จะเห็นความแตกต่างของสองคนนี้ได้อย่างชัดเจน
นโยบายที่น่าสนใจของ Romney เรียกได้ว่า อยู่คนละขั้วกับ Obama เลยก็ได้ ..เช่น Obama พยายามจะเก็บภาษีคนรวย ในขณะที่ Romney ไม่คิดจะเก็บภาษีคนรวยเพิ่ม แต่จะลดลงด้วย ซึ่งจุดนี้อาจขัดกับ Warren Buffett ที่ก่อนหน้านี้ออกมา สนับสนุนการเก็บภาษีคนรวยที่สุด 1% ของอเมริกาเพิ่ม ...ซึ่งในมุมของ Romney เขาเชื่อว่า สุดท้ายคนรวยก็สามารถหาช่องว่างได้อยู่ดี "เราควรมาเสียเวลา Focus ในสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า" เช่น การกระตุ้นให้บริษัทใหญ่ๆของอเมริกา ที่ไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ให้สามารถนำเงินกลับมา แบบไม่เสียภาษี (เพราะก่อนหน้านี้ บริษัทอเมริกัน ที่เข้าไปลงทุนในต่างประเทศ จะเสียภาษีอีกเด้ง หากจะนำกำไรนั้นกลับมาอเมริกา ซึ่งจุดนี้ Romney มองว่า มันไม่ Make Sense เอาเสียเลย ...และจุดนี้ก็เป็นช่องโหว่ที่ บริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกาต่างเร่งขยายการลงทุนนอกประเทศ และก็ไม่นำเงินกลับมา) ...จุดนี้เห็นได้ชัดๆว่า เดิมที Trend ของการลงทุน และ การจ้างงาน มันกำลังหนีออกจากอเมริกา ทำให้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ...เศรษฐกิจอเมริกา มันฟื้นตัวในแบบ Jobless Recovery (นั่นคือ บริษัทต่างๆกำไรดีขึ้น แต่ไม่จ้างงานเพิ่ม ..คิดง่ายๆ ก็คือ บริษัทเหล่านี้เขา Shift งานต่างๆ ออกไปผลิตนอกประเทศหมดแล้ว ...ส่งผลให้คนอเมริกาตกงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ..และปัญหานี้ ก็กลับมาเป็นงูกินหาง เพราะเมื่อคนอเมริกันเองตกงาน ..เขาก็ไม่ใช้จ่าย ...การบริโภคในประเทศ ที่แย่อยู่แล้ว ก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก)
ในเรื่องของ Corporate Tax ของ Romney เสนอให้ลดลงจากปัจจุบัน 35% ให้เหลือ 25% ...อิ อิ แต่อันนี้พี่ไทยเราแจ๋วกว่า ..ซึ่งมุมการลด Tax ให้บริษัท ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น -- อย่างในกรณีของเมืองไทย มันต่างกับอเมริกา ตรงนี้รัฐบาลเราขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไป Off set กับการลดภาษี ..คือ พูดง่ายๆคือ เมืองไทยจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ก็เลยใช้วิธีการลดภาษีบริษัท ซึ่งประเด็นนี้แน่นอนจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นโดยตรง เพราะบริษัทที่จ่ายภาษีมากที่สุด และโปร่งใสที่สุดก็คือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยนโยบายนี้ ถูกใจคนเล่นหุ้น และ Wall Street
(แต่ในมุมของ SME มันต้องมาคิดเพิ่ม เพราะบริษัทเล็กๆ เหล่านี้จ่ายภาษีน้อยอยู่แล้ว แต่ค่าแรงกลับเป็นเรื่องใหญ่ ...ก็ถ้ามองตอนนี้ ในมุมของไทย ก็คือ พยายามบีบให้ผู้ประกอบการ ผันตัวไปสู่ อุตสาหกรรมที่มี Value Added หรือกำไรที่มากขึ้นนั่นเอง...ในบ้านเราถ้ามองว่ามีอนาคต ก็น่าจะเป็น ยานยนต์ และ Hi-margin Business ส่วนพวกผลิต Mass ราคาถูก และ อุตสาหกรรม Electronic ที่ Low Tech หรือ อย่างสิ่งทอ อาจจะเริ่มเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ...อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้เหมาหมดว่า ทุกบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆจะต้องเจ๊ง ..แต่ตัวชี้วัดมันขึ้นกับ การปรับตัวและวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ที่ต้องปรับไปสู่ High-Profit อย่างเช่น Innovation หรือ Design + Brand Oriented Product & Service มากขึ้นนั่นเอง)
กลับมาในส่วนของอเมริกา กับนโยบายของ Obama ตอนนี้หลายๆคนมองว่า รัฐบาลตั้งตัวเองเป็นศัตรูกับนักธุรกิจ และ พยายามใช้จ่ายมากเกินความจำเป็น เช่น ในเรื่องของ Health Care
จะว่าไปแล้วปัญหาของอเมริกาในเวลานี้ มันหนักในเรื่องของ การว่างงาน และ Real-estate ที่ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ..ซึ่งประเด็นเหล่านี้ มันพ่วงเป็นลูกโซ่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอเมริกาก็อาศัย Real-estate นี่แหละ ที่ทำให้การจ้างงานอยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจเติบโต(เพราะธุรกิจก่อสร้างมัน High-Pay และ ใช้แรงงานมาก "Labor-intensive" จึงมองเหมือนที่ผ่านมาอเมริกา มีการเติบโตและการจ้างงานที่ดี)
แต่สุดท้ายทุกคนก็เข้าใจว่า ทั้งหมดมันคือ แชร์ลูกโซ่ขนาดใหญ่ที่วางอยู่บนสมมุติฐานเดียว คือ เศรษฐกิจจะดีไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ราคาบ้านสูงขึ้นเรื่อยๆ ... "นั่นแหละที่มันไม่ Make Sense" ..และเมื่อราคาบ้านเริ่มไม่ใช่ขาขึ้น ..ตอนนี้มันก็คือ ขาลง !! ..ประเด็นอยู่ที่ว่า บ้านจะลงถึงเมื่อไหร่ ...จุดนี้หลายๆคนเอาไปเทียบกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปัญหาแบบเดียวกันนี้ ตั้งแต่ปี 1980s มาจนปัจจุบัน ตลาด Real-estate ของญี่ปุ่น ก็ยังไม่กลับไปฟื้นอีกเลย ...เป็นปัญหา กับดักสภาพคล่อง หรือ Liquidity Trap ลากมาจนถึงปัจจุบัน
"ที่เล่ามา Case ของญี่ปุ่นนี่แหละ ที่อเมริกากลัวที่สุด" ...เขาถึงได้พิมพ์แบงค์เพิ่มไง...อิ อิ (กงเต๊ก กงเต็ก...)
นักธุรกิจที่เรียกได้ว่าน่าจับตามา ที่สนับสนุน Romney อย่างออกนอกหน้าก็คือ Steve Schwarzman เศรษฐี Billionaire ผู้ก่อตั้ง Private Equity ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ชื่อว่า Blackstone Group นั่นเอง
...จริงๆตัวของ Steve Schwarzman น่าสนใจกว่า Romney อีก เพราะเขาถูกขนานนามว่า "The New King of Wall-street" ...ล่าสุดนิตยสาร Fortune เพิ่งจะยกเรื่องราวความสำเร็จของเขาผ่าน Sub-prime 2008 มาปัจจุบันแบบ ชิวๆ ...ในขณะที่ Private Equity และ Hedge Fund อื่นๆ เจ๊งกันระนาว แต่ Blackstone กลับไม่สะทกสะท้าน แถมแข็งแกร่งขึ้นอีกในปัจจุบัน
ปัจจุบัน Blackstone มีสินทรัพย์ในการบริการ $157.7 billion เพิ่มจากปี 2007 ที่ $88.4 billion ...เป็นองค์กรที่ เด็ก U Top Ten ของโลกอยากทำงานด้วยมากที่สุด ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อคน $810,000 ซึ่งมากกว่าสุดยอดบริษัทใน Wall-Street อย่าง Goldman Sachs ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย $430,000 เกือบ 2 เท่า .....
ก็เอาภาพของ "การเมือง" ที่เริ่ม ผนวกกับธุรกิจ แบบแยกกันไม่ออกในประเทศต่างๆ มาให้ดูกัน ... "ยุคนี้มันเป็นยุคของเศรษฐกิจทั้วโลกที่ผันผวนสุดขีด ...นักธุรกิจ โดยเฉพาะอดีตหมาป่า ผู้ล่าแห่งทุนนิยม จึงกลายมาเป็นตัวเลือกของ ผู้นำประเทศทั่วโลกในขณะนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"
เหมือนตำราพิชัยสงครามจีนเลย... เอาโจรมาช่วย ฆ่าโจร ..สุดท้ายโจรก็เลย ครองเมือง ...อิ อิ "อ่านแล้ว ..งง" ..แต่ก็ขำขำ ..สุดท้ายทุกอย่างมีทางออกของมัน ไม่มีอะไรเลวที่สุด และดีที่สุด ...ถ้ามองในมุมของนักลงทุน เรามองว่า สุดท้ายทุกสิ่งวิ่งเป็น Cycle จากดีไปดีสุด ว่ิงมาแย่ ไปแย่สุด .. กลับมาดี ไปดีสุด ..กลับมาแย่ ไปแย่สุด ...อย่านี้แหละ เหมือนอารมณ์ของมนุษย์ที่กำหนด ทุกสรรพสิ่งในโลก
"แต่ไอ้ที่มันดี คือ ถ้าเรารู้ว่าตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวมันแย่ แสดงว่า สุดท้ายมันต้องแกว่งไปดีไง ...คิดง่ายๆ..อิ อิ"
"ทุกอย่างล้วนวิ่งเป็น Cycle" ...คนจน ก็ซื้อแพง ข้างบน มาขายถูก ...ส่วนคนรวยก็ ซื้อถูก ข้างล่าง ไปขายแพง ข้างบน ...แค่นี้ล่ะ..อิ อิ .............."สู้ สู้ ดูกันไปครับพี่น้อง++"
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
7 สิ่ง ที่จะต้องดูในการเล่นหุ้นไทยขาขึ้น รอบใหม่ 1. ‘เด้งจากหุ้นใหญ่‘ …ในการเริ่มขาขึ้นรอบใหม่ จะเริ่มจากหุ้นใหญ่ เพราะ เม็ดเงินต่างๆ จะเข้...
-
"ฉันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว" นั่นคือ ความปรารถนาอันดับหนึ่ง จากการสำรวจความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ใช่!! ใครๆ ก็อยากเป็น ...
-
เมื่อคืน 1 มีนาคม 2555 คุณแม่โทรมาบอกว่า "แพ้ท!! คุณตาท่านเสียแล้ว" ผมก็รู้สึกใจหายอย่างมาก เพราะคุณตาเป็น เสมือนต้นแบบ ที่สอนให้ผ...
-
“อยากเอาเรื่อง Alpha มาเล่าให้ฟัง” ...ในทุกสิ่งมีชีวิต จะมีจ่าฝูง มีหัวหน้า เช่น ฝูงลิง ฝูงหมาป่า ก็จะมีจ่าฝูง ...เรื่องที่น่าสนใจก็คือ ไ...
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
7 ข้อควรรู้ การลงทุนยาว กับ การเทรดสั้น อะไรรวยเร็วกว่ากัน 1. ‘การเทรดได้เงินเร็วกว่า’ …แต่ข้อเสียก็คือ เสียเงินเร็วพอๆ กัน ถ้าจับจังหวะไม่...
-
7 ความแตกต่างระหว่าง ลงทุนหุ้นไทย กับ หุ้นโลก 1. ‘Level Playground’ …เดิมทีคนที่สามารถไปลงทุนต่างประเทศต้องเป็นคนรวยมากๆ ใช้เงินเยอะ แต่ปัจ...
-
7 เรื่อง เบื้องลึกเบื้องหลังของคำว่า ‘เงิน’ ในโลกปัจจุบัน 1. ‘เงินในปัจจุบัน เป็นเงิน Fiat’ …เงิน Fiat สร้างจากหนี้ แปลว่า เงินในปัจจุบัน ไ...
-
8 ข้อต้องดู นักเล่นหุ้นสาย growth เดิมทีเล้นหุ้น value ก็ปันผลดีอยู่แล้ว ...แต่ยุคนี้ ควรคัดหุ้น growth เข้าพอร์ตด้วย เพื่อเร่งให้พอร์ตเราโ...
-
‘หุ้นหนัก หุ้นเบา พอร์ตเราเต็มไปด้วยอะไร’ ...หลายคนน่าจะคุ้นเคยดีกับ ‘หุ้นหนัก’ ก็คือ หุ้นในพอร์ตรายย่อยส่วนใหญ่นี่แหละครับ ลักษณะของมันคือ...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น