แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2568

หุ้นปันผล กับ Work Life Balance มันเกี่ยวข้องกันยังไง ?

 หุ้นปันผล กับ Work Life Balance มันเกี่ยวข้องกันยังไง ?


1. หุ้นปันผล เป็นหนึ่งในทางเดินสู่อิสรภาพทางการเงินที่ดีที่สุด …เอาตรงๆ เพราะหุ้นปันผล เป็นสินทรัพย์ที่ให้เงินปันผล โดยที่เราเหนื่อยน้อยที่สุด 


2. หุ้นปันผลเหนื่อยน้อยจริง แต่เราควบคุมอะไรไม่ได้เลย …หุ้นจะขึ้น จะลง ปันผลจะดี จะแย่ เราก็คุมไม่ได้ …แต่เราคุมได้อย่างเดียว นั่นคือ คุมความเสี่ยงของพอร์ตเรา


3. การคุมความเสี่ยง ต้องลงทุนแบบที่เราไม่สบายใจ ….ใช่!! ถ้าเริ่มซื้อแล้วไม่สบายใจ แปลว่า เรามาถูกทาง …นั่นคือ ต้องซื้อหุ้นกระจาย และ ซื้อกลุ่มที่เราไม่ชอบด้วยอย่างสมดุลย์ 


4. Work Life Balance เป็นผลลัพธ์จากวินัยในการลงทุน …พูดง่ายๆ ถ้าเราลงทุนซื้อหุ้นปันผล จนเป็นกิจวัตร ทำไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราจะได้ทั้งอิสรภาพทางการเงิน รวมทั้ง Work Life Balance ด้วย


5. ซื้อหุ้นปันผลถ้าเริ่มในซื้อในตลาดห่วย จะช่วยให้เรารวยเร็วและง่ายขึ้น …ช่วงตลาดห่วย หุ้นจะปันผลสูงขึ้น เราเลยได้ซื้อหุ้นถูก โอกาสสำเร็จมันก็เลยง่ายและเร็วขึ้น


6. ข้อควรระวังคือเศรษฐกิจโลกผันผวน อาจมีหลายธุรกิจไปไม่รอด …วิธีแก้ ก็คือ การกระจายความเสี่ยง ลงกระจาย ไม่กระจุก ลงไปเรื่อยๆ …ซื้อ 10 หุ้น เจ๊ง 3 หุ้น แต่ที่ไม่เจ๊ง ก็โตและปันผลเลี้ยงเราสบายๆ 


7. วางแผนให้ถูกเพราะ Work Life Balance ที่ดีจริงๆ มันมาหลังอิสรภาพทางการเงิน จากการทยอยซื้อหุ้นปันผลอย่างมุ่งมั่น ต่อเนื่อง และนานพอ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2568

ทำยังถึงจะเสี่ยงได้ รวยได้ แล้วไม่หมดตูดซะก่อน ?

 ทำยังถึงจะเสี่ยงได้ รวยได้ แล้วไม่หมดตูดซะก่อน ?


1. มีงานที่มีรายได้สม่ำเสมอก่อน …ถ้าจะเสี่ยงสุดๆ ต้องรู้ก่อนว่า เรามีศักยภาพที่สามารถเสี่ยงได้


2. ศึกษาสินทรัพย์ให้รู้ว่า อะไรขึ้นได้เยอะ …อะไรขึ้นได้น้อย …สินทรัพย์ที่ขึ้นได้เยอะ มันคืออะไรที่ดูเสี่ยง ดูไม่ปลอดภัย …ส่วนสินทรัพย์ที่ปลอดภัย มันก็ขึ้นได้น้อย 


3. จัดหนักในสิ่งที่ขึ้นได้เยอะ แล้วถือยาวผ่านความผันผวนไปเลย …หลายคนเคยซื้อสินทรัพย์ที่ขึ้นได้เยอะ แต่ทนถือไม่ได้ ก็ทนรวยไม่ได้นั่นแหละ 


4. ถ้ายังไม่รวยอย่าเพิ่งให้รางวัลตัวเอง …ใช่!! เสี่ยงต่อไป …ซื้อเข้าไป เก็บเข้าไป ….ท่องไว้ ถ้าไม่รวย ฉันจะไม่ใช้เงิน


5. ถ้าทนไม่ถึง 10 ปี อย่าเพิ่งท้อว่าทำไม่ได้ …ก็ Cycle ของสินทรัพย์ จากขาลงเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ รอบใหม่ มันอาจจะกินเวลานาน …ต้องทน ต้องอด …ท่องไว้ ‘อดทนถึงที่ ได้ดีทุกคน’ 


6. รวยแล้วก็ใช้แต่ปันผล ไม่แตะเงินต้น ….อย่าหยุดรวย เพราะ ถ้าแตะเงินต้นเมื่อไหร่ โอกาสรวยมันก็จะลดลงเรื่อยๆ จะใช้ก็เอาเงินปันผลมาใช้


7. หาเพื่อน พวกที่บ้าเหมือนเรา …มันจะช่วยกันหาของ …หาจุดลงทุนที่มีโอกาสรวย 


ถ้าทำได้ 7 ข้อนี้นะ …ยังไงวันนึงก็ต้องรวยวะ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

‘เป็นล้านเลยเหรอพี่ ?‘ …ทำอะไรมีเงินเป็นร้อยล้าน !!

 ‘เป็นล้านเลยเหรอพี่ ?‘ …ทำอะไรมีเงินเป็นร้อยล้าน !!


1. อยากได้เงินล้าน …ต้องทุ่มพัฒนาทักษะ เพราะ ทักษะจะทำให้เราได้งาน ได้ธุรกิจ ได้โอกาสใหม่ๆ ที่นำไปสู่การสร้างเงิน และการเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ 


2. อยากได้สิบล้าน …ต้องพัฒนาทักษะ ให้ชนะคนอื่น …เรียกว่า ’ความเชี่ยวชาญ’ …ถ้าเป็นนักขาย ก็คือ เรามีวิธีขายที่เก่งกว่าคนอื่น , ออนไลน์เราเก่งกว่า , ฝีมือเราเหนือกว่า 


3. อยากได้ร้อยล้าน …ต้อง ‘มีทักษะที่มากกว่าตัวเอง‘ …อย่างเจ้าของธุรกิจ …งานมันเพิ่มขึ้นกว่าคนๆ เดียวจะทำได้แล้ว ต้องขยาย ต้องสร้างคน ต้องถ่ายทอด สอนลูกน้อง …กล้าเสี่ยง 


4. อยากได้พันล้าน …ธุรกิจที่สามารถ สร้างระบบ …มีการควบคุมที่ดี การตรวจสอบที่ดี Check & Balance …มีการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอและเติบโต …เราก็สามารถ ‘รวยจากเงินคนอื่น‘ …อย่างเช่น การนำธุรกิจเข้าตลาด ไป IPO …ถ้าธุรกิจกำไรปีละร้อยล้าน …มูลค่าธุรกิจในตลาดก็กลายเป็น พันล้านได้ 


(แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าของจะมีเงินเป็นร้อยล้าน เพราะ เขาไม่ได้ถือหุ้นทั้งหมด หรือ ก็ยังไม่ได้ขายหุ้น)


5. อยากได้เงินสดร้อยล้าน …เอาตรงๆ เจ้าของธุรกิจร้อยล้าน จริงๆ อาจจะกำไรสิบล้าน หัก นุ่นนี่ อาจแทบไม่เหลือ …การจะมีเงินสดร้อนล้าน ต้องเอาเงินไปลงทุนให้ดี ซึ่งยากชิหาย


 (ทั้งประเทศไทย 70 ล้านคน มีบัญชีเงินฝากเกิน 100 ล้านแค่ 6 พันบัญชี)


- ทางเลือก คือ ขายธุรกิจ …เอาบริษัทเข้าตลาด ก็อาจจะพอได้ 


นั่นแหละ ‘เป็นล้านเลยเหรอพี่ !!’ …ต้องวางเป้าหมายให้ถูก เข้าใจ ที่มาที่ไป …เราถึงจะมีโอกาสไปถึงจุดหมายที่เราตั้งไว้ในที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ทำไมคนที่รายได้มั่นคง ควรลงทุนให้เสี่ยง ?

 ทำไมคนที่รายได้มั่นคง ควรลงทุนให้เสี่ยง ?


1. รายได้ที่มั่นคงมักจะมีข้อจำกัด คือ มีรายได้เรื่อยๆ แต่ไม่โต …ดังนั้น การลงทุนควรหาโอกาสที่เสี่ยง เพื่อเป็นทางเติบโตของเราเอง


2. โอกาสที่เสี่ยง คือ ลงทุนในสินทรัพย์ที่คนส่วนใหญ่มองว่าเสี่ยง และ ในเวลาที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าลง


3. การลงทุนที่เสี่ยงอย่างสม่ำเสมอและนานพอ จะลดความเสี่ยงลง จนกลายเป็นความมั่นคงในระยะยาว ….พูดง่ายๆ คือ การลงทุนมันไม่ใช่การซื้อๆ ขายๆ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา …แต่มันคือการซื้อสะสมสินทรัพย์ที่เสี่ยง แล้วถือนานพอจนมันให้ผลตอบแทนอย่างสาสม


4. การสร้างพอร์ตการลงทุนที่เติบโตอาศัยวินัยและความอดทน มากกว่าความเก่ง ….ในระยะยาวตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยง มักให้ผลตอบแทน 10% แบบทบต้น แต่เราจะได้ผลตอบแทนนั้น ก็ต่อเมื่อเราถือผ่านความผันผวนแต่ก็ยังทนถือและซื้อเพิ่ม (บางช่วงพอร์ตเราอาจติดลบ 50% ระหว่างทางที่ถือ เป็นเรื่องปกติในการลงทุน)


5. อดเปรี้ยวไว้กินหวาน แล้วใช้เงินจากปันผลของการลงทุนเท่านั้น …วิธีการเดียวที่จะใช้เงินแล้วไม่จนลง ก็คือ ใช้เงินจากปันผลของการลงทุน …เพราะถ้าเราจะใช้เงินจากเงินต้น ถึงรวยเท่าไหร่ก็ไม่พอ 


6. ไม่มีสินทรัพย์ที่ดีที่สุด และไม่มีสินทรัพย์ที่ดีตลอดไป ….สินทรัพย์ทุกอย่างมันมี Cycle ขึ้นและลงเป็นรอบ และวนเวียนไปเรื่อยๆ …อะไรที่ดูดี ส่วนใหญ่ปลายรอบ ใกล้ซวยละ …อะไรที่แย่ ส่วนใหญ่ต้นรอบ ใกล้ดีละ !!


7. ต้นหญ้าบ้านคนอื่นจะดูเขียวกว่าสนามบ้านเราเสมอ ….เรามักจะคิดว่าคนอื่นลงทุนได้ดีกว่าเราเสมอ …แต่ลึกๆ เชื่อเถอะว่า แค่คุณดูแลสนามของคุณให้ดี คุณก็เป็นผู้ชนะในระยะยาวแล้ว


8. ถ้าเราขาดทุนเยอะ ไม่ได้แปลว่าเราโง่ …ถ้าเรากำไรเยอะก็ไม่ได้แปลว่าเราเก่ง ….ถ้าคุณอยู่ในตลาดการลงทุนนานพอ คุณจะพบว่า วันไหนที่คุณเริ่มคิดว่าตัวเองฉลาด เก่ง …การขาดทุนครั้งใหญ่ หายนะที่สุด มันกำลังรอเราอยู่ใกล้ๆ แล้วล่ะ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 เคล็ดลับ หาจุดเปลี่ยนชีวิตที่นานๆ จะมาสักทีนึง

 6 เคล็ดลับ หาจุดเปลี่ยนชีวิตที่นานๆ จะมาสักทีนึง


สำหรับผม ผมเจอจุดเปลี่ยนชีวิตมา 3 ครั้งใหญ่ๆ …ครั้งแรก สมัยเรียน จากเด็กเรียนธรรมดา ..ผมไปสมัครสอบได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ไป Australia 1 ปี พอกลับมาผมกลายเป็นเด็กเรียนเก่ง จนสอบได้มหาวิทยาลัยที่ผมอยากเรียน


ครั้งที่สอง ผมรวบรวมประสบการณ์การทำธุรกิจและความล้มเหลว มาเป็นงานเขียน จนสุดท้ายรวมเล่มกลายเป็นหนังสือ Best Seller ของประเทศ ทำให้ผมได้ย้ายมาทำงานสายการเงิน


ครั้งที่สาม ช่วงโควิด ผมรวบรวมเงินที่มีทั้งหมดแล้วทุ่มลงทุนในตลาดในวันที่ตลาดแย่ที่สุด March 2020 จำได้แม่น …จนพอร์ตเติบโต เปลี่ยนชีวิต


หลักๆ มันมีหลักการคร่าวๆ ดังนี้


1. ’จุดเปลี่ยนชีวิตจะมาในเวลาที่เราแย่ หรือแย่ที่สุด‘(The End is the Beginning) …ถ้าชีวิตเรายังไม่แย่พอ เราก็ยังทนทำสิ่งที่มันไม่ได้เรื่องอยู่นั่นแหละ …..ใช่ !! พอเราแย่ ถึงแย่ที่สุด มันบังคับให้เราต้องเปลี่ยน มองหาสิ่งใหม่


2. ’จุดเปลี่ยนชีวิต มักอยู่ในจุดอ่อนที่เราไม่เคยทำ‘(Talent hidden in weakness)…ปกติเราจะค่อยๆ ก้าวหน้าในหน้าที่การงานจาก จุดแข็ง …เราทำได้ดี ได้เงินมากขึ้น …แต่จุดเปลี่ยนชีวิตมักซ่อนอยู่ในจุดอ่อนที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยทำ ไม่กล้าทำ หรือ ไม่คิดจะทำ


3. ‘จุดเปลี่ยนต้องอาศัยการหาผลลัพธ์ใหม่ที่มันใช่ แล้วใส่เต็ม’(Identify the Trend)…จุดสำคัญคือ เราต้องเจอผลลัพธ์ใหม่ที่ใช่ก่อน แล้วถึงจะใส่เต็ม จัดหนัก …แต่คนส่วนใหญ่มักใส่ ตอนที่ยังไม่เห็นอะไร ถัวไป …อันนั้นยิ่งจะทำให้เจ็บหนัก ไม่ใช่จุดเปลี่ยน


4. ‘แนวร่วมที่ใช่ จะโคจรมาเจอพร้อมๆ กัน’ (The Avengers)…โอกาสใหม่ มันไม่ใช่เราเจอคนเดียวในโลก …มันมักจะมีหลายๆ คนที่ เจอพร้อมๆ กัน …คนกลุ่มนี้แหละที่ศีลเสมอกัน และจะเติบโตในโอกาสใหม่ ไปพร้อมๆ กับเรา


5. ’จุดเปลี่ยนชีวิตจะอยู่ตรงข้ามกับสิ่งที่คนส่วนใหญ่มอง’(Against the Mass)….มันต้องไม่ใช่จุดที่มหาชนมองตรงกัน …เพราะ จุดที่ทุกคนมองว่าดี ส่วนใหญ่มักจะเป็นปลายรอบ และไม่ใช่จุดที่ดีในการลงทุนแล้ว


6. ‘ถ้าเรายังไม่สำเร็จ แปลว่าเรายังเสี่ยงทำไม่มากพอ‘(Do it till we make it) ….ถ้าครั้งแรกไม่ใช่ …มันอาจจะใช่ในครั้งที่ 2 …3 …หรือ 4 ….แปลว่า เราต้อง Stay in the Game till we Success!!! 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2568

10 ข้อควรรู้ เพื่อเข้าใจตลาดหุ้นมากขึ้น

 

10 ข้อควรรู้ เพื่อเข้าใจตลาดหุ้นมากขึ้น

1. ตลาดหุ้นสามารถเล่นแบบการพนัน และก็สามารถเล่นแบบการลงทุน คนกำหนดคือคนเล่นเอง ไม่ใช่ตลาด ..คนส่วนใหญ่เลือกเล่นแบบพนันแล้วโทษตลาด

2. หุ้นพื้นฐานที่มีปันผล สามารถซื้อแล้วถือเหมือนลงทุนในที่ดิน ไม่จำเป็นต้องขายก็ได้ ..ถ้าถือได้นานพอ ปันผลก็คืนเงินทุนในที่สุด หลังจากนั้นหุ้นนนี้จะกลายเป็นเครื่องผลิตเงินเลี้ยงเราชั่วชีวิต ..นี่คือ อิสรภาพทางการเงินที่ตลาดหุ้นให้เราได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

3. หุ้นสามารถปั่นราคาขึ้นลงได้ แต่เราไม่จำเป็นต้องเป็นเหยื่อในเกมนั้น ..ถ้าเราลงทุนแบบออมในหุ้น คือซื้อหุ้นดีในเวลาวิกฤต มันเหมือนอยู่คนละเกมกับคนอื่น ..ใช่!! อินดี้ในแบบของเราเอง

4. ถ้าหุ้นที่เราถือ มันขึ้นเร็วไป หรือ เราอยากใช้เงิน ก็สามารถขายหุ้นได้ โดยส่วนต่างจากกำไรในตลาดหุ้น เป็นรายได้ที่สุดยอด เพราะไม่เสียภาษี

5. โอกาสในชีวิตไม่ได้หาง่าย แต่โอกาสในตลาดหุ้นมาหาเราบ่อยมากๆ ..สำหรับนักลงทุนระยะยาว เช่น แนวออมในหุ้น ผมมองทุกวิกฤตเป็นโอกาส ..หาวิกฤตตลาดหุ้นให้เจอ แล้วเราจะเห็นโอกาสตลอดเวลา

6. หุ้นที่เราซื้อตามคนอื่น ไม่มีทางซื้อได้ในจุดที่ดีเท่ากับเราเลือกเอง ..อย่าหวังจะรวยจากตลาดหุ้นหากคุณเลือกหุ้นด้วยตัวเองไม่เป็น

7. ถ้ากระจายความเสี่ยงเป็น ไม่มีทางเจ๊งในตลาดหุ้น ..คิดดีๆ หุ้นลงได้แค่ 100% แต่หุ้นขึ้น ขึ้นได้เป็น 1,000% ..ดังนั้น คนที่รู้วิธีออมในหุ้นอย่างถูกต้อง ไม่มีทางเจ๊งเลย !!

8. ตลาดหุ้นถ้าใครลงทุนแล้วไม่เลิกเล่น รวยทุกคน เพราะหุ้นดีมันเหมือนที่ดิน มันคือสินทรัพย์ที่โตขึ้นเรื่อยๆ ปันผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ..ถือที่ดินยิ่งนานยิ่งรวย ถือหุ้นปันผลก็เหมือนกัน

9. ความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้นมีผลกระทบต่อคนเล่นสั้นโดยตรง แต่แทบไม่มีผลกระทบอะไรเลยกับนักลงทุนระยะยาว ..ดังนั้น ถ้าคุณมีงานประจำหรือมีธุรกิจส่วนตัว ควรเน้นลงทุนระยะยาว

10. ความสุดยอดของอาชีพนักลงทุน คือ 'สามารถวางเงินทำงานได้ (เกษียณแล้วยังมีปันผลจากหุ้นเลี้ยงเราต่อ) และก็เป็นอาชีพเดียวในโลกที่ยิ่งแก่ ก็ยิ่งรวย' เพราะหุ้นดีมูลค่ามันขึ้นไปเรื่อยๆ และปันผลก็โตไปเรื่อยๆ ...รวยไปเรื่อยๆ

ต้องถามตัวเองว่า

หนึ่ง คุณพร้อมศึกษาให้ รู้จริง ในตลาดหุ้นหรือเปล่า ?

สอง 'คุณทนรวยเป็นหรือไม่?'

 #ภาวิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2568

10 อันดับ สินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

 10 อันดับ สินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก


1. ทอง มีมูลค่ารวม 20.5 Trillion 


2. Microsoft มูลค่ารวม 2.6 T


3. Apple มูลค่ารวม 2.59 T 


4. NVIDIA มูลค่ารวม 2.34 T


5. Amazon มูลค่ารวม 1.8 T


6. Google มูลค่ารวม 1.77 T


7. Vanguard total Stock Market ETF มูลค่ารวม 1.7 T


8. Silver มูลค่ารวม 1.69 T


9. Saudi Aramco มูลค่ารวม 1.63 T


10. Bitcoin มูลค่ารวม 1.5 T


….Vanguard S&P 500 ETF 1.32 T , Facebook 1.29 T , Berkshire 1.06 T , Broadcom 733.6 B , TSMC 733.2 , Tesla 713.2 B , Walmart 655.6 B , Visa 504.6 B , Tencent 516.8 B , Netflix 372.3 B , LVMH 288.1 B , Hermes 267.2 B , Moutai 263.4 B , Nestle 252.2 B , Alibaba 252.1 B , Samsung 236.9 B , McDonald 214.4 B , 


..PTT 25 Billion 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2568

8 ข้อคิด จาก The Psychology of Money

 8 ข้อคิด จาก The Psychology of Money


1. ความมั่นคงทางการเงิน คือ ความยืดหยุ่นในชีวิต

2. ความมั่นคงทางการเงิน ไม่ใช่ การได้เยอะ แต่คือ การไม่เสียหมดตัว

3. ตลาดและการลงทุน ไม่เคยให้ผลตอบแทนฟรีๆ

4. อย่าเอาอนาคตไปผูกกับแผนที่เป๊ะจนเกินไป

5. เป้าหมายทางการเงินที่สำคัญที่สุดคือ การมีอิสระ (เพราะเงินซื้อเวลาได้)

6. นิสัยทางการเงินสำคัญกว่าความรู้ทางการเงิน

7. ยิ่งมีอีโก้เยอะ ยิ่งเก็บเงินได้น้อย

8. การวางแผนระยะยาว ต้องเผื่อว่าอนาคตเราคิดไม่เหมือนตอนนี้ 

วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568

7 ข้อ ความเชื่อในการลงทุนที่เปลี่ยนไป ในตลาดวันนี้

 7 ข้อ ความเชื่อในการลงทุนที่เปลี่ยนไป  ในตลาดวันนี้


1. ยิ่งเสี่ยงยิ่งโชคดี …จริงๆ ไม่ใช่ …ต้อง ‘ออกแบบให้ตัวเองมีโอกาสเสี่ยงได้เรื่อยๆ’ อันนี้สำคัญกว่า


2. เวลาพลาดต้องถัว …อันนี้ใช้ได้เวลาตลาดขาขึ้น แต่ถ้าตลาดไม่ใช่ขาขึ้น เวลาพลาดต้องหยุด …มันเป็นการเตือนให้เราทบทวนแผนใหม่


3. หุ้นที่ดีจะทำให้เรารวย …ยุคนี้หุ้นที่ดีคือ หุ้นที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี โอกาสที่เราจะเข้าไปซื้อแล้วมันจะขึ้นเยอะๆ ก็น้อยลง


4. เล่นหุ้นตามเซียนจะรวย …ทุกวันนี้วิธีการที่ทำให้เซียนรวย พอเราทำตามมันก็ไม่ใช่แล้ว เพราะ เขารวยจากขาขึ้น พอเราตามก็มักจะเป็นขาลง


5. การลงทุนไม่เสี่ยงจะทำให้เรามั่นคง …จริงๆ แล้วการลงทุนในสิ่งที่ไม่เสี่ยงมันไม่มี …พอเราคิดว่าอะไรไม่เสี่ยง มันเสี่ยงมากทันที …เพราะเราจะลงเยอะ แล้วไม่รอบคอบ


6. หุ้นไทยไม่มีอนาคต ต้องหุ้นต่างประเทศ …จริงๆ ก็ไม่ใช่ ถ้าดูสถิติในอดีต ก็มีช่วงที่หุ้นไทยดีกว่าหุ้นต่างประเทศ และ ช่วงที่แย่กว่า …สรุปสั้นๆ คือ หุ้นมันวิ่งเป็นรอบ เป็น Cycle ถ้าเราเข้าถูกรอบก็รวย


7. การกระจายความเสี่ยงดีที่สุด …ปกติยิ่งกระจายความเสี่ยงเยอะ ผลตอบแทนยิ่งต่ำ …ดังนั้น ถ้าเราอยากกระจายความเสี่ยง เราก็ควรกระจายลงทุนในสิ่งที่เสี่ยงด้วย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2568

6 จุด แกะวิธีคิดลงทุนแบบผู้จัดการกองทุน

 6 จุด แกะวิธีคิดลงทุนแบบผู้จัดการกองทุน


ข้อที่ 1 กำหนดเป้าหมาย การลงทุน กำหนดเป้าหมายรูปแบบการลงทุนไหม


ข้อที่ 2 การจัด Asset allocation ให้เหมาะสมกับเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้


ข้อที่ 3 วิเคราะห์และคัดเลือกหลักทรัพย์เข้าพอร์ตการลงทุน


ข้อที่ 4 การบริหารจัดการด้านความเสี่ยง


ข้อที่ 5 ติดตามผลและปรับพอร์ตการลงทุน


ข้อที่ 6 การบริหารด้านจิตวิทยาการลงทุน

วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2568

7 ข้อ ทั้งรวย ทั้งซวยหุ้นเล็ก ซื้อแล้ว ถืออยู่ และถือต่อไป

 7 ข้อ ทั้งรวย ทั้งซวยหุ้นเล็ก ซื้อแล้ว ถืออยู่ และถือต่อไป


1. เริ่มซื้อหุ้นเล็ก …รายย่อยมักถูก ‘ล่อซื้อ’ …เข้าช่วงที่หุ้นคึกคัก ซึ่งมักจะจบกันที่ติดดอยยาว


2. หุ้นเล็กมีรอบที่ชัดเจนมาก …มีแค่ขึ้นเยอะ กับ ลงเละ แค่นั้น …ไม่มีภาวะปกติ …ทำให้การที่จะถือยาวในหุ้นเล็ก ทำได้ยากมาก


3. ซื้อในช่วงซื้อยาก และขายในช่วงขายง่าย …พูดง่ายๆ คือ หุ้นเล็กไม่ได้มี Volume การซื้อขายตลอดเหมือนหุ้นใหญ่ …ต้องดูจังหวะให้ดี


4. เซียนหุ้นส่วนใหญ่ เริ่มและเติบโตจากหุ้นตัวเล็ก ..หุ้นนอกกระแส …หุ้นที่เขายังไม่เล่นกัน


5. พื้นฐานที่ดี ทำให้การลงทุนหุ้นเล็กดีขึ้น …หุ้นเล็กที่พื้นฐานดี ก็จะมีปันผลให้ต่อเนื่อง ถือเป็นเครื่องผลิตเงินที่ดีเช่นกัน


6. การประเมินหุ้นเล็กต่างจากหุ้นใหญ่ …หุ้นเล็กอ่านงบได้แค่บางส่วน …ที่ต้องวิเคราะห์เพิ่มคือ 1. เจ้าของ 2. ศักยภาพธุรกิจ


7. ข้อดีของการติดหุ้นเล็ก …เวลาแย่มันขายไม่ได้ ไม่มีคนมาซื้อ ก็เลยต้องถือมันต่อไปขายตอนดีเท่านั้น 


- สิ่งที่ต้องระวัง คือ ‘การเพิ่มทุน ซี้ซั้ว อันนี้น่ากลัวที่สุด’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2568

7 ข้อ ทำไมผมถึงชอบตลาดหุ้นไทยในเวลาที่ใครๆ ก็ไม่เอาแล้ว

 7 ข้อ ทำไมผมถึงชอบตลาดหุ้นไทยในเวลาที่ใครๆ ก็ไม่เอาแล้ว


1. หุ้นไทยเป็นหุ้นอุตสาหกรรมเก่า ที่เข้าใจง่ายกว่า …’หุ้นที่ใครๆ มองว่าดี ส่วนใหญ่ไม่ใช่หุ้นที่ทำให้เรารวย’ 


2. ปันผลตลาดไทยอยู่ในระดับที่สูง ยิ่งถ้าซื้อถูกจังหวะ สามารถเป็นเครื่องผลิตกระแสเงินสด ปันผลให้เราอยู่ได้สบายระยะยาว


3. คนไทยซื้อหุ้นไทยได้ประโยชน์ทางภาษีมากที่สุด …ตลาดเราไม่มี Capital Gain ทำให้เวลาขาขึ้นได้กำไรเต็มๆ …กองทุนลดภาษี วันนี้ก็เป็น Timing ที่ดี ในการเริ่มสะสมรอบใหม่ 


4. หุ้นไทยมีรอบชัดเจน …ทุกครั้งที่ตลาดถูก ก็สามารถสร้างเศรษฐี เซียนหุ้น ได้ทุกรอบ


5. เราผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว …หุ้นอะไรที่พัง ตอนนี้มันพังให้เห็นหมดแล้ว …แปลว่า จากนี้ไปเราจะโดนหลอกน้อยลง


6. Volume ตลาดไทย อยู่ในช่วงที่เรียกว่า นักเก็งกำไรถอดใจ …ซึ่งจังหวะแบบนี้แหละ ที่เป็นโอกาสครั้งใหม่ของนักลงทุนระยะยาว ซื้อสะสม ถือยาว


7. เงินเฟ้อเราต่ำ ซึ่งเป็นสัญญาณในการซื้อสะสมสินทรัพย์ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 จุด วางเงินที่ไหนปลอดภัยที่สุด ในตลาดหุ้นเวลานี้

 6 จุด วางเงินที่ไหนปลอดภัยที่สุด ในตลาดหุ้นเวลานี้


1. ‘ปลอดภัยไม่ใช่จุดที่ทุกคนบอกว่าดี’ …เวลานี้จุดที่ดีเหลือน้อยลงเรื่อยๆ …หุ้นอเมริกาเริ่มลงแล้ว หุ้นไทยยังไม่มีสัญญาณกลับตัว …คริปโตเริ่มลง …มีแต่ ทอง ที่ทุกคนยังมองว่าดี - แปลว่า เวลานี้ ต้องระวังทอง (เพราะทุกคนมองว่าดี) 


2. ตราสารหนี้ พันธบัตร …เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับหุ้น ถ้าตลาดกลัว เราควรไปหาหุ้น …ถ้าตลาดกล้า เราควรไปหาพันธบัตร …ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีแต่ความกลัว ดังนั้น พันธบัตรควรมีแต่ไม่เยอะ


3. หุ้นปันผลขนาดใหญ่ของตลาดไทย …วันนี้ valuation พื้นฐานถือว่าไม่แพง Yield ปันผลสูง …ดังนั้น จุดนี้ให้น้ำหนักทยอยซื้อ …ให้น้ำหนัก 30% ของพอร์ต (ส่วนนี้คือ ทยอยซื้อถือยาว เป็น Passive Income)


4. หุ้นปันผลขนาดเล็กของไทย …วันนี้น่าสนใจเช่นกัน เพราะ แนวโน้มไม่น่าจะลงเยอะแล้ว …Volume แทบไม่มี แรงขายหมด …ให้น้ำหนัก 20% ของพอร์ต …เก็บยาว จะได้ทั้งปันผล ปละ เติบโต 


5. หุ้นเล็กหุ้นเติบโต …หลายๆ ตัว ถึงจุดกลับตัว แต่ราคาเพิ่งเริ่มต้นรอบใหม่ …พวกนี้ให้น้ำหนัก 10% ของพอร์ต …เอาไว้ลุ้น กำไรเยอะ หากตลาดกลับเป็นขาขึ้นรอบใหม่ 


6. เงินสด …ต้องมีอย่างน้อย 10% ของพอร์ต ใช้เมื่อตลาดเกิดวิกฤติ …แล้วเมื่อไหร่ถึงจะใช้เงินก้อนนี้ดี ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2568

นักลงทุนจะไม่วิ่งไล่จับผีเสื้อ ..แต่จะปลูกสวนดอกไม้แล้วให้ผีเสื้อมาเอง !!

 นักลงทุนจะไม่วิ่งไล่จับผีเสื้อ ..แต่จะปลูกสวนดอกไม้แล้วให้ผีเสื้อมาเอง !!



1. การหาเงินกับการลงทุน เริ่มจากวิธีคิดที่แตกต่างกัน ยังไง ? 


2. การลงทุนต้องใช้เงินใหญ่ ไปแลกเศษเงิน …คนที่ทำใจไม่ได้ ก็ไม่ได้เริ่มสร้างสวนสักที


3. อำนาจในการจับจ่ายใช้สอย ไม่ได้ขึ้นกับว่า รวยหรือมีเงินแค่ไหน …แต่ขึ้นกับว่า มี Cashflow เข้ามาเรื่อยๆ เท่าไหร่ นี่คือ อำนาจที่แท้จริง


4. การ Maximum Wealth จะต้องแลกกับ การติดดอย เป็นช่วงๆ แบบตลาดช่วงนี้ที่นักลงทุนระยะยาว จุก !!!


5. การสร้างสวนที่ดี ต้องมีหุ้นปันผล และ หุ้นเติบโต แบบสมดุลย์ …จะช่วยลดอาการจิตตกเวลาตลาดไม่เอื้อในสไลต์เรา


6. ในช่วงนี้ควรปั้นพอร์ตแบบ Passive Income ก็คือ ช่วงตลาดขาลงแบบตลาดหุ้นไทยวันนี้นั่นเอง


7. ช่วงที่ปั้น Wealth หรือ ‘รวยตัวเลข‘ ก็คือช่วงตลาดขาขึ้น แต่ต้องไม่ลืมทยอยขายทำกำไรเวลาตลาดแพงๆ ด้วย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2568

เสี่ยงซื้อหุ้นจุดไหน กำไรสูงสุด ?

 เสี่ยงซื้อหุ้นจุดไหน กำไรสูงสุด ?


1. หุ้นเล็กเวลาขึ้นจะวิ่งไกลกว่าหุ้นใหญ่ …หลักๆ เพราะ เม็ดเงินที่ใช้ในการซื้อ ใช้น้อยกว่า


2. หุ้นนอกกระแส วิ่งได้ไกลกว่าหุ้นในกระแส …หุ้นนอกกระแส คือ หุ้นที่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครพูดถึง เวลามาจะมาแรง


3. หุ้น SAAM ปี 2020 - 2022 ขึ้น 14 เด้ง (ตอนนี้ลงมา 40%)


4. หุ้น SUN ปี 2020 - 2021 ขึ้น 11 เด้ง (ตอนนี้ลงมาแล้ว 65%) 


5. หุ้น AIE ปี 2020 -2021 ขึ้น 12 เด้ง (ตอนนี้ลงมาแล้ว 90%)


6. หุ้น IP ปี 2020 - 2021 ขึ้น 8 เด้ง (ตอนนี้ลงมาแล้ว 80%) 


7. หุ้น IMH ปี 2020 - 2022 ขึ้น 10 เด้ง (ตอนนี้ลงมาแล้ว 80%) 


8. หุ้น SINGER ปี 2020 - 2022 ขึ้น 12 เด้ง (ตอนนี้ลงมาแล้ว 90%) 


9. Bitcoin ปี 2019 - 2021 ขึ้น 17 เด้ง (ปี 2021-2022 ลง 75%) …ปี 2022 - 2025 ขึ้น 5 เด้ง)


10. ทองคำ ปี 2018 - 2055 ขึ้น 1.4 เด้ง 


11. อะไรที่คนแห่เข้าไปซื้อมันจะขึ้นน้อย …คนเข้าไปเยอะ มันก็จะหนัก 


12. อะไรที่คนขายเยอะ มันจะเบา …ถ้าหุ้นยังไม่เจ๊ง ก็จะมีรอบใหม่ ไปเรื่อยๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

วิกฤตหุ้นตลาด SET ไทย มีอะไรให้เราค้นหา ?

 วิกฤตหุ้นตลาด SET ไทย มีอะไรให้เราค้นหา ?


1. ดัชนี SET วันนี้ ถูกเท่ากับย้อนไปปี 2012 คือ 1200 จุด …ใช่!! นี่คือ จุดตลาดถูกในรอบ 10 ปีนั่นเอง


2. หุ้นใน SET เป็นหุ้นอุตสาหกรรมเก่า แต่มีข้อดีคือ ส่วนใหญ่เป็นของจำเป็น และ ที่สำคัญคือ ตลาดเราเป็นตลาดที่ปันผลสูงอันดับต้นๆ ของโลก 


3. ในยุคที่โลกเสี่ยงต่อสงครามการค้าและสงครามจริง ..ประเทศถือเป็นหนึ่งในจุดที่น่าจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่อื่น …เพราะเราเป็นแหล่งอาหาร และอยู่ไกลจากจุดขัดแย้ง 


4. จุดที่ SET ลงใหญ่ 3 ครั้งที่ผ่านมาคือ 1997 ลง 88% …ปี 2008 ลง 58% …ปี 2018 ลง 48% …และล่าสุดก็คือ ปัจจุบัน !!


5. หุ้นใหญ่ที่ลงหนัก มีตัวอย่างไหม ? …TOP ลงถูกสุดในรอบ 20 ปี ถูกเท่าปี 2008 ลงมาแล้ว 78% ….SCC ลงมาแล้ว 75% ….BANPU จากสูงสุดลงมาแล้ว 90% ….EGCO ลงมาแล้ว 75% ….OR ลงมาแล้ว 70% ….OSP ลงมาแล้ว 70% …BJC ลงมาแล้ว 70% ….LH ลงมาแล้ว 70% 


6. ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่สร้างนักลงทุนรายย่อยมากจนประเทศอื่นๆ อิจฉา …ตอนนี้ถึงจุดที่รายย่อยอึดอัดมากที่สุด …ยิ่งอึดอัด ก็มักยิ่งเป็นโอกาส 


7. หลังวิกฤต ตลาด SET ก็ให้ผลตอบแทนไม่แพ้ใคร …หลัง วิกฤตต้มยำกุ้ง 1997 วิ่ง 321% ….หลัง Subprime 2008 ตลาดขึ้น 369% …แล้วหลังวิกฤตครั้งนี้จะวิ่ง ?


8. โอกาสครั้งนี้อยู่ที่การบริหารเงิน และ จัดสรรลงทุนให้เหมาะสมกับพอร์ตของเราเอง…อย่าสุดไปด้านใดด้านนึง เพราะเราจะเสียโอกาส และเสี่ยงมากเกินไป


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

เข้าใจหลักการสร้างเงินในโลกปัจจุบัน MMT ..Modern Monetary theory !!

 เข้าใจหลักการสร้างเงินในโลกปัจจุบัน MMT ..Modern Monetary theory !!


1. รัฐบาลสามารถสร้างเงิน (ออก Bonds) เท่าไหรก็ได้ ตราบเท่าที่ รัฐบาลยังสามารถจ่ายดอกเบี้ยที่กู้ได้ 


2. ผลเสียของการพิมพ์เงิน ก็คือ เงินเฟ้อ …ผลเสียสูงสุดคือ Hyperinflation คือเงินไร้ค่าไปเลย แบบที่เกิดขึ้นที่ต่างๆ มากมาย เช่น 1923 เกิดที่ Germany , 1949 เกิดที่ จีน , 1989 เกิดที่ Russia , 2008 เกิดที่ Zimbabwe , 2016 เกิดที่ Venezuela …


3. ‘ทำไมต้องขึ้นดอกเบี้ย ?’ …หลักๆ มี 2 ข้อ คือ หนึ่ง เงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เศรษฐกิจแย่ลง ก็จะทำให้เงินเฟ้อลดลง …สอง ดอกเบี้ยที่สูงกว่าเพื่อดึงดูดเงินให้ไหลเข้ามามากกว่า (ตอนนี้เงินไหลไปอเมริกา เพราะ ดอกเบี้ยสูงกว่าที่อื่น เช่น ญี่ปุ่น , จีน , ไทย …)


4. การขึ้นภาษีก็เป็นอีกทางที่ช่วยลดเงินเฟ้อ …รัฐบาลมีหน้าที่ สมดุลย์ระหว่าง Demand / Supply ของเงินในระบบ


5. สรุป เงินยุคใหม่ สามารถสร้างขึ้นมา ตราบเท่าที่ไม่ทำให้เงินเฟ้อนั่นเอง 


6. ถ้าเงินสร้างแค่ไหนก็ได้ แปลว่า คนที่เก็บเงินสดระยะยาว มีแต่จะซวย …เพราะ แนวโน้มเงินจะเฟ้อง่ายกว่าเงินฝืด …ต้องหาจังหวะลงทุนใน Asset ในเวลาที่เหมาะสม


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


อเมริกามีหนี้มากกว่า GDP ทำไมเศรษฐกิจถึงดีวันดีคืน ?

 อเมริกามีหนี้มากกว่า GDP ทำไมเศรษฐกิจถึงดีวันดีคืน ?


1. GDP อเมริกาคือ 30 Trillion…ส่วนหนี้ 36 Trillion …ถ้าเป็นคนธรรมดา หนี้ท่วมหัว 120% ต้องล้มละลายไปเรียบร้อยแล้ว แต่นี่คือ ประเทศเบอร์หนึ่งของระบบทุนนิยม


2. เป็นหนี้กี่ % ถึงจะล้มละลาย …จริงๆ ไม่ได้กำหนด …สูงสุดคือญี่ปุ่น เป็นหนี้ 261 % ของ GDP …สรุป ตราบใดที่จ่ายดอกเบี้ยได้ ประเทศก็ไปต่อได้ 


3. อเมริกาต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละกี่ % ….ปี 2025 ก็ตกอยู่ประมาณ 1 Trillion ต่อปี เทียบกับ รายได้ของรัฐบาลต่อปีที่ 5 Trillion (รายจ่ายต่อปี 6.75 T และ สูงขึ้นเรื่อยๆ  1.4 Social security/ 1 T health / 0.9 T interest/ 874 Medicare / 671 ทหาร …)


4. ผลเสียของการมีหนี้ คืออะไร หรือ จริงๆ พิมพ์เงินเท่าไหร่ก็ได้ ….ผลเสียคือ มูลค่าเงินลดลง เกิดเงินเฟ้อในที่สุด …พอเงินเฟ้อก็ต้องขึ้นดอกเบี้ย ทำให้รัฐบาลก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นไปอีก 


5. แต่มีคนแย้งว่า รัฐบาลไม่ต้องใช้หนี้ พิมพ์เงิน เดี๋ยวรายได้ก็สูงตาม …ปี 2010 GDP อยู่ที่ 14 T …วันนี้ GDP ขึ้นมา 2 เท่าใกล้ๆ 30 T  …ส่วนหนี้ 11 T …ขึ้นมา 3 เท่าใกล้ๆ 36 T - ใช่!! รายได้เพิ่ม แต่หนี้เพิ่มในอัตราเร่งมากกว่า 


6. เงินไหลเข้าอเมริกา แต่ไปกระจุกอยู่ในสินทรัพย์ที่คนรวยถือ เช่น หุ้นเทคขนาดใหญ่ , บ้าน …พูดง่ายๆ เงินมันไปกองที่คนรวยให้ยิ่งรวย …แต่เงินเฟ้อเพิ่มคนส่วนใหญ่กลับซวยหนัก


7. ถ้าอเมริกาเงินเฟ้อ สุดท้ายมันก็จะลามไปสู่ประเทศอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเงินดอลล่าร์มันเป็นเงิน reserve ของโลก (อเมริกาเงินเฟ้อก็ต้องขึ้นดอกเบี้ย …ขึ้นดอกทำให้เงินไหลไปอเมริกา เงินก็ยิ่งเฟ้อเข้าอีก …สินทรัพย์บ้าๆ บอๆ ก็จะราคาเป็นฟองสบู่ และผันผวนมหาศาล)


8. ทำไมมันเหมือน ปลายรอบ ก่อนที่ Bubble จะแตกเลย …ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์จะพบว่า ทุกอาณาจักรก่อนล่มสลาย …ความรวยมันจะไปกระจุกอยู่กลับคนส่วนน้อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ลำบากอยู่ไม่ได้ …ความล่มสลายก็จะเกิดขึ้น …ปฏิวัติฝรั่งเศส …จีนล้มระบบเก่า …โรมันล่มสลาย ….เรายังไม่ถึงจุดนั้น แต่มันน่าคิดว่า เรากำลังเดินทางไปที่ไหนกันแน่ ??


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

Mag 7 ..เจ็ดนางฟ้าหุ้นเจ้าโลกที่เราควรรู้



Mag 7 ..เจ็ดนางฟ้าหุ้นเจ้าโลกที่เราควรรู้


1. หุ้น 7 นางฟ้า ประกอบไปด้วย ..Microsoft, Apple , Nvidia , Alphabet (google) , Amazon , Meta (Facebook) และ Tesla …เจาเรียก 7 นางฟ้าเพราะเป็นบริษัททั้ง 7 ที่คนทั้งโลกใช้แบบขาดไม่ได้


2. มูลค่าของ 7 บริษัทนี้รวมกันเท่ากับ 35% ของตลาดหุ้นอเมริกา S&P 500  …คือ S&P500 มูลค่า 46 Trillion แค่ 7 บริษัทนี้รวมกันเท่ากับ 16 Trillion - ประมาณ 1 ใน 3 


(เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ขึ้นมาจากแค่ 9.8%)


3. ทุกครั้งที่ไม่กี่บริษัทรวมกันมีมูลค่ามากเกิน 30% ก็มักจะมีอันเป็นไป …Market Concentration Risk …วิกฤตล่าสุดที่ตลาดมีการกระจุกตัวคือ ปี 2000 Tech Bubble จบด้วย Market Crash!!! 


4. ย้อนดูการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมในอดีต 3 ครั้ง …1957 หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต มูลค่ารวมกันเกิน 40% ของตลาด / 1970 หุ้นอุตสาหกรรมพลังงาน / 1990 หุ้นอุตสาหกรรมการเงิน …และวันนี้ 2020 กลุ่ม Tech 


5. เวลาตลาดลง จะขาดทุนแค่ไหน …จาก 1971  ลงหนัก 4 ครั้ง …1973 ลง 48% ….ปี 2000 ลง 49.5% …ปี 2007 ลง 57% ….และล่าสุด ปี 2022 ลง 28% ….แปลว่า เวลาตลาดลงหนักจะลงประมาณ 50% — จริงๆ นั่นก็คือจุดซื้อหนักๆ 


6. ดัชนี ไม่ได้ตาย มันเปลี่ยนหุ้นไปเรื่อยๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ในช่วงเวลานั้น ….แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป …หุ้นที่โดดเด่นก็จะเปลี่ยนไป 


7. เออ!! แต่วิกฤตตอนนี้ยังไม่ได้เกิด ก็เต้นกันต่อไป …แค่ให้เข้าใจ และ ระวังตัวกัน 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



Asset สร้างเศรษฐีได้อย่างไร

 Asset สร้างเศรษฐีได้อย่างไร 


ท่ามกลางความผันผวนของสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก เรามาดูกันว่า กลไกในการสร้างคนรวยจากสินทรัพย์ มันเป็นยังไง 


1. เงินเดือนทำให้เรารวยไม่ได้ เพราะเงินเดือนต้องเอาเวลาของเราไปแลก ซึ่งมันมีจำกัดและน้อยนิด …แต่เงินเดือนเป็นจุดเริ่มที่ดีในการ ‘เริ่มลงทุน’ 


2. สินทรัพย์มีจำนานจำกัด (มันต้องน้อยกว่า ความต้องการ) …ถ้าของจำเป็นแต่มีไม่จำกัด มันก็ไม่มีราคา เช่น อากาศทั่วไป , น้ำในแม่น้ำ 


3. สิ่งจำเป็นจะมีราคาเมื่อทำให้มันจำกัด …เอาน้ำมาใส่ขวด เริ่มมีราคาละ …ถ้าเป็นน้ำจากต้นน้ำในสวิส อย่างนี้แพงกระฉูด 


4. สินทรัพย์มีกลไกของราคาที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ …ใช่!! มันมีรอบที่ชัดเจน ..คนที่ไม่รู้จะซื้อสินทรัพย์ตอนดี ที่แพง แล้วก็ขายตอนลง เจ๊ง …คนที่รวยจากสินทรัพย์จะทำตรงข้ามก็คือซื้อช่วงที่ไม่ดี ‘ซื้อถูกนั่นเอง‘ 


5. สินทรัพย์บางอย่างสร้างปันผลได้ด้วย …เช่น หุ้น …พูดง่ายๆ ถ้าซื้อได้ตอนถูกแล้วถือมันได้นานพอ หุ้นก็จะเป็นเครื่องผลิตเงินชั้นดี ที่ทำงาน ทำเงินแทนเรา


6. มนุษย์สามารถสร้างสินทรัพย์ได้ ถ้ามีคนอื่นเชื่อและต้องการมัน …เช่น Bitcoin และ พวกเหรียญคริปโต …ถ้าชอบเชื่อจะยอมซื้อมันก็จะมีราคา ทำให้คนสร้างโคตรรวย


7. หุ้น หรือบริษัทก็คือสินทรัพย์ที่คนสร้างขึ้น …ถ้ามองผ่านราคา เราจะเห็นบริษัทที่ขายได้เพิ่มขึ้น กำไรเพิ่ม แล้วปันผลให้เราเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ นั่นคือ หุ้นที่ดี


8. อะไรก็ตามที่เข้าข่ายสินทรัพย์ ให้ซื้อเวลาลงหนักแล้วถือ …เราก็จะมีโอกาสร่ำรวยกับเขาบ้าง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

11 ตัวอย่าง หุ้นขึ้น 100 เด้ง ทำไมคนซื้อยังเจ๊งได้ ?

 11 ตัวอย่าง หุ้นขึ้น 100 เด้ง ทำไมคนซื้อยังเจ๊งได้ ?


1. Nvidia …ขึ้น 4,470 เด้ง จากปี 2000 ถึงปัจจุบัน 25 ปี … แต่ถ้าซื้อผิดจังหวะ ก็โดนหนักเช่นกัน ปี 2002 ลง 87% …ปี 2007 ลง 85% …ปี 2018 ลง 53% …ปี 2021 ลง 68%


2. Microsoft …ขึ้น 4,767 เด้ง จากปี 1986 ถึงปัจจุบัน 39 ปี …แต่ถ้าซื้อผิดจังหวะ ปี 2000 ลง 65% …ปี 2007 ลง 60% (ถ้าซื้อปี 2000 แล้วดันถือถึงปี 2007 จะลงทั้งหมด 75%) …ปี 2021 ลง 38%


3. META …ขึ้น 383 เด้ง จากปี 2012 ถึงปัจจุบัน 13 ปี …แต่ถ้าซื้อผิดจังหวะ ปี 2021 ลง 76% 


4. Tesla …ขึ้น 374 เด้ง จากปี จากปี 2010 ถึงปัจจุบัน 15 ปี …แต่ถ้าซื้อผิดจังหวะ ปี 2021 ลง 73% …ปี 2023 ลง 52% 


5. Amazon …ขึ้น 3,283 เด้ง จากปี 1997 ถึงปัจจุบัน 28 ปี …แต่ถ้าซื้อผิดจังหวะ ปี 1999 ลง 95% …ปี 2003 ลง 56% …ปี 2007 ลง 64% …ปี 2021 ลง 56% 


6. SCC …ขึ้น 438 เด้ง จากปี 1982 - 2015 …แต่ถ้าซื้อผิดจังหวะ ปี 1997 ลง 88% …ปี 2007 ลง 70% …ปี 2015 ลงมาแล้ว 72% ถึงปัจจุบัน !!! 


7. สรุป ถ้าหุ้นดี เวลาลงต้องซื้อ ไม่ใช่ขาย …แต่ หนึ่ง ต้องวิเคราะห์ให้ขาดว่าเป็นหุ้นดี …สอง ต้องซื้อตอนมันแย่ ไม่ใช่ซื้อตอนดี ….หรือ อีกวิธีคือ DCA ไปเลย


8. หุ้นดี ถ้าซื้อผิดจังหวะ ก็ขี้หักในได้ …หลีกเลี่ยงการแห่ ซื้อตามฝูงชน …เพราะ ในวิกฤตมันมีโอกาส และ ในโอกาสมันมีวิกฤต - ระวัง !!


9. หุ้นหรือสินทรัพย์ถ้ามันดี (ไม่เจ๊ง) …ขาขึ้นให้มากกว่า 100 % เสมอ …ส่วนขาลง ลงไม่ถึง 100% แปลว่า ถ้าซื้อทุกตัวด้วยเงิน 1 แสน เวลาขึ้นมันไปกี่ล้านก็ได้ แต่เวลาเสีย เสียแค่ 1 แสน


…อ้าว?? …แล้วที่เจ๊งๆ กันล่ะ ?


10. ที่ลงทุนสินทรัพย์แล้วเจ๊ง …หลักๆ เพราะ ‘วางเงินไม่เป็น’ …ดันซื้อเยอะ ตอนที่ไม่น่าซื้อ …แต่ตอนที่น่าซื้อ ก็ดันซื้อน้อย - เวลาได้เลยได้น้อย เวลาเสียเลยเสียหนัก 


11. ถ้าคุณเริ่มวันนี้ เลือกเลย 10 หุ้น …ซื้อตัวละ 1 แสน …ซื้อหุ้นไม่น่าเจ๊ง ตอนมันห่วย แล้ว Bet ไปเลย 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ซื้อทองวันนี้อีก 10 ปีเราจะรวยขนาดไหน ?

 ซื้อทองวันนี้อีก 10 ปีเราจะรวยขนาดไหน ?


1. ทองคำตั้งแต่ยกเลิกผูกกับค่าเงิน …ยกเลิก Bretton woods system ในปี 1971ตอนนั้น 1 troy ounce ราคา 35$ …วันนี้ทองคำราคา 2,800$ แปลว่า 54 ปีที่ผ่านมา ราคาทองขึ้นไปแล้ว 80 เท่า


2. ‘ทองคำมีรอบขึ้นลงชัดเจน’ …ระหว่าง 50 กว่าปี ทองคำลงหนักสุดๆ 5 ครั้ง ..ปี 1975 ลงไปเกือบ 50% ….ปี 1980 ลงไปเกือบ 70% …ปี  1988 ลงไป 50% …ล่าสุดปี 2011 ลงไปเกือบ 50% ….กำลังจะบอกว่า ทองคำไม่ได้ขึ้นอย่างเดียว ถ้าซื้อผิดจังหวะ อาจขาดทุนได้ถึง 50% เลยทีเดียว


3. ทองคำมีช่วงเวลาที่ย่ำแย่ คือราคาไม่ไปไหนเลยเกือบ 20 ปี คือ ช่วงปี 1980-2000 …ช่วงนั้นใครถือทอง แทบไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย


4. ทองคำในโลกนี้ที่ขุดขึ้นมาแล้วคือ 178,000 ตัน …ก็ปริมาณพอๆ กับ สระน้ำโอลิมปิก 3 สระ …85% ยังวนเวียนใช้อยู่ …มูลค่าทองทั้งโลกรวมกันเวลานี้คือ 19.1 Trillion …เทียบกับ Apple 3.5 T …Microsoft 3 T …Nvidia 2.9 T …Google 2.5 T …Bitcoin 1.9 T …Silver 1.8 T


5. ทองคำในปัจจุบันคือ สินทรัพย์และมีการใช้จริงในหลายๆ อุตสาหกรรม จึงไม่เหมาะจะเอามาหนุนหลังเงินในอดีตแบบที่หลายๆ คนคิด …และถ้าเอามาใช้จริง โลกจะเข้าสู่เงินฝืดรุนแรง จึงยากที่จะทำได้ 


6. ทองคำจะขึ้นดี เวลาเงินเฟ้อ (สงคราม และความไม่แน่นอน) …จริงตั้งแต่ปี 1971 หลังยกเลิก Gold Standard ที่เห็นทองคำขึ้นมา 80 เท่าจริงทองคำไม่ได้ขึ้น แค่เงินดอลล่าร์มันมูลค่าลดลงไป 80 เท่านั่นเอง 


7. รอบนี้ทองคำขึ้นมาจากปี 2015 ไป 2 เท่ากว่าๆ …จุดเริ่มต้นของรอบนี้คือปี 2015 ที่ราคา 1,200 $ (การขึ้นของทองคำหนักๆ รอบแรก 8 เด้ง ปี 1971-1980 / รอบสองปี 2000-2011 ขึ้น 6 เด้ง / …รอบนี้ขึ้นมาแล้ว 2 เด้งกว่าๆ)


8. สรุปเวลาทองขึ้นแรงๆ จะขึ้น 10 ปีแล้วซึมยาว …รอบนี้ก็ขึ้นมา 9 ปีแล้ว …เดี๋ยว!! ที่เอามาให้ดูคือ สถิติ ที่ช่วยให้เราพิจารณา


(เพิ่มเติม 1 troy ounce = 31.1 grams …เป็นหน่วยวัด precious metals ของสากล)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




ทำความเข้าใจทำไมไทยเรา เงินเฟ้อต่ำแต่ค่าครองชีพดันแพง ?

 ทำความเข้าใจทำไมไทยเรา เงินเฟ้อต่ำแต่ค่าครองชีพดันแพง ?


1. เงินเฟ้อรวมเราไม่สูง แต่ราคาอาหารสูงขึ้น …คนส่วนใหญ่จ่ายค่าอาหารเป็นสัดส่วนที่สูงของค่าใช้จ่ายพออาหารแพง ก็เลยหนักกว่าคนรวยที่ค่าอาหารเป็นสัดส่วนค่าใช้จ่ายที่ไม่เยอะ


2. เสื้อผ้าของใช้ต่างๆ เราซื้อของจีนที่ราคาถูก …สินค้าจีนราคาถูกเข้ามาตีตลาดเรา ทำให้เราซื้อของใช้ต่างๆ ถูก แต่ธุรกิจ SME พวกนี้ของไทยกำลังตาย 


3. เงินเดือนเราไม่เพิ่ม …ส่วนนึงเพราะ แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า เข้ามาทำงานในส่วนของแรงงาน ยอมทำงานที่ค่าแรงไม่สูง


4. พอธุรกิจ SME เราเริ่มเจ๊ง ในระยะยาวคนไทยก็จะยิ่งเหนื่อยมากขึ้น …เพราะรายได้หายไป ก็ไม่มีเงินมาไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจ


5. คนรวยไทย คนรุ่นใหม่ เอาเงินไปลงทุนต่างประเทศกันหมด …เงินก็ไหลออก ยิ่งซ้ำเติมทั้งธุรกิจและตลาดหุ้นที่ซบเซาลงเรื่อยๆ 


6. ธนาคารไทยไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะกลัวหนี้เสีย …ยิ่งธนาคารไม่ปล่อยกู้ ธุรกิจก็ยิ่งแย่ …คนอยากกู้ก็แย่ เพราะซื้อของใหญ่ๆ อย่างบ้านและรถไม่ได้ 


7. จุดเปลี่ยนอยู่ตรงไหน ? …หลักๆ ก็คือ ธนาคารปล่อยกู้ …รัฐบาลต้องมาช่วยเรื่องหนี้เสีย ลดดอก ยืดหนี้ อะไรก็ว่าไป …ตลาดหลักทรัพย์ต้องสะกัดการ Short Sale …พูดง่ายๆ ต้องทำให้คนมีเงินมาใช้จ่ายหมุนเวียนให้มากที่สุด 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2568

คนรุ่นใหม่ที่จะสำเร็จ และจะกลายเป็นคนรวยในยุคต่อไป มีหน้าตาเป็นยังไง ?

 คนรุ่นใหม่ที่จะสำเร็จ และจะกลายเป็นคนรวยในยุคต่อไป มีหน้าตาเป็นยังไง ?


1. งานดีๆ ที่ไม่เสี่ยงถูกคนรุ่นก่อนจับจองไปหมดแล้ว …เราถึงเข้าสู่ยุคที่ ‘ไม่มีของดีที่มันไม่เสี่ยง’ 


2. โอกาสของคนรุ่นใหม่จึงต้องวิ่งเข้าหาความเสี่ยง …จากสมัยก่อนที่คนส่วนใหญ่พยายามหาจุดที่ปลอดภัย ซึ่งยุคนี้ไม่มี 


3. เงินในแต่ละรุ่น จะถูกใช้ในจุดที่เขามองว่าสำคัญ …คนแต่ก่อนมองบ้าน ว่าสำคัญ เพราะเป็นรากฐานของครอบครัว …แต่คนยุคนี้ ไม่ได้สนใจครอบครัว แค่เอาตัวเองให้รอดก็ยากแล้ว


4. คนรุ่นใหม่จะซื้อของที่ทำให้เขาดูดีในรุ่นของเขา …เช่น การท่องเที่ยว จ่ายประสบการณ์เหนือสิ่งของ …หรือ ถ้าสิ่งของก็อยากจะได้ของที่ได้ใช้ด้วย โชว์ได้ด้วย ขายต่อก็ได้ 


5. แปลว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้มุ่งหาความรวยสุดโต่งแบบยอมแลกทั้งชีวิตแบบคนสมัยก่อน …คนรุ่นใหม่จะให้ค่ากับการสมดุลย์ของการหาเงินและใช้เงินอย่างฉลาด …พูดง่ายๆ คือ เขาให้ราคาของประสบการณ์ มากกว่าแค่หาเงิน (จริงๆ ลึกๆ เขารู้ว่า เขาหาเงินไม่ได้แบบคนรุ่นก่อนนั่นเอง)


6. เทคโนโลยีส่งผลให้งานต่อไปมีแค่สองแบบ คือ งานที่รายได้สูงมาก กับ งานส่วนใหญ่ที่รายได้ต่ำมาก …แปลว่า คนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จคือ คนที่ Top ในแต่ละอุตสาหกรรม


7. อุตสาหกรรมจะถูกแบ่งย่อยมากขึ้น …ธุรกิจจะเป็นแบบเฉพาะมากขึ้น ลึกมากขึ้น ละเอียดมากขึ้น …พูดง่ายๆ ธุรกิจจะมีความ Luxury มากขึ้นเรื่อยๆ 


ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมกาแฟ …ก็จะมีรายใหญ่ อย่าง Starbucks แต่ก็จะมีรายย่อยที่อยู่ได้แล้วทำได้ดีด้วย สำหรับคนที่หาช่องว่างที่ Special มากกว่า Luxury มากกว่า นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ทำไมเวลานี้ถึงเป็นเวลาในการเก็บหุ้นปันผล ในตลาดหุ้นไทย

 ทำไมเวลานี้ถึงเป็นเวลาในการเก็บหุ้นปันผล ในตลาดหุ้นไทย


1. ปันผลเป็นตัวค้ำราคาหุ้น ..ถ้ามีปันผลสูง คนก็พร้อมทยอยเข้ารับ ทำให้ราคาหุ้นถึงจุดที่ลงได้ยาก


2. ราคาเทียบพื้นฐานอยู่ในจุดที่ไม่แพง …ถ้าเทียบราคาหุ้นบ้านเรา ซึ่งมีวัฏจักรวิ่งจากถูกไปแพง แล้ววันนี้วิ่งกลับมาถูกอีกครั้ง จึงอยู่ในจุดที่ราคาไม่แพงนั่นเอง


3. แล้วทำไมราคาหุ้นถึงยังไม่ขึ้น …ก็เพราะเม็ดเงินหรือ Fundflow ไหลออกอย่างต่อเนื่อง …หลักๆ จากส่วนต่างดอกเบี้ย ที่อเมริกาสูงกว่าเรา ทำให้เงินที่ไม่อยากเสี่ยงจึงวิ่งไปหาอเมริกา 


4. แล้วความเสี่ยงของอเมริกาคืออะไร …สั้นๆ คือ Bubble เพราะ เงินพอไหลไปอเมริกา มันก็จะหาที่ลง ซึ่งวันนี้แม้หุ้นอเมริกาแพงแล้วก็เลยแพงต่อ คล้ายๆ Bubble ของราคาสินทรัพย์นั่นเอง


5. แล้ว Bubble อเมริกา จะกลายเป็นวิกฤตฟองสบู่แตกแบบปี 2008 ได้หรือไม่ ? …ต้องบอกว่า ถ้าเราจะเกิดวิกฤตแบบ 2008 ต้องเกิดจาก ธนาคารเจ๊ง แต่วันนี้ไม่ใช่ ยิ่งดอกเบี้ยสูงธนาคารก็ยิ่งได้เปรียบ …ดังนั้นวิกฤตการเงินจะไม่เกิด แต่วิกฤตย่อยๆ จะเกิดแทน (ถ้าจะซื้อหุ้นอเมริกาต้องซื้อเวลาตลาดปรับฐาน ลงแรงๆ เป็นช่วงๆ มากกว่า)


6. หุ้นปันผลไทย แบบไหนถึงน่าทยอยซื้อ …เริ่มจากหุ้นที่หนี้ไม่สูง …รายได้ยังแข็งแรง และมีความสามารถในการปันผลเป็นตัวเงินไม่ลดลง ก็ค่อยๆ ทยอยเข้าเก็บได้ 


7. ต้องเผื่อเงินซื้อเวลาตลาดไทยเกิดวิกฤตหรือไม่ …ผมว่า อย่างน้อยเราควรเหลือเงินสด 10-20 % ของพอร์ต เผื่อเอาไว้ …หากตลาดไทยเกิดวิกฤต ก็จะเป็นโอกาสเก็บหุ้นที่ดีที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2568

ทำไมสินทรัพย์ที่ทำให้คนแต่ละ Gen ร่ำรวย ถึงไม่เหมือนกัน ..แล้วสินทรัพย์แห่งยุคตัวต่อไป คืออะไร ?

 ทำไมสินทรัพย์ที่ทำให้คนแต่ละ Gen ร่ำรวย ถึงไม่เหมือนกัน ..แล้วสินทรัพย์แห่งยุคตัวต่อไป คืออะไร ?


1. ‘ที่ดิน’ ทำให้ Gen Baby Boom รวย …ในยุคนั้นที่ดินมีราคาถูกและมีมากมาย …คนที่รวยคือคนส่วนน้อยที่ซื้อที่ดินเก็บแล้วทนถือนานมาก …พอเมืองขยาย ที่ดอนราคาขึ้น คนส่วนน้อยเหล่านี้ก็ร่ำรวย


2. ’หุ้น’ ทำให้ Gen X รวย …ในยุคก่อนหุ้นเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในยุคก่อน มองว่าเป็นการพนัน …คนส่วนใหญ่ก็แค่ซื้อขายเก็งกำไร …คนที่รวยคือคนส่วนน้อยที่ ซื้อแล้วทนถือยาว ..พวกนี้คือ VI นั่นแหละ …จากนั้นหุ้นไทยก็ขึ้นเป็นสิบเท่า ร้อยเท่า คนเหล่านี้ก็รวย


3. ’Bitcoin’ ทำให้ Gen Y รวย …ยุคของ Gen Y ทั้งที่ดิน และหุ้น ถูกๆ ที่จะซื้อแล้วขึ้นเป็นร้อยๆ เท่า มันไม่มีแล้ว ….คนส่วนน้อยที่ซื้อ Bitcoin แล้วถือยาว HODL …ก็รวยขึ้นจากราคา Bitcoin ที่ขึ้นเป็นร้อยๆ เท่า 


4. สินทรัพย์ตัวต่อไป คุณคิดว่าคืออะไร ที่ หนึ่ง คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย (คือมันยังไม่เป็น Mass) ..สอง มันต้องมี Value หรือ คุณค่าที่แท้จริง 


…ที่ดิน ใช้อยู่อาศัย , หุ้น ใช้สร้างความเป็นเจ้าของ และให้อิสระ คือ ให้เงินทำงาน , Bitcoin ใช้ในการ รักษามูลค่า และ เคลื่อนย้ายได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด (ทองคำ ดิจิตอลนั่นเอง) …แล้วอะไรล่ะ สิ่งต่อไป ?


5. แปลว่าความร่ำรวย ไม่ได้เกิดจากแค่การทำงานหนัก …แต่มันเกิดจากการที่เรากล้าลงเงิน ลงทุนใน Idea ที่ยังไม่ได้รับการยอมรับ จากนั้น อดทนถือมันนานเพียงพอที่มันจะสร้างผลตอบแทนให้เราอย่างมหาศาล 


6. ถามต่อว่า Idea อะไรที่ตอนนี้ยังไม่ได้รับการยอมรับ แต่มี Value และประโยชน์ที่แท้จริง บ้าง ? 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2568

หุ้นกลุ่มอสังหาไทย ยังลงทุนได้ไหม เห็นปันผลสูงมาก ?

 หุ้นกลุ่มอสังหาไทย ยังลงทุนได้ไหม เห็นปันผลสูงมาก ?


1. ปันผล อสังหา ส่วนใหญ่สูงมาก หลายๆ ตัว 10% ขึ้น นั่นแปลว่า ถ้าเขาปันผลได้แบบนี้ เราซื้อแล้วถือไม่ถึง 10 ปี ก็คืนทุน ไม่ต้องขายหุ้นก็ได้ …LH 10% , SIRI 11% , PSH 14% , SC 9% , ORI 13% , AP 9% , SPALI 8% 


2. (มุมการแข่งขัน) ตัวเล็กๆ จะตาย และหายไป …มันเป็น Last Man Standing …พวกที่อยู่นอกตลาดเจ๊งไปหมด …สุดท้ายใครอยู่รอด ก็จะสบาย เพราะ คู่แข่งก่อนหน้านี้ตายไป


3. หุ้นอสังหาหลายๆตัว ต่ำ Book แปลว่า เราซื้อหุ้นได้ถูกกว่า สินทรัพย์ที่บริษัทมี …พูดง่ายๆ ว่า ซื้อราคาต่ำ Book ก็คือ ซื้อต่ำกว่าทุนเจ้าของ 


4. รัฐบาลนี้ เอื้อกลุ่มอสังหาแน่นอน …อันนี้ไม่ขอพูดเหตุผล ให้ไปคิดกันเอาเอง ..555


5. ปัญหาหลักของอสังหาไทยวันนี้ จริงๆ ดีกว่า จีน หรือ เวียดนาม …ของเรานี่คนพร้อมซื้อนะ ราคาก็ไม่ได้แพงเหมือนประเทศอื่นๆ แต่หลักๆ วันนี้คือ แบงค์ไม่ยอมปล่อยกู้ …ถ้าแบงค์ปล่อยวันไหน บอกเลย อสังหาพุ่งกระฉูด!!


6. ความเสี่ยง คือ หนี้ของบริษัท เพราะ กลุ่มนี้กู้เยอะ …ถ้าดอกเบี้ยขึ้น ซวยยกแพง (โดยเฉพาะตัวที่หนี้หนักๆ)


7. สรุป ลงได้ไหม …ตอบเลย ได้ …แต่กระจายคละกันหน่อย (ลงแบบเป็นพอร์ตน่ะ) ค่อยๆ ทยอยซื้อก็ได้ …เอาเป็นว่า กลุ่มอสังหาเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มนึงที่ผมสนใจ เพราะ ในระยะยาว อสังหาไทย ผมว่ายังไปได้ เพราะ ราคาเราเทียบเพื่อนบ้าน เราไม่แพง ค่าครองชีพก็ไม่สูง ประเทศเราน่าอยู่ …แล้วด้วยกลุ่มนี้ปันผลดี มันสามารถสร้าง Passive Income ให้พอร์ตเราได้ในระยะยาว


ก็ประมาณนี้ คือ หุ้นไทยขาขึ้นรอบหน้า อสังหาเป็นกลุ่มนึงที่ต้องมีน่ะ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2568

6 เรื่อง Stupid that make you Rich !!

 6 เรื่อง Stupid that make you Rich !!


1. ‘Start a Business’ …เริ่มจากปัญหาที่เราอยากจะแก้ …ถ้ามือใหม่เริ่มจากแก้ปัญหาเล็กๆ 


2. ’ลงทุนในสิ่งที่เสี่ยง ในเวลาที่คนอื่นไม่กล้าลง’ …สำคัญที่ต้องลงในเวลาที่คนอื่นไม่กล้าลง …เพราะถ้าลงในเวลาที่คนอื่นก็กล้า มันจะเป็นหายนะแทน


3. ’ซื้อสินทรัพย์ ในเวลาที่คนอื่นกลัว แล้วอยู่ให้นานที่สุด‘ …สำคัญที่ต้องแยกแยะให้ออกว่า อะไรคือ สินทรัพย์ …อะไรคือขยะ ?


4. ‘ลงทุนในระบบที่ดี’ …สำคัญคือ ต้องรู้ว่าอะไรคือระบบที่ดี …ระบบที่ดีจะสามารถสร้างเงินให้เรา โดยที่เราไม่ต้องเข้าไปยุ่ง 


5. ’หางานที่เป็น Sweet Spot ของเรา’ …งานที่เป็น Sweet Spot คือ จุดที่เราออกแรงน้อย แต่ทำเงิน สร้างผลลัพธ์ให้เราเยอะ (จุดที่เราได้เปรียบ นอกนั้นคือ จุดที่เราไม่ได้เปรียบ)


6. ‘ลงทุนในคน’ ..การลงทุนใน Start up หรือ ธุรกิจที่เราไม่ได้ทำเอง จริงๆ ไม่ใช่การลงทุนในธุรกิจ แต่มันคือการลงทุนในคน …สำคัญที่การอ่านคนให้ขาด ….‘เก่งจริง/ไว้ใจได้/มีวินัยในสิ่งที่ทำ’ (ต้องให้คนทำงาน ได้มากกว่าเรานะ มันถึงจะยั่งยืน)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อคิด ของปัญหาที่นักลงทุนต้องผ่านให้ได้

 7 ข้อคิด ของปัญหาที่นักลงทุนต้องผ่านให้ได้


1. ‘ทุกปัญหามีอายุของมัน‘ …ปัญหาทุกอย่างมีอายุ มีเวลาของมัน …พอเวลาผ่านไป ปัญหาก็จะผ่านไปเช่นกัน …ใช่!! อย่าไปจับจด หมกมุ่น มากจนเกินไป


2. ’การแก้ปัญหาให้ใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาที่ต้นเหตุของปัญหา‘ …90% ศึกษาปัญหา แล้วอีก 10% แก้ปัญหา


3. ‘หลายๆ ครั้งที่ปัญหาเป็นจุดเริ่มของโอกาส‘ …ธุรกิจทำเงินส่วนใหญ่ เกิดจากการแก้ปัญหาให้กับผู้คน


4. ‘บางทีเราก็แยกไม่ออกว่า จริงๆ มันไม่ใช่ปัญหาของเรา’ …เออ เราเข้ามายุ่งทำไมวะ ? …จริงๆ มันไม่ใช่ปัญหาของเรา


5. ‘ถ้าเราเข้าใจข้อ 1 และ 2 เราอาจไม่ต้องแก้ปัญหาเลยก็ได้‘ …ปัญหาบางอย่างไม่ได้ต้องการการแก้ไข แต่ต้องการให้เราเข้าใจก็พอ …เพราะสุดท้ายปัญหานั้นมันจะแก้ได้ด้วยตัวของมันเอง


6. ‘ขนาดของปัญหา ต้องเหมาะสมกับขนาดของคนแก้ปัญหา‘ …ปัญหาใหญ่เล็กไม่สำคัญเท่ากับ ขนาดของปัญหากับขนาดของคนแก้มันต้องสมดุลย์กัน


7. ‘การสร้างวินัย ทำให้ปัญหาหลายๆ อย่างหมดไปอย่างมหัศจรรย์’ ….คนมีวินัยทำงานจะไม่อับจน , คนมีวินัยออกกำลังกายจะไม่ค่อยมีปัญหาสุขภาพ , คนมีวินัยลงทุนจะรวยในที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ