แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"จิตรวย" เป็นเยี่ยงนี้เอง ..เริ่มจากตรงนั้นแหละ


เมื่อวาน "นักแกะรอยอย่างกระผม" ได้มีโอกาสไป เป็นวิทยากรร่วมให้กับ งาน Exclusive ธนาคารกรุงเทพ ..ที่รวบรวมเหล่านักธุรกิจย่านฝั่นธง มารวมตัวกัน ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง บนถนนสายปิ่นเกล้า ข้างๆ เมเจอร์ ..ซึ่งที่นั้นเอง ผมได้พบกับ นักธุรกิจ

...แค่นั้นแหละครับ ..555 เล่าให้มีไตเติ้ล เหมือนหนังจีน อิ อิ

หัวข้อเสวนาเมื่อวานคือ "ส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น"

คำถามแปลกเกิดขึ้นว่า "ทำไมต้องส่งต่อด้วย ..ให้เขาสร้างเองไม่ได้หรือ"

เราโยนคำถามสู่ ทายาท ธุรกิจท่านนึง ...Spot Light ได้ฉายไปที่ทายาทท่านนั้นกลางห้องประชุม -- "ผมถามหน่อยว่า คุณคิดยังไง กับการที่พ่อแม่อยากจะส่งต่อความมั่งคั่งมาให้คุณ ...ไม่ได้ตอบหรอกครับ ผมรู้ว่า ทุกคนรู้สึกดี แต่คำถามคือ คุณอยากให้พ่อแม่ส่งต่อความมั่งคั่งให้คุณในรูปแบบไหน"

"รูปแบบไหนล่ะดี" ...

โอเค !! สมมุติพ่อแม่ให้เราเลือก ว่า จะให้ส่งความมั่งคั่งต่อด้วยวิธีไหน ..

หนึ่ง เงินสด "เอาเงินสด ก้อนที่จะให้เราฝากธนาคาร แล้วอีก 20 ปี มาถอนแล้วให้เรา"

สอง เงินสด "ใส่ตุ่ม แล้วฝังดินไว้ใต้ถุนบ้าน (ฟังดูสยองเหมือน ธีมแม่นาคนิดๆ) ..แล้วอีก 20 ปี ขุดตุ่มเงินสดขึ้นมาให้เรา"

สาม ทอง "เอาเงินก้อนที่จะให้เรา ไปซื้อทอง จากนั้นเก็บเป็นทอง อีก 20 ปีเอามาให้เรา"

สี่ บ้านและที่ดิน "เอาเงินก้อนนั้นไปซื้อบ้านและที่ดิน อย่างหรูเลย ...แล้วเดี๋ยวอีก 20 ปี จะให้เรา"

ห้า รถยนต์ "เอาเงินก้อนนั้นไปซื้อรถยนต์หรู เต็มจำนวน เอาทั้ง Ferrari + Porch + Roll-Royce แล้วเอาไปเก็บจอดไว้ เดี๋ยวอีก 20 ปี เอามาให้เรา"

หก หุ้น "เอาไปซื้อหุ้นบริษัทอย่าง PTT หรือ SCC แล้วก็เก็บไปเลย 20 ปี ..เงินปันผลที่ได้ ก็เก็บรวมไปกับเงินต้น แล้วอีก 20 ปี ค่อยเอามาให้เรา"

...อิ อิ เป็นคำถามที่ ชี้นำ สุดๆ และ ไซโคสุดๆ --- "คุณว่า ทายาทธุรกิจ ผู้นั้นเขาเลือกอะไร"

เฉลยเลยว่า "หุ้นครับ" ..เพราะอะไร ..เอ่อ เพราะ พี่แพ้ท พูดไซโค ซะอย่างนี้ จะเลือกอย่างอื่นได้อย่างไร ...555

ครับ!! ขำขำ จริงๆ ไม่มีใครคิดเหมือนกันหรอก มันอยู่ที่ ความเข้าใจความเสี่ยงของตัวเราเองมากกว่า เพราะสุดท้าย คนที่จะรับกับผลลัพธ์การตัดสินใจของเรา ..ก็คือ ตัวเราเอง

ผมว่า วันนี้ทุกคนเลือกได้ ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร ...ก็เหมือนกัน การลงทุนก็ไม่ต่างกัน -- "ก็เอาเป็นว่าเลือกให้เหมาะสมกับจริตเรานั่นเอง...555"

โอเค!! ยกตัวอย่างตัวผม ...ผมเป็นคนค่อนข้าง Conservative ดังนั้น ตัวผมเอง จะออมเงินในหุ้นระยะยาว ที่มีปันผลที่ดี ... หลายคนบอกว่า คุณแพ้ท คุณเสี่ยงมาก ...จะบ้าหรือ ออมเงินในหุ้น คุณบ้าไปแล้ว

ผมบอก ไม่ไช่ ๆ ผมไม่ได้มองในมุมเดียวกับคุณ ... เงินออม ผมมองว่า เป็นเงินที่ผมไม่ได้ใช้ ดังนั้น ผมไม่ได้สนการแกว่งของราคา ดังนั้น Port เงินออม ผมจะแกว่งกี่เปอร์เซ็นต์ มันไม่ใช่ประเด็นที่ผม Concern ... สิ่งที่ผมสนใจคือ ระหว่างทาง ที่ผมถือ หรือ ออม Asset นั้นๆ มันให้ผลตอบแทนผมเท่าไหร่ -- ใช่!! ปันผลจึงเป็นเรื่องสำคัญในมุมของผม ดังนั้น แน่นอน การเลือกหุ้นของผมจะไม่สนใจว่า หุ้นจะต้องขึ้น และรวยไวไว ..ไม่จำเป็นเลย ...ผมเพียงแค่สนใจว่า กิจการที่ผมซื้อ ต้องเป็นกิจการที่มีความมั่นคง มีการเติบโตในระยะยาว และเป็นการที่ทำให้สิ่งที่มนุษย์ ต้องกินต้องใช้

... ครับใช่!! ผมแค่ต้องการเงินปันผลซึ่งเป็นรายได้ ทุกๆปี .. จากนั้น ผมก็แค่สนว่า ในอีก 10 ปี หรือ วันไหนที่ผมจะขายทิ้ง ก็ต้องเป็นวันที่ตลาดมีแต่ข่าวดี ..โลกสงบ ..อเมริกาเยี่ยม ..ยุโรปสุดยอด .. มองไปไหนมีแต่ข่าวดี .. วันนั้นแหละ ผมจะขายสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งหมด ที่ผมมีอยู่ ทั้งหุ้น ทั้งทอง ...แล้ว ไปวางไว้ในเงินสด ซึ่งวันนี้นดอกเบี้ยธนาคาร คงสูงพอสมควร

แค่นี้แหละครับ ..ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน

-- การวางเงินทำงาน มันก็แค่มุมมอง ที่อยู่ตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ ..เพราะ หลักการลงทุน มันคือ ผู้ชนะ ก็คือ คนส่วนน้อยของตลาดเสมอ

...Be Greedy when Other Fearful , and be Fearful when Other Greedy ... หลักความรวยสุดขอบฟ้า อยู่ที่ใจ และ ความเข้าใจ -- คนที่ตอบได้ คือ ตัวเราเอง ...จริงไหม

"จิตรวย" จึงรวยไง !! 

วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความวุ่นวายในปัจจุบัน กรีซ และ จีน


"ช่วงนี้ข่าวหนาหูว่า ยุโรปจะแย่" ...ฮึม!! อ่ะนะ ประเด็นคำถามที่น่าสนใจคือ แล้วไงล่ะ -- นั่นแหละที่สำคัญ คือ กับสิ่งที่เราพบเห็น กับ ข้อมูลที่ประดังเข้ามา ...บทสรุปของการตัดสินเราจะเป็นอย่างไร นั่นแหละคือ สิ่งที่สำคัญ

"เมื่อเช้าผมหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน เห็นข่าวนึงน่าสนใจมาก เขาบอกว่า เวลานี้ประเทศจีน กำลังเข้าไปซื้อบริษัทใน กรีซ ...หลายคนถ้าอ่านข่าวนี้ อาจนึกว่าจีนโง่ -- จะบ้าหรือ กรีซ แย่จะตาย คนในประเทศยังจะแห่กันไปถอนเงินจากธนาคารเลย ...แล้วไฉนจีน ประเทศที่ผู้นำโคตรฉลาด จะวิ่งเข้าไปซื้อบริษัทในประเทศกรีซอีกล่ะ" ...นั่นแหละที่เป็นสิ่งที่น่าคิด -- "ประเทศที่ผู้นำฉลาดและเข้าใจระบบทุนนิยม อย่างจีน ทำไมถึงวิ่งเข้าไปซื้อบริษัทในประเทศที่กำลังย่ำแย่อย่างกรีซ ...ก็เพราะเขาเข้าใจระบบทุนนิยมนั่นเอง ที่เป็นคำตอบ!!"

มาดูตลาด กรีซ กันว่า ..หุ้นเขาเป็นอย่างไรบ้าง!!

โอ๊ว!!  จาก  5,000 จุดเมื่อปี 2008 ก่อน Sub-prime Crisis ...วิ่งลงมาเรื่อยๆจนเหลือ 500 จุดในปัจจุบัน ... "คุณคิดอย่างไร" ... สุดยอด!! นั่นคือ สิ่งที่จีนมอง ... ผมเข้าใจเลยว่า ผู้นำไทยที่ผ่านยุคต้มยำกุ้งปี 1997 มา คงคิดไม่ต่างกัน ...ในยุคต้มยำกุ้งตลาดหุ้นบ้านเราวิ่งจาก 1,780 จุด ลงไปแตะ 200 จุด ...เรียกได้ว่า เจ๊งทั้งตลาด ...และในเวลานั้น ฉลามที่เข้ามา ซื้อสินทรัพย์ไทยไปมากมาย ก็เป็นบริษัทอย่าง GE Capital ..ที่เข้ามาซื้อ Asset ที่ดีๆ แล้วทำกำไรไปอย่างงดงาม ..ท่ามกลางน้ำตาของธุรกิจไทย --- สิ่งที่เห็นในวันนี้ในกรีซ และยุโรป ที่ไม่น่าจะแตกต่างจาก วิกฤตต้มยำกุ้ง เราเท่าใดนัก ...จะว่าไปแล้ว โลกเราก็เหมือนน้ำดีๆนี่เอง ที่มันมี Cycle น้ำขึ้น น้ำลง ... เมื่อก่อนเราแย่ เราลง เขาก็ดี น้ำขึ้น ... วันนี้ยุโรป และ อเมริกาแย่ ...จีน กับ เอเชียก็ได้รับอานิสงค์ไป

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า "ผู้นำของประเทศที่ดีในเวลานี้ มีวิสัยทัศน์เพียงพอหรือไม่" ..อย่างประเทศจีน มีเงินสำรองเหลือมากมาย จากการค้าขายเกินดุล ... ปกติก็เอาเงินนั้นไปถือ พันธบัตรอเมริกัน ...ถ้าพูดให้เห็นภาพคือ เอาเงินที่เหลือใช้ ไปเก็บไว้ในรูป พันธบัตรรัฐบาลอเมริกา ที่แทบจะไม่มีดอกเบี้ย แถมอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์ ที่ในภาพใหญ่มีแต่จะลดค่าย่ำแย่ ..ภาพมันก็คือ "เอาเงินยัดไว้ในตุ่ม แล้วฝังไว้ใต้ถุนบ้านก็คงไม่แตกต่างกัน จริงป่ะ" ....แต่อย่างที่บอกครับว่า จีนฉลาด เขาก็จึงเอาเงินนั้นไปซื้อ Asset หรือ บริษัทแทน

ซึ่ง Asset หรือ บริษัทที่จีนเข้าไปซื้อ ก็คิดง่ายๆ ว่าน่าจะเป็นบริษัท ที่ผลิตสินค้าและบริการที่คนยุโรป ต้องกินต้องใช้ ...เพราะเมื่อพายุเศรษฐกิจผ่านไป ของที่ต้องกินต้องใช้ ก็จะกลับมาดีเหมือนเดิม ซึ่งข่าวพูดถึงจีนเข้าไปซื้อท่าเรือ และ Logistic ต่างๆ ..เพราะจีนมองว่า นี่เป็นโอกาสที่จีนจะใช้เป็นยุทธศาสตร์ในการรุกเข้าไปในยุโรปนั่นเอง

ดังนั้น สิ่งที่จีนทำ ก็ไม่ต่างจากนักลงทุนที่ฉลาด ..ก็คือ "ให้กลัว เมื่อคนอื่นกล้า ...และให้กล้า ในเวลาที่คนอื่นกลัว ..และเวลานี้ ใครๆก็กลัวกรีซ ..จีนจึงกล้า ..แต่ที่สำคัญต้องกล้าอย่างฉลาดด้วย ...คือ เข้าไปซื้อสิ่งที่เป็น Asset จริงๆ และซื้อในราคาที่ต่ำกว่า มูลค่าพื้นฐานที่แท้จริง"

นั่นแหละครับ "ระบบทุนนิยม" ...มันก็คือ ธรรมะ หรือ ธรรมชาติดีๆนี่เอง ที่มีวัฎจักร มี Cycle ..มีขึ้น และ ก็มีลง ....ไอ้ที่ลง มันก็คงไม่ลงตลอดกาล วันนึงเดี๋ยวมันก็ขึ้น ก็แค่นั้นเอง

-- ประเด็นสำคัญ คือ นักลงทุนที่ฉลาด ต้องเข้าใจ Value หรือ มูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ..ไม่ใช่มองแต่ราคาหรือ Price ที่วิ่งสับขาหลอกเราได้ตลอดเวลานั่นเอง


วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อย่าหัดเป็นคนหูเบาในโลกการลงทุน ทุกอย่างฟังได้ แต่ตัดสินใจเอง!!



"มีคนส่งจดหมายมาที่ Money Channel ว่า รายการแกะรอยหุ้น ชี้นำหุ้น" ..ผมขอชี้แจงตรงนี้เลยว่า วัตถุประสงค์ของการเขียนบทความ เขียนหนังสือ จัดสัมมนาการลงทุน และ จัดรายการ ...ของผมทั้งหมด เพื่อให้ความรู้ แบบตรงๆ จริงใจ ...ผมเน้นย้ำเสมอว่า ข่าวโคมลอย หรือ ข่าววงใน Inside ทั้งหมด มันเชื่อได้สักกี่ % 


..สิ่งที่ไม่หลอกเราก็คือ Chart ราคา เพราะทุกคนเห็นเหมือนกัน ...ดังนั้น ข้อมูลอะไรที่ใครปั่นหัวคุณมา เอา "Chart ราคา" มาดู ...ถ้าเขาบอกว่ามันดี แต่ราคามันลง ...คุณจะเชื่อก็บ้าแล้ว 


.. ส่วนพื้นฐาน ผมเน้นให้ศึกษา Fundamental และ การกระจายความเสี่ยง ..การรวยเร็ว Overnight Success มีแต่คนโง่เท่านั้น ที่เชื่อว่ามันมีอยู่จริงในโลก "มันไม่มี" ...เพราะรวยเร็ว สุดท้ายคุณเจอแก๊งค์ตกทองเสมอ ...หลายคนพยายามเข้ามาศึกษาหุ้น แล้วหวังจะรวยง่าย ๆ แบบที่มีใครเอาปลามายัดปากให้คุณกิน ..ผมว่าคนแบบนี้ ลงทุนกี่ชาติก็เจ๊ง


 ...การลงทุนสุดท้ายแล้ว อยู่ที่ตัวเราเองต้องตัดสินใจ 


..บทเรียนที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นคือ "ความล้มเหลว" คนที่เข้าตลาดใหม่ เสียเงินทุกคน (มากน้อย ว่ากันไป) ...แต่มันเป็นการล้มเพื่อลุก และ เข้าใจตัวเอง เห็นปัญญา ไม่ใช่ล้มแล้วมองหาโทษคนอื่น คนแบบนี้ไม่มีทางได้เรียนรู้ 


...ผมถึงเปรียบการเล่นหุ้นเหมือนขี่จักรยาน เข้ามาขี่ ใช้เงินน้อยๆ พอล้มนิดๆ เข้าใจ ก็ขี่ต่อ ...เดี๋ยวก็ขี่เป็น "คนขี่เป็น ก็จะขี่ได้ มีพาหนะที่ไปสู่จุดหมายในชีวิตได้สะดวกขึ้น ก็เท่านั้นเอง" ... และทุกคนแค่หาจุด และ วิธีที่เหมาะสมกับตัวเองก็พอ 


..อย่าพยายามเป็นคนที่เก่งที่สุด ..ฉลาดที่สุด ...คนพวกที่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุด คือ คนประมาท -- สุดท้ายก็เจ๊ง 


...ตลาดหุ้นจริงๆ ยิ่งเล่น ยิ่งสอน ธรรมะ ..ผมไม่เคยเรียนธรรมะ แต่ผมอยู่กับตลาด ผมเห็นความโลภและความกลัวของมนุษย์วิ่งขึ้นลงเป็นรอบๆ


 ...สุดท้ายแล้ว คุณจะเห็นมันเลยว่า ตลาดมันจะยิ่งทำเงินง่าย หากคุณไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับมัน 


..."เงินที่ดีที่สุด ที่เอามาลงทุน คือ เงินที่คุณสามารถตัดออกจากชีวิตของคุณได้" -- ถ้าคุณตัดได้มันจะโต ... แต่ถ้าคุณตัดไม่ได้ กู้มาเล่น หรือ เข้ามาแบบเสียไม่ได้ มันหมดตัวทุกคน


 ..."สูงสุดของ ระบบผู้ล่า ก็คือ ตลาดทุน นี่แหละ ..." มันคือ ดาบสองคมเสมอ ...ที่ผมอยากให้คนส่วนใหญ่เข้ามาศึกษา เพราะ ตลาดนี้ มันยกระดับชนชั้นของคนได้ ...ผู้ที่มีปัญญา และ เข้าใจตัวเอง รวยแน่นอน 


..อยากให้ลองเปิดใจ แล้วมองที่ตัวเอง ...พิจารณาให้เห็นตัวเอง 


...สุดท้ายคนกำหนดชีวิตของตัวคุณเอง ก็คือ ตัวคุณนั่นแหละ ... "ผมฉลาดขึ้น ก็เพราะเวลาผมล้มเหลว ผมโทษที่ตัวเอง พอเราโทษตัวเอง เราจะเห็นตัวเอง ..เราจะเข้าใจข้อผิดพลาด และสุดท้ายเราจะแก้มันได้ และก็กลับมายืนอีกครั้งนึง ...ด้วยตัวเราเอง" (อย่าใช้ชีวิตด้วยความกลัว จงกล้าที่จะยอมรับ และเปิดใจกับมัน) 


...สู้ สู้ ละกันครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มุมมองการลงทุน "ตามสาย" แบบสบายๆ กับ ภาววิทย์



ทุกวันศุกร์เวลา 4 โมงเย็น ...หมุนวิทยุไปที่ช่อง FM 96.5 ..."Thinking Radio" ...คุยการลงทุนและมุมมองเศรษฐกิจแบบสบายๆ ..พยายามหาเรื่องมาคุย ...เพราะเราเชื่อว่า "ความมั่งคั่ง เริ่มที่ความคิดนะ!!"

วันนี้คุยเรื่องการลงทุน และ การออมในหุ้น ทำได้จริงหรือ ... แล้วถ้าตัวที่เราซื้อมันไม่ขึ้น การออมเท่ากับไร้ค่าหรือเปล่า ...รึว่ามันมีทางแก้ และ ทำอย่างไร

ลองฟังย้อนหลังกันได้ที่นี่ http://www2.mcot.net/fm965/mp3.cfm?cat=Archive&id=391093


วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อีกเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทย ...นะ



"อีกเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทย" ....ใช่!! นอกจาก ที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่เปิดตลาดมา 30 กว่าปีคือ ...ตลาดจะโตปีละ 12% (นั่นแปลว่า ทุกๆ 6 ปี เงินที่คุณลงทุนจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว)

...อีกเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทย คือ เป็นตลาดที่ให้ปันผลค่อนข้างสูง อย่างต่อเนื่อง (ดู Yield เฉลี่ย ที่ผม Plot Chart ให้ดูจะเห็นได้ว่า ปันผลคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ค่อนข้างสูงมาตลอด ..จะยิ่งสูงเมื่อตลาดเข้าสู่วิกฤต)

...จะชี้ให้เห็นว่า Trend ในภาพใหญ่ของตลาดเรา ยังคงอยู่ในสถานะ "วิกฤตคือโอกาส" (ซึ่งจุดนี้ต้องแยกให้ออก ระหว่างตลาดที่ "วิกฤตคือโอกาส" คือ ตลาด ASEAN และ Emarging Market ...แต่ตลาดในอเมริกาและยุโรป ต้องระวังว่าอาจจะไม่ใช่เช่นนั้น

..แปลว่าอะไร ? แปลว่า "วิกฤตคือโอกาส" มันเป็นจริง ต่อเมื่อในภาพใหญ่ของตลาดคือ ขาขึ้นเท่านั้น -- ซึ่งก็คือ ตลาด SET ในเวลานี้นั่นเอง)

..... ข้อสังเกตที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ถ้าเรารู้ว่าวิกฤตคือ โอกาส ..เราจะหาประโยชน์จากตลาดในภาพใหญ่อย่างไร ?? -- ไม่ยากครับ คิดง่ายๆว่า ด้วยความผันผวนของตลาดหุ้น ในแต่ละปีจะมีการ ปรับฐาน หรือ การลงแรงของหุ้น อย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป ...นั่นหมายความว่า คนที่รอซื้อหุ้นตอนวิกฤต จะสามารถหาโอกาสเข้าซื้อได้ทุกปีอย่างน้อย 2 ครั้งขึ้นไป "ซื้อได้ถูกๆ ถึงสองครั้ง!!" อย่างไม่มีปัญหา

... ประเด็นสำคัญ คือ "ความเข้าใจ" คือ หนึ่ง เราต้องรู้ว่ากิจการที่เราลงทุน เป็นกิจการที่ดี แล้วเติบโตอย่างต่อเนื่อง สอง ผู้บริหารเขาทำธุรกิจ ไม่ใช่นักปั่นหุ้น สาม มีการปันผลอย่างต่อเนื่อง (ซึ่งปันผล ก็คือ Margin of Safety ที่ดี เพราะ เราได้เงินคืนทุกปี ..อย่างบริษัทที่ให้ปันผลสูงๆ เช่น 10% ต่อปี มันหมายความว่า นักลงทุนสามารถได้เงินทุนคืน ใน 10 ปี จากเงินปันผลเพียงอย่างเดียว ...โดย ไม่จำเป็นต้องซื้อหรือขายหุ้นเลย)

...นั่นแหละ อีกเสน่ห์ของตลาดหุ้น ..."เงินมันทำงานให้คุณไง"

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การขุดทองในพม่า ...ต้องขุดลึก ๆ


เผอิญมีน้องคนนึง เขามาปรึกษาในเรื่องของ "การลงทุนในพม่า" ... จะว่าไปแล้ว ประเด็น "ยุคตื่นทอง" ในพม่า ก็เริ่มระอุ มาระยะนึงแล้ว

"มันน่าสนใจ" ...แต่มันไม่ง่าย อย่างที่หลายคนคิด

ปัจจุบันพม่า มีประชากรประมาณ 60 ล้าน GDP ต่อหัวเขาน้อยกว่าเราเกือบ 5 เท่า นั่นหมายความว่า "ความสุขสบายหรือเครื่องอำนวยความสะดวกรอบกาย มันห่างกับบ้านเรามาก ..ไม่ว่าจะเป็น บ้านเรือน ห้องน้ำห้องท่า ..ร้านสะดวกซื้อ ..ถนน ..ไฟฟ้า ..น้ำประปา ...ระบบขนส่ง ...ร้านอาหาร ...โทรศัพท์ -- ก็สรุปว่า ทุกอย่างเรานี้ คุณภาพด้อยกว่าเรา 5 เท่านั่นเอง"

ถ้าจะมองพม่า ก็ลองมองย้อนไปประมาณ 30 ปีที่แล้ว หรือ มากกว่านั้น ที่บ้านเมืองยังไม่มี 7-11 ..ไปไหนมาไหน ก็มีแต่รถยนต์เก่าๆ (ที่ซื้อมือสองจากเรา) แต่ราคาแพงมาก ...มือถือ สมัยแบบเครื่องละแสน ..ต้องจ่ายค่า Sim Card แสนแพง ...และ อินเตอร์เน๊ตไม่ต้องพูดถึง ช้าสุดขีด ...แท๊กซี่ แบบเก่าๆ ในอดีต ... ถ้าถามว่า อะไรคือ "อำนาจ" คงต้องตอบว่า "ปากกระบอกปืนนั่นเอง"

การเมืองเหมือนจะเริ่มเปิด แต่เปิดแบบทหารคุมเมือง ...คนรวยก็จะรวยสุดๆ และ ก็มักเอาเงินไว้นอกประเทศ .."จะไว้ในประเทศพม่าทำไม ในเมื่อ มันไม่มีสินค้าและบริการใดๆ ให้ซื้อเลย ...ก็ฝากไว้ต่างประเทศดีกว่า เป็นสกุลต่างประเทศ ...แล้วเงินจ๊าด พม่า จะเหลืออะไร"

หลายปีก่อนมีนักลงทุน อย่างบริษัทใหญ่ๆ เข้าไปลงทุน แต่สุดท้าย เมื่อการเมืองเปลี่ยนแปลง ..ธุรกิจเหล่านั้นก็ถูกทหารพม่ายึด แล้วขับนักลงทุนให้ออกไป ...

"โจทย์คือ ถ้าบ้านเมืองมีความไม่แน่นอน ถึงเพียงนี้ ...แต่ในอีกด้าน คือ มันมีโอกาสอยู่ทุกๆหย่อมหญ้า เรียกได้ว่า ถ้าใครตั้งธุรกิจอะไรขึ้นมา มันมีแต่โอกาส .คุณจะทำอย่างไร ??"

.. "ถ้านึกถึงเรื่องเล่า เกี่ยวกับ Sales Man ขายรองเท้า สองคนที่ถูกส่งไปเปิดตลาดในประเทศใหม่ คนนึงกลับมาแล้วบอกบริษัทว่า ไม่มีคนใส่รองเท้าเลย ...ดังนั้น ไม่มีตลาด ไม่มีทางขายได้ ...ส่วนอีกคนกลับมา พร้อมกับความตื่นเต้น ..โอ้โห!! ตลาดใหญ่มาก ...คนยังไม่มีรองเท้าเลย ..เราสามารถทำให้ทุกคนใส่รองเท้า และ กินตลาดทั้งหมด" ..ประเด็น มันอยู่ที่ว่า มุมมองของคุณเป็นแบบไหน -- และนั่นก็คือ พม่า

สิ่งที่ผม แนะนำน้องคนนั้นไป ก็คือ ...ทำธุรกิจที่ไม่ต้องเอาเงินไปจม ..."คือ พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเอาเงินไปจม ..โอกาสที่ธุรกิจจะโดนยึด หรือ โดนแกล้ง มันมีโอกาสสูงมาก"

ดังนั้น ลองทำธุรกิจที่ยืดหยุ่นอย่าง "ท่องเที่ยว" ซิ ...ถ้าจะต่อยอดก็ "ท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ" ...คือ เอานักธุรกิจที่สนใจไปลงทุน ซึ่งน้องเขามี Connection ในพม่าอยู่แล้ว ถือเป็นการต่อยอด สร้างโอกาส ในความเสี่ยงที่ต่ำ ...

เพราะด้วยวิธีนี้ มันแปลว่า เราเป็นคนหาตลาด แล้วเราก็ "ถือเงิน" ไปจ่ายคนพม่า ... ดังนั้น นักธุรกิจในพม่าก็จะเกรงใจ ... จากนั้น พอมีโอกาส ก็อาจขยายการลงทุนไปในจุดอื่น ได้อีก ...ซึ่งข้อดีคือ "การลงทุนต่ำ ..การมีอำนาจ Control ธุรกิจ ซึ่งในที่นี้ก็คือ เรามีนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจในมือ" ... ความยืดหยุ่น เพราะ สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย เนื่องจากไม่ลงทุนเยอะ ...สุดท้ายมันตอบโจทย์ คือ จุดแข็งของตัวเอง ..ซึ่งในที่นี้ จุดแข็งของน้องคนที่มาปรึกษาผม ก็คือ "เขามี Connection ในพม่า ที่คนอื่นไม่มี ..ตรงนี้แหละเป็นการ Leverage ธุรกิจ ที่เริ่มจากจุดแข็งของตัวเราเอง"

หาก "เจ๊ง" ก็เริ่มได้ใหม่ ...และนี่แหละ การมองโอกาส และ การลงทุน ที่ยึดหยุ่น ..Control Risk และ Look For Opportunity ..นั่นเองครับ


วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

นักลงทุน ล้วนแต่โลภ และเป็นคนเลว ..!!



ผมไปรายการวิทยุแห่งนึง ...เขาโยนคำถามนี้ ให้ผม "นักลงทุน ล้วนแต่โลภ และเป็นคนเลว!!"

-- "เป็นคุณ จะตอบยังไง!!"

โอ๊ว!! พระเจ้าจอร์ส นายยอดมาก

(ก็อึ้งเล็กน้อย) แต่จริงๆ ผมได้เตรียมตอบคำถามนี้อยู่แล้ว เพราะผมรู้ดีว่า มันไม่มีอะไรหรอกที่เกิดมาโดยไม่มีเหตุผล

"ทุกที่ ทุกสาขาอาชีพ มีทั้งคนดี และคนเลว ...นักการเมืองก็ยังมีคนดีเลยนะ(จริงดิ..555) ..และพระก็มีพระที่เลว ..ไม่แปลก ++ การลงทุนก็เหมือนกัน มีทั้งคนดีและคนเลว" ..แต่จริงๆ นั่นไม่ใช่ประเด็น ..สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นอย่างนึงคือ จริงๆแล้วตลาดหุ้นคือ ตลาดที่สะท้อน หรือ จำลองโลกมนุษย์มาให้เราดู ...คนที่เล่นหุ้นแล้วสามารถสร้างความมั่งคั่งได้อย่างยั่งยืน เขาจะมีสิ่งนึงที่เหมือนกัน

ใช่!! สิ่งที่นั้นก็คือ "Mindset" ..มันคือ Mindset ของผู้ที่ชนะใจตัวเองได้ ... ครับ!! โคตระยาก ผมไม่เถียง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนกว่า 80% ที่เข้ามาเล่นหุ้น เจ๊ง !! ก็เพราะเขาเอาชนะใจตัวเองไม่ได้

"จริงๆ มีคนบอกนะว่า การเล่นหุ้นมันแค่เดาว่าขึ้นหรือลง ..ตั้งนั้นโอกาสชนะมัน 50% อยู่แล้ว แต่ทำไมเวลาลงทุนด้วยเงินจริง กลับกลายเป็นว่า คนส่วนใหญ่เสียหายมากกว่า ...ครับ!! สิ่งที่ทำให้เราตัดสินใจลงทุนผิดพลาดและเสียหายก็คือ Greed & Fear -- ความโลภและความกลัวนั่นเอง" ...คงไม่ต้องบอก ทุกคนก็รู้ว่า "ราคาหุ้น(Price)" กับ "พื้นฐาน(Value)" มันไม่ได้ไปด้วยกัน

...ในขาขึ้น ราคาจะวิ่งเลยพื้นฐาน เพราะมนุษย์มีความโลภ เสมอนะ ... และเวลาหุ้นขาลง ราคาก็จะลงต่ำกว่าพื้นฐานเพราะมนุษย์มีความกลัวเสมอ -- ก็พูดง่ายๆว่า พวกที่เข้าไปเล่นหุ้นตามอารมณ์ โดยปราศจากสมอง เช่น ฟังข่าวดี แล้วอารมณ์ดี เห็นหุ้นขึ้น ..ทุกคนก็แห่เข้าไปซื้อหุ้น ..หารู้ไม่ว่า เวลาแห่กันเข้าไป Bid ราคาหุ้นมันก็ขึ้น ก็คือ แมลงเม่าแห่เข้าไปซื้อของแพงทุกๆรอบไป ... จากนั้นพอมีข่าวร้าย อารมณ์กลัวเข้ามาครอบงำ ก็แย่งกันขาย แย่งกัน Offer หุ้นตัวเอง ราคาถูกๆ .."คนเหล่านี้ถึงได้เสียหายไงครับ เพราะเขาถูก Drive ด้วย Greed & Fear ตลอดเวลา"

...นั่นแหละ ที่ผมจะพูดถึง คือ คนที่เล่นหุ้นแล้วเสียหาย คือ เขายังชนะ ความโลภ และ ความกลัวไม่ได้ (เขาจึงไม่สามารถ มองสิ่งต่างๆ ตามความจริง เพราะ แยกไม่ออก ระหว่าง Price กับ Value) ... ดังนั้น การที่บอกว่า คนที่รวยจากตลาดหุ้น (ที่ไม่ใช่นักปั่นหุ้นนะ) เขาเป็นคนไม่ดี ..ผมเถียงเลยว่าไม่ใช่ ...เพราะคนที่ชนะใจตัวเองได้ เขาต้องตัดความโลภ และ ความกลัว ออกไปได้ ...ดังนั้น มุมมองการใช้ชีวิตของเขาต้อง อยู่บน ความจริง!! ...(ไม่ได้จะบอกว่าเขา Perfect เพียงแต่คนเหล่านี้ เขามองโลก ตามความเป็นจริง ...มองสิ่งต่างๆ ที่มูลค่า ไม่ใช่ราคา ...ก็เท่านั้นเอง)

ผมเคย พูดเรื่องนึง ที่คิดว่าอยากจะแชร์ คือ "เงินลงทุนก้อนที่จะทำกำไรสูงสุดให้เรา คือ เงินที่เราตัดทิ้งออกจากชีวิตได้" ..จริงไหม !! ...เพราะเงินที่เราตัดออกจากชีวิตได้ หรือ เงินที่เราไม่ได้ใช้ มันไม่ได้ผูกกับอารมณ์ ความรู้สึกมากนัก ...ยกตัวอย่าง เงินฝากประจำ ที่ไม่เคยใช้ ... ดังนั้น เงินก้อนที่เราตัดออกจากชีวิตได้ นั่นแหละ เราถึงจะสามารถสร้างให้มันทำงาน โดยปราศจาก ความโลภและ ความกลัวไง

ครับ!! ก็นั้นแหละครับ ไม่มีใครดีที่สุด และ เลวที่สุดหรอก ทุกที่ มีทั้งคนดี และ คนไม่ดี ... แค่เราไม่ไปตัดสินใคร ไม่เบียนเบียนใคร ผมว่า มันเพียงพอแล้วล่ะ ...

อย่างนักเก็งกำไรในตลาด พวก Trader หรือ Speculator หลายคนบอกว่า คนเหล่านี้ หาแต่กำไร แต่ไม่ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ..แต่ผมมองต่างนะ ..ผมว่า นักเก็งกำไร ก็คือ "เลือด" ของตลาด ...ถ้าไม่มีนักเก็งกำไร ก็คงไม่มีการซื้อขาย ไม่มี Bid ไม่มี Offer

..เมื่อไม่มีการซื้อขาย มันก็ไม่มีราคา ..ไม่มีราคา ก็ไม่มีตลาด ... ไม่มีตลาด ก็ไม่มีการหมุนเวียนของเงินในฝั่งทุน ...ไม่มีเงินหมุนเวียนในฝั่งทุน ทุกคนก็ต้องไป กราบธนาคาร ..แล้วธนาคารก็กลับมาครองโลก

..อ้าว!! แต่ถ้าไม่มีธนาคาร ก็ไม่มีการหมุนเวียนของเงินเลย ... ไม่มีการหมุนเวียนของเงิน ก็ไม่มีเศรษฐกิจ ...ไม่มีเศรษฐกิจ เราก็เป็น อูกันดา ...มีแต่ปืน ..การข่มขืน ...กำลัง ...อะไรก็ว่าไป

-- พูดไป ก็ไปอีกเรื่อยๆ ..สุดท้าย ทุกอย่างมีประโยชน์ ในกลไกของมัน อะไรที่ไม่ประโยชน์มันก็จะสูญพันธุ์ไปเอง ไม่ต้องไปทำอะไร ไม่ต้องไปต่อต้าน ไม่ต้องไปประท้วง

 ...สิ่งสำคัญ ทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี มองอะไรตามความเป็นจริง ..อย่าเบียดเบียน และ ตัดสินคนอื่น

...เท่านี้ คุณก็คือ คนดีแล้วล่ะครับ!!

(สู้ สู้ ..ถ้าเราดี บ้านเราก็ดี งานเราก็ดี ..บริษัทก็ดี ประเทศก็ดี ..มันเริ่มจากตัวเรา ไม่ใช่เริ่มที่คนอื่น -- จริงๆ นะครับ)

วันอังคารที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ยากเพราะคิด สัมฤทธิ์เพราะทำ ... มันแจ๋วมาก!!


จากนี้ไปก็เริ่มเข้าสู่ "ฤดูการสัมมนาของลูกค้า ธนาคารกรุงเทพ ..." ..ก็จะเป็นสัมมนาที่เชิญลูกค้าของสาขาต่างๆ มาฟังเรื่องต่างๆ ..ซึ่งวันนี้เริ่มที่ ภาคนครหลวง 5 .. "ก็อยากบอกว่า ในฐานะคนฟังก็คงได้มุมมอง แต่คุณรู้ไหมว่า คนพูดเอง ก็ได้ประโยชน์ไปด้วย"..จริงๆ

"ยากเพราะคิด สัมฤทธิ์เพราะทำ" เป็นคำพูดของท่าน ว.วชิรเมที ...ผมว่ามันใช่เลย จะเล่าให้ฟัง ก็อาจเป็นเรื่องตลก เพราะก่อนหน้านี้ ผมเป็นคนที่กลัวการพูดต่อหน้าสาธารณชนมาก ...จริงๆ ผมชอบเขียน แต่ไม่ชอบพูด ..ดังนั้น ทุกครั้งที่พูด มันกดดันทุกที 

...แต่ในที่สุด สิ่งที่ผมทำมาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ก็คือ การพูด!! .. พูด !! และ ก็พูด  -- ผมจัด ตั้งแต่สัมมนาย่อย ยันสัมมนาเป็นพันคน ..รวมทั้งการออกสื่อทั้ง ทีวี และ วิทยุ ...สิ่งที่สอนผมแบบเต็มๆ คือ จริงๆ ทุกอย่างมันฝึกกันได้ ..ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิด ...คนโชคดีก็คือ คนที่เปิดโอกาสให้ตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าทำได้ (นั่นแหละคนโชคดี) ...มันเป็นเหมือนการ ก้าวผ่านความกลัว ซึ่งผมเชื่อว่า ทุกๆคนล้วนต้องมีบางอย่างที่เรากลัว ..ซึ่งสิ่งนั้น จะเรียกได้ว่ามันเป็น ปมด้อย หรือ สิ่งที่เราไม่อยากที่จะทำ

ใช่!! ผมกำลังจะบอกคุณว่า ...จริงๆ Limit หรือ ข้อจำกัดของคนเรา มันอยู่แค่ความคิดของเราเท่านั้นเอง ...ในโลกนี้ มันไม่มีอะไรที่เราอยากจะทำ แล้วทำไม่ได้ -- เพียงแต่จะอาจจะอาศัยเวลาหน่อยก็เท่านั้นเอง 

"คุณรู้ไหมว่า อย่างตัวผม เรื่องการพูด เป็นสิ่งที่ผมอึดอัดมาตั้งแต่เด็ก เพราะผมเป็นเด็กที่ขี้อายมาก และ ผมจะกลัวทุกครั้งที่ต้องออกไปยืนหน้าห้อง หรือ พูดต่อหน้าคนจำนวนมาก" ...การที่เราสามารถผ่านข้อจำกัด หรือ จุดอ่อนของเราได้ มันเป็นเหมือนการ "ปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองออกมา" ...ครับ ..ผมเชื่อนะว่า ก่อนที่เราจะมีอิสรภาพทางการเงิน หรือ Freedom มันต้องเริ่มจาก อิสรภาพในความคิดให้ได้ก่อน

ปัญหาที่จำกัด ศักยภาพของคนก็คือ "ความคิด" ..เรามักถูกสอนมาจากระบบความคิดที่ปิด โดย เฉพาะโลกปัจจุบัน ..คุณลองคิดดูนะ ..การที่เราเลือก "อาชีพ" มันก็ปิดตัวเราให้จำกัด อยู่ในกรอบตรงนั้น ...ผมนั่งคิดเสมอว่า "การที่คนๆ นึงจะก้าวขึ้นมาเป็น เจ้าของธุรกิจใหญ่โต มันมาจาก เขาต้องเก่งสุดยอดใช่หรือไม่" ..จริงๆ ไม่ใช่เลย ...การที่คนๆนึงเก่งสุดขีด เขาจะเก่งได้ในจุดที่ "จำกัด" เท่านั้น ซึ่งส่งผลให้เขาเหล่านั้น สามารถที่จะเป็น ผู้เชี่ยวชาญ แต่ปัญหาคือ มันเป็น "กับดัก" เพราะสุดท้ายแล้ว การเป็นผู้เชี่ยวชาญ มันกำหนดให้ทุกอย่างต้องจบที่ตัวคุณ ...ดังนั้น ผู้ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพของความเชี่ยวชาญ จะประสบความสำเร็จในด้านที่เขาเลือก แต่จะไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ อย่างเจ้าสัวต่างๆที่เราเห็น

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการได้เข้ามาสัมผัสคนเหล่านี้ คือ เขาใหญ่ ...ที่ว่าใหญ่ คือ "กรอบความคิด" ..คนเหล่านี้ มีกรอบความคิดที่กว้างมาก ..."โอกาส" ที่เขามอง ..เขามองโอกาส และ ก็มองคนที่จะมาทำโอกาสให้เป็นจริง... อ้าว!! แล้วตัวของเจ้าสัวล่ะไปไหน ..."ใช่!! คนเหล่านี้ ไม่เคยเอาตัวเองอยู่ในภาพ แต่มองตัวเองเป็นผู้จัดสรรทรัพยากร ...เงินส่วนนึงแน่นอนเป็นเงินเจ้าของ แต่เงินส่วนใหญ่ก็เป็นเงินคนอื่น เช่น เงินธนาคาร , เงินผู้ถือหุ้น , เงินนักลงทุน ..แรงงานก็หาคนที่เก่งที่สุดมาทำงาน

 ..."ตรงนี้เป็น Trick ที่ยาก ผมเคยคิดเรื่องนี้ สมัยเด็กๆ ว่าผมอยากจะจ้างคนเก่งๆ มาทำงานให้ผม แต่มันไม่ได้ง่ายแบบที่ผมคิด เพราะคนเก่งเขาก็เลือกคนที่เขาทำงานด้วย ...สุดท้ายผมจบที่ทำทุกอย่างด้วยตัวเองในเวลานั้น" ..แต่สิ่งที่น่าสนใจของ เจ้าสัวเหล่านี้มีคือ วิสัยทัศน์ เขามีกรอบของ Big Picture ที่ธุรกิจนั้นๆ จะเดินในกรอบใหญ่ ...เขามีความน่าเชื่อถือ ที่สามารถเอาเงินคนอื่นมาทำงาน ..และเขาก็มีความน่าเชื่อถือ ที่คนเก่งอยากมาทำงานให้เขา ...ทั้งหมดคือ การ Leverage ความสามารถตัวเอง ออกมา โดยที่ เขาเป็นผู้สร้างระบบ และ กรอบให้ธุรกิจเดินไปนั่นเอง

ประเด็นที่ผมอยากจะชี้ ก็คือ "เจ้าของใหญ่" ก็คือ ผู้จัดสรรทรัพยากร และ การแบ่งผลประโยชน์อย่างลงตัว ...ส่วนธุรกิจจะเกิดและโตได้ ก็ต้องมีแก่นของความเชี่ยวชาญ และนี่เป็นการรวมคนเก่ง และ คนที่เหมาะสมเข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อบรรลุเป้าหมาย

เอาล่ะครับ เล่าแล้วโยงมาไกล จากตัวเอง สู่การจัดสรรพทรัยากร ...แต่สิ่งแรกที่ต้องก้าวให้ผ่าน ก็คือ "ข้อจำกัด หรือ กรอบทางความคิด" ..ก่อนที่เราจะ ผ่านไปสู่ Step ต่อไป ..ในขั้นแรกเราต้อง ผ่านโจทย์ของจุดอ่อนของตัวเราเองก่อน ...เราต้องมองว่า สิ่งไหนที่เรากลัว และ คิดว่าเราอ่อนด้อย ..คุณลอง Break มันดู ..ลองดูซักตั้ง ...ผมบอกได้เลยว่า ถ้าคุณก้าวผ่านความกลัวตรงนั้น ...ตัวคุณจะก้าวผ่าน "กรอบความคิด ที่คนส่วนใหญ่ ผ่านไม่ได้" ... Key หลักแห่งความสำเร็จ ผมเชื่อว่ามันคือ "การเปลี่ยนจุดอ่อน ให้เป็นจุดแข็ง" ...

"ระหว่างเขียนนี่เริ่มดึก..555".. เขียนแล้วมึน แต่ผมว่า สิ่งนี้มัน work กับผม ...การผ่านความกลัวเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าทำได้ ผมว่ามันจะปลดปล่อยตัวเราออกจากกรอบ ... และคนที่คิดนอกกรอบ จะเห็นโอกาสมากมาย ที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็น ... ระหว่างนั้นก็ค่อยๆ เรียนรู้ สร้างจุดเด่น ...และ พัฒนามุมมองของเราไปเรื่อยๆ .. เอาเป็นว่า วันนี้เล่าแค่นี้ก่อน ..."ผมกำลังทดลองอะไรบางอย่างอยู่ แล้ววันหลังจะเอามาแชร์ให้ฟังกัน" 

...ชีวิตน่ะมันเป็นการเรียงร้อยประสบการณ์ ไม่มีอะไรถูกสุดๆ หรือผิดสุดๆ เพียงแต่เราไม่ไปเบียดเบียนคนอื่นเป็นใช้ได้ ...เดี๋ยวนี้ผมเจอเจ้าของกิจการและคนเก่งๆ เยอะมาก สิ่งที่ผมพบก็คือ มันเหมือนสัจธรรม ..ว่า คนที่เก่ง ก็คือ คนที่ล้มเหลวมาเยอะนั่นเอง ...เพียงแต่พอล้มแล้วเขาลุกขึ้น ...แปรงฟัน แล้วก็เดินต่อ ...บางคนล้มละลาย ..ก็เซไปบ้าง สุดท้ายก็กลับมาเดินใหม่ ..อย่ากลัวที่จะก้าวเดิน และ ลองทำในสิ่งใหม่ๆ ..ทำไปเถอะ -- เอาใจช่วย "เพราะผมก็ทำอยู่...555"

และคนที่โชคดี ...ก็คือ คนที่เปิดโอกาสให้ตัวเอง ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าทำได้ (นั่นแหละคนโชคดี)

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ The Stock Master ดูที่นี่!!

"The Stock Master" เป็นโครงการแข่งขัน Reality เพื่อค้นหายอดฝีมือหุ้น และให้ความรู้แบบจัดหนักไปพร้อมๆกัน ..โดยใช้เงินจริง พร้อมอบรมอัดแน่น ตลอดระยะเวลา 2 เดือน.. ซึ่งโครงการจะจัดแข่งขัน Trade หุ้นจริงๆ ใช้เวลาแข่ง 2 เดือน

 ..โดยแบ่ง League ผู้เข้าแข่งเป็น 2 League คือ

 1. League ที่ใช้เงินจริง ใช้ชื่อว่า "The Stock Master" (จำกัดผู้เข้าแข่งขันแค่ 20 คน ซึ่งทั้ง 20 คนจะได้รับโอกาสในการเข้าอบรมกับ บัวหลวง ที่จัดโดยกลุ่มอาจารย์ซึ่งก็คือ Trader จริง , นักลงทุนสถาบัน และ นักวิเคราะห์ รวมทั้ง นักลงทุนรับเชิญที่มีชื่อเสียงมาร่วม "จัดหนัก" ความรู้) .. "ผู้ที่สนใจสมัครเข้าแข่ง League เงินจริง ต้องส่งคลิ๊ปแนะนำตัวท่านว่าคือใคร ทำไมสนใจการลงทุน และ มีแนวคิดการลงทุนอย่างไร ..Post ลงพร้อม ข้อมูลส่วนตัวใน Website ข้างล่างนะครับ"

 2. League ที่ใช้เงินจำลอง(แบบ Click2win) ใช้ชื่อว่า "The Stock Sim" (อันนี้เปิดให้ 500 คน ที่เข้ามาแข่งเงินปลอม พร้อมๆกับ รับความรู้ผ่าน Online ..ซึ่งทำการ Trade ขนานไปกับ League "The Stock Master" พร้อมๆกัน) .."คนที่สนใจสมัครเงินจำลอง ..แค่กรอกข้อมูลปกติ ไม่ต้องส่งคลิ๊ปแนะนำตัวนะครับ"

คลิ๊ปนี้ เป็น คลิ๊ป เปิดตัวของโครงการ และ รายละเอียดการรับสมัคร ...

ที่มาของโครงการ -- ใครสมัครได้บ้าง(ไม่จำกัดอายุ) และ คุณจะได้อะไร "ความรู้ + รางวัล"
วิธีการสมัคร ..ดูจากในคลิ๊ปนี้ครับ
..เมื่อเข้าใจที่มา สิ่งที่จะได้รับ และวิธีการสม้คร -- ก็เข้ามาสมัครจากลิงค์นี้ได้เลยครับ (เร่งมือหน่อย) เพราะเปิดรับสมัครถึงปลายเดือนนี้นะครับ http://www.facebook.com/bualuangsec?sk=app_190322544333196

วันพุธที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"The Stock Master ระบาด" ..บัวหลวงเปลี่ยนไป..555


ในภาวะปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า "กระแสการลงทุน มันไม่ใช่เป็นแค่ fashion อีกต่อไป เพราะมันเป็น Trend ของจริงไปเรียบร้อย" ..สาเหตุก็มาจาก ผลตอบแทนเงินฝากต่ำเตี้ย และ เงินเฟ้อจี้ตูด ..หนทางรักษาเงินของเราไม่ให้ลดมูลค่า ก็มีทางเลือกไม่มากสำหรับนักลงทุนรายย่อย ...หลายคนๆแห่ไปหาทอง ก็พบกับการปรับฐานครั้งใหญ่ ของทองจากที่ขึ้นมานานก็หักหัวลง ... ทางเลือกนึงที่น่าสนใจ ก็คือ "หุ้น" เพราะขาดทุนได้ทั้งขาขึ้นและขาลง.. (อ้าว!! ทำไมทำงั้นอ่ะ..555)

"จริงๆ ตลาดหุ้นไม่ได้ยาก หากเราเข้าใจตัวเองว่าทำอะไรอยู่ ...นั่นแปลว่า คนส่วนใหญ่ 80% ที่เข้ามาขาดทุนในหุ้น เขายังสับสนว่า ต้องการอะไรกันแน่ เพราะโจทย์ของการ เข้ามาหาเงินง่ายๆ กำไรเร็วๆ เสี่ยงไม่ได้ ที่เป็นโจทย์ตั้งต้นของทุกคนที่เข้าสู่ตลาดหุ้น กลับเป็นโจทย์ที่นำคนส่วนใหญ่สู่ความล้มเหลว" -- โจทย์ผิดตั้งแต่เริ่ม ว่างั้นเถอะ !! "..บางครั้งถ้าเราลองจับคนเหล่านี้ มาตีลังกา แล้วให้เขาคิดและทำตรงข้ามกับสิ่งที่ทำมา เขาก็จะกำไรทันที เพราะจริงๆ หุ้นมันมีแค่ขึ้นกับลง แค่นั้น!! ..ไอ้ที่ขาดทุนกัน 80% ก็แสดงว่า คนเหล่านี้ตอนที่ขาย เขาควรจะซื้อ และ ตอนที่ซื้อเขาควรจะขาย แค่นั้นเอง --- "ฟังดูง่ายใช่ไหมล่ะครับ แต่ของอย่างนี้ จะตีลังกาให้ถูกวิธี ต้องมีครู!!"  ...และนั่นเป็นสาเหตุของการ สร้าง The Stock Master ขึ้นมา เป็นเกมการแข่งขัน + ให้ความรู้แบบจัดหนัก โดยระดม สมองของ เหล่า Trader , นักวิเคราะห์ และ นักลงทุนสถาบัน รวมทั้ง Investment Celebrity และ ผู้มีชื่อเสียง ระดับจอมยุทธ์ มาร่วมให้ความรู้ กับผู้เข้าแข่งขันทุกชีวิต

ใครที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมใน "สำนัก The Stock Master" ต้องเข้ามาดูลายละเอียดที่นี่ http://www.facebook.com/bualuangsec (แล้วคุณจะเข้าใจว่า เมื่อ Broker อย่าง บัวหลวงเปลี่ยนไป ...เขาจะเอา ยอดฝีมือ และ องค์ความรู้ มาสอนและฝึกฝนรายย่อย ...คงเป็นปรากฏการณ์ที่มันส์พิลึกในวงการหุ้น จากนี้ไป)... เอาเป็นว่า ถ้าใครสนใจ ก็รีบเข้ามาสมัคร เพราะ การที่บู๊ติ้ง จะเปิดรับศิษย์ มันมิใช่เรื่องง่ายเลย ...ครั้งนี้ ท่านไม่ต้องไปฝึกถึงเมืองจีน เพราะ ฝ่ามืออรหันต์ กำลังจะถูกเปิด ณ สำนักแห่งนี้แล้ว ..ว..ว..ว..ว (คำเตือน : การแข่งขันของสำนัก The Stock Master มีระยะเวลาถึง 2 เดือนเต็ม ประกอบไปด้วย การประลองยุทธ์แบบของจริง เล่นจริง รู้จริง เลือดชิ๊บๆ พร้อม โปรแกรมการ Training ที่เข้มข้น 10 วันเต็มๆ ..และ โค๊ซ Trader ตัวจริง ที่จะคอยดูแล กันชนิดที่เรียกว่า เสียว!! กันเลยทีเดียว)

อ่ะนะ .. Build อารมณ์กันซะแรง ระวัง ธาตุไฟเข้าแทรก ...อาจถึงขั้นลมปรานแตกซ่าน -- ถ้าเข้าขั้นนั้น แม้แต่หมอเทวดาก็ไม่อาจช่วยท่านได้ ...ระหว่างนี้ไปเตรียมตัว และ ฝึกปรือวิทยายุทธกันให้ดีครับ ...ช่วงนี้ถ้าใครเข้า Facebook ของบัวหลวง จะเห็นได้ว่า เราเริ่มปล่อยเคล็ดวิชา และ คำภีร์การเรียนรู้เพื่อความอยู่รอด และ ร่ำรวยในตลาด กันไปบ้างแล้ว ....เข้าไปดูย้อนหลังกันได้ที่นี่ครับ http://www.facebook.com/bualuangsec#!/bualuangsec/notes

...เอ้า!! ลองดู สู้ สู้ ...งานนี้รายย่อย ได้เต็มๆ ครับ

"เล่นจริง เจ็บจริง เลือดซิ๊บๆ ได้ความรู้ ...มุ่งสู่ความมั่งคั่งในระยะยาวในตลาดหุ้น"

วันอังคารที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"ข้อมูลบางอย่างที่เสพแล้วรวย"..เสพแล้วรวย..อิ อิ


หนึ่งในผู้ที่ขึ้นมาพูดในวันนั้น คือ "ผมเอง..อะจ๊าก!!" ...แน่นอน Background ข้างหลังของผม เท่ห์ไม่แพ้ใคร นั่นเพราะ "รู้งาน..555" -- เนื่องจากปีที่แล้ว ผมได้รับเชิญจากมูลนิธิไทคมให้ไปพูดในงาน This's my Futures ซึ่งเขาเอาตัวแทนแต่ละสาขาอาชีพที่น่าสนใจมาประมาณ 10 คน ..นั่นแหละที่ทำให้ผมได้รู้จักกับ TED Talk ...มันเป็นการพูดที่กำหนดให้วิทยากรพูดสิ่งที่อยากจะพูดในเวลาที่จำกัด ..."คือ 15 นาทีเป๊ะ!!"
(อาจจะเป๊ะ ไม่เท่า วุฒิศักดิ์อ่ะนะ ..แต่ก็เป็นเวลาที่จะว่าเร็วก็เร็ว แต่จะว่านานก็นาน)

"15 นาที" มันสั้นเกินกว่าที่เราจะเอา Power Point มาปิ้ง เหมือนไปเล็กเชอร์ ..ดังนั้น มันจะเป็นกึ่ง Talk Show ...

"ใครจะเสียเวลามานั่งฟัง Talk Show ..เพราะคนพูดไม่ใช่ โน๊ตอุดม!!" ... การถกเถียง ระดมความคิด เกิดขึ้นที่ฐานทัพของ Stock2morrow ที่ระดม เหล่าอาจารย์ และ คัดเลือกบุคคลที่เราอยากเชิญมาพูดในงานนั้น

"เชื่อซิ มันน่าสนใจ ...จะมีงาน Cocktail อะไร ที่ได้ฟัง แก่นวิชา จากผู้ที่เขาเจนจัดในเกมที่เขาเล่น ใน Style การลงทุนในด้านต่างๆ ...Stock2morrow เรามีคนหลากหลายมากนะ .ตั้งแต่การใช้ "จิต" ในการลงทุน อย่างคุณเกมส์ ..การสร้าง Passive Income ตลอดชีวิต จนมี Port การลงทุน ในธุรกิจกว่าพันล้านอย่างพี่ก้อย ...หรือ คนที่เคยเป็นผู้ล่า The Wolfs ที่นั่งบริหารกองทุนสถาบันขนาด 4 แสนล้านอย่างพี่กร..และไหนจะพี่หมอสวัสดีที่ไม่ใช่หมอธรรมดาแต่เป็น System Trader ที่ประสบความสำเร็จแบบเก๋าเกม ..และก็อาจารย์แต่ละคนที่สอนกันจนลูกศิษย์เต็มบ้าน Full House ว่างั้น!!...อย่างสมาชิกหลายๆท่าน ที่โพสอยู่เป็นประจำ ..ควรให้เขาขึ้นมาโชว์ตัว ..." ... นั่นแหละ เป็นที่มาของ 15 นาที แห่งการเวียนเทียน ย่างสด วิทยากรทุกท่าน...555

"เอ๊ะ!! เกริ่นมาขนาดนี้ ...แล้วอะไรล่ะ ที่เสพแล้วรวย"

"ใช่!! เป๊ะ!! -- วิชา ความรู้ไง เสพแล้วรวย ...ถ้าเสพในระหว่างที่มีสติ จะเกิดปัญญา -- นั่นแหละ เสพแล้วรวย...555"

ในวันนั้น ผมแชร์ในเรื่องของ "การเริ่มต้นจากความล้มเหลว"

แน่นอน..หลายๆคนมองภาพ คนหนุ่มอย่างพวกเราว่า สำเร็จเร็วและหวือหวา แต่นั้นน่าจะเป็นภาพที่ห่างไกลจากตัวตนที่แท้จริงของพวกเรามากมาย ..."ขอเรียกว่า เคยหวือหวาดีกว่า!!  ... จะว่ามันเป็นกับดักของคนรุ่นใหม่ก็ว่าได้ ...ที่ร้อยทั้งร้อย ต้องเคย Over Trade แล้วเจ๊ง ...เรานั่งคุยกันระหว่างอาจารย์และวิทยากรทุกคน ไม่มีคนใดเลย ไม่เคยเจ๊งมาก่อน ...อย่างผมกับหยง อาจจะต่างกันในวิธีปฎิบัติ แต่แก่นไม่ต่างกัน คือ คนนึง Over Trade หุ้น แล้วเสียหายเกือบหมดตูด ..กับอีกคน Over Trade ชีวิต ที่ทำใจรับแทบไม่ได้ ...เพราะอย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า ...เวลาเราล้มเหลว แล้วเงยหน้าขึ้นมา ..จะไม่มีมืออันอ่อนโยนมา จูงเราขึ้นมา อย่างในหนังการ์ตูน ...แต่เงยขึ้นมา จะมี "ตีน" เหยียบซ้ำ -- ฮ่า ฮ่า เล่าเรื่องตอนนั้นแล้วฮาจริงๆ แต่คุณรู้ไหม เวลานั้นมันไม่ฮา ...โคตรเครียด!!"

"การเริ่มต้นจากความล้มเหลว" คือ การเริ่มต้น ณ จุดที่เรารู้จักตัวเอง ... มนุษย์ทุกคนมั่นใจในตัวเอง เกินกว่าจะรู้จักตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ...และวันที่ล้มเหลวนั่นแหละ คุณจะรู้จักคน คนนั้น ก็คือ "ตัวตนที่แท้จริงของคุณ" ...ผมรู้เลยว่า จริงๆ ผมคิดว่า ผมแข็งแกร่งกว่าที่ผมคิดมากนัก แต่ผิดถนัด!! เราทุกคนก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าใครทั้งนั้น ...ปัญหาต่างๆ มันมาเป็น Cycle ...สิ่งนี้ปรับใช้กับการลงทุนได้ทันที ..อย่างที่เขาพูดว่า Price Move in Trend ราคาจะวิ่งไปทางนั้น จนมันสุดๆ เท่านั้น ถึงจะค่อยเปลี่ยน Trend ...นั่นแหละ ปัญหาและ ความทุกข์ก็วิ่งเป็น Trend เหมือนกัน ..พอทุกข์เข้า มันจะเข้ามาทุกปัญหา จนเรา "ซี๊ด" ชนิดลืมโลก ..ประมาณว่า "ซี๊ด" ขนาดที่อยากจะจากโลกนี้ไปเลย ...ทุกข์ ...ยิ่งทุกข์ ... ถ้าในหุ้นก็ ติดดอย.. หุ้นยิ่งลง ...ยิ่งลง ...ยิ่งลง ... เอาว่า ใครเจอจุดนี้ คุณจะรู้จักคำว่า Cycle "ขึ้นเดี๋ยวก็ลง ...ไอ้ลงสุดๆ เดี๋ยวก็ขึ้น" ..เกือบปลง ใจนิ่งชนิดหินผา...555

"วันนี้ผมพูดแทนนักลงทุนระยะยาว คือ เราทุกคนหวังมากเกินไป ...มันมี Trick อยู่นิดเดียวสำหรับ การวางเงินให้ทำงาน

..ข้อแรก ต้องใช้เงินในสัดส่วน ทั้งหมดของชีวิต ที่เคยวางในเงินฝากนั่นแหละ ไม่ใช่เอามา 1% ของ Port แล้วเอามา Trade แบบสุดโต่ง กำไรแค่ไหน มันก็ไม่ได้ทำให้คุณรวยขึ้นเลย เพราะการ Handle เงินจำนวนมากน้อย มันคนละเรื่องกันกับเงินทั้งหมด ... สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ "ใจ"เราพร้อมกับการรักษาและดูแลเงิน เท่าไหร่ เราก็รวยแค่นั้นแหละ (ใครที่สามารถดูแลและบริหารเงินแสน ชีวิตนี้จะมีเงินไม่เกินแสน , ใครที่สามารถดูแลและบริหารเงินล้าน ชีวิตนี้ก็จะมีเงินไม่เกินล้าน , ใครที่สามารถดูแลและบริหารเงินได้พันล้าน ชีวิตก็จะมีเงินไม่เกินพันล้าน)  ..การที่เราสามารถทำกำไรจากเงินน้อยๆ ในสัดส่วนของ Port จริงๆ มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกอะไรเพราะเงินก้อนนั้นมันเล็ก ..แต่ถ้าหากเงินก้อนนั้นเป็นเงินทั้งหมดของชีวิตคุณ ..รูปแบบการลงทุนทั้งหมด และวิธีคิดของคุณจะเปลี่ยนไป .."โจทย์นี้แหละ ที่ผมและหยง เหมือนกัน เพราะเราต้องใช้เงินทั้งหมดของเรา ทำงานในวิธีการที่เราเลือก ...อย่างการ Trade ที่ใช้เงินทั้งหมดในชีวิตมาวาง จะ Super Conservative ..ยกตัวอย่าง Port ของ Trader ที่ Trade for a Living จะวางเป็น Portfolio คือ จัดสรรความเสี่ยง และ กระจายความเสี่ยงอย่างมีแบบแผน ..จากนั้น ทุกการ Trade ก็ต้อง Limit Loss .. จริงๆ เรื่องนี้เราสอนใน คอร์ส S08 ของ S2M ซึ่งน่าเบื่อที่สุด แต่จริงๆ มันสำคัญที่สุดต่างหาก ...เพราะท้ายสุดแล้ว คุณเคยจะหาได้มากเท่าไหร่ 10 ล้าน 100 ล้าน 1000 ล้าน มันไม่สำคัญเลย หากคุณต้องเสียทั้งหมด จากการ Over Trade แบบโง่ๆ ของคุณเพียงครั้งเดียว ..และนี่คือ สิ่งที่คนเก่ง อย่าง Hedge Fund หรือ Lehman Brother ก้าวไม่ผ่าน !!" -- ความสำเร็จในการเงิน ใม่ใช่ว่า หาให้ได้มากๆ เสี่ยงให้สุดๆ เหมือนที่คนส่วนใหญ่คิด ...และสุดท้ายไอ้ที่มองว่า เสียไม่ได้ มันเสียหมดตัว ...นั่นคือ "กับดัก" ทางความคิดของคนเก่ง ... สุดท้ายแล้วผมว่า ความเก่งมันกินไม่ได้ -- การที่เรารักษา Port และความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนต่างหาก ที่เรียกได้ว่า แจ๋วจริง!!

..ข้อสอง "ต้องลองล้มเหลวด้วยตัวคุณเองก่อน ด้วยเงินน้อยๆ ...ฟังดูยากนะ ใครจะบ้า มาลองล้มเหลว ...แต่เชื่อผมเถอะ ไม่มีใครที่ไม่เคยพลาดหรอกครับ ...ให้เตรียมใจกับการพลาด ก็เท่านั้นเอง ...เมื่อวันนั้นมาถึง คุณงัดแผนที่สองออกมาได้เลย !!" ...นี่แหละ ความได้เปรียบของคนที่เคยล้มเหลว เพราะเขาได้เรียนรู้แล้วว่า ชีวิตเขาพลาดได้ ดังนั้น คนเหล่านี้ จะมี แผนที่สอง รองรับกับความผิดพลาด "คือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าล้มเป็นแล้ว ล้มอีกกี่ครั้ง ก็ได้ เพราะมันจะไม่เจ็บถึงตายอีกแล้ว ...เพราะไม่มีความล้มเหลวที่ถาวร จนกว่า คุณจะล้มเลิก ก็เท่านั้นเอง"... อย่างการลงทุน สำหรับมือใหม่ ...ผมแนะนำให้ใช้เงินน้อยๆก่อน ..เพราะที่คุณคิดว่า คุณรู้ ..คุณจะเข้าใจมันจริงๆ ก็ต่อเมื่อก้อนนั้นมันหมด..555

 ...แล้วหลังจากที่คุณเข้าใจแล้ว ก็ "จัดเต็ม!! ...

...คนหลายๆ คนถึงกับ หันหลังให้การลงทุน เพราะ มันยาก ...ใช่!! มันยากที่เราจะเข้าใจตัวเอง ..."คนที่ลงทุน แล้วชัดเจน ประสบความสำเร็จ เพราะเขาเข้าใจตัวเอง ว่าเขาทำอะไรอยู่ ...ตรงนี้ซิยาก เพราะเราทุกคนถูก อารมณ์ Drive ในการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว ...แต่ในตลาดทุนนี่ ถ้าอารมณ์นำเหตุผลเมื่อไหร่ ...คุณเจ๊งวันนั้นแน่นอน!!"

.... ฮึม!! อย่ามา Drama ว่างั้น "ใครมาหาคุณ ชวนลงทุน ถามก่อนว่า นี่ Drama อ่ะเปล่า...555"

ส่ิงที่เสพแล้วรวย คือ "ข้อมูลที่มีเหตุมีผล" ...ส่วนที่เสพแล้วซวยคือ "อารมณ์ ..ฉะนั้นอย่ามา Drama กับผมนะ...555"

อิ อิ ...อย่า Drama ++



บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ