แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

มุมมองที่ต้องมี ในภาวะวิกฤต



"เมื่อวานผมไปสอนการลงทุนให้กับทายาทธุรกิจบัวหลวง จังหวัดขอนแก่น"
ประเด็นที่น่าสนใจคือ วันนี้หุ้นลง 40 จุด ..สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนส่วนใหญ่ Panic มาก.. มีคนนึงที่เข้าสัมมนายกมือถามผมว่า "พี่ครับหุ้นที่ผมถืออยู่ราคามันลงแบบบ้าคลั่งผมจะทำอย่างไรดี"

"ผมก็ถามกลับไปว่า ..ราคาที่ลงมันเกี่ยวกับกิจการที่แย่ลง และเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง หรือเปล่า..พูดง่ายๆว่า กิจการมันจะเจ๊ง อย่างราคาที่พุ่งลงหรือเปล่านั่นแหละ"

น้องคนนี้ก็บอกว่า "ผมไม่รู้อ่ะพี่" .... "อ้าว!! แล้วซื้อหุ้นนี้เพราะอะไร"
"ก็เพื่อนเชียร์ ..แล้วผมอ่านข่าวว่ามันดี ..คือ ถามใครเขาก็บอกว่าดี ก็เลยซื้อครับ"

ฮึม!! อันนี้เป็นหนึ่งใน Classic Case ของการติดหุ้น ซื้อบนยอดดอย แถมติดหุ้นที่เป็น "หุ้นปั่น" เพราะ หุ้นที่เชียร์เล่นกันร้อนแรงในตลาด มันมักจะเป็นหุ้นประเภทนั้น!!

"วิธีแก้ ไม่ใช่การไป ด่าเพื่อน หรือ ด่าคนอื่น ...อันนี้ไม่ทำให้ Port การลงทุนของเราดีขึ้น ..วิธีการที่ควรทำคือ ต้องคิดว่า ทำไมเราถึงไปซื้อหุ้นแบบนั้น และในจังหวะนั้น ..ถ้าเราหาเหตุผลได้ เราก็จะรู้ปัญหา แล้วหาทางแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาตัวเองได้ต่อไป" ... สิ่งที่ต้องคำนึงคือ การลงของตลาดหุ้นเวลานี้ บอกได้เลยว่า เด็กๆ ..เพราะหุ้นขึ้นลงอย่างแรงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องเรียนรู้ แต่คนส่วนใหญ่ ไม่ได้พยายามเรียนรู้

จริงๆแล้ว เวลาตลาดเกิดวิกฤตแรงๆมัน เป็น "โอกาสสุดยอดแห่งการเรียนรู้..และโอกาสรวยของคนบางคน" ...เราเรียนรู้อะไรบ้าง

1. เราได้รู้เลยว่า หุ้นที่เราซื้อมา เราซื้อมาด้วย เหตุผลหรืออารมรณ์ ... "ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าหุ้นที่เราติดบนดอย มักจะเกิดจากเราซื้อเพราะกลัวตกรถ ..ใครๆก็ว่าดี ก็ขอซื้อตามน้ำ ..แต่ซื้อปั๊บ ก็ติดดอยทันที -- อันนี้มันเกิดจากเราโลภ เพราะเราอยากรวยเร็ว รวยง่าย ซื้อตามแห่แบบไม่ได้ศึกษาให้ดี นี่คือปัญหา"

2. เราได้รู้เลยว่า หุ้นที่เราซื้อ มีเจ้ามือแบบไหน "บอกตรงๆหุ้นทุกตัวมีเจ้า ซึ่งที่เรียกว่าเจ้าก็คือ รายใหญ่ที่มีผลโดยตรงต่อราคา เพราะเขาซื้อขายหุ้นตัวนั้นๆมากที่สุดนั่นเอง" ... อย่างเวลานี้ หุ้นที่ลงแรงก็เช่น พลังงาน และ ธนาคาร ..ซึ่งตรงนี้ก็ชี้ชัดว่า เจ้ามือ คือ ฝรั่ง ..ตอนนี้เจ้ามือ ต้องถอนเงินไปช่วยบ้านตัวเอง เขาถึงได้ขายทิ้งทุกราคา --- ในส่วนหุ้นบางตัวที่ ราคาไม่ลงเลย มันก็วิเคราะห์ง่ายๆว่า หุ้นนั้นๆ มีรายย่อยอยู่ไม่มากแล้ว เพราะคนที่จะ Panic Sell ส่วนมากก็คือ รายย่อย ...ดังนั้นหุ้นขนาดกลางที่ตกมากๆ ก็แปลว่า รายย่อยกระจุกอยู่มาก ..ส่วนหุ้นที่ลงน้อยๆ แปลว่า เจ้ามือไทยได้ Control หุ้นนั้นๆ อยู่ในกำมือของเขาหมดแล้ว (ตรงนี้มันเป็นมุมที่เราต้องมองในฝั่งของเจ้ามือบ้าง เพราะคนเหล่านี้เขาได้ประโยชน์อย่างมหาศาลในทุกวิกฤต)

3. "เราเห็นโอกาสหรือเราเห็นวิกฤต" ...ในวิกฤตคนส่วนใหญ่จะมองเห็นวิกฤต แต่คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเห็นโอกาส ..อย่างที่ผมบอกว่า ตลาดหุ้นมีทั้งขยะและทอง เราต้องหาทองให้เจอ ..ยกตัวอย่างปี 2008 ตอนนั้นตลาดหุ้นลงแรงและเร็วมาก ..กูรูหุ้นหลายๆท่าน "ติดหุ้น" เพราะขายทิ้งไม่ทัน .. ..วิธีแก้ คือ เข้าไปศึกษาธุรกิจของตัวเองมากขึ้น เข้าไปดูว่า จริงๆแล้ว ราคาที่ลงมา มันเกี่ยวกับพื้นฐานของกิจการจริงๆแค่ไหน ..อย่างปี 2008 หุ้นเยอะมาก ราคาลงมาต่ำกว่าพื้นฐานมากๆ ..มันไม่ได้เกี่ยวกับกิจการมากนัก เพราะยอดขายแม้จะลดลงบ้าง แต่โอกาสเติบโตมันยังไปต่ออีกมาก ..แถมปันผลที่ให้แต่ละปี ยังมากกว่าดอกเบี้ยมากมาย ... สิ่งที่ เซียนหลายคนทำ คือ อัด Margin แล้วซื้อเพิ่ม ทำให้วิกฤต 2008 เป็นโอกาสที่ทำให้ Port โตแบบเท่าตัว ทั้งๆที่ในตอนแรก เกือบจะเอาตัวไม่รอด ..."ซึ่งจุดนี้ ผมก็ไม่แนะนำให้ใครทำตาม เพราะมันเสี่ยงมาก ..เพราะถ้าอัด Margin แล้วตลาดเกิดพลิกผิดทางแย่ไปอีก เราก็อาจหมดตัวได้ ...ดังนั้น สุดท้ายมัน กลับมาที่ตัวเราเอง ว่าความเสี่ยงขนาดไหนที่เรารับได้ -- นั่นแหละสำคัญที่สุด!!" --- "คุณศึกษาในสิ่งที่คุณทำมากน้อยแค่ไหน ..แล้วคุณพร้อมที่จะเสี่ยง ในสิ่งที่คุณเชื่อมากน้อยเพียงใด ..คุณต้องตอบให้ได้!!"

4. "คนที่จะก้าวขึ้นมารวย และสำเร็จ" มันไม่ได้มาจากที่คนๆนั้น นั่งคิดเฉยๆ ..เช่นคิดว่า ยังไงตลาดต้องลงต่อ แล้วก็นั่งเฉยๆ ..พอตลาดลงต่อก็ มาบอกว่า "ผมเก่งมากเลย ผมรู้ว่าตลาดจะลงหรือขึ้น" ...คือ แล้วไงล่ะ รู้แล้วไง ..มันไม่ช่วยทำให้คุณรวยหรือจนเพิ่มขึ้นเพียงแค่นั่งคิดเฉยๆ ...ถูกต้อง!! หากคุณเชื่อมั่นในส่ิงที่คุณคิด คุณควรกล้าที่จะใช้เงินของคุณ Bet กับความเชื่อนั้นๆ ..มันจะช่วยทำให้เราหลุดกรอบที่คนส่วนใหญ่เป็นคือ "ถ้ารู้อย่างงี้..." อ่ะนะ (สิ่งที่อยากให้คิดนิดนึงคือ ราคาหุ้นกับพื้นฐานกิจการ มันไม่ได้ขึ้นลงไปด้วยกันตลอดเวลา และส่วนต่างของพื้นฐานกับราคานั่นแหละ ที่ทำให้นักเล่นหุ้นแนว Fundamental หาโอกาสและจุดยืน ในการทำกำไรของตัวเองได้ ...แต่ความ "ถูกแพง ก็ไม่ได้แปลว่า หุ้น ถูกแล้วจะต้องขึ้น ..หรือ หุ้นแพงแล้วจะต้องลง ..เพราะเวลาถูกมันก็ถูกได้อีก เวลาแพง มันก็แพงไปได้อีก ... ดังนั้น สิ่งที่สำคัญมันไม่ใช่การวิ่งหาราคาขายที่สูงที่สุด หรือ มองหาจุดซื้อที่ต่ำที่สุด เพราะทั้งสองจุดนั้น มันเป็นความเพ้อฝัน และไร้สาระที่สุด

..ผมถามจริงๆ ใครกล้าฟันธง โดยเอาชีวิตของตัวเองเป็นประกันไหมว่า พรุ่งราคาจะต้องลงต่อ หรือ ราคาจะต้องขึ้นแล้ว ..ถูกต้อง!! ไม่มีครับ เพราะ ถูกก็ถูกได้อีก ..เวลาแพง ก็แพงได้อีก -- ประเด็นของ การเล่นหุ้นในแนว Value มันจึงเป็นการที่เราเข้าใจ Value ที่เรารับได้ ..."ไม่ใช่ซื้อใน Value ที่คนอื่นบอกว่า ถูกหรือแพง (เพราะถูกของคุณอาจแพงสำหรับผมก็ได้ จึงไม่ Make Sense เลยที่ แต่ละคนจะมานั่งเถียงว่า คุณถูกหรือ ผมถูก) ..ประเด็นมันอยู่ที่คุณต้องมองหา จุดซื้อหรือขาย ที่คุณรับความเสี่ยงได้

..ซึ่งการอ่าน Fundamental ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบ (เน้นว่า "เปรียบเทียบ") ว่าสิ่งนั่นๆถูกหรือแพงในมุมมองเรา ยกตัวอย่าง เวลาผมเล่นหุ้นระยะยาว ผมจะเทียบเงินปันผลกับ ดอกเบี้ยธนาคาร เพราะเงินก้อนนี้ เดิมทีผมวางอยู่ในเงินฝาก ...จากนั้น ถ้าผมพอใจว่า ปันผลดีกว่าเงินฝาก ..ผมก็ต้องมาวิเคราะห์ว่า กิจการมันควรจะเติบโตหรือไม่ ..ซึ่งถ้าคำตอบคือ กิจการมันต้องเติบโตไปเรื่อยๆ นั่นแสดงว่า จุดสูงสุดของราคาหุ้นนั้นๆ ยังมาไม่ถึง ...ถ้าเข้าใจตรงนี้ การแกว่งขึ้นลงของราคา มันไม่ใช่ประเด็น ...จริงไหม!! -- ถามว่า วิธีการเล่นแบบนี้ ผมได้อะไร หนึ่ง ผมได้ผลตอบแทนที่ผมรับได้ นั่นคือ ปันผล มากกว่าดอกเบี้ย และ สอง ผมได้ Capital Gain ในอนาคตข้างหน้า เมื่อกิจการโตขึ้น (เพราะผมไม่ได้จะขายในอีกวันสองวันนี้ แต่ผมจะขายในอนาคตข้างหน้า ...คิดง่ายๆว่า ผมออมเงินในกิจการ แทนออมเงินในธนาคาร ก็เท่านั้นเอง)

ส่วนคนที่ไม่สามารถทนการขึ้นลงของราคา ก็ต้องไปศึกษาศาสตร์ของ Technical Analysis เพราะ Technical เป็น วิชา "สถิติ + ความน่าจะเป็น" ที่ศึกษาการขึ้นลงของราคา ..โดยเอา History ของราคามาศึกษานั่นเอง ...อย่างหนังสือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ และ แกะรอยหยักสมองภาค 3 ผมก็เขียนหุ้นมาเพื่อพยายามสกัด แก่นแท้ของความคิด ว่า Technical และ Fundamental มันมีจุดไหนที่ สามารถใช้ร่วมกันได้ และ แตกต่างในเชิงความคิดอย่างไร "ซึ่งผมบอกได้เลยว่า มันจะตอบคำถาม ว่าเหตุใดคนส่วนใหญ่ เล่นหุ้นแล้วขาดทุน"

5. "อยากให้คิดให้ดีว่า การตกหรือขึ้น ของหุ้นในครั้งนี้ ไม่ว่าจะแรงหรือเบา มันไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะ History Repeat itself เสมอ ดังนั้น การตกในวันนี้ ว่าแรงแล้ว ก็จะมีแรงกว่า ...หรือ การขึ้นที่เคยว่าสูงแล้ว ก็จะมีสูงกว่านี้ ..ประเด็นที่อยากให้เราเรียนรู้จากวิกฤตคือ คุณได้ออกแบบการลงทุนของคุณให้พร้อมกับ วิกฤตและโอกาสหรือเปล่า ..หรือ คุณเพียงแค่เข้ามาเล่นหุ้นและลงทุนตามกระแส

...เพราะคิดดีๆนะครับ คนที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวจากตลาดหุ้น ไม่ใช่คนที่มุ่งมารวยเร็วๆ (เพราะมันเจ๊งทุกคน ..สถิติก็บอกอย่างนั้น) ..แต่คนที่สำเร็จ คือ คนที่เรียนรู้จากวิกฤต ที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และสามารถ Survive ตัวเองอยู่ในตลาดได้นั่นเอง

... การลงทุนเป็นศาสตร์ของการวางเงินให้ทำงาน ไม่ใช่บ่อนการพนัน -- และคนที่จะกำหนดว่า คุณลงทุน หรือ คุณอยู่ในบ่อน มันก็คือ ตัวคุณเอง (หากเราเปิดใจเรียนรู้จากวิกฤต มันจะเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุด และทำให้คุณพร้อมที่จะรับโอกาสในครั้งต่อไป) ..เอาใจช่วยทุกคนครับ แต่สุดท้ายคนที่จะทำให้คุณรวยหรือจน มันไม่ใช่คนอื่น แต่มันคือ ตัวคุณเอง!!

12 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ24 กันยายน 2554 เวลา 09:43

    พวกที่ไม่รู้จักตัวเอง จะเสียเงินมากที่สุด

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ24 กันยายน 2554 เวลา 14:02

    เป็นบทความที่ดีมากครับ ใครได้เข้ามาอ่านในช่วงนี้ น่าจะเป็นประโยชน์มาก ได้ทั้งข้อคิดเห็นและข้อเตือนใจ สำหรับตนเองทั้งใจต้องนิ่งและสติต้องมั่นคง

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณครับ สู๊ดดดยอด!

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ24 กันยายน 2554 เวลา 18:20

    ไ้ด้ข้อคิดเยอะค่ะ..ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ25 กันยายน 2554 เวลา 17:06

    สุดยอด อ่านแล้วได้สาระ กำลังใจเพียบ
    แต่รูปดูคุณ ภาวดูเศร้าเศร้าจังคับ
    หรือผมคิดไปเอง

    ตอบลบ
  6. ช่วยเตือนสติได้ดีมากครับ

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ4 ตุลาคม 2554 เวลา 12:43

    เห็นด้วยทั้งหมดครับ และกำลังลองปฏิบัติ วัดใจมากๆ

    ตอบลบ
  8. ไม่ระบุชื่อ7 ตุลาคม 2554 เวลา 22:10

    ขอบคุณครับ ดีที่ได้อ่าน

    ตอบลบ
  9. mindset ที่ดีต้องมาก่อน

    ตอบลบ
  10. เหนือคำบรรยายค่ะ ..... นี่แหละลายเซ็นต์ของภาววิทย์ของแท้...

    ตอบลบ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ