แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"นักเตะพันธุ์หมาบ้า" ...เขาเริ่มจาก สลัม !!



"ฉันอยากเป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัว" นั่นคือ ความปรารถนาอันดับหนึ่ง จากการสำรวจความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่

ใช่!! ใครๆ ก็อยากเป็น "เจ้าของธุรกิจ" ทั้งนั้นแหละ แต่ปัญหาคือ มันไม่ง่ายน่ะซิ ...เพราะ สถิติของการทำธุรกิจแล้วสำเร็จ คือ 10 ต่อ 1 คือ คนเปิด 10 คน มีคนรอด 1 คน ... "ผมไปอ่านหนังสือ เล่มนึง เขาบอกว่า งั้นก็เปิด 10 ธุรกิจซิ ถึงจะเจ๊ง 9 ..ยังไงก็ต้องมีสักอันที่สำเร็จ -- ใช่ซิ !! ทำแบบนั้นได้ หากคุณเป็นลูกเศรษฐี .. ลองคุณเป็น คนธรรมดา การเจ๊งเพียงครั้งเดียว ก็ลุกไม่ขึ้นแล้ว จะมานั่งเจ๊งอีกหลายๆครั้งได้อย่างไร"

ผมจะแชร์ เรื่องนี้ให้ฟัง ในฐานะที่ผม เคยเป็นคนนึงที่ "เจ๊งจน ขยาด" ก่อนจะกลับมาด้วยมุมมองใหม่ ว่า "ไม่เริ่มที่เงิน" ...ถูกต้อง!! เดิมทีผมก็เริ่มทำธุรกิจแบบ คนมีเงิน คือ "มีเงิน แล้วก็เอาเงินมาลงทุน เปิดกิจการ เช่น เปิดร้านอาหาร เปิดร้านขายเสื้อ เปิดร้านกาแฟ เปิดอะไรก็ได้ ที่ไม่ต้องใช้สมองมาก ..ก็ไปดูว่า ใครเขาทำอะไรได้ดี ผมก็เปิดตาม ..ผมเริ่มจาก เปิดร้านอาหารในต่างประเทศ ...ก็เริ่มเลย ลงทุน แล้วก็เปิดร้าน แล้วก็หวังว่า เราจะทำได้ดีกว่าคนที่ทำอยู่เดิม" .... ที่ผมเล่ามา มันคือ มุมมองของการเปิดธุรกิจแบบคนมีเงิน คือ เก็บเงิน หรือ ได้เงินมาสักก้อนก็เอามาลงทุน --- พวกนี้ ก็ 10 ต่อ 1 ตามสถิติเลย คือ คนที่คิดแบบนี้ ทำแบบนี้ เจ๊ง 9 คน รอด 1 คน -- "ใช่ !! ผมเป็น 9 คน ที่เจ๊ง" วันนี้ถึงต้องกลับมาคิดใหม่ ว่า เอ๊ะ!! เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

"ผิด ที่เริ่ม จากเงิน ไง" ... ผมเจอเศรษฐีท่านนึง เขาสอนผมว่า ภาววิทย์ คุณรู้ไหม คนรวยที่สร้างตัวเอง เขาไม่ได้เริ่มจากเงิน ... เงินเริ่มต้นยิ่งมีมากยิ่งโง่ !! ...โห แรงว่ะ !! .. "คนที่เขาประสบความสำเร็จ เขาเริ่มจากสิ่งที่เขารักเว้ย !!" ... ฟังเสร็จผม งง ไปสามวัน อะไรวะ ไม่เห็นเข้าใจ -- พอคิดจริงๆ มันก็ใช่ ...คือ ปัญหา ของคนส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น นักธุรกิจ หรือ นักลงทุน คือ เริ่มจากเงิน

ยก ตัวอย่าง "การลงทุน" คุณรู้ไหม คนส่วนใหญ่ ปฏิเสธการลงทุน โดย พูดว่า "ผมไม่มีเงิน" ... นั่นแหละ ปัญหา "ทุกคนคิดว่า เริ่มจากเงินไง ...ถึงได้ไปเก็บเงิน พอเก็บได้มากพอ ก็อายุปาเข้าไป 40 ...ฐานะการงานเริ่มมั่นคง พอมีเงินเก็บบ้าง ..บางคนแย่หน่อย กว่าจะเก็บเงินได้ก็อายุปาเข้าไป ใกล้เกษียณ ..เก็บเงินได้ก้อนนึง แล้วก็เอาเงินก้อนนั้นมาลงทุน" --- คงไม่ต้องเล่านะครับว่า คนเหล่านี้ ที่เก็บเงินมาอย่างยากลำบากจนแก่ แล้วเอาเงินมาลงทุน เขามีจุดจบอย่างไร ... เพราะ 80% ของคนเหล่านี้ เจ๊งไง!! แล้วคิดดู คุณเจ๊งเมื่ออายุเยอะแล้ว ก็แทบจะหมดโอกาสลุกขึ้น --- ถามจริงๆ เถอะ ปัญหา ของคนเหล่านี้ คือ อะไรรู้ไหม

ใช่ !! "เริ่มจากเงิน เป็นที่ตั้ง" ... คิดดีๆ นะ อะไรก็ตามที่เริ่มจากเงิน ..Idea มันจะตึ๊บ ...เพราะเงินของเรา มีจำกัด ไม่มีทางเลย ที่มันจะมากพอ สำหรับความต้องการของเรา ... อย่างการลงทุน สิ่งที่ต้องเริ่มลงทุน อย่างแรก คือ "การศึกษา" ดังนั้น จริงๆ แล้วที่ผมพูดว่า ไม่ได้เริ่มจากเงิน จริงๆ มันใช้เงิน แต่มันไม่ได้ใช้เยอะ ...คือ มันต้องเริ่มจากเงินให้น้อยที่สุด และ ใช้สมองให้มากที่สุด ... อย่างที่บอก การลงทุน หากเริ่มจากเงินเยอะๆ เข้ามาใส่ตลาด มันไม่ได้ช่วยให้คุณสำเร็จเร็ว พานจะเจ๊งทั้งหมดเอาง่ายๆ ... สิ่งที่ต้องทำ คือ เริ่มจากเงินให้น้อย แล้วใช้ความคิดให้เยอะ --- จะพูดว่า "เริ่มที่การศึกษา ด้วยเงินจริงให้น้อย เน้นที่การเรียนรู้ให้มากที่สุด" --- นี่แหละ คือ วิธีการเริ่มการลงทุน หรือ เริ่มธุรกิจ ด้วย ความคิด

"ใช้ เงินให้น้อยที่สุด ..แล้วคิดให้มากที่สุด" ... สิ่งที่คุณจะได้ คือ การเรียนรู้ ภายใต้ข้อจำกัด ..มันจะเปิด ความคิด และ มุมมองของเราอย่างมากมาย ...จากนั้น เราก็จะพบเจอปัญหาต่างๆ นานา ระหว่างทางที่เรียนรู้ ...นั่นแหละ Process ของการลงทุนและการสร้างธุรกิจ ..."คุณต้องวางแก่นของ การเดินทาง เป็นความรู้ และ ปัญญา ...ดังนั้น ที่บอกว่า เริ่มจากสิ่งที่รัก ถึงได้เปรียบไง -- เพราะ ถ้าคุณชอบสิ่งนั้นเป็นทุนอยู่แล้ว ก็จะช่วยให้ทางเดินนี้ มันมีความสุขมากขึ้น" ...เพราะกว่าจะสำเร็จ ทุกคนใช้เวลานาน ไม่มี Overnight Success หรือ สำเร็จชั่วข้ามคืน อย่างละครน้ำเน่าที่เราดูๆกัน เพราะ แก่นที่แท้จริงของความมั่งคั้ง คิดดีๆ นะ มันไม่ใช่ "ตัวเงิน" แต่มันอยู่ที่ตัวคนสร้าง

"เงิน" มันเป็นแค่ ผลลัพธ์ ...แต่ทุกคนหลงคิดว่าเงินคือทุกสิ่ง ...ไม่ใช่!! ...ลองนึกถึง ฟุตบอล "เงิน" ถ้าเทียบก็เหมือน จำนวนประตู ที่นักเตะยิงได้ ...แต่แก่นจริงๆ ของการสร้าง "จำนวนประตู Score" ก็คือ ตัวนักบอลเอง ... "ดังนั้น อย่าหลงอยู่กับ จำนวนประตู หรือ ถ้วยรางวัล ที่พ่อแม่ คุณส่งมอบให้ ...มันไม่ใช่ของที่คุณสร้าง ..เพราะเงินนั้น มันเป็น Score ที่พ่อแม่ของคุณสร้างขึ้นมา ...แก่นของคุณ มันยังไม่ได้เก่งเท่ากับของพ่อแม่ ...นั่นเป็นที่มาของ หลายคนที่รักษา เงินมหาศาลที่มาจากทรัพย์สินหรือมรดกไม่ได้ " ..เพราะสุดท้าย คนที่สร้าง Score ก็คือ "นักเตะ" นั่นเอง

"นักเตะ" ที่เก่ง มักฝึกมากจาก สลัม ...เตะ ตามถนน ..ตามวัด ..ผ่านสมรภูมิ การเตะ ... ต่างจาก "นักเตะ" ลูกเศรษฐี ..จ้าง Coach ระดับประเทศมาสอน แต่มันก็ไม่เคยเอาไหน เพราะ มันไม่ต้องสู้ไง ... ความกดดันชีวิต ความแกร่ง มันต่างกัน ..เหมือนสายพันธุ์นักสู้ นั่นแหละ ... หากคุณอยากเป็นนักเตะพันธุ์หมาบ้า ...มันต้องสู้ ...ต้องลำบาก ..เตะจากสลัม ไปสู่ชุมชน ..ไปต่างประเทศ .. ไปลาว ..ยิ่งประสบการณ์ของคุณ ผ่านพายุ และ ความบ้าคลั่ง มาเท่าไหร่ ..คุณก็ยิ่งแกร่ง

จะเป็น "นักลงทุน " หรือ "เจ้าของธุรกิจ" ...อย่าเอาเงินเป็นตัวตั้ง เพราะ นั่นมัน ทางของ 9 คนที่ล้มเหลว ...แต่เอา "การเรียนรู้ + ความรัก และ ความอดทน" เป็นที่ตั้ง

...นักสู้ น่ะ ไม่มีฟลุ๊ก ..ทุกอย่างมัน Plan มันสร้างมาด้วยมือ

นั่นแหละ "นักเตะพันธุ์หมาบ้า" ...555

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"เรียนจากนายบ่อน" ...เฮ้ย!! ไม่ใช่



งานเปิดตัว The Stock Master เราได้ "นายตลาด" มาคุยให้เราฟัง เปิดกะลา ...โดย ดร.ภากร ปีตธวัชชัย -- ข้อมูลที่พี่ภากรนำมาฝาก น่าสนใจ และ แชร์อย่างยิ่ง เรามาดูกันว่า ผมแกะอะไรมาให้ฟัง

"บ่อน" หรือ "ตลาด" ... เฮ้ย!! มันไม่ได้อยู่ที่ตลาด มันอยู่ที่คุณ ..."เข้าบ่อนความเสี่ยงสูงกว่าผลตอบแทน ...เข้าไปด้วยเงินเต็มกระเป๋า พอกลับออกมาก็หมดตูด ...เพราะ ความเสี่ยงมันสูง กว่าผลตอบแทน ...อย่างหวยน่ะ โอกาสชนะเป็น 0.0001% ถามว่า คุณคิดว่าคุณจะเป็นคนที่โชคดีคนนั้นหรือ!! โคตรฝัน!!" ...ปัญหาวันนี้ คือ คนเข้าตลาดหุ้น แต่มาแบบมุมมองของบ่อน คือ ได้เร็วๆ ...อัดเต็ม !! ขึ้นชัวร์ ...สบาย ชิว... สุดท้าย เล่นแบบความเสี่ยง มากกว่า ผลตอบแทน ... "จะบ้าเหรอ ไอ้พวกซื้อหุ้นตามแรงเชียร์ ตามข่าวลือ ..ถ้ามันทำได้ระยะยาว คงไม่มีใครเจ๊งอ่ะนะ ...แต่ในความเป็นจริง มันไม่ใช่เลย ...พวกที่ปวดตับสุด ก็พวก Inside นี่แหละ ..ผมจะยกตัวอย่างกรณีของหุ้นพื้นฐานดีเลยนะ  ..มันเป็นแบบนี้ !! -- เจ้าของบอกให้ถือ หุ้นดี หุ้นดี ...สุดท้ายมันลง ลงไปเรื่อยๆ ... คนถือก็ทนไม่ไหว ซื้อแพงตั้งแต่เจ้าของกระซิบ ทนถือระยะหนึ่ง ...แล้วก็ทนไม่ไหว ไป Cut Loss ในจุดที่ ต่ำที่สุด (จุดที่เขานึกว่า Cut Loss มันดันเป็นจุดฆ่าตัวตาย ...เขาเคยรู้ไหมว่า จริงๆ จุด Cut Loss ที่ดี มันไม่ใช่จุดที่เขาคิด อย่าง The Stock Master เขาสอนได้ดี จุด Cut Loss มันเป็นจุดที่คุณไม่อยากขาย แต่คุณต้องขายเพราะจำกัดความเสี่ยง -- แต่ไอ้จุดฆ่าตัวตาย ที่ทุกคนคิดว่าตัวเอง Cut Loss มันเป็นจุดที่คุณอยากจะขาย เพราะทนไม่ไหว -- ไอ้จุดที่อยากขายเพราะทนไม่ไหว บอกตรงๆนะ มันเป็นจุดที่น่าซื้อด้วยซ้ำ หากหุ้นพื้นฐานดี -- Mindset มันผิด เล่นอีกกี่ชาติ ก็เหมือนเล่นบ่อน ...ไอ้พวกนั้นแหละ "สมองบ่อน ลงทุนถึงได้ สิ้นเนื้อประดาตัว")...จากนั้น ราคาหุ้นพื้นฐานดี ที่เขา Cut Loss ในจุดที่ต่ำที่สุดของรอบ ก็กลับขึ้นมา อ้าว!!! ทำไมผมขายจุดต่ำที่สุด ขายแล้วขึ้นเลย  ..."ใครผิดล่ะ"

ตลาดไง ...ใช่ไหม -- ฮึม!! ไม่ใช่ คุณไง ผิด ...

พวก นี้ ถ้าเดินมาหา "เจได" เขาจะบอกว่า "คุณน่ะ ไปตีลังกาคิดเถอะ ...เวลาคุณอยากซื้อ ให้ประกาศให้คนอื่นรู้ คนอื่นเขาจะได้ขาย ..นั่นแหละ ความล้มเหลวของคุณ จะทำให้เพื่อนๆ คุณรวย ...โคตรเจ๋งเลยจริงป่ะ!!" ..หรือ ถ้าคุณอยากขาย คุณประกาศให้เพื่อนๆ รู้เลยว่า คุณจะขายแล้วนะ ...เพื่อนๆ คุณจะได้ซื้อ แล้วรวยกัน ...คุณก็แค่ทำตัวเป็นตุ๊กตาแห่งความพ่ายแพ้ ..แล้วเพื่อนก็จะรักคุณ ...จริงไหม!! (แรงจัง แต่คุณนั่นแหละ ตุ๊กตา แห่งความล้มเหลว ...)

"เปลี่ยนยังไง"

"ก็ คิดใหม่ดิ ...สิ่งที่คุณคิด มันตรงข้ามกับ ความสำเร็จ ...นั่งคิดให้เข้าใจ ...ตลาดหุ้น มันคือ ตลาด Demand กับ Supply ...คนต้องการซื้อ กับ คนต้องการขาย กำหนดราคา ...ไม่ใช่พื้นฐาน ...โอเค พื้นฐาน สะท้อนราคาในระยะยาว แต่ระยะสั้น คุณเล่นกับ Greed & Fear ของคน ... คน Greed ข่าวดี ..."คูณซื้อก็ของแพง ...ดอยในแต่ละรอบ" ... เวลา Fear ข่าวร้าย ..แมลงเม่า แห่ขาย ...หากคุณซื้อหุ้นดี เวลานั้น ก็จะได้ของถูก ....ประเด็นมันง่ายที่คิด ...ยากที่ทำ ...ถ้าทำง่าย คนการศึกษาดี จะมาเจ๊งได้อย่างไร ... ตลาดหุ้นนี่แหละ การศึกษา ไม่ได้กำหนดความสำเร็จ ..."ประสบการณ์ และ ความเข้าใจ" คือ Key Success Factor

มาดูตัวเลขกัน ว่าอะไรเกิดขึ้นในนี้

"ผมเล่าให้ฟังก่อนว่า ตลาดหุ้น มันคืออะไร"

ตลาด หุ้นคือ ตลาดทุน ...สมัยก่อน จะหาทุน ต้องไปขอกู้ธนาคาร ...ดอกเบี้ย สุดแพง ... มันเลยมี ทางเลือก คือ บริษัทสามารถขาย ส่วนของความเป็นเจ้าของในกิจการ ...แลกกับ เงินทุน ...เช่น แทนที่ PTT จะกู้ ทั้งหมด ..ก็เอาหุ้น หรือ ความเป็นเจ้าของบางส่วน ขายให้กับประชาชน หรือ คนที่สนใจลงทุน ..."PTT ก็ได้เงินมา ..แต่ก็แบ่งส่วนความเป็นเจ้าของ ตามจำนวนหุ้นที่ถือให้คนที่มาซื้อหุ้น" ...นั่นแหละ หุ้น มันคือ "ความเป็นเจ้าของในกิจการ" ..แต่ดูคนในตลาดซิ ...โยนซื้อขาย กันแบบเผือกร้อน ... มันไม่ตายหรอก หากคุณถือหุ้นดี ..จริงๆ หุ้นดี ระยะยาว มันก็ต้องขึ้น อย่าง SCC ปูนใหญ่ 30 ปี ราคาหุ้นขึ้น 300 เท่า ...ถามว่า คนที่ซื้อขายหุ้น SCC ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่เข้าตลาด ...ใครรวยที่สุด -- "ใช่!! คนที่รวยที่สุดก็คือ คนที่ซื้อ แล้วไม่เคยขายไง" ส่วนคนอื่นก็กำไร ตามรอบ การขึ้นลง ก็ว่ากันไป .... คิดดิ 30 ปี ที่แล้ว สมมุติมี 1 ล้าน แล้วซื้อหุ้น SCC ...ผ่านไป 30 ปี  เงินก้อนนั้น เพิ่มตามราคาหุ้น ก็จะกลายเป็น 350 ล้าน ...แล้วนี่ยังไม่รวมปันผลแต่ละปีนะ ..คิดง่ายๆ ปีละ 10 บาท ...ก็ปันผลก็ได้แล้ว 10 ล้านบาท ทุกปี ..."ถามหน่อย ถ้าเงิน 1 ล้านก้อนนั้น ไม่ได้ซื้อหุ้น SCC แล้วฝากธนาคาร จะได้อะไร ...นั่นแหละ การเข้าใจการลงทุน -- ถ้าคุณเข้าใจ!!"

หุ้น มันคือ Asset ประเภทหนึ่ง ..ไม่ใช่ เผือกร้อน!! ...คิดดีๆ ...อะไรที่ราคาเพิ่มตามกาลเวลา นั่นแหละ Asset  ...ส่วนรถยนต์ , Computer ..ของที่เราชอบซื้อกัน นั่นแหละ Junk "ขยะ" คือ ซื้อแล้ว ต้อง Cut Loss เงินไปเลย ...แต่แปลกไหม คนมองหุ้นเสี่ยง แต่มอง รถยนต์ไม่เสี่ยง ... "Mindset" ของคน มันกำหนดแล้ว ใครจะรวยจะจน --- "แต่ข้อดี คือ Mindset สอนและเรียนรู้กันได้ และที่สำคัญมันเปลี่ยนได้"

นั่นแหละ การตั้ง MindSet ใหม่ ...ให้ The Stock Master เขาช่วย you ละกัน ...ฮ่า ฮ่า

มา ต่อ ประเทศที่ธนาคารเป็นใหญ่ คือ ประเทศด้อยพัฒนา เพราะ "ต้นทุน ทางการเงินสูง" ...และปัญหาคือ บริษัทที่จดทะเบียนอยู่นอกตลาด ไม่มีใครจ่ายภาษีเต็ม ...คือ พูดง่ายๆ ใครที่เข้าตลาด "ต้นทุนทางการเงินจะถูก" ถ้าไม่ง้อธนาคาร จะออกหุ้นกู้ ของตัวเอง ก็ได้ดอกเบี้ยดีกว่ากู้ธนาคาร ...นอกจากนั้น การที่ต้องจ่ายภาษีเต็มก็ ทำให้บริษัทสามารถจ้างพนักงานเงินเดือนสูง เพราะ ค่าจ้าง หักภาษีเป็นค่าใช้จ่าย ...ดังนั้น การเข้าตลาด มันเป็น Concept ของคนที่ อยากแบ่งเพื่อโต คือ เปิดให้คนเก่งมาช่วยเป็นเจ้าของร่วม มาร่วมทำงาน และ ร่วมสร้าง ...เหมือน ทำเค้กให้ก้อนใหญ่ขึ้น ...แม้เจ้าของจะไม่ได้กินเค้กทั้งก้อน แต่สุดท้ายมันโตกว่าเดิมมากมาย ...แล้วเจ้าของก็ไม่เหนื่อย มีคนเก่งมาช่วยทำงาน ...มีความโปร่งใส ...มีเงินทุนมหาศาล ...กิจการมันก็เติบโต กลายเป็น มูลค่า พันล้านหมื่นล้าน ...ธุรกิจจากห้องแถวเป็นหมื่นล้าน ผมเห็นมาแล้ว ...เพราะ เจ้าของเขารู้จักแชร์ไง ...เจ้าของก็สบาย ..รัฐบาลก็ชอบ เพราะ สถิติคือ พอบริษัทเข้าตลาด 3 ปี ..บริษัทเหล่านี้ จะจ่ายภาษีมากขึ้น 3 เท่า ...ไม่ใช่แย่นะ เพราะเขากำไร และโตขึ้น -- สุดท้าย สบายกันทุกคน ประเทศก็พัฒนา ...นั่นแหละ Concept ของตลาดทุน

วันนี้ ตลาดทุนไทยคิดเป็น 91% ของ GDP ยังน้อยนะ เทียบกับ ฮ่องกง 962% คือ โตกว่า GDP 9 เท่า . สิงคโปร์ 249% ของ GDP , มาเล 170% --- ยิ่งธุรกิจ เข้าตลาด ก็ต้องโปร่งใส แล้วก็เปิดโอกาสให้คนอื่นมาช่วยบริษัท ช่วยเป็นเจ้าของ ... แบ่งเค้กกัน ..คิดง่ายๆ เค้กเจ้าของอาจมีส่วนเล็ก แต่ส่วนนั้นใหญ่กว่าเค้กทั้งก้อนเดิม ไม่รู้จักกี่ 100 กี่พันเท่า ... "ฝรั่งเขาคิดได้ตั้งนานแล้ว อเมริกา เลยเจริญกว่าเรามาก ...หากใครยังจำได้ ตอนปี 1997 ตลาดหุ้น Dow Jone ยังอยู่พันกว่าจุด วันนี้หมื่นกว่าจุด ..." -- ลองดูเมืองไทย วันนี้พันจุดแล้ว ...ถ้าทุกคนเข้าใจ เรานี่แหละ ศูนบ์กลางของ AEC ทั้งการค้า การบริการ และ Logistic ...จะเอากี่พันจุดดีละ หุ้นเรา!!

"แล้วนักเก็งกำไร ดีไหมล่ะ"

นัก เก็งกำไร ไม่ใช่ไม่ดี ...เพราะ เขาคือ "เลือด" ของตลาด ...เขาคือ สภาพคล่อง ...จริงๆ นักเก็งกำไร ก็คือ คนกำหนดให้หุ้นมีราคาซื้อขาย เพราะ เขาซื้อขาย ถึงมีราคา ...ดังนั้น ทุกคนมีประโยชน์หมด แต่ต้องเข้าใจหน้าที่ตัวเอง ...ขาดคนใดคนหนึ่งไม่ได้

นัก เก็งกำไร ที่หลายๆคนคิดว่า "เล่นการพนัน" ...จริงๆ ก็ไม่ใช่อีกนั่นแหละ มันมีกลุ่มคนที่ เขารู้จัก "จำกัดความเสี่ยง และ Let Profit Run" ถ้า ความเสี่ยง น้อยกว่า ผลตอบแทน อย่างสม่ำเสมอ ...นั่นก็คือ การลงทุนเหมือนกัน

สุดท้าย "คุณนั่นแหละ เลือกเอง ว่าคุณจะเข้าลงทุน หรือ เข้าบ่อน"

"คุณเลือกเอง!!"

จง เรียนรู้จากความล้มเหลว ..ไม่มีใครไม่เคยล้ม ...แต่คนที่กล้ายอมรับความผิดพลาดว่าคือ ตัวเราที่ผิด!!  คือ ผู้มีปัญญา เพราะ เขาจะได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้นด้วยตัวเอง .... คนขี้ขลาด และ โง่เขลา เท่านั้นแหละ ที่โทษคนอื่น เพราะเขาเหล่านั้น จะไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย ผิดซ้ำ ผิดซาก ...อนาจใจ !!


วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เก็บตกมาฝาก บทเรียนที่หนึ่ง ของ The Stock Master ..."ความเสี่ยง"



ในที่สุดก็ คัดผู้กล้ามาได้ 28 คนที่เป็นตัวแทนจากทุกสาขาอาชีพ ...จุดเด่นของภารกิจ The Stock Master คือ "การ Ride หรือ ขึ้นขี่จักรยานของจริง ...ผ่านความโลภและความกลัว ที่เราเรียกว่า Greed & Fear" ...เพราะเงิน 1 แสนบาทที่วางไว้ข้างหน้าของแต่ละคนคือเงินของเขาเอง ...มันจึงไม่ใช่การเล่น Click2win..ที่ Click กันมันส์ แต่ไม่ได้อารมณ์ มิน่าละ ..หลายคน คลิ๊กเท่าไหร่ก็ไม่เป็น "มันต้องขี้จักรยานจริง ..ล้มเข่าแตกเล็กๆ ..ถึงจะเข้าใจว่า การขี่จักรยาน หรือการลงทุนจริง มันคืออะไร" -- สิ่งที่อยากปลอบใจคือ "เมื่อคุณขี่เป็นแล้ว ...คุณจะขี่เป็นชั่วชีวิต ...และ การเดินทางสู่ความมั่งค้่งของคุณในแต่ละจุด ก็จะเร็วกว่าคนส่วนใหญ่ เพราะคุณรู้จักให้เงินทำงานนั่นเอง"

ครับ!! การเดินทางครั้งนี้ ของคุณ ไม่พึ่งโชค ..เพราะเราไม่ต้องการสร้าง "สามล้มถูกหวย" อีกคนในตลาดหุ้น ที่ได้เร็ว เจ๊งไว กลับไปจนเหมือนเดิม ..แต่เรา The Stock Master อยากสร้าง คนที่เข้าใจกลไกของความมั่งคั่ง ว่าไม่มี Overnight Success ..การลงทุนเสมือนการปลูกต้นไม้ ที่ค่อยๆ โต ...และโตด้วยการ วางแผน ...ใช่!! ในมุมของเรา ความรวยไม่มีฟลุ๊ก แต่เกิดจากการวางแผน และ ความอดทน ที่จะเดินทางอย่างมุ่งมั่นสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้

...มาเดินทางกัน!!

บทเรียนที่หนึ่ง "ความเสี่ยง"

หลาย คนพูดถึงความเสี่ยงต่างๆ นานา ...แต่ถามจริงๆ เถอะ คุณว่าความเสี่ยงมันอยู่ที่ไหน -- ถามปั๊บ หลายๆ คนชี้ไปที่หุ้น ไปที่ตลาดหุ้น ไปที่ตลาดการเงิน ...แต่หารู้ไม่ ...เงินฝากธนาคารคุณเอง หากคุณไม่เข้าใจว่า เวลาไหนควรฝาก คุณยังอยู่ในความเสี่ยงเลย ...หรือ อย่างสิ่งที่สอนกันในวิชา Finance อย่างดิบดีว่ามันคือ Risk Free Asset อย่างพันธบัตรรัฐบาล ...ถามหน่อย !! ให้คุณวิ่งไปซื้อพันธบัตร กรีซ , สเปน ..คุณกล้าไหม!! ..ทั้งที่เขาเจริญกว่าไทย ...แล้วคิดว่า ในอนาคต เราจะไม่เข้า Cycle แบบเขาบ้างหรือ ...สิ่งที่ผมอยากจะชี้ ไม่ใช่ ชี้ให้กลัว แต่ชี้ให้ตาสว่าง ...ว่าสิ่งต่างๆ ล้วนไม่เที่ยง วิ่งเป็น อนิจจัง เป็น Cycle ...มีขึ้น ขึ้นลง ...มีลง ลงสุด ..แล้วขึ้นใหม่ ขึ้นสุด ...ลงใหม่ ลงสุด

ใช่ครับ!! ความเสี่ยง ไม่ได้อยู่ที่ Asset ไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือการเงิน ...แต่อยู่ที่ "ตัวเรา" ...คำว่า "ตัวเรา" คือ ความเข้าใจของเราต่อสิ่งที่เราลงทุน หากคุณไม่มีความเข้าใจ (ไม่ศึกษาให้รู้จริง)...เงินฝากธนาคารหรือพันธบัตรรัฐบาล ยังโคตรเสี่ยงสำหรับคุณ --- หลายคนหันหลังให้กับการศึกษาเรื่องการเงิน โดยหารู้ไม่ว่า ชีวิตเราถูกขับเคลื่อนโดยเงิน ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม

วันนี้ทุกคนพูดว่า "ฉันอยากมีอิสรภาพ" แต่วันๆ นั่งทำงานอย่างหนักเพื่อรับเงินเดือน ต่างเหงื่อและ แรงงาน เพียงได้เงินมากพอ ที่จะดำรงชีวิต ...ครับ!! คุณขายแรงงาน และ เวลาของคุณ แลกเงิน ..ดังนั้น คำว่า "อิสรภาพ หรือ Freedom" มันจะมีแก่เราเมื่อเรามีเงินมากพอที่จะซื้ออิสรภาพนั่นเอง

ถ้า วันนี้ คุณอยากจะ "หยุดทำงาน" สิ่งที่คุณต้องมี คือ Cash Flow หรือ เงินที่วิ่งเข้ามา ในแต่ละเดือน มากกว่า ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต ...ถ้าใครสามารถหยุดทำงานแล้วยังมี Cash Flow ไหลเข้ามา มากกว่า ค่าใช้จ่าย อย่างสม่ำเสมอ ...นั่นแหละ "อิสรภาพทางการเงิน" ...เอาล่ะก่อนจะถึง Step ของอิสรภาพทางการเงิน(ด้วยตัวเราเอง) ผมขอกลับไปที่ Step ของการสร้างเงินก่อน ว่า ประเด็นแรก คุณเข้าใจเรื่องการวางแผนจริงๆ สู่ความมั่งคั่ง ด้วยตัวคุณเองหรือยัง

"ความเสี่ยง" ...จริงๆ แล้ว ผู้ที่จะรวยทุกคน ไม่ใช่คนที่ focus อยู่ที่การจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ ...ไม่ใช่!! ..หากแต่ผู้นั้นต้องเข้าใจ กลไกของการ Control Risk หรือ การจำกัดความเสี่ยง ให้ได้เสียก่อน

ถ้าถามว่า ในตลาดหุ้น มีสิ่งใดที่เราสามารถ Control ได้บ้าง ... แน่นอน ++ ไม่ใช่ผลตอบแทน เพราะไม่มีใครรู้ว่าอนาคตตลาดจริงๆ จะเป็นอย่างไร ...แต่สิ่งที่คุณสามารถกำหนดได้อย่างเดียวคือ จุดจำกัดความเสี่ยง ที่เราสามารถตั้งได้ เช่น ใครก็ตามที่บอกว่าเขารับความเสี่ยงได้เท่าไหร่ หากเขามีวินัย หรือ สัจจะเพียงพอกับแผนการลงทุน เขาจะไม่มีทางเจ๊ง หรือ เสียหายมากกว่า จุดที่เขา Control ความเสี่ยงมากมาย ...ดังนั้น คิดให้ดี คนที่เสียหายหนักๆ จากการลงทุน มันแปลอีกนัยว่า เขาไม่รู้จัก "ความเสี่ยง" ...หรือ เขารู้จัก แต่เขาก็ไม่รู้จักการ "จำกัดความเสี่ยง" ...ถึงได้เสียหายนั่นเอง

การสอนในวันแรก เราโยนโจทย์ให้ The Stock Master ทั้ง 28 ท่านว่า

"ในกลุ่มนี้ ใครทนความเสียหายได้ น้อยกว่า10% บ้าง"

...ไม่มี!! -- งั้นแปลว่า เงิน 100,000 บาท ของทั้ง 28 คนนี้ "คุณสามารถเสียได้ 10% ก็คือ เสียได้ไม่เกิน 10,000 บาท" ...โอเคไหม!!

ดี มาก ...สิ่งที่เหล่า "เจได" จะให้การบ้านคุณคือ ...ไปเลือกหุ้นมา 5 ตัว วางว่าจะซื้อเท่าๆกันคือ ตัวละ 20,000 บาท แล้ว จำกัดความเสี่ยงของหุ้นแต่ละตัวไว้ที่ 10% ..นั่นหมายความว่า ถ้าคุณเลือกเข้าตัวไหน แล้วมันดันไปตรงข้ามกับสิ่งที่คุณมอง ...ยกตัวอย่าง คุณซื้อ INTUCH เพราะมัน Break Trendline (ซึ่งแสดงแนวโน้มขาขึ้น) ...แต่พอคุณซื้อ มันดันลงสวนทาง ...กฏคือ คุณต้องขายทิ้งทั้งหมด ถ้า INTUCH ราคาลงมาถึง 10% ซึ่งเป็นจุด Cut Loss ของคุณ ...ลองคิดดูนะ สมมุติ คุณเลือก INTUCH แล้วมันพลาด ...สิ่งที่คุณจะเสียคือ 10% ของเงิน 20,000 บาท ...ซึ่งก็คือ 2,000 บาท -- "นั่นแหละความเสี่ยงสูงสุด ของแต่ละตัวใน Port ของคุณ ก็คือ แต่ละตัว คุณจะเสียหายไม่เกิน 2% ของเงินทั้ง Port ของคุณ 100,000 บาท"

นั่นแหละ การบ้าน ...คือ เราให้คุณไปหาหุ้น 5 ตัว ที่คุณจะ Trade ...โดย ในครั้งแรก เราให้คุณไปลุยหาเอง ...ไปลองตี Trendline เอง ซึ่งผม Guide ให้นิดนึงว่า ...การตี Trendline หาหุ้น "ขึ้น" ...เรามีการตีได้ 2 แบบ ...โดยจุดที่เราตีใช้ "ยอด ชน ยอด" ...ซึ่งสามารถตีได้ทั้งแนวนอน และก็ แนวเฉียง

โอเค!! หลายคน อาจจะคิดว่า ทำไม ผมแทบไม่สอนอะไรเลย แต่ให้คุณไปลองผิดลองถูกแบบเสี่ยงๆ ..."แต่คิดดีๆ นะ " ...ผมได้จำกัดความเสี่ยงโดย Portfolio Management ให้คุณแล้ว ...ผมบอกว่าให้คุณ เลือกหุ้น 5 ตัว ...ดังนั้น ไม่ว่า หุ้นตัวไหน คุณจะว่าสวยอย่างไรก็ตาม คุณก็สามารถซื้อได้เพียง20% ของ Port เท่านั้น ...ดังนั้น ถ้าคุณดันเลือกหุ้นแต่ละตัวได้ "ห่วยแตก" ..สิ่งที่คุณจะเสียคือ แค่ 10% ของหุ้นตัวนั้น ...ซึ่งเทียบเท่ากับ คุณจะเสียเงินแค่ 2% ของ Port ทั้งหมด

เอาล่ะครับ ...อย่ารีรอ ..."ไปเริ่มขี่จักรยานได้แล้ว" ...หนทางนับหมื่นลี้ เริ่มที่ก้าวแรก ...หากคุณไม่มีความกล้า -- เมื่อไหร่คุณจะขี่จักรยานเป็น!!

สิ่ง ที่ผมคาดหวัง จากคุณ The Stock Master คือ การเข้าใจ "การ Diversify หรือ กระจายความเสี่ยง" ..และ การ Control Risk...และผมหวังลึกๆ ว่า ใน 5 ตัวที่คุณเลือก คุณอาจจะโดน Cut Loss สัก 2 ตัว ...ส่วนอีก 3 ตัว คุณน่าจะเลือกหุ้นที่ Break ได้ถูกทาง ..แล้วอย่าลืม Let Profit Run ...โดย ใช้เส้น Moving Average ที่ "เจไดเอก" สอนคุณ ...เอาเส้น Moving Average (EMA) 10 วัน เป็นตัว Let Profit Run ในหุ้นที่เลือกถูกละกันครับ

การ Let Profit Run ก็คือ การยกจุด Stop Loss ตามราคาขึ้นไป ..."ตราบใดที่ ราคายังวิ่ง อยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ยก็ถือต่อไป ...เมื่อไหร่ที่ราคาหลุดเส้นค่าเฉลี่ย ..คุณก็ ออกได้กำไร" ...ส่วนเส้นค่าเฉลี่ยจะใช้ 10 วัน หรือ 5 วัน หรือ 25 , 35 ...คุณเลือกสักเส้นที่คุณทนได้ละกัน

"นี่คือ บทเรียนที่หนึ่ง" -- ขอให้ทุกคน ไปลองจริง ...จากนั้น ครั้งต่อไป เรามาเรียนในวิชา "เจได" ขั้นต่อไป

แล้วเจอกัน "เหล่า Stock Master"

โชคดีครับ!!


On the Rebound .."กลับมาลุกขึ้นใหม่" จาก หนังสือพิมพ์ Bangkok Post

จากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post 

On the rebound

Self-taught investment guru is living proof that failure can be overcome


Pawawit "Pat" Klinpratoom, 31, who once considered suicide after losing almost all his money in his failed food business in the wake of the 2007-08 Lehman Brothers crisis, has reinvented himself as a professional investor.
And he is a walking success story, with his investments in the Stock Exchange of Thailand having grown to many millions of baht in only a few years.
Mr Pawawit has also written five books on investment, some of them bestsellers, along with articles for his own website, www.pawawit.com, which received Thailand Blog Awards in 2010 and 2011.
The website is quite popular, having more than 30,000 fan pages and with more than 300 articles written mostly by himself.
Mr Pawawit introduces himself as a grandson of Veera Ramayarup, a co-founder and director of Bangkok Bank (BBL) who passed away a few years ago, and former labour minister Sora-at Klinprathum.
In fact, he has been employed by BBL since 2008, in the office of the president. His present position is investment adviser at Bualuang Securities, a subsidiary.
After graduating from Thammasat University in 2003, he travelled to Australia to study for his MBA but immediately found himself opening a Thai restaurant. In April of that year, he established Sawtell Thai Pty Ltd to operate the first Sawtell Thai takeaway and restaurant, later adding five five more outlets in Coffs Harbour, Moonee Beach, Umina Beach and Wyoming. Finally, he created a noodle box concept he called "Fit Food in a Box".
"My restaurant business at the time was so good that I bought a Mercedes-Benz sports car to reward myself. I enjoyed my business. It was full of fun and challenging. Rarely did I attend classes," he said.
Then the Lehman Brothers crisis struck, hitting businesses the world over.
"The crisis hurt me. I lost almost all the money I'd put into the business and had to shut down four branches. The only branch left had to be taken over by my partner, as I was broke. I had to come home in 2007 with empty pockets," said Mr Pawawit.
He never finished his master's degree, which was why he had gone to Australia in the first place.
"I became very depressed from the business failure and had no confidence in starting something new. Suicidal thoughts flashed through my mind, but finally I resolved to stand again on my own two feet. I spent a lot of time healing myself," he added.
"Grandfather Veera gave me a lot of support. He even put in a recommendation for me as a trainee in the office of the BBL president in late 2007."
His work there taught him that there is no such thing as an overnight success. He began thinking carefully before doing anything, started considering the right solutions to a problem and looked forward to jumping into business once again.
And Mr Pawawit still had connections in Australia. In 2008, he started a new venture with partners Steve Wilson and Brett Busty _ a glass laminating factory in the Guildford area of Sydney.
"At that time, I also became interested in investing in stocks. In 2009, I started writing stock investment guidelines on my blog and set up www.stock2morrow.com," he said.
"I've become confident in guiding others in stocks, having learned key strategies. My initial investment of 3 million baht has grown to many millions. The experience from my food business and glass factory taught me valuable lessons about business cycles, which are crucial to understand when investing," said Mr Pawawit.
"I have two strategies for stocks _ long-term investment representing 70% of portfolio value and short-term investment for the other 30%".
For long-term investment, he focuses on high-growth and dividend stocks that offer returns of 5-10% per year, while for short-term trading he selects only potential stocks with capital gains.
"Such is my investment discipline that I simply cut my losses whenever the market falls by 5%," said Mr Pawawit.
He has three questions for an investor to answer before buying any stock:
1) How popular is this company's product?
2) How necessary is it?
3) To what degree does the company practise good corporate governance?
He said it is very important to know what kind of stock you are buying. For example, if you want to buy stock in Advance Info Service (ADVANC), then you should know that the company is Thailand's No.1 mobile operator with 30-40 million subscribers. It is difficult for its peers to compete with it.
"But the best stocks are always expensive, so you should buy them when the shares are falling such as during the recent crisis. And you should learn the 'greed and fear' theory _ people fear to buy shares during a crisis even though it is really is a good time to snap them up at bargain prices," he said.
Mr Pawawit would like to see more of the younger generation think about social responsibility. Students learn all about capitalism, whose winner-take-all essence is very popular.
"But I disagree with this concept, as it's unfair to retail businesses and consumers. If possible, I'd like to open my own university to teach a new business theory based on a win-win concept," said Mr Pawawit.
"I know failure, and I know how it feels to stand back up again thanks to the four Buddhist iddhipada (bases of power) _ chanda (will), virya (energy), citta (consciousness) and vimamsa (discrimination)."
แปลสรุปหน่อย ก็ตามที่เขียนในหนังสือ "ล้มแล้วเจอตัวเอง" ...ธรรมะ สอนให้เรา "มีสติ" ..ทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ ...สิ่งที่ยึดมั่นในความสำเร็จของผมคือ "อิทธิบาท 4 " ฉัททะ/วิริยะ/จิตตะ/วิมังสา -- รักในสิ่งที่ทำ และทำอย่างมี Passion ด้วยความอดทน ...และค้นหา ความเก่งที่สุดในสิ่งที่ทำ ...มันสำเร็จอยู่แล้วล่ะ ไม่ว่าจะทำอะไร 
...ทุกวันนี้ผม Happy มากขึ้น เพราะ ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ได้สอน ได้เปลี่ยนชีวิตคน ...สนุกดี มันมี Passion และ ส่งต่อสิ่งนั้นได้ ... ไม่ได้ทำฟรี มันมีรายได้ และ ได้รับการยอมรับ ...ผมว่า นั่นแหละ ชีิวิตที่ดีขึ้นของผม ...ก็เอาใจช่วย ทุกคนที่มุ่งหา Passion ของตัวเอง ให้ได้ 
"โชคดีครับ"
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม 

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อีกหนึ่ง "วิธี" ในการสร้าง "โอกาส" ให้ตัวเอง


ช่วงนี้ เข้าเทศกาลการประกวด Thailand Blog Awards อีกครั้ง ... "หลายคนอาจจะสงสัยว่า เขียน Blog กันทำไม ..คนเขียนได้อะไร ..คนอ่านได้อะไร ... มันฟรีนี่!! -- แล้วเหนื่อยด้วยนะ เขียน Blog นี่" ...โอเค ผมจะแชร์เคล็ดลับของมันให้ฟัง !!

การเขียน Blog มันคือ Concept ของ "ยิ่งให่ ยิ่งได้" ..หลายคนนึกว่า การเขียน Blog ให้คนอ่านฟรี มันไม่ได้อะไร -- "คิดผิดถนัด!!" ...การที่เราพยายามไปเสาะหาความรู้ เอามาให้คนอื่นแบบจริงใจ จะทำให้ตัวเราเก่งขึ้น "พอเราเก่ง ...เราให้ .
.เราก็ยิ่งเก่ง" ...นั่นแหละ "เก่ง" โอกาสก็วิ่งเข้ามาหาเรา ...จะทำอะไรล่ะ ..จะเป็น นักเขียน ...นักคิด ...นักพูด ..ที่ปรึกษาธุรกิจ ...ที่ปรึกษาด้านต่างๆ ...เมื่อคุณให้ -- โอกาสก็เข้ามา จริงๆ "นี่คือ Concept ยิ่งให้ ยิ่งได้ ของคนในรุ่นต่อไป ที่จะรวย จะเป็นผู้นำองค์กร ผู้นำประเทศ" ...ผมว่ามันเริ่มจากจุดเล็กๆ ของการแบ่งปัน และ พัฒนาตัวเอง ไปด้วยกันของ กลุ่มคนที่มีปัญญา นั่นแหละครับพี่น้อง!! .....โลกของการ เก่งแล้วกั๊ก ผมว่า หมดยุคไปแล้ว..เดี๋ยวนี้ ต้องเก่งแล้วแชร์ 

การเริ่มต้นเขียน Blog มันก็คล้ายๆ Diary นั่นแหละครับ ... "หลายคนคิดว่า คนที่จะเขียน Blog ได้ ต้องเป็น Expert ในเรื่องนั้น ...แต่จริงๆ ผมจะบอกเลยว่า คนส่วนใหญ่ที่เป็น Expert หรือ ผู้เชียวชาญในเรื่องนั้นๆ ..จริงๆ เขาเป็นมือสมัครเล่นเมื่อเริ่มเขียน Blog เสียด้วยซ้ำ ...และการเขียน Blog นี่เอง ที่บังคับให้คนเขียน ต้องไปค้นคว้า หาข้อมูล ...ยิ่งค้นคว้า ก็ยิ่งเก่ง ...แล้วพอได้เขียน ก็ยิ่งเข้าใจ ...เหมือนที่เขาพูดกันว่า คุณจะเข้าใจเรื่องนั้นจริงๆ เมื่อคุณสามารถสอนอื่นได้" -- "นั่นแหละครับ เสน่ห์ของการเขียน Blog มันเสมือนการที่เราได้สอนตัวเอง ...แบ่งปันความรู้คนอื่น ...คนเขียนถึงยิ่งเก่งในเรื่องนั้นๆ ไงครับ"

"ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เกิด" ...ทุกคนล้วนเคยเป็นมือใหม่ มาก่อน ... ผมเข้าใจว่า คนส่วนใหญ่มักท้อเมื่อเห็นว่าคนอื่นๆ เขาเก่งทั้งนั้นแต่เราไม่เก่ง เช่น การลงทุน ก็มักคิดว่า เรามาเรียนช้าเกินไปหรือเปล่า ...อย่าท้อครับ!! และก็อย่าคิดแบบนั้น ...คิดดีๆ นะ ถ้าทุกคนคิดว่า เรามาเรียนช้าเกินไป คงไม่มีใครต้องเรียนอะไรใหม่ๆเลย เพราะ เริ่มก็ท้อแล้ว ...โลกหยุด!! ไม่มีการพัฒนา ไม่มีใครเรียนใหม่ๆ ความรู้เก่า ก็แก่ ตายไปกับเจ้าสำนัก ...ซะงั้น!!

ประเด็นสำคัญคือ "การเริ่มต้นวันนี้ ต่างหาก" ... ความรู้ที่มี ต้องปฏิบัติถึงจะเข้าใจ ...การเริ่มต้นที่ดี คือ การเริ่มต้นพัฒนาความรู้ตลอดเวลา ...เรียนรู้จากทุกสิ่งรอบๆ ตัว ...คือ พูดง่ายๆ ว่า ผมมองคนที่มี Idea ที่ดี เป็นต้นแบบทางความคิดของผมได้หมด ... "ผมเชื่อว่าทุกคนมีทั้งด้านดี และ ไม่ดี ...สิ่งสำคัญคือ เราฉลาดพอที่จะเรียนอยู่จากทุกคน แล้วเลือกสิ่งที่ดีของเขา ที่ "เหมาะกับตัวเรา" มาเป็นต้นแบบ ก็เท่ากับว่าเรามีสรรพสิ่งเป็นอาจารย์

ลองดูนะครับ ..."ลองมุ่งมั่น หาสิ่งที่คุณอยากศึกษา แล้วก็ลงมือศึกษา แล้วแชร์ความรู้นั้นๆ ให้คนอื่นไปด้วย เช่น การเขียน Blog แล้วแชร์" ...นี่แหละ เคล็ดลับของการใช้หลัก "ยิ่งให้ ยิ่งได้" สร้างโอกาสให้กับคนอื่น และ ตัวเราเอง 

แจ๋วไหม!! .... "ลองจัดดู!!" 

วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จุดเริ่มต้นของ Venture Capital ...อะไรอ่ะ!!


ช่วงหลายๆปีที่ผ่านมา เป็นช่วงที่เปลี่ยนของชีวิตผมอย่างแท้จริง ...ซึ่งจุดนี้ผมอยากจะแชร์ให้คนรุ่นใหม่ในประเทศไทย ได้รับรู้มากๆ ไม่ใช่เพราะผมอยากดัง แต่พอเอาเข้าจริง การยิ่งแชร์แนวความคิดมากเท่าไหร่ ผ่าน หนังสือ และ สัมมนา ต่างๆ มันกลับเป็นส่วนที่ยิ่งทำให้ผม "ยิ่งดัง!!" คือ เป็นที่รู้จักของคนมากมาย ทั้งในวงการนักลงทุน และ วงการนักอ่านหนังสือ (คนรู้จัก ก็นำพา โอกาสมาสู่เราได้อย่างมากมาย ถ้าเขารู้จักว่าเรา เก่งและมีความชำนาญในเรื่องไหน.. "จุดนี้น่าสนใจ")

เอาเป็นว่าไว้มีโอกาสผมจะ เขียน Step ทั้งหมดของการ ใช้วิธีการ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" สร้างให้เกิด "โอกาส" และ "ความมั่งคั่ง" เข้ามาหาเรามากจริงๆ ...และทั้งหมดเกือบจะบอกได้ว่า Step ที่ว่านี้ "เราทุกคนสามารถสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง ...คือ ผมกำลังจะบอกว่า โอกาสและความมั่งคั่ง เราสามารถสร้างได้เอง หากมีความเข้าใจ"

ช่วงที่อยู่มหาวิทยาลัย ผมเป็นคนค่อนข้าง "ร้อน" คือ คิดมากเครียดมาก เพราะ อยากที่จะประสบความสำเร็จเร็วๆ ...ผมเชื่อว่า คนรุ่นใหม่ ที่อายุน้อยก็คงคิดไม่ต่างจากผม แต่สิ่งที่ผมขาดคือ "ประสบการณ์" และไอ้ตัวประสบการณ์นี่เอง ที่สำคัญยิ่งในการทำธุรกิจมากกว่าความรู้เสียอีก ...ผมเทียบเสมอว่าการทำธุรกิจหรือการลงทุน มันเหมือนการขี่จักรยาน ที่ผู้เริ่มขี่ทุกคนต้อง "ล้ม" ใครเตรียมตัวได้ดี ก็ล้มเล็กๆ แต่ถ้าใครไม่เตรียมตัวก็จะเสียหายหนักๆ จนถึงขั้นเสียธุรกิจ ติดหนี้ และ เสียสติ จากความ เจ๊ง ..ว่างั้น -- ดังนั้น กฏข้อที่หนึ่งของ การก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของธุรกิจ และ นักลงทุนคือ "เราเสียหายได้นะ" ....

"เราเสียหายได้นะ" คือ กฏที่ต้องท่องก่อน ขี่จักรยานจริงเสมอ เพื่อความไม่ประมาท ...เมื่อเข้าใจจุดนี้แล้ว ก็เริ่ม เดินทางกัน (การเข้าใจว่า "เราเสียหายได้" จะทำให้เรามีทางเลือกสองทาง เพื่อตอบโจทย์ หนึ่ง ถ้ารู้ว่าเราเสียหายได้ เราสามารถเตรียมความพร้อมโดยการ "จำกัดความเสี่ยง" อย่าง Trader เขาใช้ จุด Stop Loss เป็นกลไกจำกัดความเสี่ยง ... ส่วนนักลงทุนระยะยาว หากเขารู้ว่า ทุกอย่างพลาดได้ เขาจะเตรียมการรับมือว่า หากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เช่น ตลาดกลับไปพังเหมือนปี 2008 เขาจะทำอย่างไร -- คิดง่ายๆ เลยว่า คนที่เข้าใจว่า "ล้มได้" เขาจะเตรียมรับมือ สำหรับวันที่ล้มได้เสมอ คนเหล่านี้ เราเรียกเขาว่า "คนพร้อม!!" ..คนเหล่านี้ คือ "เขามีปัญญา นั่นเอง...")

โอเค!! มาดูเรื่องการทำธุรกิจกัน

ธุรกิจประกอบด้วยปัจจัย 4 ปัจจัย คือ หนึ่ง "เงิน" ...สอง "Know-How" ...สาม "Know-Who" และ สี่ "คน"

คำถามแรกที่ต้องถามคนที่อยากจะทำธุรกิจเอง ก็คือ 4 ข้อนี้ ... ยกตัวอย่าง ต่างประเทศจะง่ายหน่อยสำหรับ คนทั่วไปที่อยากจะรวย เพราะ "ต่างประเทศ" เราไม่ต้องมีเงินก็ได้ เพียงเรามี 2-3 ปัจจัย ...ซึ่งคนที่เข้ามา "สอดรับ" หรือ เข้ามาร่วมกับเราก็คือ Venture-Capital

คิดง่ายๆ Venture Capital ก็คือ คนที่มี 2 ข้อ คือ มี "เงิน" และก็มี "Know Who" ...จากนั้น คนที่มีสองสิ่งนี้ เขาก็ตั้งเป็น "กองทุน Venture Capital ขึ้นมาเพื่อร่วมทุนกับคนที่มี "Know-How" และ คนที่มี "คน"

ดังนั้น คนที่อยากจะเปิดธุรกิจ คุณต้องถามตัวเองให้ดีก่อนว่า "ปัจจัย 4 ข้อ" ..เรามีกี่ข้อแล้ว !!

ยกตัวอย่าง คุณมี "เงิน" ไหม ...ถ้าไม่มีคุณจะเอาเงินใครมาลงทุน ...ง่ายสุดก็มาจากพ่อแม่ เพื่อนสนิท ญาติ อย่าง Warren Buffett เขาก็ได้เงินก้อนแรกมาบริหารจากญาติๆ และ เพื่อนสนิทนั่นแหละ ...อิ อิ

ต่อมา "Know-How" คือ คุณมีความรู้ ที่จะเอามาผลิตสินค้าและบริการ ที่ตลาดต้องการหรือไม่ ...ยกตัวอย่าง Steve Jobs เขามี ความรู้ที่จะสร้าง iPhone ก็แสดงว่า เขามี Know How ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ ....ผมเคยเรียนธุรกิจ ในมหาวิทยาลัย มี Project นึงที่ผมไปลง คือ เรื่อง Entreprenuer คือ คอร์สที่สอนให้เราเป็นผู้ประกอบการ ..."โจทย์คือ เขาให้เราไปหาสินค้าและบริการ ขึ้นมา แล้วให้เขียนแผนธุรกิจ ที่ว่าจะผลิตและขายสินค้าและบริการนั้นๆ อย่างไร" ...ครั้งแรกที่ได้โจทย์ ผมถึง กับอึ้ง ..เพราะในเวลานั้น ผมไม่มี Know-How อะไรเลย แค่เด็กนักศึกษาคนนึง ที่เรียนวิชาธุรกิจ จะเอา Khow-How ที่ไหนมาสร้าง Product

...."ผมก็ไปถามอาจารย์ ...อาจารย์บอกว่า ไม่เห็นยาก คุณก็ไปหา สินค้าและบริการจากคณะอื่นซิ เช่น ไปดูซิว่า Food Science , Engineer  -- คือ อาจารย์ชี้ทางให้ผมเห็นว่า คนเราไม่สามารถเก่งทุกอย่างหรอก ..ดังนั้น หากผมที่มีความรู้ Know-How เพียงธุรกิจ ..หากจะหาสินค้าและบริการ ก็ต้องไปหากับคนที่มี Know-How ที่ตลาดต้องการ"

มาคิดให้ดี "เด็กคณะอื่น ที่เขามี Know-How ..เขาก็กลับไม่มี ความรู้ที่จะ เอาสินค้าและบริการ นั้นสร้างเป็นธุรกิจได้ -- "จะเห็นได้ว่า องค์ประกอบของการสร้างธุรกิจ มันมีถึง 4 ปัจจัย คือ เงิน/ Know-How/ Know-Who / คน ...มันถึงตอบโจทย์ที่ว่า เหตุใดธุรกิจไม่ได้สร้างขึ้นมาง่ายๆ" ...ใช่ โดยเฉพาะคนไทย ปัญหาคือ เราเป็นประเทศแบบ One-Man Show มันถึงเป็นปัญหาเรื่อยมา ทำให้ประเทศไทยไม่มีสินค้าและบริการดีๆ แม้ว่า เราจะเห็นว่าเด็กไทย สามารถคิดหุ่นยนต์กู้ระเบิดชนะรางวัลระดับโลก แต่เอาเข้าจริง ทำไมเราไม่มีบริษัทผลิตหุ่นยนต์ ...คิดดีๆ

จากนั้น เมื่อเรามี "คน" คือ มีตัวเราที่อยากจะเริ่ม มีเพื่อนร่วมสร้างธุรกิจ และมีความรู้ในการสร้างสินค้าและบริการ คือมี "Know-How" แล้ว เราก็ต้องมี "เงิน" มาเป็นทุนเริ่มต้นของธุรกิจ ..สุดท้ายที่ประเทศไทย ผ่านยากสำหรับ ธุรกิจเกิดใหม่ คือ "ไม่มี Know-Who" หรือ พูดง่ายๆว่า คนส่วนใหญ่ไม่มี Connection หรือ เส้นสายเพียงพอ ที่จะสร้างให้ธุรกิจนั้น เกิดขึ้นมาได้จริง

ก็นี่แหละ 4 ปัจจัยที่ อยากให้ "คนรุ่นใหม่" คิดก่อนว่า เรามีข้อไหน แล้วยังขาดข้อไหน ..ก็จะพอเห็นภาพว่า เราเดินมาใกล้การสร้างธุรกิจของตัวเองแล้วหรือยัง

อนาคตผมหวังว่า เมื่อตัวผมพร้อม และ เพื่อนๆ พร้อม เราอาจรวมตัวกันเปิด Venture Capital ขึ้นมา และ สนับสนุนในเรื่องของ "เงิน" และ "Know-Who" ...ซึ่งถ้าจะมองให้ Make Sense ผมอาจเริ่มจาก การใช้ "Know-Who" หรือ ให้ Connection ก่อนก็น่าจะทำได้

เพราะยกตัวอย่าง ในวงการนักลงทุน ผมในฐานะผู้บริหารคนหนึ่งของหลักทรัพย์บัวหลวง , ผู้ร่วมเป็นแกนนำในชุมชนนักลงทุนรายย่อยขนาดใหญ่อย่าง Stock2morrow -- ก็ย่อมมี Connection ที่มากกว่า คนรุ่นใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาในตลาดนี้ และ จุดนี้เอง การที่ผมใช้โอกาส ที่ผมมี "ให้โอกาส" กับคนที่มีความสามารถ มันก็เท่ากับว่า ผมได้ Leverage Connection ของผม ให้กับคนอื่น เพื่อสร้างสินค้าและบริการใหม่ๆ ขึ้นมา ..จะเห็นได้ว่า ผมแทบไม่ต้องเหนื่อยขึ้น หรือ ลงทุนเพิ่ม ...แต่ผมก็สามารถเอา Connection มาใช้ "ต่อยอดทางโอกาส" ...และเรื่องของ การ Leverage โอกาส ก็เป็นอีกมุมมองที่น่าสนใจมิใช่น้อย ที่สามารถเปลี่ยนโอกาสสร้างเงิน!!

-- ใช่ คนเราสามารถ "Leverage โอกาส" สร้างเงินได้ หากเข้าใจ Process ของมัน

วันก่อนผมได้พบกับผู้บริหารของ INTUCH ...เลยได้รู้ว่าองค์กรอย่าง INTUCH ก็เริ่มก้าวเข้ามา สร้าง Venture Capital โดยกันเงิน 200 ล้านบาท มาวางเอาไว้ ...ก็คือ มี "เงิน" -- อย่างไรก็ตาม ต้องคิดให้ดีครับ สำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ใฝ่ฝันอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง ต้องเริ่มจากมี ปัจจัยเริ่มต้น 4 ข้อนี้ให้ได้ก่อน แล้วค่อยๆ เดิน

....ก็ขอเอาใจช่วยครับ!!

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"เผยไต๋ คนรวย ...เฮ้!! ผมรวย ไม่พึ่งโชค!!" ....นั่นพี่โชค บุลกุล เขารวยไม่พึ่งโชค แล้วเราล่ะ


วันนี้ กำลัง ขับรถอยู่ ...ตู๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ... LINE ดัง ...แล้ว ภาพนี้ ก็ผุดขึ้นมาใน iPhone ของผม
"พี่หมอ ส่งมา บอกว่า ...เฮ้!! แพ้ท พี่ว่าเราเขียวทุกข้อเลย"

"อะไรอ่ะ!!"

"ดู Picture ที่พี่ส่งดิ ..พี่ว่านาย อยู่ในโซนเขียวนะ!!"

มาดูทีละข้อ ...จริง หรือ !!

ข้อหนึ่ง คนรวยคิดการใหญ่ ...คนจนคิดการเล็ก ...งั้นต้องคิดการใหญ่ ...เปลี่ยนโลก เปลี่ยนประเทศ ...เปลี่ยน Change แบบ Obama ...555

ข้อ สอง คนรวย "ฉันกุมชะตาชีวิตตัวเอง" ...คนจน "ชีวิตฉันถูกลิขิตให้เป็นแบบนี้" ...ฮึม!! อันนี้ขึ้นกับ Cycle ของชีวิต ถ้าขาขึ้น ใช่!! ถึงจุดนี้ได้ ผมมาด้วยฝีมือตัวเอง ...แต่ถ้า Cycle ขาลง ..อ๋อ ..ผมโชคไม่ดี ...ช่วงไหน "ขาลง" จะไปดูหมอ ค่อนข้างบ่อย(หมอดู รวย) ..คือ หวังว่า "ลายมือ" จะเปลี่ยนนะ ...555

ข้อสาม คนรวย "มองทุกอย่างเป็นโอกาส" ...คนจน "มองทุกอย่างเป็นอุปสรรค" ...ฮึม!! เห็นด้วย อะไรยากๆ ชอบ ..ในวิกฤต คนอื่นเครียด เรามองหาหุ้นดีลงทุน..555 ...คนอื่นบอกหุ้นกลุ่มไหนแย่ เรารีบควานหาหุ้นรายตัวเลยว่า จะมีตัวไหนดี เพราะไม่มีอะไรแย่ทั้งหมดหรอก ..."มันต้องมีดี ในแย่ ..." -- เออ++ จริง คิดบวกแล้ว เห็นแต่โอกาสจริงๆ สุดยอดเลย

ข้อสี่ คนรวย "เลือกรับเงินตามผลงาน" ..คนจน "เลือกรับเงินตามเวลาที่ทำ" ...ต้องดูว่า เราทำงานตามเวลา "ขายเวลา + สุขภาพ" แลกเงิน ...เงินเข้าตามปริมาณงานที่ทำ ...งั้นต้อง ติสด์แตก เป็นศิลปิน สร้างผลงาน ขายตามคุณค่าของงานที่สร้าง ..จ๊าก!! (นายครับ!! ผมจะไม่เข้างานตามเวลา ...ผมจะขายความสามารถ นายจงวัดผลงานผม จากเนื้องานที่ผมทำนะ Let Result Speak  ...เออ!! เจอแบบนี้ก็คงมันส์ไม่น้อย -- เอากับมันดิ..555)

ข้อห้า คนรวย "สนใจรายได้จากทรัพย์สิน" ...คนจน "สนใจรายได้จากการทำงาน" ...ฮึม!! เห็นด้วย เงินที่ดีต้อง Passive Income ...รายได้เกิดจากเงินปันผล ที่เข้ามาให้เราทุกครึ่งปี เงินมาเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร "เทพ!!" ..."ถือหุ้นที่ดี เหมือนมีเครื่องผลิตเงินส่วนตัว คือ เสมือนมีคนเก่ง อีก 10,000 คนในองค์กร ทำงานหนัก เพื่อสร้างกำไรให้ธุรกิจ เพื่อปลายปี จะได้มีปันผล มาให้เรา..เยี่ยมจริง!!"

ข้อหก คนรวย "เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา" ..คนจน "รู้สึกว่าตัวเองทำได้แค่นี้"... อันนี้ จริงนะ ...ต้องอ่านหนังสือ แล้ว เดินทางให้เยอะๆ ดังคำพูดที่ว่า "หนังสือคือ หน้าต่างแห่งโอกาส -- บ้านที่ไม่มีหนังสือ ก็เป็นเหมือนห้องที่ไม่มีหน้าต่าง!!" -- ไปซื้อหนังสือ "แกะรอยหยักสมอง กับ คลินิกหุ้นมือใหม่ มาอ่าน ...มันเยี่ยมจริงๆ..อิ อิ"

ข้อ เจ็ด คนรวย "ทำงานเพราะรัก เป็นปัจจัยหลัก" ...คนจน "ทำงานเพราะเงิน เป็นปัจจัยหลัก" ...ข้อนี้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจนะ ...ดันตั้งเป้าหมายชีวิต เป็นเงิน ...พอเอาเงินตั้ง ก็เลยต้องทำงานเพื่อเงิน เลยไม่เคยได้เงิน เพราะ คิดแบบคนจน ...คนรวยต้องตั้งเป้าที่งาน เพราะ ถ้าทำงานได้ดี เดี๋ยวเงินก็เข้ามาเอง

"ผมจะเปลี่ยนโลก ด้วยการสร้าง Search Engine ที่ดีที่สุด" ...กล่าวโดย Larry Page ผู้ก่อตั้ง Google ... "มุ่งเปลี่ยนโลก โดยสร้างเครื่องมือค้นหาข้อมูลที่ดีที่สุดในโลก ...ให้ทุกคนในโลก หาข้อมูลได้ดีขึ้น -- งานเปลี่ยนโลก ..อ่ะนะ ก็เลยรวยสุดๆ เพราะ ไม่ได้ตั้งเป้าหมายเป็น เงิน !!"

ฮึม!! น่าสนใจ ..ลองดูว่า เรามีกี่ข้อแล้ว ...พยายามเข้าครับ เปลี่ยนทีละข้อ ...ก่อนลาออกจากงาน ..ใช่ๆ อย่าเพิ่งลาออกจากงานนะครับ ทำข้ออื่นๆ ให้ได้ก่อน

...โย่ว!! นี่หรือ คือการรวยไม่พึ่งโชค เพราะเราพึ่งตัวเองไง -- ชีวิตออกแบบได้ ..."จัดเลย!!"


วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"ลูกชาวนา" ก็รวยได้ หากได้รับ "พลังเต่าสะท้านฟ้า"

พูดถึงประเด็นใครๆ ก็รวยได้ คงยังเป็นฝันในเมืองไทย ...ที่เรายังห่างไกล Silicon Valley ในอเมริกามากนัก ...ของไทย เราคนรวย หรือ ทำธุรกิจ ต้องมี หนึ่ง บ้านรวยอยู่แล้ว สอง มี Connection ที่ดี และ สาม เขาก็จะไม่เปิดโอกาสตรงนี้ ให้คนอื่นๆ ... "จงทำงานหนัก ...ขาย เวลา และ สุขภาพ เพื่อความร่ำรวยของ นายทุน...ฮ่า ฮ่า" (โคตรแบ่งชนชั้นเลย ...แต่ทำไงได้ล่ะ ที่นี่เมืองไทย) ...ลองอ่านเรื่องของ Chamath Palihapitiya คนนี้ดู ... "เขาเกิดในครอบครัวที่ยากจน!!"


อ่านไปเจอเรื่องที่น่าสนใจของ ชายผู้นี้ Chamath Palihapitiya (แน่นอน !! แค่ชื่อก็หนาวกันแล้ว เพราะ อ่านไม่ออก...555) ...เขาเป็น Young Rich ที่รวยจากการเป็นหนึ่งในผู้เริ่มต้น และผู้บริหารของ Facebook ...ที่น่าสนใจคือ เขาเป็นเด็กที่เกิดในครอบค
รัวที่อพยพมาจากศริลังกา และ ยากจน มาตั้งแต่เด็ก ...ตัวเขาได้รับ การ Support จากรัฐบาล แบบช่วยเหลือแนวค่ายอพยพช่วยเหลือในแคนาดา ...จุดเปลี่ยนคือ เขาได้เรียน วิศวะ และ ผันตัวเข้ามาทำบริษัท IT ด้วยความฝันตั้งแต่เด็กว่า "กรูอยากรวย เหมือนคนใน Forbes Billionaire List ที่เขาชอบดู List ของเศรษฐี ตั้งแต่เขายังเด็ก" (จากครอบครัวที่ยากจน ไต่เต้าด้วยตัวเองจนรวย ...ไม่ธรรมดา) ..วันนี้เขาผันตัวเอาเงินที่ได้จาก Facebook มาเปิด Venture Capital แล้วดึงคนระดับเทพ อย่าง Sean Parker (หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Facebook ที่ในหนัง แสดงโดย จัสติน ทิมเบอร์เลค) Peter Thiel (นักลงทุนระดับตำนาน ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal และ บริษัทอีกมากมายใน Silicon Valley) ...การผันตัวจากเศรษฐี Young Rich ของ Chamath เป็นมุมที่น่าสนใจไม่น้อย ...เขาให้สัมภาษณ์ลงหนังสือ Businessweek ถึงมุมมองที่น่าสนใจว่า "กิจการระดับโลก ไม่จำเป็นต้องสร้างจากบริษัทใหญ่ๆ ด้วยเงินเยอะๆ ..เพราะ สิ่งที่เขาเห็นมาจาก Facebook ก็คือ คนไม่กี่คน บวกกับความฝันที่เปลี่ยนโลก มารวมตัวกัน มันก็สร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้ร่วมก่อตั้ง และ เปลี่ยนโลกจริงๆ" ...และ การใช้ Connection + Money ที่เขามี รวมกับคนรุ่นใหม่ ที่อยาก "รวย" และ "เปลี่ยนโลก" ...นั่นแหละ ที่มาของการให้เงินเด็กๆ ในโรงรถ ที่วันนึง จะกลายเป็น Bill Gates และ Steve Jobs ..."ผมอ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึก ถึงพลังของ Start-up ที่เกิดใน Silicon Valley ซึ่งถ้ามองเมืองไทย ...เราไม่เห็นภาพนั้นเลย ..มีแต่ภาพของบริษัทใหญ่ที่กินรวบ หรือ ไม่ก็ Start-up ที่เกิดในร่มของบริษัทใหญ่ และ สุดท้ายคนที่ได้ทุกอย่างคือ เจ้าของเงิน ...ส่วนเจ้าของ Idea ก็คือ ลูกจ้างคนนึง แค่นั้น!!" ...ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ หวังว่าวันนึง ประเทศเราจะมี Silicon Valley + Venture Capital (ไทยๆ) สถานที่รวมพลังของคนรุ่นใหม่ ที่ประสบความสำเร็จในเมืองไทย รวมตัวกัน เพื่อช่วย Fund บริษัทรุ่นใหม่ ต่อๆไป จนเป็นชุมชนของ Start-up Company ที่สร้างบริษัทที่เปลี่ยนโลก สร้างเศรษฐีหนุ่มของเมืองไทย ที่สร้างจากความสามารถจริงๆ ...จากที่ไหนสักแห่งนึงในเมืองไทย ...โย่ว!!




คนหนุ่มกลุ่มนี้แหละ ที่รวมตัว รวมเงิน รวมสมอง และ รวม Connection เปิด Venture Capital ที่ชื่อ Social+Capital Partner

...เอ๊ะ!! จริงๆ แล้ว S2M ก็น่าจะทำได้นี่ ตอนนี้มี Investor Club แห่งใหม่แล้ว ที่ Silom Complex ชั้น 17 ... "เดี๋ยวไปคุย กับ ป๋ากิ้งดีกว่า...555"

Trader & Investor Venture Capital ...อิ อิ




วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

วัดอุณหภูมิตลาดหุ้นไทย "ในวันนี้ใครๆเริ่มเสียว"



มีคนกล่าววลีเด็ดในการเมืองว่า "ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร" ...จริงๆ คงไม่ใช่ กับการเมืองอย่างเดียว แต่มันใช้ได้ในวงการนักลงทุนในหุ้นด้วยเช่นกัน ..ประมาณอารมณ์ว่า "ความเจ็บปวดในอดีต อย่าเอามาเป็นอารมณ์ในปัจจุบัน ...เพราะมันจะทำให้ผิดแล้ว ผิดอีก ผิดตลอด จน งง -- เพราะ อารมณ์เราครอบงำเหตุผล!!"

มาดูหุ้นใหญ่ อย่าง "พี่ปอ" กันบ้าง หลังจาก "ปรับฐาน" ทำหน้าตาขี้เหร่มานานพอสมควร ...ก็อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า ถ้า "พลังงาน" ขี้เหร่ ตลาด SET ก็ยากที่จะขึ้น เพราะน้ำหนักของหุ้นพลังงานใหญ่มากมาย (ใหญ่แค่ไหน ลองเอายอดขาย PTT ที่ปีนี้จะปาเข้าไป 3 ล้านล้านบาท เทียบกับ GDP ซึ่งเป็นรายได้ของทุกคนและทุกกิจการทั้งประเทศรวมกัน ที่ 10 ล้านล้านบาท ...แปลว่า "พี่ปอ" ตัวแม่ อันเดียวก็ใหญ่ถึง 30% ของการบริโภคทั้งประเทศ .."เห็นภาพความใหญ่ กันหรือยังครับ.. โอ๊ว!! แม่เจ้า ...ปีนี้ลดภาษีเข้าไป บริษัทใหญ่ๆ กำไรบานแบะ ...ค่าแรงขั้นต่ำ ก็ไม่กระทบ ..ดีซะอีก คนมีเงินจะได้ซื้อมอเตอร์ไซค์ใช้น้ำมันกันเข้าไป ..ภัยธรรมชาติก็เยอะ ผลิตผลการเกษตร ก็มีแต่แนวโน้มขึ้นราคา ข้าวของก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ ..ประชากรเอเชียเกินครึ่งโลก กำลังรวยขึ้น เงินไม่เฟ้อในอนาคต ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว...พื้นฐานเรื่องนึง ราคาดันวิ่งอีกทาง ..จริงๆ ผมว่า เราต้องคิดให้แน่ว่า เราอยากเป็นนักลงทุนแบบไหน และอยากทำกำไรจากภาพไหน ...ภาพเล็ก ภาพกลาง หรือ ภาพใหญ่ )

มาในมุม "ฝรั่ง" ..เราก็รู้กันว่า คนที่ชี้ทิศทางการขึ้นลงของตลาดหุ้นได้แบบสั่งขึ้นลง ก็คือ "ฝรั่ง (Fund Flow)" ถ้าเขาระดมเข้า ก็หลับตาเห็นได้เลยว่า ตลาดขึ้นชัวร์ ...หรือ ถ้าเขาขาย ก็ ตัวใครตัวมัน -- นั่นเป็นภาพที่เกิดขึ้น ..แต่ประเด็นคือ ด้วยเม็ดเงินที่ใหญ่ของฝรั่งเขาก็เข้าได้แต่ Blue Chip อย่าง พลังงาน หรือ ธนาคารใหญ่ๆ นี่แหละ เป็นสำคัญ

อ้าว!! คำถามเกิดขึ้น ..."แล้วหุ้นตัวเล็กๆ น้อยๆ ล่ะ ...ที่พุ่งกระฉูด กันมาก่อนหน้านี้ ทำเอาหลายๆ คนคึกคัก ๆ ..." ก็อ่ะนะ ...ถ้าฝรั่งไม่เข้า ก็ต้อง ไม่ใช่ฝรั่งไง ...ก็พวก ท่านๆ อะไรประมาณนั้น ...ก็เล่นได้ มิได้ห้าม แต่ควรเข้าใจว่า "เจ้า" เขานิสัยอย่างไร ...ลักษณะการเล่นแบบไหน ...แล้วเรา "จำกัดความเสี่ยงให้เป็น" ...อย่าง Trader เก่งๆ หลายๆคน เขาไม่เคยกลัว "เจ้า" เลย ...เขาไม่สนหรอกว่า ใครจะเป็นเจ้า เพราะ ยังไง ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้า อาจจะมีคนเดียวหรือ กลุ่มคน ...พวกนี้เงินใหญ่ ..ดังนั้น การเข้าออก เราอ่านได้ด้วย Technical แนวรับแนวต้าน ...อ่านปั๊บ ก็รู้ต้นทุนเจ้า ...ไม่เห็นยากเลย​... พอเข้าใจเราก็รู้แล้วว่า ความเสี่ยงเราอยู่ตรงไหน .."แต่เอาเข้าจริงนะ ...คนส่วนใหญ่มั่ว แล้วโดนหลอกกระจาย" -- ก็ตรงนี้ใครเล่นแนวไหน ก็ทำการบ้านให้รู้เรื่อง ...แต่โดนบ้างก็ ถือว่า "ค่าเรียนไง" ...แต่เจ็บแล้ว จำ นะครับ ...ถึงจะรวย!! ...ตลาดหุ้นจริงๆ ถ้าพูดกันจริงๆ น่ะ มันเรียนจาก "เลือด" คือ เรียนจากประสบการณ์ ..คนที่อยู่รอดในตลาดจริงๆ ไม่มีหรอกครับ "รวยข้ามคืน" ...เพราะถ้ามันรวยข้ามคืนจริง เดี๋ยวอีกคืน มันก็คืนหมด ... ดังนั้น ส่วนสำคัญที่สุดคือ การเก็บเกียวประสบการณ์ ..เงินหาได้ง่าย ก็ไปง่าย ..แต่ถ้ารู้จักวิธีหา และ จำกัดความเสี่ยง ...ก็จะสร้างความมั่งคั่งได้จริง

นอกเรื่องไป ...กลับมาดู "พี่ PTT" วันนี้ เริ่มมีสัญญาณ การ Break ขึ้นมาในภาพเล็ก ... ไอ้เรื่อง Technical นี่วันนี้ รายใหญ่ รายเล็ก เขาใช้ประกอบการดูหมด ...ดังนั้น สิ่งที่เห็น ก็คือ "ราคา" คุณเห็นเหมือนกันหมด ..แต่สิ่งที่ต่างคือ การตัดสินใจ เพราะ แต่ละคน ไม่มีใครมองเหมือนกัน ... อย่างนัก Technical ..การ Break ขึ้นมาจะลุแนวต้าน ...เขาก็มาดูแนวรับ ว่าจุดไหนน่าจะเป็นแนวรับ ถ้ารับอยู่ก็แปลง่ายๆ ว่า "กระแสน้ำขาขึ้นรอบนี้ ก็น่าจะขึ้นต่อไป" (มองการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นเหมือนน้ำ ...ก็จะเข้าใจ Technical ได้ไม่ยาก"

....คุณลองอ่าน Chart แล้ว ทำการบ้านซิครับ ...ลองคิดดูว่า ตรงไหนที่ Break แล้วเราจะซื้อ ...พอซื้อแล้ว ต้องเผื่อ room ให้ราคาเคลื่อนไหว ...โดย เราต้องจำกัดความเสี่ยง คือ วาง Stop Loss เอาไว้ ..อย่างในภาพนี้ ผมวาง Stop Loss ไว้ที่เส้น Trendline สีแดง เลย ...ถ้าไม่หลุด ก็ขึ้นต่อ ...ถ้าหลุดก็ Cut Loss ...ประเด็นการ Trade หุ้น ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพราะสิ่งที่ยากคือ วินัย นั่นเอง !!




วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

คำภีร์ "ทุนนิยม" แบบย่อส่วน !!


ประเด็นนี้เป็น Fact ที่โหดร้ายนะ ..เรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีที่สุดก็คือ “สงครามนั้นเอง” 
...โลกเราเจริญสุดขีด ก็หลังสงครามโลกครั้งที่สองที่แหละ ...จากนั้นเป็นต้นมา อเมริกาขึ้นมาเป็นพี่ใหญ่ พร้อมกับสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่เรียกว่า “ทุนนิยม” ..โดยทุกประเทศอิงความเจริญของอเมริกาเป็นแบบอย่าง 

...ระบอบทุนนิยมนี้ คือ เน้นการบริโภคให้มาก ยิ่งมากแปลว่า ยิ่งเจริญ ...มันตีค่าออกมาเป็น GDP ต่อหัวที่เพิ่มขึ้น ...พูดง่ายๆ ว่า ถ้า GDP ต่อหัวเพิ่ม ย่อมเท่ากับ คนแต่ละคนมีเงินในกระเป๋าตัวเอง มากขึ้นพอที่จะใช้จ่ายให้เศรษฐกิจหมุนไปเรื่อยๆ 

...ระบบนี้ มันอยู่คู่กับเงินเฟ้อ เพราะที่เรารู้กันคือ ทรัพยากรในโลก มีจำกัด แต่เงินพิมพ์ได้ไม่จำกัด ..การทำให้คนรวยขึ้น และ บริโภคมากขึ้น ก็คือ การทำให้ทรัพยากรขาดแคลนลงไปเรื่อยๆ 

..นั่งหลับตาก็รู้ว่า ค่าครองชีพในอนาคตจะแพงขึ้นขนาดไหน 


... พูดง่ายๆ ว่า ตราบใดที่เรายังใช้ระบบทุนนิยม ...ค่าครองชีพ และ เงินเฟ้อก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ ...คนที่จะรวยคือ คนที่ออมเงินใน Asset เช่น ซื้อที่ดิน ซื้อหุ้น ซื้อของที่จำกัด ...แล้วถือ ..แต่คนที่จนลงคือ คนที่เก็บเงินสด 

--- ผมว่าเราต้องสร้างความรู้ให้กับคนรุ่นใหม่ ให้รู้เท่าทันเกมของทุนนิยม ไม่งั้น เขาจะเป็นทาสของระบบ ... “ทำงานหนักแต่ยิ่งจน” -- คนเหล่านี้ ไม่ใช่เขาไม่เก่ง เขาเพียงแต่น่าสงสาร เพราะเขาไม่รู้เท่าทันเกมของระบบทุนนิยมก็เท่านั้นเอง!!


จริงๆ แล้ว ผมว่า "ทุนนิยม" มันไม่ได้น่ากลัว หากเราเข้าใจกลไกของมัน ... อย่างกลุ่มนักลงทุนเรา หากเรารู้จักคำว่า Cycle แล้ว ลงทุนได้ถูกจังหวะ มันมีเวลาให้เราเหลือเฟือในการตัดสินใจ "รวย(ในเงินลงทุนของเราแบบเพียงพอ)"..อย่างเช่นปี 1997 และ ปี 20
08 ผมว่า นักลงทุนหลายๆคน สามารถเอาชนะเหล่า Economic Hitman ได้อย่างสบาย 

...จริงๆ แล้วหัวใจของ "ทุนนิยม" และ การสร้างความมั่งคั่งคือ เข้าใจว่า Asset มันคือ Key ..ส่วน "เงินสด" มันเป็นเสมือน"เบ็ดตกเงิน" เอาไว้เกี่ยว Asset ในเวลาที่เหมาะสม 

-- "เงินสด จะมีประโยชน์ ต่อเมื่อมันได้ถูกเปลี่ยนเป็น Asset ในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น!! ...และเวลาที่เหมาะสมก็คือ เวลาที่คนส่วนใหญ่แห่ขาย Asset (ซึ่งก็คือ เวลาที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจนั่นเอง)" 

...หลักการสำคัญของการเป็นนักลงทุน คือ Content คือ "พอเพียง" แต่ไม่ยึดติด ...เงินที่สร้างความมั่งคั่งให้เราสูงสุด คือ เงินที่เราตัดออกจากชีวิตเราได้ 

กลไกที่แยบยล ของการต่อสู้ คือ "สภาพคล่อง" ช่วงปี 2008 เราเห็นอเมริกาแทบตายเพราะ สภาพคล่อง หรือ Liquidity นั่นแหละ ..."ตอนนี้จริงๆ มันเป็นเวลาที่ เอเชียเรา(มีสภาพคล่องสูง) เราต้องออกล่า Asset ของอเมริกา และ ยุโรป ...แต่หลักการสำคัญคือ Value ...นั่นคือ มูลค่าที่ซื้อต้องเหมาะสม และ Asset นั้นๆ ต้องมีนัยยะทางเศรษฐกิจ เช่น หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่คนอเมริกาและยุโรปต้องกินต้องใช้ อะไรก็ได้ที่เป็นยุทธศาสตร์ทางการบริโภคของมนุษย์ 

...ตอนนี้บริษัทไทยหลายๆ บริษัทเริ่มเห็นแนวทางนั้น ...ต้องลุ้นเอาใจช่วย!! -- New !! Asia Ecomonic Hitman 

..."จริง ๆ เราอยู่ในสงครามนะเนี่ย หากใครเข้าใจ ..แต่มันเป็นสงครามเศรษฐกิจ!!"



วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อีกมุมมองที่น่าสนใจ จาก CEO ใหญ่เมืองไทย


 "รายการแกะรอยหุ้น" ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ หัวเรือใหญ่ของกลุ่ม INTUCH ...อย่างคุณ สมประสงค์ ..แน่นอน สิ่งที่ได้ย่อมไม่ธรรมดา

ประเด็นที่ทำให้ผมสนใจมากคือ "ปันผลแบบ 100% อย่าง ADVANC แล้วอย่างนี้กิจการจะโตได้หรือ!!"

คำตอบที่คุณ สมประสงค์ ตอบมาคือ "ไม่เกี่ยว มันคนละประเด็น จากที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ...ประเด็นนี้เขา Challenge ความคิดของนักธุรกิจส่วนใหญ่มาตั้งนานแล้ว ที่มองว่า ปันผลเยอะๆ แล้วกิจการไม่โต เขาบอกว่า ปันผลเยอะ มันคือการดูแลผู้ถือหุ้น ...ส่วนกำไร หรือ ธุรกิจ จะโต ไม่โต มันอยู่ที่การบริหาร -- ธุรกิจดี กู้ได้ ..และ การ Financing จากเงินกู้ มันทำให้ ROE ดี ...และ นั่นคือ สิ่งที่นักลงทุนต้องการไม่ใช่หรือ!!"

"ป๊าบ!! โดน เข้าให้เต็มๆ"

เออ++ จริงครับ ... นึกว่าจะมีแต่ฝรั่งที่คิดแบบนี้ ...ผมน่ะอยากเห็น ผู้นำธุรกิจแนวนี้แหละ สะใจนักลงทุน ...รูปแบบการคิดแบบนี้ จริงๆ Private Equity เกือบทุกแห่ง เขาทำอยู่ แต่มันเป็น แนวคิดใหม่ ที่ใช้หนี้ เข้ามาสร้างผลกำไร ...ซึ่งอย่างอเมริกา เหล่า Private Equity จะออกล่า ธุรกิจที่โตได้ หนี้ต่ำ Cash Flow ดี ..ซึ่งโดยมากธุรกิจเหล่านี้ "โตน้อย เพราะเจ้าของ Conservative" หลักการคือ Private Equity เหล่านี้ก็ กู้ซื้อกิจการ แล้ว Load หนี้ ใส่เข้าบริษัท ..จากนั้นก็ขยายเชิงลุก ซึ่งถ้าทำได้ ROE  (Return in Equity) จะสวยมาก

อย่าง Warren Buffet มักล่าวว่า ธุรกิจที่เขาสนใจ ควรมี ROE ที่โตอย่างน้อย 15% ต่อเนื่อง -- ลองดูหุ้นบ้านเราตอนนี้ มีเยอะมาก ...แถมที่แจ๋วกว่านั้น คือ "ปันผล" ...มันเป็นอีกเด้ง แห่งผลประโยชน์ที่ นักลงทุนจะได้รับ

ใครพลาดชม ..รอชมได้ทาง YouTube นะครับ กับ "รายการแกะรอยหุ้น" ทุกวันพุธ 3 ทุ่มตรง ช่อง Money Channel ...

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อีกด้านของ "เหรียญ" มีก้อย อยู่ตรงข้ามหัว





เมื่อวันก่อน ผมได้มีโอกาสไปออกรายการวิทยุ Business Line & Life ของคุณม่อน .. มีคนสัมภาษณ์ผมเป็น คนหนุ่มรุ่นใหม่ ทายาทกลุ่ม ธุรกิจใหญ่แห่งนึง  ...

ชายหนุ่มกล่าว "พี่แพ้ทนั่นเอง... ผมเล่นหุ้นมาสี่ปีแล้ว ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย -- เริ่มจาก แม่ผมหยิบหนังสือเล่มนึง มาให้ผมอ่าน เมื่อสี่ปีที่แล้ว ..."แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" ...การลงทุนผมกำไรมาตลอด จนมาเล่น Futures -- ก็คืนกำไรไปพอสมควร แต่วันนี้ผมเริ่มเข้าใจมันมากขึ้น ..ผมไม่ได้หยุดนะ เพราะมันเป็น Process ของการเรียนรู้"

ครับ !! น้องคนนี้ เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ ..ที่เพิ่งจบการศึกษามาหมาดๆ ดีกรี นิสิตจุฬา ที่เพิ่งผ่านการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในปีสุดท้ายในต่างประเทศ ก่อนเริ่มเข้าสู่ตลาดการทำงานจริง --- ประเด็นที่เขาสนใจถามผมเป็นอย่างมาก คือ "การหาจุดยืนของตัวเอง ... ผมอยากยืนด้วยขาของผมเองได้ครับ คือ สำเร็จด้วยตัวของเขาเอง!!"

น้องเขายิงคำถามนึงมาที่ผม ซึ่งผมว่าน่าสนใจ "พี่หาโอกาส อย่างไร ... เพราะปัจจุบัน ผมมองไปทางไหน มันก็มีแต่วิกฤต และอะไรๆ ก็มีคนทำหมดแล้ว ...มันยากจริงๆ สำหรับคนรุ่นใหม่"

ผมก็บอกเขาไปว่า "จริงๆ ไม่ใช่หรอก ...ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การทำธุรกิจ และ การหาโอกาส มันยากอย่างไร วันนี้มันก็ยากเหมือนเดิม ...คนส่วนใหญ่ ชอบเอาอดีตมาพูด แล้วมองย้อนกลับไป ...แน่นอน !! พอเราเอาอดีตมาพูด เราก็มองว่า คนสมัยก่อนทำธุรกิจง่าย เพราะโอกาสมันมีเต็มไปหมด แต่ลืมนึกไปว่า จริงๆ สภาพแวดล้อมในอดีต มันก็ยากกว่าปัจจุบัน ...บอกตรงๆ ถ้าอยากได้ อารมณ์การทำธุรกิจในอดีต ลองบินไปพม่าซิ หรือ ลองไปเที่ยวต่างจังหวัด เอาจังหวัดที่ยังไม่ค่อยเจริญ ...ถามจริงๆ นะ เราอาจจะมองว่า โอกาสมันเยอะ เพราะมันไม่มีอะไร แต่ประเด็นคือ คุณต้องสร้าง Demand หรือ ความต้องการเริ่มจากศูนย์นะ -- ซึ่งตรงนี้บอกตรงๆ ไม่ง่าย ...มันก็เหมือนกรุงเทพตอนนี้ หลายๆคนมองว่า มันหมดโอกาสแล้ว เพราะธุรกิจที่คิดว่า มันน่าจะเปิด มันก็มีหมดแล้วใช่ไหม" ... จริงๆ คิดดีๆ วันนี้การทำธุรกิจส่วนตัว มันยิ่งง่ายกว่าในอดีตเสียอีก

การจะเปิดกิจการสักแห่งในปัจจุบัน เราใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่าในอดีต ...ยกตัวอย่าง การทำอะไรสักอย่างในวันนี้ มีคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ก็เปิดธุรกิจได้แล้ว ...ใช้ Facebook เป็นหน้าร้าน ใช้ธนาคารเป็นฝ่ายเก็บเงิน และ ก็ใช้ร้านกาแฟเป็นสถานที่ทำงาน

"แต่พี่ครับ!! มันเป็นธุรกิจเล็กๆ จะไปได้เรื่องอะไร"

เดี๋ยวก่อน "คิดให้ถูกนะ" ...ธุรกิจใหญ่ๆ ในปัจจุบัน มันเริ่มจากเล็กๆ ในอดีตทั้งนั้นแหละ ...อย่าง facebook หรือ Google เองก็เริ่มจากคนไม่กี่คน ...ธุรกิจมันไม่ได้เริ่มที่ขนาด แต่มันเริ่มที่ "มุมมอง"

เอ๊ะ!! มุมมอง ยังไงครับพี่

ก็คิดง่ายๆ ปัจจุบัน น้องบอกว่า มีแต่วิกฤต นั่นหมายความว่า มันมีความเปลี่ยนแปลงในทุกๆอุตสาหกรรม ...ตั้งแต่ธุรกิจเพลง สื่อ บันเทิง ยัน ค้าปลีก ..ลองคิดดีๆ ซิ เวลานี้ โครงสร้างการทำเงินของธุรกิจต่างๆ มันกำลังถูกท้าทาย

ยกตัวอย่าง สมัยก่อน คนมาทำงาน ต้องซื้อหนังสือพิมพ์ แล้วนั่งอ่าน ...พอกลับบ้านก็ต้องดูละครหลังข่าว เพราะมันไม่มีอะไรให้ดู ..."บริษัทสมัยก่อน ถ้าจะเข้าถึง หรือ โฆษณา ก็ต้องโฆษณา ผ่านสื่อเหล่านั้น เม็ดเงินของอุตสาหกรรมโฆษณา ก็เลยโต เพราะมันเข้าถึงคนในอดีตเกือบ 100% ...เรียกได้ว่า ถ้า โฆษณาออกทีวี ลงหนังสือพิมพ์ ก็จะเข้าถึงคนทั้งประเทศทันที -- มันคือ One Stop ของการโปรโมรทสินค้าเลย" ...แต่ลองดูปัจจุบันซิ ถามว่า คนรุ่นใหม่อย่างคุณน่ะ หาข้อมูลผ่าน Internet ทั้งนั้น ..แม้แต่ดูละคร ยังไม่ดูตามเวลา มาดูย้อนหลังใน YouTube แทน ...ฟังเพลงก็ไม่ซื้อโหลดเอาฟรีๆ ..มือถือก็เอามาเล่น Internet ..กด Line กันมันส์ แทบไม่คุยกันแล้ว --- บริษัทสมัยนี้ การจ่ายเงินโฆษณาลงสื่อเดิม ก็เริ่มปวดหัว เพราะเม็ดเงินที่ลงไปมันแพงขึ้นไปอีก แต่การเข้าถึงคนมันลดลง "ใช่!! พี่กำลังจะชี้ว่า เดี๋ยวนี้ คนมองแต่วิกฤต ซึ่งจริงๆ ในวิกฤตมันมีโอกาสแฝงอยู่เสมอ คิดง่ายๆ ...ถ้าสื่อทางเลือกเริ่มโต เม็ดเงินโฆษณา มันก็จะกระจายมาสื่อใหม่มากขึ้น" --- แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ต้องคิดให้หนักคือ "ความคุ้ม" เพราะ การที่สื่อรุ่นใหม่ จะสู้กับสื่อเดิม มันไม่ใช่ เราไปสู้ตรงๆ เพราะ คุณไม่มีทางไปสู้กับยักษ์แบบตรงๆ เพราะคุณอาจเสียชีวิตได้

วิธีการมันคือ การมองช่องว่าง เช่น เดี๋ยวนี้ธุรกิจใหม่ๆ เขามี Segment หรือ กลุ่มลูกค้าของตัวเองที่ชัดเจน ...มองง่ายๆ นะ ธุรกิจ อย่าง Online ที่ใช้ Platform บน Internet เขารู้เลยว่า ลูกค้าเป็นใคร อายุเท่าไหร่ มีความชอบ อะไรอย่างไร ... และข้อมูลพวกนี้ เว็บต่างๆ ก็จัดให้เลยฟรีๆ ..ซึ่งถ้าเป็นธุรกิจในอดีต การจะได้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าในแบบนี้ คุณอาจต้องซื้อ Software และสร้างระบบ Computer ที่ใช้เงินมหาศาล --- "นี่แหละ ข้อได้เปรียบของคนรุ่นใหม่ ... การที่คุณเกิดมากับ Technology เราต้องรู้จักใช้ Technology ให้เป็นประโยชน์ ...ดังนั้น การทำธุรกิจของคนรุ่นใหม่ มันไม่ใช่ การไปต่อสู้ตรงๆกับธุรกิจเดิม เช่น ไปเปิดร้านอาหาร หรือ ร้านกาแฟ แล้วหวังว่าเราจะทำให้อร่อยกว่า ..มันไม่ใช่จุดเด่นในการแข่งขัน --- คิดดีๆ คนรุ่นใหม่ ต้องมองให้ลึกกว่านั้น เราได้เปรียบในเรื่องของ "ความลึกในข้อมูล" และ การใช้ Internet ในการลดต้นทุน

อย่าง Office ในปัจจุบัน แทบไม่ต้องมีก็ได้ ... ช่องทางการขาย ทำผ่าน Internet ก็ได้ ...เรียกได้ ว่า คุณไม่มีต้นทุนของ Fix cost เหมือนธุรกิจเดิมๆ ...ผมกำลังพูดถึง การสร้างธุรกิจ มันไม่ควรเริ่มจากเงิน แต่มันควรเริ่มจาก มีลูกค้าก่อน ...แล้วทดลอง Service เขาบนต้นทุนที่ต่ำกว่า ..จากนั้น เมื่อเรามีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนแล้ว ก็ค่อยสร้าง Office หรือ หน้าร้านแบบจริงจัง ทีหลังก็ยังได้

ครับ!! ทั้งหมด ที่พูดมา ผมอยากจะชี้ว่า "ผู้ประกอบการรุ่นใหม่" ต้องฉลาดใช้ Technology ในการเริ่มทดลอง Idea เพราะมันจะเป็นการทดลองด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า ...ผมยกตัวอย่างตัวเองเลย ที่สมัยก่อน ตอนเปิดร้านอาหาร ผมเริ่มจากเงิน คือ อยู่ดีๆ ก็ไปเปิดร้านอาหาร แล้วก็พยายามทำให้มันดีกว่าคนอื่น ซึ่งบอกตรงๆ มันไม่ Work หรอก เพราะ คุณกำลังแข่งขันกับ คนที่อยู่เดิม ในเกมแบบเดิม (Old Game) ... "ผมเลยแพ้ไง สุดท้ายร้านอาหารผมไปไม่รอด"

...วันนี้ การทำธุรกิจมันต้อง "คิดใหม่" (New Game) เลย ..อย่างแรกต้องมองให้ออกว่า อะไรคือ วิกฤตของธุรกิจเดิมที่มีอยู่ แล้วเรามองให้ออกว่า วิกฤตนั้น เราจะสามารถแก้ด้วย วิธีการใหม่ โดยใช้ Technology มาช่วยให้สิ่งนั้น มีต้นทุนที่ต่ำลงได้หรือไม่

yes!! --- "New Game"

"การหาโอกาส ในวิกฤตนั่นเอง" ...ฟังดูง่าย แต่บอกเลยว่า ธุรกิจปัจจุบัน ยักษ์ใหญ่ในหลายๆวงการเริ่มปรับตัวไม่ทัน เช่น หลายๆอุตสาหกรรม พฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคเปลี่ยน อย่างยกตัวอย่าง ธุรกิจเพลง วันนี้บอกได้เลยว่า อุตสาหกรรมเดิม มันเกือบตายสนิท แต่ในวิกฤตนั้นมี "เลดี้ กาก้า" ที่โผล่ขึ้นมา ทำ Live Concert ที่เริ่มจาก YouTube ด้วยซ้ำ ... หรือ แม้แต่ Justin Bieger ที่แจ้งเกิด จากเด็กหนุ่มในห้องนอน ที่สร้างตัวเอง เป็นดาวรุ่งหาเงินได้อย่างบ้าคลั่ง ท่ามกลางการล่มสลายของอุตสาหกรรมเพลง --- จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน มันคือ คนนึงเจอวิกฤต แต่อีกคนเห็นโอกาส แล้ว เอาโอกาสนั้นมาสร้างเงินแทน ...เงิน มันไม่ได้หายไป เพียงแต่มันกำลังย้ายที่ และนั่นคือ โอกาสของคนตัวเล็กๆ ที่สามารถเริ่มจากจุดเล็กๆ และ ค่อยๆทำให้มันใหญ่

ลองคิดดูครับ ... หาวิกฤต จากนั้น หาเหรียญอีกด้านให้เจอ ..ใช่!! คุณจะเจอโอกาส ...นั่นแหละ เริ่มจากตรงนั้น ..พยายามกดต้นทุนการทำธุรกิจของคุณให้ต่ำด้วย TouTube , Facebook , Google และ Tehnology ...และ นักธุรกิจดาวรุ่งคนใหม่ ในอุตสาหกรรมที่ย่ำแย่ ก็จะมีคุณ ที่โผล่ขึ้นมา --- ครับ!! คุณอาจเป็น เลดี้ กาก้า ก็ได้

.... เอาให้แรง ให้ฉีก ด้วยต้นทุนที่ต่ำ ... "ลุยครับ"

Democracy of Investment " ประชาธิปไตยทางการลงทุน"

"ประชาธิปไตยทางการลงทุน" อาจจะฟังดูแรง ...แต่คำนี้มันสะกิตผมเมื่อผมได้คุยกับ Fund Manager ท่านนึง

สิ่งที่น่าสนใจคือ Fund Manager ท่านนี้ บริหาร Port กองทุนที่ใหญ่มาก ใหญ่จนเรียกได้ว่า ซื้อหุ้นไหน หรือ ขายหุ้นไหน ก็คือ แนวรับ แนวต้านของราคาหุ้นนั้นๆ เลยทีเดียว ... "คิดง่ายๆ กองทุนที่ใหญ่ และเงินเยอะมาก เวลาซื้อแต่ละครั้ง จุดที่เขาซื้อมันกลายเป็นแนวรับได้เลย ...หรือ กระทั่งจุดที่เขาขาย ด้วยความใหญ่ มันมากพอที่จะทำจุดที่เขาขายเป็นแนวต้านที่สำคัญได้เลย ...เพราะไม่มีใครใหญ่พอที่จะรับซื้อหุ้นเขาได้หมด ดังนั้น เขาขายต้องลง ...ฮึม!! เขาซื้อต้องขึ้น" ...เอาเถอะครับ ฟังแล้ว แน่นอน สิ่งที่คุณกำลังคิด ผมก็คิดเหมือนกัน คือ โคตรอิจฉา Fund Manager ท่านนั้นจริงๆ...555

อิจฉาตรงที่เขาทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ นั่นคือ เวลาเขาซื้อมันจะขึ้นทันที เพราะเคาะซื้อเข้าไปทีพันล้าน ...แน่นอน ไม่ขึ้นก็บ้าแล้วจริงป่ะ -- เอาล่ะ ประเด็นที่น่าสนใจคือ "จริงๆ แล้วเขาไม่ได้ ได้เปรียบรายย่อยเลยนะ คิดดีๆ"

"การที่กองทุน ที่มีเงินมหาศาล มันย่อมหมายถึง ความไม่คล่องตัว ..." ...ในด้านที่เราเห็นชัดๆ แน่นอน เขามีความได้เปรียบคือ การที่เขาเงินเยอะ ก็ทำให้เขามี Inside ในหุ้นและบริษัทต่างๆ มากกว่า รายย่อย อันนี้เราปฏิเสธไม่ได้ ...เพราะ คนเหล่านี้เขาย่อมใกล้ชิดแหล่งข้อมูล มากกว่ารายย่อย ...ดังนั้น ถามว่า ถ้ารายย่อย คิดจะแข่งกับเขา โดย อาศัยข้อมูลข่าว หรือ พื้นฐาน Fundamental ...คนเหล่านี้ย่อมมีข้อมูลที่มากกว่า และ ลึกกว่า รายย่อยมากนัก

แต่!! ...แต่สิ่งที่ Fund Manager ไม่สามารถได้เปรียบรายย่อยเลยก็คือ "กราฟราคาหุ้น" ..เพราะทุกคนเห็นเหมือนกัน พร้อมกัน ...และนี่แหละที่ ทำให้ผมเห็น Competitive Edge ของรายย่อยเลยว่า ...หากเรามองเรื่อง "ประชาธิไตยทางการลงทุน" คุณต้องใช้กราฟให้เป็น ..อ่านให้ออก แล้วเรากับ Fund Manager ก็จะเริ่มกินกันไม่ลง.. สรุปคือ เรามีข้อมูลไม่เท่าเขา แต่เราก็สามารถใช้ ทั้ง Fundamental + Technical ประกอบกัน เป็น "หมัดเมา" เข้าสู้เขาได้

มาดูกัน ขำขำ


ยกตัวอย่าง คุณอาจได้ข่าวอะไรมาก็ตาม ...ซึ่งบางครั้ง "เขาเล่าว่า!!" ...เขาเล่าว่า หุ้นนี้กำลัง Inside สุดๆ อะไรก็ตามแต่ ...สิ่งที่รายย่อย ต้องเอามาคิดคือ "ถ้า Inside จริง ...กว่าข้อมูลนี้จะถึงเรา คงเป็น Outside ไปแล้ว" ...ดังนั้น ถ้าได้ยินข่าวอะไร หรือ ใครเชียร์อะไร ต้องเปิด Chart ขึ้นมาดู ก่อนที่จะเชื่อ!! ... ยกตัวอย่าง มีคนบอกหุ้นนั้นๆ จะขึ้น ... แต่ราคามันดิ่งลงเรื่อยๆ ...ถามว่า เราควรเชื่อข่าว หรือ ราคา ... ใช่!! เราก็ต้องเชื่อราคาซิครับ ...เพราะ ข่าวที่ทำให้ นักลงทุนรายย่อยเจ๊ง มากที่สุด ผมฟันธงเลยว่า คือ "ข่าว Inside" (หลายคนหมดตัว เพราะนึกว่าตัวเองมี Inside นี่ เจอมาเยอะครับ ..."หมดตัว!!")

นั่นแหละครับ เอามาแชร์กัน ... ก็ลองศึกษา การใช้ Chart อ่านข้อมูลเบื้องต้น กันได้ครับ เช่น อย่างที่เอามาให้ดู ...ผมยึดเส้น Moving Average เป็นหลัก ...เพราะ Moving Average คือ "ค่าเฉลี่ยของราคา" ..ซึ่งสิ่งที่ค่าเฉลี่ยของราคาบอกเราได้ คือ "ขาขึ้น หรือ ขาลง" ...ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ หากราคาหุ้น วิ่งอยู่เหนือค่าเฉลี่ย โอกาสที่หุนนั้นอยู่ในขาขึ้นก็สูง ดังนั้น เดาง่ายๆ ว่า โอกาสขึ้นย่อมมากกว่าลง ... ดังนั้น คนที่เล่นรอบตามราคา เขาก็จะซื้อเมื่อราคา Break เส้นค่าเฉลี่ยขึ้นมา แล้วถือตราบเท่าที่ราคายังยืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย ... จากนั้นเมื่อราคาหลุดเส้นค่าเฉลี่ย เขาก็ขายทำกำไรก่อน ...เพราะถ้าราคาหลุดค่าเฉลี่ย มันบอกเป็นนัยยะทางสถิติว่า มันอาจจะเป็นขาลง ..ดังนั้น ก็ควรขายทำกำไรก่อน 

อย่างใน Chart ตรงที่ผมใส่ตัวเลข 1 และ 2 (ที่ภาพ) มันเป็นจุดที่ ราคาเลือกข้าง ระหว่าง ขาขึ้น กับ ขาลง ตรงนี้ เราต้องเฝ้าดู จากนั้น พอราคาสามารถยืนอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย (เส้นแดง) ก็แปลว่า มันขึ้น ..เราก็สามารถซื้อตาม แล้วถือ Let Profit Run ..จากนั้น ก็ถือไปจนกว่าราคาจะหลุดเส้นค่าเฉลี่ย -- จากนั้น จะเห็นได้ว่า "มันหลุด" -- จุดนั้นก็ขายทำกำไร ..จะเห็นได้ว่า ได้กำไรนิดหน่อย (แต่ก็กำไรจริงไหม) ...หลักการคือ ซื้อเมื่อมันขึ้นแล้ว แล้วก็ขายเมื่อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ...มันคือ สถิติ บวกกับ ความน่าจะเป็น นั่นเอง

จริงๆ การ Trade มันไม่ใช่การทำกำไรสุดโต่ง เหมือนที่หลายคนคิด ...เพียงแต่การ Trade มันสามารถ วิ่งรอบของเงินได้หลายรอบ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จถึงรวยค่อนข้างมาก .. "มันคือ การค่อยๆรวย แล้วก็สะสมความรวยไปเรื่อยๆ จนรวยมากๆ ในที่สุด นั่นเอง!!"

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ