แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

ต้อนรับ "คุณ Zap" พิธีกรหนุ่มไฟแรงจาก Money Channel



วันนี้ S2M ได้ต้อนรับ Money Channel อีกครั้ง "คราวนี้ คุณ Zap จาก New Update!!"
ออกอากาศที่ : " News Update ออกอากาศช่อง Money Channel วันที่ 6 เมษายน 2554 เวลา 12.30-13.00 น. "

สกัดเนื้อหามา ฮา กันก่อนเลย..อิ อิ

Zap : คุณดังมากนะตอนนี้ ผมไปตลาด เขาลือกันให้แซด แซด แซด z z z ..แต่ระวังดับถ้าตอบคำถามนี้ได้ไม่ดี ... "คุณ แพ้ท ...เข้าสู่การลงทุนได้อย่างไร"

Pat : เงินเฟ้อมันพาผมมา.. เร่ิมจาก อเมริกัน และ แบงค์ชาติทั่วโลกเริ่มปั๊มเงินเข้าระบบแหละครับ -- ช่วงนั้นลือกันให้แซด ว่าเงินฝืด .."ผมฟังแล้ว งง เพิ่ม Supply เงินอย่างมหาศาล แล้วมันจะฝืดได้อย่างไร"..ผ่านมา 2 ปี ...ตอนนี้เราทุกคนรู้แล้วว่า "เงินเฟ้อ" ---มันเริ่มไม่ใช่สิ่งไกลตัวอีกต่อไป ..มันกำลังคุกครามมาถึง บัญชีเงินฝากของเราทุกคนในประเทศจริงๆ มันน่ากลัวมาก!!

Zap : So how can Ya Handle it !! .."คุณรับมือมัน อย่างไร ฮาฟ!!"

Pat : ผมวิ่งเข้าหา Asset "โบราญกล่าวไว้ว่า โลกนี้ --อย่างนึงขึ้น อีกอย่างต้องลง ..เมื่อเงินลดมูลค่าลง สิ่งที่ตรงข้ามกับเงินย่อมเพิ่มมูลค่า" และนั่นคือ ที่มาของ The Asian Miracle 2

Zap : เกี่ยวกันยังไง น่ะคุณแพ้ท !!

Pat : เกี่ยวซิครับ เมื่อเงินลดมูลค่า Asset ทุกอย่าง ตั้งแต่ หุ้น ทอง Real-estate และ Commodity ย่อมเพิ่มมูลค่า.. แต่ปัญหาคือ ประเทศไทย -- คุณมีทางเลือกไม่กี่ทาง และ Asset ที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด และเราเข้าถึงไม่ยากก็ หุ้น หรือ ไม่ก็ ทอง ..แต่ผมชอบหุ้น เพราะมันให้ผลตอบแทนจริงที่จับต้องได้ นั่นคือ "ปันผล"

Zap : คุณแพ้ทชอบแนวทาง Value Investor ช่วยแถลงไข ด่วน!!

Pat : ครับ !! -- ก็ซื้อถูกขายแพง ครับ "ดูยังไงถูก ..โอ๊ ต้องค่อยๆดู" เช่น P/BV ถ้าต่ำๆ ก็ถูก เช่น ต่ำกว่า 1 หมายความว่า คุณซื้อหุ้นถูกกว่าเจ้าของเอาเงินมาลงทุนเสียอีก ..แต่ไม่ใช่ดูตัวเดียวต้องอาศัย ปัจจัยอื่นๆประกอบ เช่น การมองปันผลที่ดีอย่างต่อเนื่อง ..ดูว่ากิจการมั่นคง และโตต่อเนื่อง ตาม GDP

Zap : กิจการโตตาม GDP ยังไง

Pat : ก็ GDP เราโตทุกปีในภาพใหญ่ การที่กิจการสำคัญแล้วโตตาม GDP นั่นหมายความว่า กิจการที่เราซื้อหุ้น จะค่อยๆโตขึ้นเรื่อยๆ แม้ในระยะสั้นราคาหุ้นจะผันผวนเป็นเจ้าเข้า แต่หากมองระยะยาว คุณจะเห็นหุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง แจ๋วกว่าเงินฝากในเวลานี้เสียอีก!!

Zap : แต่หุ้นตกได้ !!

Pat : และหุ้นก็ขึ้นได้ "ใช่มันขึ้นและมันลง ..ราคามันจึงพยายามล่อลวงคุณ" ..สิ่งที่คุณได้ ตราบเท่าที่คุณถือหุ้นดี ก็ไม่ต่างจากเงินฝาก เช่น เงินฝากคุณได้ดอกเบี้ย ..หุ้นดี ก็ให้ปันผล ...

Zap : แต่หุ้นตกได้ "คุณอาจขาดทุน"!!

Pat : ใช่!! หุ้นตกได้ และ หุ้นก็ขึ้นได้ ..สรุปมันขึ้นๆ ลงๆ ผมพูดเป็นรอบที่สองแล้วคุณ Zap...อิ อิ ประเด็นคือ คุณจะไปขายต่ำกว่าที่คุณซื้อทำไม ในเมื่อระยะยาว หุ้นดีที่คุณซื้อ ก็ย่อมค่อยๆเพิ่มมูลค่า และ ให้ปันผลที่สูงขึ้นเรื่อยๆในระยะยาว "ราคาหุ้นในมุมของผมคือภาพลวง แต่ปันผลคือของจริง"

Zap : นั่นแสดงว่า คุณแพ้ทต้องถือหุ้นนานมากๆ

Pat : ผมว่า ก็เหมือนเงินฝาก คุณก็ต้องฝากนานมากๆเหมือนกัน "ปัญหาคือ เราไม่เข้าใจเรื่องความเสี่ยง คุณคิดว่าเงินฝากไม่เสี่ยง ทั้งที่เงินเฟ้อทำให้เงินฝาก ลดมูลค่าในอัตราเร่ง ในขณะที่หุ้นแม้ผันผวนในระยะสั้น แต่ระยะยาวมันให้ผลตอบแทนที่เหนือเงินเฟ้อ" ..ประเด็นคือ คุณเข้าใจความเสี่ยงของ Asset ต่างๆหรือเปล่า และนี่คือ ปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่กำลังเผชิญกับเงินเฟ้อ ..."เราจนลงเพราะเราไม่เข้าใจมัน"

Zap : คุณแพ้ทกำลังจะบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องเล่นหุ้น เพียงแต่เราเข้าใจหลักของความเสี่ยง และวางเงินถูกที่ ถูกเวลา ก็ทำให้คุณสามารถรวยสุดๆ ..."รวยโดยแทบไม่ต้องทำอะไรเลย"

Pat : ใช่เลยครับ!! ยกตัวอย่างหุ้นที่ผมถือ ให้ปันผล 10% ในขณะที่เงินฝากให้ผลตอบแทน 1% "นั่นหมายความว่า ผมซื้อหุ้นแล้วถือเฉยๆ ผมได้ผลตอบแทนสูงกว่า คนที่วางเงินไว้ในเงินฝาก ...และนี่เองที่เป็นเหตุผลว่าทำไมเงินเกือบทั้งหมดของผมวางไว้ในหุ้น ...เพราะผมไม่ได้เล่นหุ้น ผมแค่วางเงินในจุดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้น ผมจะได้ผลตอบแทนมากกว่า คนทั่วๆไปที่วางเงินไว้ในเงินฝากถึง 10 เท่า โดยที่ผมไม่ได้เล่นหุ้น

Zap : "คุณแพ้ท หมายถึง คุณออมเงินในหุ้น ใช่ไหม!!"

Pat : จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ ..แต่อย่ายึดติดเลยว่าต้องเป็นหุ้น ...มันอยู่ที่ว่า Asset อะไรที่ให้ผลตอบแทนดี ..เผอิญตอนนี้ หุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก เงินผมจึงวางในหุ้น ..แต่ถ้าวันใดที่เงินฝาก ให้ผลตอบแทนมากกว่าหุ้น ผมก็จะโยกกลับมาที่เงินฝาก "และเมื่อเวลานั้นมาถึง นั่นแสดงว่าหุ้นแพง"

Zap : "หุ้นถูกหรือแพง คุณแพ้ทมองที่ผลตอบแทนจริงๆ ที่ได้ ..ถูกต้องไหมครับ"

Pat : แม่นแล้วคุณ Zap!!

Zap : ถ้าหุ้นที่คุณซื้อแล้วมันลง จะทำอย่างไร

Pat : หุ้นที่ VI ซื้อ มักจะลงเสมอ เพราะเรามักซื้อหุ้นในจังหวะที่ตลาดแย่ "คนอื่นขาย" หุ้นมันจึงยังลงอยู่ ดังนั้น ซื้อหุ้นแล้วลงต่อ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ...ดีเสียอีก คุณจะได้ซื้อเพิ่ม... เพราะการที่ VI ซื้อหุ้น นั่นหมายความว่า ผมได้วิเคราะห์ Fundamental มาอย่างดีแล้วว่าหุ้น "ถูก" ดังนั้น ถ้าซื้อแล้วหุ้นตก ..ถ้ามีเงิน--ต้องซื้อเพิ่ม!!

Zap : อย่างนี้ จะขายเมื่อไหร่ !!

Pat : ก็ขายเมื่อแพงนั่นเอง

Zap : แล้วถ้ามันไม่แพงล่ะครับ ...แล้วตลาดมัน Double Dip ลงไปอีกจะทำอย่างไร

--- ถ้าซื้อแล้วหุ้นที่คุณซื้อไม่วิ่ง แต่ตัวอื่นวิ่ง คุณจะขายตัวนี้ แล้วไปเอาอีกตัวแทนไหม !!
--- แล้วเวลานี้ ตลาดเป็นอย่างไร ..ควรเล่นแบบไหน
--- แล้ว... "เอาเป็นว่า ตอบไม่หมด ไปดูต่อกัน ในรายการ " News Update ออกอากาศช่อง Money Channel วันที่ 6 เมษายน 2554 เวลา 12.30-13.00 น. "

(ของจริงคุณ Zap --- ถามโหดกว่านี้ ลึกกว่านี้ ..ถามจริง ตอบตรง ...ลุยกัน มันส์โลด!!)

โย่ว!!! .......

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554

หนังสือชุด S2M กับแนวทางของนักลงทุน !!


หลังจาก S2M ออกหนังสือมา 4 เล่มแล้ว ก็ถือว่า สังคมนักลงทุนตอบรับเราเป็นอย่างดี "ต้องขอบคุณมาก" แต่สิ่งที่มากกว่านั้น ก็คือ อุดมการณ์ของการสร้างหนังสือชุดการลงทุน ที่ขายดี --แน่นอน!! นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่มันเป็นจุดเริ่มต้น !!

ว่าด้วยเรื่อง "การลงทุน" คนส่วนใหญ่มองว่า มันเป็นความเสี่ยง แต่จริงๆแล้ว ความเสี่ยงไม่ได้อยู่ที่ตัว Asset ไม่ว่าจะเป็น หุ้น ทอง พันธบัตร หุ้นกู้ ที่ดิน คอนโด เงินฝาก และ Commodity ..แต่จริงๆความเสี่ยงมันขึ้นอยู่กับ "Asset + จังหวะเวลา(Timing)" จึงจะบอกได้ว่า Asset นั้นๆ ที่คุณถืออยู่มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด

ด้วยเหตุที่ตลาดไม่เข้าใจเรื่องความเสี่ยงนี้เอง ทำให้พวกผมและเพื่อนๆใน S2M ที่พอจะมีความรู้ ในเรื่องของการลงทุน (รวมทั้งมีแนวทางการเดินของตัวเองที่ชัดเจน เช่น VI , Trend Follower , Day Trade) ..สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่อพวกเรามารวมตัวกัน เราพบว่า ต่างความคิด แต่เราทุกคนก็ประสบความสำเร็จในการลงทุนเหมือนกัน (ต่างเพียงจำนวนเงิน ซึ่งบางวิธีก็เหมาะกับ บางสถานการณ์ ...แต่เป็นเรีื่องแปลกที่ไม่ว่าแนวไหน หากคุณมีความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองทำ -- คุณก็มักจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวเสมอ!!) ..."และจุดนี้เอง ที่เป็นที่มาของการ ออกหนังสือ ชุดขายดี ที่ S2M นำเสนอสู่เพื่อนนักลงทุน ..เราแบ่งแนวทางที่ชัดเจน และ ถ่ายทอดผ่านหนังสือ และ งานสัมมนาการลงทุน"

พวกเราเชื่อว่า "การให้ความรู้ในเรื่องการลงทุน ที่วางอยู่บนปัญญา และ แนวทางที่ชัดเจน จะช่วยให้ชีวิตของเราดีขึ้น"... ในอดีตเราไม่เคยได้รับการศึกษา ในเรื่องของเงินและการลงทุนเลย ทั้งๆที่ท้ายสุด ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด สุดท้ายก็ต้องมาบรรจบที่การเงิน "อยู่กับเงิน" ในที่สุด ..จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ จะไม่เข้าใจ และรู้สึกไม่ปลอดภัย เมื่อพูดเรื่องการลงทุน ...นั่นก็เพราะ ไม่เคยมีใครให้ความรู้ในด้านนี้อย่างชัดเจน

การลงทุนจะว่าไปแล้ว มันกลับสู่หลักธรรมชาติ เพราะสุดยอดการลงทุน มันก็คือ การเข้าใจ Cycle ของสิ่งต่างๆด้วยความเข้าใจพื้นฐานที่แท้จริง จากนั้นก็ จัดสรรเงินให้เหมาะกับความต้องการและวัตถุประสงค์ของการใช้ ..."คุณเคยเห็นคนที่ทำงานหนักชั่วขีวิต เพื่อได้เงินมาสักก้อนนึง จากนั้นเขาก็เอาเงินก้อนนั้นมาหมดตัว ในตลาดหุ้นด้วยความโลภไหม!!" -- ผมว่า น่าสงสารนะ !! ปัญหา คือ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการลงทุนเป็นเรื่องง่ายๆ ซึ่งจริงๆ--มันไม่ใช่!!

หากคุณยอมเรียน 4 ปี เพื่อจบปริญญา มาประกอบอาชีพเพื่อหาเงิน ..แต่การเรียนรู้เพื่อจะ เอาเงินที่หามาได้อย่างยากลำบาก ให้มันทำงานเอง เป็นขั้นต่อไป ...แต่แปลกมาก คนส่วนใหญ่ ไม่ให้ความสำคัญกับการศึกษาวิธี "ทำให้เงินทำงานเอง" -- คิดว่ามันง่าย!! และนี่ก็คือ สิ่งที่พวกผมและ S2M อยากจะเปลี่ยน !!-- เราอยากให้การลงทุนเป็นเรื่องใกล้ตัว จะเห็นได้ว่า หนังสือทุกเล่มหรือทุกสัมมนาการลงทุนของ S2M แตะที่ จิตวิทยา ซึ่งเรากลั่นออกมาถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง !!

นี่คือ "จุดยืนของพวกเรา" ...ก็อยากให้เพื่อนๆ ที่สนใจการลงทุน เข้ามาตั้งใจศึกษา การลงทุน อย่างจริงจัง ..เรื่องการลงทุน มันเป็นอาชีพ และ มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในอนาคต ..ประเทศที่เจริญแล้วทุกประเทศหนีไม่พ้นการลงทุน ...ซึ่งประเทศไทยเราได้ก้าวมาถึงจุดที่ว่านั้นแล้ว ..รอเพียงคุณภาพของคนที่เข้าใจ ศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งการลงทุน ... ผมเชื่อว่าในอีก 10 ปี ข้างหน้า หาก Gen Y ของประเทศเรา ให้ความสนใจกับ การลงทุน เราอาจเป็นหนึ่งใน คนที่ช่วยกันสร้าง อุตสาหกรรมการเงิน และศูนย์กลางการเงินของ ASEAN ควบคู่ไปกับ สิงคโปร์ก็เป็นได้ -- "โจทย์นี้รอคุณและผม เป็นผู้แก้!!"

เอาเป็นว่า ใครที่สนใจศึกษาการลงทุน อย่างจริงจัง เราก็ยินดียิ่ง และอยากให้เดินไปด้วยกัน ..แน่นอน ไม่ง่าย!! เพราะใน 100 คน จะมีไม่ถึง 20 คนเท่านั้น ที่จะมั่งคั่งจากการลงทุน ...ก้าวต่อไป คือ การรวมกลุ่มผู้ที่อยากเป็น 20 คนนั้น ...มาศึกษาต่อยอด สู่การสัมมนาเรียนรู้หุ้น ในแนวทางต่างๆ ที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็น VI ..แนว Technical ซึ่งตรงนี้ต่อยอดได้ถึง Commodity Trader และ Futures รวมทั้ง Derivative ทางการเงินแขนงต่างๆ ... "ใครที่สนใจ ต่อยอดในเชิงลึก ก็รองานสัมมนาของ S2M ในเดือนพฤษภานะครับ เดี๋ยวจะแจ้งอีกที" ..ส่วนใครศึกษาเป็นการประดับความรู้ ผมก็เชื่อ ว่าหนังสือ ที่เราจะทยอยออกมาสู่ร้านหนังสือ ชุดการลงทุน ทั้งที่ออกมาแล้ว และเล่มต่อๆไป น่าจะตอบโจทย์ตรงนี้ได้เป็นอย่างดี

"ขอบคุณเพื่อนที่สนับสนุน ...เราจะเดินไปด้วยกัน"

อันนี้ link ตัวอย่างงานสัมมนา ครั้งก่อนๆของ S2M ครับ
http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=17012



วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์ที่ Voice TV ผม เรื่อง "แรงบัลดาลใจ"



คำนิยมจาก รายการ Voice of the day


ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ผู้วิเคราะห์หุ้น อายุน้อย ที่น่าจับตามอง

แม้ว่า อายุของกูรูด้านตลาดหุ้นคนนี้จะยังไม่ย่างเข้าสู่เลข 3 แต่มุมมอง แนวคิด ที่มีต่อธุรกิจ การลงทุนในตลาดหุ้นของเขา ก็ได้รับการจับตามองไม่น้อย

ภาววิทย์ เริ่มสนใจด้านการลงทุน และเขียน Weblog วิเคราะห์แนวโน้มของตลาด ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนแล้วนำไปโพสต์ตามเว็บไซต์ต่างๆ ด้วยสไตล์การเขียนที่เข้าใจง่าย และสอดแทรกอารมณ์ขัน ทำให้ในระยะเวลาไม่นานผลงานของเขาก็มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก และยกย่องให้เขาเป็นกูรูด้านการลงทุนหุ้น

ในที่สุดผลงานของเขาก็ถูกรวมเล่มกลายเป็นหนังสือ ที่ได้รับตำแหน่งเบสต์เซลเลอร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นคือ “แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน”

แนวคิดใดที่ทำให้เด็กหนุ่มคนนี้สามารถก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่ง “กูรู” วงการ ตลาดหุ้นได้ ติดตามได้ในรายการ Voice of the day วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม เวลา 20.30 เป็นต้นไป....แล้วคุณจะรู้ว่าการรวยหุ้นหมื่นล้านอาจไม่ยากอย่างที่คิด!!


Produced by VoiceTV

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

อยากเรียนรู้ด้านการลงทุนอย่างจริงจัง(มาก)


"ตอนนี้กระแสเรื่องการลงทุน ผมว่าแรงมากนะ ...ซึ่งหลายคนบอกผมว่า "มันแย่แล้ว" คนส่วนใหญ่โดดเข้ามาเล่นหุ้น เราต้องขายทิ้งออกไปรอตลาดพังดีไหม ..ฮึม!! เอ่อ ..ผมว่าเร็วไปไหมพี่ ..คือว่าตอนนี้คนเล่นหุ้นในเมืองไทยประมาณแค่แสนคน ยังไม่ถึง 1% ของประชากร ..ดอกเบี้ยเงินฝากและการลงทุนอื่นๆ ต่ำสุดโต่ง ถ้าคำนวณก็ใช้เวลาประมาณ 112 ปีน่ะ ถ้าจะฝากออมทรัพย์ธนาคารแล้วรอเงินให้ทบต้น ...ในอดีตผมยังจำได้ ดอกเบี้ยตอนเงินเฟ้อสมัยก่อน 12% ฝาก 6 ปี เงินฝากก็เพิ่มสองเท่า ทบต้น" ..แต่ความแจ๋วมันอยู่ตรงไหนรู้เปล่าครับ...

ใช่เลย!! ตอนนี้ดอกเบี้ยเงินฝากไม่ถึง 1% แต่เงินเฟ้อ(ที่แท้จริง ไม่ใช่ที่รัฐบาลประกาศ) มันประมาณ 10% ..จริงๆมากกว่านั้น แต่รัฐบาลพยายามเอาภาษีเรามาอุ้มไว้ กลัวคะแนนเสียงตก..ตลกเด็ก!! แต่อีกไม่นานหรอกครับ ไอ้ภาษีที่รัฐบาลเอามาพยุงเงินเฟ้อ ตั้งแต่ราคาน้ำมันรถ น้ำมันคน ก๊าซ สิ่งของเครื่องใช้ อาหาร ..มันพยุงไม่อยู่หรอก ไอ้วิธีการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำแบบนี้!!

ความสยองมันอยู่ที่ ตอนนี้เงินคุณ ไม่ใช่ 7 ปีทบต้น แต่เป็น 7 ปี ไร้ค่า ลดลงครึ่งนึง ..."ลองหลับตานึกนะครับว่า ยุคนี้เขาบอกว่า คนรวยจะรวยขึ้น แต่คนจนจะจนลง ..ผมก็นั่งนึกๆนะว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น"

ติ้ง!! คำตอบง่ายๆก็คือ "คนรวยเขาถือ Asset (ตั้งแต่ที่ดิน บ้าน ทอง หุ้น) เงินสดเขามีนิดเดียว เอาไว้หมุน ..แต่คนจน ถือเงินสด(ซึ่งน้อยอะนะ)" ...ภาวะแบบนี้ที่เงินเฟ้อกำลังก่อตัวมหาศาล คือ เงินมันลดมูลค่า ..ถ้าเงินมันลดแล้วอะไรมันเพิ่มล่ะ ..ใช่!! เงินลด แต่ Asset ก็เพิ่มมูลค่าน่ะซิครับ ..."ก๋วยเตี๋ยวชามละบาท เมื่อไม่กี่สิบปีก่อน เดี๋ยวนี้เป็นร้อย อีกสัก 20 ปี ผ่านยุคเงินเฟ้อบ้าๆนี้ไป ชายสี่บะหมี่เกี๋ยว ต้องชามละ 500 บาท..สยองมาก!!"

ผมมานั่งนึกนะว่าเดี๋ยวนี้ คนได้เงินเดือนหกหลัก ปีนึงถึงจะหาเงินได้ประมาณ 1 ล้าน ก่อนหักภาษี ..ยังไม่รวมค่าใช้จ่าย ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต ... "พวกนี้ไม่ได้เรียกว่า คนรวยนะ ..เรียกว่า พยายามกินอยู่แบบคนรวย" ..กว่าจะมาเป็นกลุ่มนี้ได้ (เงินเดือนหกหลัก) ต้องทำงานเกินสิบปี ในองค์กรชั้นดี (คือรับราชการไม่ถึงแน่ เงินเดือนแบบนี้) ..อ้าว!! แล้วพวกที่รวยล่ะ ทำยังไง ..."นี่แหละคำถาม" ทำไงล่ะถึงจะรวย..

ก็ค้ายา ก็เร็วดี ตายเร็วด้วย ...หรือ คอรับชั่น ก็รวยเร็ว แต่ก็ซวยเร็ว ถ้าดวงตก ...หรือ ที่ชัดๆเลย ภาวนาให้ เจ้าคุณปู่ มีที่ดินมรดกซื้อไว้ใกล้รถไฟฟ้า นี่แหละ 100 ล้านเห็นๆ นี่ถ้าโชคดีเป็น ลูกคนเดียว ของหลานคนเดียวของเจ้าคุณปู่ มิเช่นนั้น ได้แย่งสมบัติ ฟ้อง ฆ่ากันตายเป็น หนังเลือดล้างตระกูล --- "คือ ประมาณว่า คนส่วนใหญ่ ด้วยรายได้ อย่างคนไทย จะรวยได้ ต้องกินบุญเก่า เป็นหลัก ..เอ๊ะ!! แล้วมันมีไหมล่ะ --ที่สามารถรวยได้ด้วยตัวเอง!!"

"มีครับ" ...หนึ่ง เป็นเจ้าของกิจการ สู้แล้วรวยเหมือนเสี่ยตัน โออิชิ ..สอง ลงทุนแล้วรวย เช่น ซื้อหุ้นเซ็นทรัล ที่ราคา 20 สตางค์ ตอนเซ็นทรัลจะเจ๊ง หลังต้มยำกุ้ง แล้วถือไม่ยอมขายประมาณ 8 ปี ไปขายอีกที 30 บาท ..ก็จะรวยเพิ่มขึ้นประมาณ 140 กว่าเท่า ...อะไรประมาณนั้น (กล้าในสิ่งที่ควรกล้า ในเวลาที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้า..คือกล้าแต่ไม่โง่ -- โอโห!! รวยชัวร์ครับพี่น้อง) --- ประเด็นคือ มันไม่ง่ายอ่ะดิ!!

นี่แหละที่มาของ S2M รวมตัวคนเก่งที่มีแนวทางการลงทุน ที่มันเข้าท่า!! (บางคนรวยแล้ว บางคนเดินในทิศทางที่มันเข้าท่า Make Sense ว่างั้น) ก็รวมตัวกันมาด้วยกฏแรงดึงดูด "คือ คนเก่ง และคนที่มีอนาคต ก็จะถูกดูดมารวม กับคนที่มีอนาคต" จากนั้น ก็เดินไปพร้อมๆกัน ภายใต้หลักการของการ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ...ประมาณว่า ถ้าเราทำให้คนส่วนใหญ่ มีเงิน และเก่ง ด้วยการให้แนวคิด หลักการลงทุน หลากหลายแนว (ให้เลือกที่เหมาะกับตัว) ..สิ่งเหล่านี้ก็จะสะท้อน เป็นสิ่งที่ดีกลับมาสู่ผู้ให้ ซึ่งก็คือ พวกเราที่โดนดูดรวมกันเข้ามา ก็จะสบาย รวยไปด้วย และก็สนุกที่ได้ทำ ... พันธนาการก็คือ ความเหนื่อย และเสียงด่า จากผู้ที่ไม่เข้าใจว่าเราทำไปทำไม แต่เราก็ไม่สนเพราะเรา เอาความฮา มานำ..หุ หุ

ตอนนี้ก็ ถือว่าพวกเรา S2M เดินมาไกลพอสมควร คนเก่งๆด้านการลงทุน ก็เข้ามาร่วมอุดมการณ์ การพัฒนาความรู้แก่รายย่อย ซึ่งถ้าทำได้ ตลาดทุนของเราก็จะใหญ่ขึ้น มีผู้มีความสามารถมากขึ้น ..ผมเองมองคนไทยว่า เราไม่แพ้สิงคโปร์ ดังนั้น การรวมตัวของ ASEAN ใน AEC จะเปิดโอกาสให้ไทย เป็นแหล่งระดมทุนที่สำคัญของภูมิภาค ..ซึ่งจุดนี้จะไปถึงไม่ถึง ขึ้นกับว่า ประเทศเรามีนักลงทุนที่มีความสามารถเพียงใด ..และนี่คือ เป้าหมายการพัฒนายอดฝีมือเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย(อย่างมีปัญญา)นั่นเอง (ใหญ่โคตร --แต่ไหนๆ เดินก้าวแรกแล้ว ก็เดินไปเรื่อยๆ จะถึงไม่ถึง ก็ได้มันส์วะ..หุ หุ)

ตอนนี้ S2M ได้รับความสนใจจาก Broker และ สถาบันต่างๆ เข้ามาให้ความสนใจ ..ซึ่งแน่นอน ตอนนี้เราพยายามสุดๆ และกำลังทำอย่างหนัก ก็คือ การพัฒนาหลักสูตร การเรียนรู้ทางด้านการลงทุน ให้เป็นรูปธรรมชัดเจน ซึ่งทั้งผม ป๋ากิ้ง น้องพีร์ ป๋าหยง ป๋าปุย และ ทีมงาน S2M ก็กำลังร่างหลักสูตร การเรียนรู้ให้ครอบคลุม เพราะท้ายที่สุดผมเชื่อว่า ไม่มีการลงทุนใดที่ตอบสนองทุกคน จึงต้องมีความหลากหลาย แต่จุดหมายที่สำคัญที่สุดคือ "ความเข้าใจ หรือ ปัญญา นี่แหละ ที่ไม่ค่อยมีการสอนกัน ... ส่วนใหญ่ชอบสอนให้โลภ ให้โง่ ให้ซื้อตามผมนะ ..เอ่อ ถ้ามันแม่น 100% เขาจะเอามาบอกคุณทำไม (ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกครับ ต้องคิดเอง)"

เอาเป็นว่า ผู้ที่สนใจศึกษาการลงทุน ในแบบของ S2M ก็ขอให้อดใจรออีกนิด เพราะเราจะประชาสัมพันธ์และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคม

เกริ่นภาพคร่าวๆก่อน อย่างผม กับ ป๋ากิ้ง จะเป็น Basic การลงทุน ..คือ ก่อนอื่นเราต้องรู้ว่า ลงทุนเพื่ออะไร แล้วจะลงทุนอย่างไร ให้มันเหมาะกับเป้าหมาย และนี่แหละ หน้าที่ผม และ ป๋ากิ้ง ทั้งหลักสูตร และ หนังสือต่างๆที่ออกมาภายใต้ สำนักพิมพ์ stock2morrow


น้องพีร์ (Wizard kid) จะเป็น เซียน Day Trade ตัวจริง ที่เขา Trade for a Living... แต่ของอย่างนี้มันเลียนแบบกันไม่ได้ แต่แนวทางมันเอามาศึกษาได้ "7 เทคนิค ฟันกำไร หุ้นเดย์เทรด" ..วิธีจริง ที่ไม่กั๊ก !!


Monkey Trade จะเป็น สำนัก Technical ที่จะเล่นในรอบที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็ยังเป็น Trend Follower ซึ่งป๋าหยง ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่หันหลังให้กับเงินเดือนหกหลัก มารับก้อนที่โตกว่า ด้วยฝีมือ (อิสระ) !!... เราก็ได้ออกหนังสือ "ฟรีด้อมเทรดเดอร์" เพื่อเปิดโลกมุมมองการลงทุนในแนวทางนี้ ...ก็ผมและป๋าหยง ก็ดูแลสำนักนี้อยู่ ...เน้นความฮา ตระหนักรู้ + ฮา แต่ไม่ถึงขั้นเอาถาดตีหัว เหมือนตลกคาเฟ่!!


"Go with the Flow" เป็นหลักสูตร ปูพื้นฐาน สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่อง Technical เลย ไปจนเดินได้ ..แต่ถ้าจะวิ่ง--ไปวิ่งเอง..หุ หุ --อันนี้ ป๋าปุย เจ้าสำนัก Wave Rider Club รับอาสา จัดใหญ่!! งานนี้บอกได้เลยว่า "เจ้ามือขาใหญ่ ต้องร้องจ๊าก ..เพราะรายย่อย จะไม่หมูอีกต่อไป"... ไม่ยอมหมู ..ฮ่า ฮ่า

นอกจากนี้ พี่ๆเพื่อนๆ เซียนๆ อย่างพี่หมอจารวย ป๋าหวัด และ สารพัดนักเทรดระดับเซียนใน S2M ก็ยังวนเวียน ถ่ายทอดความรู้กันในชุมชนแห่งนี้อย่างต่อเนื่องที่ www.stock2morrow.com ... "ต่อไปจะเป็นอย่างไร เจ้ามือ จะไม่พอใจเพียงใด อันนี้ เราไม่อาจรู้ได้ ..มันเป็นความมันส์ ที่พวกเราได้เดินมาในแนวทางของการให้ และรับ(ทรัพย์ไปด้วย.. เห็นไหมการให้ เราก็ได้ด้วย ไม่ได้บ้าบอ อย่างที่หลอกหลวง เหล่าประชาชี..อิ อิ) ...เอาล่ะ ค่อยๆเดิน ร่วมกันสร้าง ชุมชนแห่งการลงทุนไปด้วยกัน ใครอยากเรียนก็เข้ามาเรียน ใครอยากถ่ายทอดก็เดินเข้ามา (แต่พวกมั่วๆ หวังมารวยเร็ว ล่อลวง อะไรนี่ ไม่เอานะ ไม่เอา) -- มันส์ไว้ก่อนพ่อสอนไว้..อิ อิ"


อีกก้าวของการพัฒนานักลงทุนรายย่อย ...โย่ว!!

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

มีคนถามว่า ผมเปลี่ยนแนวหรือ !!

(ใครว่างก็เข้าไปดู สัมภาษณ์ผมในรายการ Voice of the day วันเสาร์นะครับ "อีกมุมนึง ที่ไม่ฮา..แต่บันดาลใจ".. คลิ๊กที่ภาพเข้าไปดูได้เลยครับ)

"เห็นออกหนังสือเล่มใหม่ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ ..มีคนถามผมว่า คุณแพ้ทเปลี่ยนแนวหรือ!!" ..อันนี้ต้องบอกว่า ฮึม!! การเรียนรู้มันมีข้อจำกัดด้วยหรือ นึกว่ายิ่งเรียนยิ่งรู้ ยิ่งรู้ยิ่งเข้าใจ เมื่อปฏิบัติจึงเกิดปัญญา และนำมาซึ่งเงินตราที่มากโข หลังจากนั้น.. (คนถามถึงกับ งง ในคำตอบที่ได้..)

จริงๆแล้ว การลงทุน มันไม่ควรจำกัดว่าเราเป็นแนวทางไหน ..ซึ่งจริงๆต้องยอมรับว่าก่อนที่ผมจะเข้ามา Join ในชุมชน S2M ผมเองไม่ได้สนใจ Technical Analysis เลย ..แต่ก็โชคดีที่แนวทางของ S2M เป็นทางที่เปิดโอกาสให้กับนักลงทุนทุกแนว และ นี่เองที่ผมเข้ามาเจอกับ นัก Technical เก่งๆ ระดับประเทศหลายๆคน ..อย่าง Monkey Trade เดิมเป็น Blog ที่ก่อตั้งขึ้นมา หาจุดร่วมระหว่าง การใช้ Fundamental กับ Technical ว่ามันเดินไปด้วยกันได้หรือไม่ ..เพราะก่อนหน้านี้ ใครเล่นแนวไหน ก็จะจับกลุ่มอยู่กับแนวทางนั้น แล้วก็จำกัดตัวเองชัดเจนอยู่แค่นั้น!! ..ซึ่งผมกับ Trader ลึกลับ มองว่า "มันจำเป็นด้วยหรือ ที่คุณจะต้องปิดกั้นการเรียนรู้ เฉพาะแนวทางใดแนวทางหนึ่ง เพียงเพราะทัศนคติที่ไม่เปิดกว้าง" --- และนี่คือ จุดเริ่มต้นของ Monkey Trade ...แต่น แต้น !!!

การแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่าง "ผม" กับ "Trader ลึกลับ" มันได้อะไรดีๆมากมาย จะว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของความกวนก็น่าจะใช่ ..เพราะสิ่งที่เราค้นพบมันเป็นอะไรที่กวนมาก อย่างเช่น แนวทางการ Trade ของคนส่วนใหญ่ที่ไม่ Success เพราะคนส่วนใหญ่ ทำตรงข้ามกับวิธี Trade ที่ทำกำไร (แค่นี้ก็กวนแล้ว..หุ หุ)

"การ Trade ที่ทำกำไร" จริงๆมันวางอยู่บนระบบอะไรก็กำไร(จริงหรือ)... "ระบบอะไรก็กำไร หากวางบนหลักการของ การ Let Profit Run เมื่อมาถูกทาง และก็มีจุด Stop Loss เมื่อผิดทาง" ..แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดจริงคือ คนส่วนใหญ่ Let Loss Run แต่เวลาถูกทางกลัวๆกล้าๆ ดัน Stop Profit ซะงั้น ..แล้วมันจะรวยได้อย่างไร!! (งง โคตร)

ก่อนการเขียน "ฟรีด้อมเทรดเดอร์" ผมและ Trader ลึกลับ ก็เปิดคอร์สสัมมนาใน S2M by "Monkey Trade" ซึ่งยอมรับว่า ฮือฮามาก ..(ฮือ คือ โอดครวญในความยาก และ ฮากลิ้ง ที่เราเอาถาดมาตีหัวกัน..อิ อิ --ล้อเล่น จริงๆ ฮือฮามาก เพราะมันเป็นการสอน Technical ในรูปแบบใหม่ ที่วางอยู่บนความจริง!!)

อ้าว!! งั้นแปลว่า Technical ส่วนใหญ่ไม่จริง.. หุ หุ ไม่ใช่อย่างนั้น ...ปัญหาคือ คนที่เรียน Technical ส่วนมากถูกจูงให้มอง Technical เป็นสูตรเลขตายตัว 1+1 = 2 ซึ่งนั้น "บ้ามาก" (ไม่ใช่เลย) ... เพราะถ้า Technical มันคือสูตรเลข ผมถามหน่อยว่า ถ้าแม่นยำ 100% เขาจะเอามาสอนคุณทำไม สู้เก็บไว้เล่นเองไม่ดีกว่าหรือ ..ใช่ไหม!!

ดังนั้นจริงๆแล้ว Technical มันคือ ความน่าจะเป็น ซึ่งเป็นการศึกษาที่ใช้ศาสตร์ของสถิติ + จิตวิทยาของตลาดที่แปรเปลี่ยนเป็น Chart ที่เอามาให้เราดูนั่นแหละ ... "นี่แหละความ ฮือฮา ของ สัมมนา Technical โดย Monkey Trade ...เราวางบรรทัดฐานของ Technical บนปัญญา ไม่ใช่วางบนความโลภ (ความโลภ เท่ากับ ความโง่ ..บวกกันเท่ากับ หมดตูด..อิ อิ อิ)

-- หลักการ Technical ที่ดี จึงเป็นวิธีที่พวกเรา ลองใช้แล้วเห็นว่ามันดี แต่เมื่อคุณเอาไปแล้ว ต้องลองไปปฏิบัติ และถ้ามันดีกับคุณ ก็ให้เอาไปใช้.."เอ๊ะ!! เหมือนหลักธรรมมะ ..ก็นั่นแหละ อย่าเชื่อ ให้ไปลอง ถ้าดีก็รับไป ถ้าไม่ดีก็ปรับไป ..และที่แน่ๆ พอคุณ Trade ไป คุณก็จะปรับตาม "คุณ" -- เหมือนขี่จักรยานนั่นแหละ ตอนแรกก็ขี่กันตามที่สอน แต่พอเป็นแล้ว แต่ละคนก็มี Style ที่แตกต่างกันออกไป"-- มันเป็นแค่นี้จริงๆ ดังนั้น ต้องค่อยๆเริ่ม ค่อยๆเรียนรู้ อย่าโลภ ..พอเก่งแล้วค่อยแรง!! (ดีกว่าไหม)

Technical เป็นการเข้าใจ และอ่านทิศทางของราคาให้ออก และเข้าใจความเสี่ยงในทุกไม้ของการ Trade ..การศึกษาเครื่องมือที่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Chart Pattern , Candle Stick , Trend , Elliot Wave รวมถึง เทคนิคหุ้น 4 มิติ ที่คิดค้นโดย Trader ลึกลับ(เด็ดตรง 4 มิตินี่แหละ ฮามาก..หุ หุ หุ) ..ทั้งหมดนี้จริงๆเป็นแค่ส่วนประกอบ ที่ใช้สกัดมันหมูออกจากเนื้อที่เราจะรับประทานนั่นเอง.. ดังนั้น เมื่อไม่มีอะไรที่ 100% ..การ Trade จึงคู่กับการเข้าใจความเสี่ยงในทุกครั้งที่ลงทุน และมีจุด Stop Loss เสมอ

"อย่างนี้ ก็มีคนถามผมว่า ถ้าผม Stop Loss ไม่เป็นและทำใจไม่ได้ จะทำอย่างไร" ...ใช่เลย!! คุณก็ไม่ควร Trade น่ะซิ ...ถ้า Stop Loss ไม่เป็น ผมขอแนะนำให้คุณมาศึกษาแนว VI อย่างผม ..แต่ที่สำคัญอยากบอกว่า ประเภทของหุ้น VI กับ Technical มันหุ้นคนละแนวกัน ..ดังนั้น พวกที่เล่นหุ้น เข้าด้วยหลัก Technical แล้วจะออกด้วย VI ..นั่นบ้าไปแล้ว ..ไม่ใช่เลย!! อย่ามั่วขอร้อง !!

เอาล่ะ เขียนมาถึงจุดนี้ คงทำให้หลายๆคนเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับว่า ผมไม่ได้เปลี่ยนแนว เพียงแต่ผมเปิดใจตัวเอง ให้ศึกษาแนวทางที่กว้างขวางขึ้น ..ผมจึงมีมุมมองการลงทุนที่กว้างขึ้น ...คนที่เข้าใจภาพใหญ่อย่างพวก Fundamental แล้วมาศึกษา Technical จะทำให้เข้าใจ จังหวะในการซื้อขาย..เพราะแน่นอน Fundamental บอกเราได้แค่ว่า หุ้นถูกหรือแพง แต่การที่จะสามารถหาจังหวะ การเข้าออก ..ต้องอาศัยศาสตร์ทางด้าน Technical Analysis เป็นส่วนสำคัญ!!

"แล้ว Commodity ล่ะ ..น่าสนใจยังไง" ..แน่นอนน่าสนใจมาก ...มันคือ ต้นทุนของทุกสิ่ง ตั้งแต่ น้ำมัน ยัน น้ำตาล วิ่งไปทอง เงิน ทองแดง กลับมาข้าว ..ไปถั่วเหลือง ..ตั้งแต่เบียร์ช้าง ยันซีพี ไป ปตท. จะมีหน่วยงานเล็กๆ ที่เงินเดือนสูงมาก มีไม่กี่คน แต่มีความสำคัญยิ่งยวดต่อองค์กร ..ใช่ นั่นคือ Trader ที่ Control Risk ในส่วนของวัตถุดิบที่เรียกว่า Commodity ... ความผันผวนสุดโต่ง อย่างปัจจุบัน ...ส่วนนี้คือ หัวใจ -- และความรู้ตรงนี้ จำกัดอยู่ในวงแคบ ...แต่วันนี้ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ จะเปิดความรู้ที่สำคัญยิ่งยวดนี้ Commodity + Technical ..พาคุณเดินทางสู่ ชีวิตอิสระ ที่เลือกได้ (เอ่อ!! ว่าแต่ ก่อนจะอิสระนี่ ต้องศึกษา ทุ่มเท ...ไม่มีผู้ใด เกิดมาเป็น Superman แน่นอน ...เอาเป็นว่า เรามาร่วมเดินทางไปด้วยกัน .....กับทีม Monkey Trade ที่ก่อตั้งโดย ผม และ Trader ลึกลับ "ยินดีต้อนรับเพื่อนๆทุกคน เข้ามาศึกษา ศาสตร์ของ Technical & Commodity และการลงทุนที่ปรับใช้ด้วยปัญญา"

คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันครับที่ Facebook "หนังสือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์" ....(หุ้น การลงทุน และ ชีวิตอิสระ) ณ บัด Now!!

วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

ทำไมต้อง "ฟรีด้อมเทรดเดอร์"


"ทำไมต้อง ฟรีด้อมเทรดเดอร์" ..ผมว่ามันโดนดีครับ ..โลกทุกวันนี้ ผมว่าทุกคนพยายามหาคำตอบและความเป็นตัวเรา ..หรือแม้แต่ความหมายของชีวิตเรา แต่ความยากมันอยู่ที่ว่า "ผมยุ่งจนไม่มีเวลาหา ..งานผมหนักจนไม่มีเวลาคิดอะไร ..งานผมรับผิดชอบจนไม่มีเวลาอ่านอะไร" ..นับวัน เวลาของเราก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ เพราะการแข่งขันรอบๆตัว มันสูงขึ้นเรื่อยๆ -- ถ้าจะเปรียบเทียบ มันเหมือนโลกพยายามบีบเรา และกดดันชีวิตคนรุ่นใหม่ให้หนักขึ้น โหดขึ้น ยากขึ้น (เพื่ออะไร)

ผมเห็นพ่อแม่ที่ส่งลูกเรียนพิเศษตั้งแต่ประถม (บางคนเรียนพิเศษตั้งแต่อนุบาล) ..บอกตามตรง ผมเห็นแล้ว รู้สึกท้อใจ สงสารเด็ก -- การทำอะไรเหมือนๆกัน เรียนเหมือนกัน ขยันเหมือนกัน ทำงานหนักเหมือนกัน แล้วหวังผลลัพธ์แตกต่าง "มันเป็นเรื่องไร้สาระที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากว่า คุณเป็นสุดยอดอัจฉริยะ ซึ่งในโลกก็มีไม่กี่คน..แน่นอนไม่ใช่ผม เพราะผมเป็นเพียงคนธรรมดา"

โจทย์หนักสำหรับผมที่พยายามหาคำตอบมานาน คือ "แล้วคนธรรมดาอย่างผม จะประสบความสำเร็จ อย่างที่มีความสุขในสิ่งที่ทำ มันเป็นไปได้หรือเปล่า" ..คำถามนี้กลายเป็น พันธะแห่งการค้นหา และเดินทางของชีวิต ที่ผมมองว่า ถ้าเราไม่เก่ง เราจะต้องแตกต่าง แต่จะแตกต่างอย่างไรล่ะ ที่เป็นความแตกต่างที่สร้างสรรค์ ..แตกต่างที่สร้างสรรค์ !!

ไม่ง่าย!! ผมหลงทางอยู่นาน ด้วยความบ้าระห่ำของคนหนุ่ม มันจุดประกายให้ผมออกค้นหา ตั้งแต่การเรียน และ เปิดธุรกิจในต่างประเทศ การขยายกิจการในเวลาที่ไม่ควรขยาย การทำงานกับคนที่ไม่ควรทำ การพยายามเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ควรเปลี่ยน การรับความเสี่ยงมากอย่างที่ไม่ควรรับ ..มันนำมาซึ่งประสบการณ์ที่หาค่าไม่ได้ -- เพราะมันโคตรจะแพง!!

..ท้ายสุดแล้วชีวิตก็คือประสบการณ์ ..เงินเป็นสื่อกลางในการซื้อประสบการณ์ ผมซื้อประสบการณ์การเป็นเจ้าของร้านอาหารในต่างแดน ผมใช้เงินซื้อประสบการณ์การเป็นเจ้าของโรงงานกระจกในออสเตรเลีย ผมใช้เงินซื้อประสบการณ์การร่วมทุนกับฝรั่งและคนจีน ผมใช้เงินซื้อประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถสปอร์ตเบนส์ในออสเตรเลีย ..ในส่วนประสบการณ์ขาลง ผมใช้เงินแลกเงิน ต่อเงิน และ โดนอัดด้วยหนี้จากเงิน ผมเสียทุกอย่าง ...เหลือเพียงแค่ธุรกิจเริ่มต้น ..นั่นก็คือ ร้านอาหารร้านแรกที่เป็นจุดเริ่มของทั้งหมด และก็ประสบการณ์นั่นแหละ !!

ทุกวันนี้ผมอยู่เมืองไทย ทำงานเป็น Banker และ นักลงทุนอิสระ ...เงินมหาศาลที่ซื้อประสบการณ์ของผม ถูกวางไว้เบื้องหลัง และนั่นก็เป็นประสบการณ์ที่แลกมาด้วย สิ่งต่างๆที่ผ่านมาในชีวิต .. แต่นี่ ก็เป็นเพียงประสบการณ์ในช่วงเล็กๆของชีวิต ของคนเล็กๆคนนึง ซึ่งที่สุดแล้ว ก็เรียงร้อยเป็นประสบการณ์ของกลุ่มคน ..ของประเทศ ..และของโลก .."ใช่!! แก่นแท้ของชีวิต ไม่มีอะไรที่เหลือ นอกจากประสบการณ์และเรื่องราว (ไม่มีใครเอาอะไรไปได้เลย) ..และมันก็เป็นที่มาของการ เร่ิมถ่ายทอดมุมมอง ประสบการณ์ของคนๆคนนึงอย่างผม และนั่น..ก็เป็นการจุดประกาย ดึงดูดให้อีกคน และอีกคน เข้ามาถ่ายทอด ประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน !!

"มันจะดีสักแค่ไหน ถ้าผมสามารถถ่ายทอดมุมมอง ที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น แล้วผมเองก็ได้รับประโยชน์นั้นๆ กลับมาสู่ตัวเองเช่นกัน มันคือ การเรียงร้อยประสบการณ์ของประเทศไทยในรูปแบบใหม่" ...รูปแบบที่จะเป็นตัวกำหนดมุมมอง และการเดินทางของชีวิตอีกมากมายในทางที่ถูกต้องและ เป็นทางที่น่าเดินทาง

ความสุขที่แท้จริงของเรื่องราวชีวิต และการเดินทางของแต่ละคน มันควรเป็นทางที่อิสระที่เราชอบ และสามารถทำในสิ่งนั้น โดยที่เราไม่ต้องเบียดเบียนใคร ... หนังสือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ เล่มนี้ก็ถือได้ว่า เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตอิสระ ของเพื่อนคนนึงของผม "Trader ลึกลับ" ซึ่งมีเรื่องราวการเดิน ที่โหดร้ายไม่แพ้ผม ...ใช่!! เขาไม่ต่างกับผม ตรงที่เราไปล้มลุกคลุกคลานในออสเตรเลียเหมือนกัน จากหนุ่มไฟแรงมากๆ ที่พุ่งไปในสายไอที และส่งตัวเองเรียนตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง จากปัญหากิจการทางบ้านที่รุมเร้า ..จากนั้นประสบการณ์การเป็นผู้ประกอบการไอที ของเขาก็เริ่มที่เมืองไทย ..และที่สุด ก็กลายมาเป็น Trader ลักลับ ..ผู้ที่เรียกได้ว่า "Trade for a Living อย่างแท้จริง"

"สิ่งที่มากกว่าเรื่องราวความสนุก ..มันคือ มุมมองที่เราทั้งสอง (ผมและ Trader ลึกลับ) ร่วมกันกลั่นออกมาเป็นวิธีการ และเข็มทิศเล็กๆ ที่น่าจะเหมาะกับ คนรุ่นใหม่ ที่แสวงหาความอิสระทางชีวิต และ การเงิน"

ขอต้อนรับ ผู้ที่สนใจ เลือกเดินเส้นทางนี้ไปด้วยกัน "ฟรีด้อมเทรดเดอร์ ...(หุ้น การลงทุน และ ชีวิตอิสระ)"

(ขอโฆษณาหน่อย..) วางแผง SE-ED ปลายเดือนนี้ ทุกสาขา ทั่วประเทศ ..หุ หุ

(คลิ๊กที่ภาพ)--มาเป็นเพื่อนกันใน Facebook "ฟรีด้อมเทรดเดอร์" ..โย่ว !!!


วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2554

เก็บประเด็นร้อน "งานคุยหุ้นที่ห้องสมุดมารวย Esplanade"


วันนี้ สามหนุ่มสามมุม "แพ้ท , พีร์ และ ป๋ากิ้ง" เปิด Floor ล้อคลื่น กันเช่นเคย ..."วันนี้ประเด็นร้อนคงหนีไม่พ้น สึนามิ ที่มันช่างโหดจริงๆ แต่ไฉน ตลาดหุ้นบ้านเราวิ่งทะลึ่งสวนขึ้นซะงั้น"

เรานั่งถกกันอยู่พรรคใหญ่ ก็ฟันธงไปเลยว่า "ฝรั่งเปลี่ยนไป!!" จากที่เคยเป็นชาวไร่ วันนี้เปลี่ยนเป็นชาวสวน ..สิ้นวันทั้งฝรั่ง ทั้งกองทุน ไม่รู้กินยาไม่เขย่าขวดรึเปล่า ..ซื้อสุทธิกันคนละ 3 พันล้าน ..คนขายวันนี้มีแต่รายย่อย !! (นี่ย้อนรอย เสื้อแดง ปีที่แล้ว ยิ่งวิกฤตฝรั่งยิ่งซื้อ ..งง กันถ้วนหน้า)

มองไปตลาดรอบๆ ..เพื่อนบ้าน วันนี้กลายเป็นว่า ประเทศที่มีโรงกลั่นทั้งน้ำมัน และ ปิโตรเคมี อย่าง เมืองไทย, อินโด , มาเล ขึ้นสวนซะงั้น ..ได้อานิสงค์จากโรงกลั่นที่ญี่ปุ่นปิด อาจทำให้ค่าการกลั่นของเอเชีย กลับมาขึ้นอีกครั้ง จากที่ก่อนหน้านี้ ทั้งปิโตรเคมี และ กลุ่มโรงกลั่น ดูค่อนข้างจะขี้เหร่มาก "ก็ประมาณว่า คาดเดายาก ..ความผันผวนอย่างนี้ กลายเป็นคนที่จิตนิ่ง ไม่แกว่งไปมา ได้รับผลดีเต็มๆ"

ยิ่งตลาดผันผวน คนยิ่งวิ่งเข้าหา หุ้นเสี่ยงต่ำปันผลสูง "ก็เป็นไปตามคาด.. หลายคนที่ถืออย่างอดทน ก่อนหน้านี้ก็ยิ้มแย้มกันไป"

อย่างไรก็ตาม ความผันผวนยังคงมีเยอะ ในทุกๆด้าน ตั้งแต่ การเมืองไทย การเมืองตะวันออกกลาง.. ภัยธรรมชาติ ..คนที่ไม่มีของก็ไม่ควรไล่ตลาด ..รอจังหวะน่ะดีที่สุด "พอตลาดลงแรงๆ ก็เข้ารับหุ้นพื้นฐานดี ปันผลดี อันนี้เสี่ยงต่ำนะผมว่า"

"ทุกวิกฤตมีโอกาสแฝงอยู่เสมอ ..หากมองในมุมบ้าๆอย่างอเมริกัน เขาจะมองวิกฤตเป็นบวกต่อเศรษฐกิจเสมอ .. เพราะอเมริกันนี่ใช้วิชามารแบบนี้มาเยอะ เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยการ ระเบิดเมือง สร้างสงคราม แล้วค่อยสร้างใหม่ ...รอบนี้ประเทศญี่ปุ่นเหนื่อย แต่ภาพเป็นบวก คือ ฟ้าหลังฝน ญี่ปุ่นน่าจะใช้เงินมหาศาลในการสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาใหม่ ซึ่งจุดนี้จะสร้าง Demand ในการใช้จ่ายมหาศาล ... และปัญหากับดักสภาพคล่อง ที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซามากว่า 20 ปี อาจจะแก้ได้ด้วย ซินามิครั้งนี้ ก็เป็นได้"

ก็ค่อยๆ ดูกันไป ..มองประเด็นให้ขาด คิดให้รอบ ..ปีนี้เป็นปีที่จะทำให้มุมมองของนักลงทุน ทั้งโลกเปลี่ยนไป "ธรรมชาติกำลังสอนมนุษย์บางอย่างหากเราพยายามฟัง"

"จงกล้าสุดขีดเมื่อคนอื่นหวาดกลัว และจงกลัวเมื่อคนส่วนใหญ่กล้า..อิ อิ คำพูด Buffett นั่นเอง ..ชาวสวนใช้ได้เสมอ ในภาวะแบบนี้ครับ ..."

ปล. ในงานสัมมนา แอบโฆษณาหนังสือเล่มใหม่ของผม กับ Trader ลึกลับ ... "ฟรีด้อมเทรดเดอร์ ..ชีวิตอิสระ รวยได้ ไม่ง้อใคร!!" ...เป็นมุมมองของ Technical + Commodity Trader (ต้นทุนแฝงของทุกสิ่ง ไขความลับได้ด้วยการเข้าใจ Commodity) ..สนุกครับ (เอ๊ะ!! เขียนเองชมตัวเอง ..แต่ผมเขียนเองยังชอบเลยนะ...ความมันส์มันอยู่ที่เนื้อหาเข้มข้น มันกลั่นมาจากชีวิตจริงของ Trader ลึกลับ ผ่านการบ่มให้ขำ เคี่ยวให้ข้นโดยผมเอง ..หุ หุ)

...แน่นอน หนังสือร้อนๆอย่างนี้ .."ปกสีแดง..รับลมร้อน!!" ..ลงแผง SE-ED เร็วๆนี้!!

วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

"Penny Stock 2011" หมายความว่าอะไรดี


หลังจากเริ่มปรับฐานมาตั้งแต่ต้นปี 2011 บอกตามตรงว่า "เป็นสัญญาณที่แสดงอาการ เหนื่อยอ่อน!!"

ตอนนี้จะเห็นได้ว่า มันมาถึงทางที่ความเห็นในตลาดแปลกแยก หลังจากตลาดขึ้นมาต่อเนื่องอย่างแรง 2 ปีเต็มๆ ..ถ้าถามว่า ปีนี้ในมุมมองของผม ควรเป็นปีหาจังหวะเก็บหุ้นถูกมากกว่า... แต่ยากที่จะหาโอกาสทำกำไร เพราะมองให้ดีคุณจะรู้เลยว่า หุ้นที่วิ่งแรงๆปีนี้ เกือบทั้งหมดคือ "หุ้นปั่น" (เรียกได้ว่าปั่นแล้วทุบจนเละ ตอนนี้มาปั่นใหม่ ก็ยังมีหลายคนอยากเข้าไปลองของ ..ตรงนี้ขอเตือนให้ระวังด้วยสำหรับคนที่กระโจนเข้าไปในหุ้นลักษณะนั้น "เมื่อเหตุผลที่เราเข้าไปเพื่อ Overnight Success มันมักจะเป็น Overnight Fail ซะมากกว่า!!")

การขึ้นแต่ละรอบของปีนี้ มองได้ว่า ไม่แข็งแรง ไม่ใช่การขึ้นที่รายใหญ่ Bullish อย่างแท้จริง จึงเป็นการขึ้นแล้วทุบทำกำไร โยกไปมา ..ยิ่งใกล้จะมีการเลือกตั้งใหม่ อะไรต่างๆ รวมทั้ง Fund Flow ฝรั่ง ก็เริ่มปันใจ โยกเงินบางส่วนออกไป -- ซึ่งจุดนี้หลายคน ที่ซื้อตั้งแต่สองปีที่แล้ว คงหาจังหวะทำกำไรในปีนี้ แต่ใช่ว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะเป็นการ "เทขายหมูกลางดอยนั่นเอง"

การเล่นหุ้นให้รวย ไม่ใช่การ กล้าซื้อเมื่อถูกเท่านั้น แต่การถือหุ้นขาขึ้น จากถูกไปจนแพง ยิ่งยากกว่าการซื้อหุ้นถูกด้วยซ้ำ.. "และนี่คือปัญหาหลักของปีนี้"

สภาพตลาดในปัจจจุบัน ถ้ามองจากพื้นฐาน หุ้นถือว่า ไม่ถูกและไม่แพง..แต่ถ้าคุณดูจากแนวโน้มของกิจการที่ค่อยๆฟื้นตัว จะทำให้หุ้นค่อยๆถูกลงเรื่อยๆ จากผลประกอบการที่ดีขึ้นของกิจการ พร้อมกับการ Panic Sell เป็นระยะของปีนี้ จะทำให้ ปีนี้เป็นปีที่ "น่าเก็บของต่างหาก!!"

"แล้วตัวไหนล่ะที่น่าเก็บ" ...ตรงนี้มองได้สองจุด ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อยกว่า ก็เล่นพวก blue chip อย่างเช่นกลุ่มน้ำมัน หรือ ธนาคาร แต่รอซื้อเวลาราคาลงมา ห้ามไล่ซื้อ!! ...ในกรณีที่รับความเสี่ยงได้มากกว่า อาจมองในส่วนของ Penny Stock (หุ้นถูกๆ)คือ ไปลองมองหากิจการที่งบพอดูได้ หรือ ดูแล้วมีโอกาส Turn around จากนั้นเราก็เอาเงินที่ "สามารถเสียได้ทั้งหมด" เข้าไปซื้อหุ้นนั้นๆ แล้วทิ้งไว้เลย ...ใช่!! ผมหมายถึง การเข้าก่อนเจ้ามือปั่น ลองคิดดูจะดีแค่ไหนที่คุณเข้าก่อนราคาพุ่ง (คนที่รวยปีนี้ คือ คนที่เข้า CPF,IVL,TUF,AJ,PTL,CPALL,BJC ก่อนราคาพุ่ง..ไม่ใช่มาเข้าตอนนี้ ..ตอนนี้เข้าส่วนต่างกำไรเหลือนิดเดียว จะมาเล่นหุ้นพวกนี้ทำไม ..ทำไมไม่ไปมองหุ้นที่ยังไม่ขึ้น แล้วเสี่ยงดวงรอคนมาปั่น ยังจะ Make Sense กว่าซื้อหุ้นพวกนี้แล้วหวังขึ้น --อันนี้มันหวังลมๆแล้งๆ!!)

โอกาสของปีนี้ ผมว่าใจเย็นๆ หาจังหวะช้อนซื้อตอนหุ้นดีลงมาราคาถูก ..แล้วอย่าไปไล่ราคา ..."ตกเป็นซื้อ!!"

(มีเพื่อนๆถามว่า เงินที่เสียได้ของผมคืออะไร .. ก็เงินปันผลใน Port หุ้นระยะยาวผมนั่นเอง .. เหมือนได้เปล่าอยู่แล้ว ก็เจียดมาใส่ Penny Stock บ้าง.. เงินที่เราเหมือนได้เปล่าจากปันผล ก็ลองวางในจุดที่เสี่ยงมากหน่อย -- แต่เงินหลักก็ต้องอยู่ในหุ้นหลักๆ Safe กว่าครับ)....ก็ประมาณนั้นครับ!!

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

ตามดูหุ้น "ไก่" ...ไปไงต่อดี CPF !!


ช่วงนี้หายหน้าไปเล็กน้อย "ซุ่มออกหนังสือเล่มใหม่อยู่น่ะครับ..หุ หุ"..ก็ใกล้คลอดแล้ว เป็นแนว Technical แบบ วางบนปัญญานะครับ ตามแนว S2M ไม่มีบู๊ล้างผลาญ !! คราวนี้ต้องขอเอาใจคนที่อยากเรียกรู้เทคนิคก่อน เพราะ S2M เรานี่คิดมานานพอสมควรว่า เราจะวางแนวทางการถ่ายทอดความรู้ โดยตั้งอยู่บนหลักของ "ปัญญา" (เน้นค่อยๆรวย แต่รวยแล้วรวยเลย ..คือ ไม่ต้องกลับมาจนอีก ไม่เอาแบบเดี๋ยวรวยเดี๋ยวจน อันนั้นเข้าบ่อนดีกว่า)

ครั้งนี้ต้องขอยอมรับว่า ผมใช้เวลาพอสมควร เก็บรวมรวมข้อมูลมาเป็นปี โดยความร่วมมือจาก "Trader ลึกลับ" (ผมมั่นใจว่าคนๆนี้รู้จริง ที่สำคัญหลักการมันตั้งอยู่บน Logic ที่พิสูจน์ได้ และเข้าใจแก่นของ Technical "ใครสนใจศึกษา Technical ผมบอกเลยไอ้พวกฟันธง ชัวร์ๆ ๆ แล้วเขาไม่บอกว่าที่มาของการคิดอย่างไร ส่วนมากไม่ใช่ของจริง เซียนจริงๆหลายๆคนที่ผมรู้จัก จะมีวินัยการ Trade สูงมาก คือ ถ้าผิดทางเขา Cut Loss ทันที ..ใช่!! เขารู้ว่า ขวานต้องใช้ทำอะไร!!"..อิ อิ)

เกี่ยวกับ Technical หลักๆ ก็คือแก่น เพราะอาวุธ จะใช้แล้วเกิดประโยชน์เพียงใด ที่สำคัญคือ เรารู่รึเปล่าว่าอาวุธนั้นๆ เหมาะกับใช้เพื่ออะไร "ถูกต้อง!! เราจะต้องหลีกเลี่ยงการใช้ขวานไปปอกมะม่วง...หุ หุ"

ว่าแล้วก็เอา Trendline มาดู CPF หุ้นไก่ร้อนแรง .."ตัวนี้มีคนมาถามผมช่วงราคา Peakๆ ว่า ได้ข่าวจากวงในจะไป 40 บาท ..ตอนนั้นผมก็คิดอยู่แล้วว่า พอข่าวดีเริ่มออก มันเป็นสุดรอบนั้นๆแน่นอน ..ยิ่งข่าวออกสื่อมากๆ Volume ตามดี ..แต่ราคาเริ่มนิ่งๆ side way "นั่นแหละเวลาออกของ ของเจ้ามือ" ..พูดง่ายๆดู Volume ประกอบกับข่าวดี ไม่ใช่ให้เราวิ่งเข้า ให้เตรียมสยองแทน เพราะเมื่อเจ้าเขาออก ราคามันก็ลง!!

เส้น Trendline ที่ 1 มีนัยยะมาก เพราะมีการทดสอบหลายครั้ง ตามกฏของ Dow Theory ที่ว่า "Price will Confirm each Other" และก็ "Resistance become Support" ดังนั้นเส้น Trendline อย่างจุดที่ 1 ที่ได้รับการทดสอบหลายๆครั้งจะ มีนัยยะสำคัญมากๆ

คนที่เล่น Technical ที่เข้าแล้วหุ้นวิ่งจะ Let Profit Run ไปเรื่อยๆ แล้วไปรอออกเมื่อ มันหมดสัญญาณขึ้น อย่างที่ยกมา Trendline เส้นที่ 1 สำคัญ การ Break เส้นสำคัญเป็นสัญญาณว่าขึ้นต่อ แต่เมื่อมัน Break ลงก็คือ "หมดสัญญาณ Bullish ดังนั้นจุดที่ 2 เป็นจุดที่ออก (จุดนั้นมีสัญญาณ Bearish จึงสองจุดคือ จุดแรก Break Trendline เส้นสำคัญลงมา จุดที่สองคือ EMA ตัดลง ..ความหมายคือ "ออกไปนั่งรอ ข้างนอกตลาด แล้วให้แมลงเม่า บินเข้ามาก่อน" ...จุดที่ Technical ออก จะเป็นจุดที่แมลงเม่าเข้ามาเก็บของเป็นระยะที่สอง เพราะคิดว่าได้ของถูก ในระยะแรกที่เก็บของแมลงเม่าก็ที่ Peak เพราะข่าวดี + Volume ไง "แหม!! เสร็จฉัน โอโหตลาดก็คึกคัก ..ที่ไหนได้ ..เจ้ากำลังออกของ"

"ถามว่าถ้าใช้ Technical จะเข้าอีกเมื่อไหร่" ..ก็ลาก Trendline เส้นที่ 3 ตามหลัก Dow Theory นั่นแหละ ... "ล่าสุดราคาสามารถ Break Trendline เส้นที่เราลากไว้ ..ทำไงดี" ...สัญญาณนี้หลายๆคนจะโดดเข้าไปเลย แต่ใจเย็นๆ รอให้ Price will confirm each other คือให้มันผ่านได้จริง แล้วกลับมาแตะบน Trendline ก่อน ..ให้กลับมาย่ำฐาน กลับมายืนเหนือ Trendline ได้จริง ถึงจะรู้ว่าผ่านจริง ...จากนั้นก็ตามได้

"ตามไปถึงไหน" ..ก็ตามไปถึง จุดที่มันหมดสัญญาณขาขึ้น แล้วก็โดดออก ... จุดที่สำคัญคือ ทางเลือกของเรา ว่าจะใช้เครื่องมือ Technical สัญญาณเร็วหรือช้า ..อย่างผมชอบศึกษาที่ยกตัวอย่าง คือค่อนข้างช้า ดังนั้น ผมจะ Let Profit Run ได้มากกว่าคนที่ใช้เครื่องมือเร็ว ...ส่วนข้อเสียก็คือ เวลาโดนมันจะโดนลึกกว่า "แค่จุดนี้หลายๆก็เลือกไม่ได้แล้ว แต่!! มันต้องเลือก --- High Risk ก็ High Return / Low Risk ก็ Low Return แค่นั้นเองจริงๆ!!

แต่ถ้าถามผมนะ ..ปีนี้ผมว่าเครื่องมือเร็วๆ จะช่วยลดบาดแผลคุณได้มากกว่า ..เพราะภาพใหญ่มันยัง Side way ดังนั้น การ Run Trend หรือ Let Profit Run ยาวๆ ผมว่าปีนี้อาจจะยากสักนิด ... "เมื่อใดที่รายย่อยเริ่มถอดใจในวิธีไหน ..นั่นแหละทางรวยเลย"

Technical ก็ไม่ต่างจาก การใช้พื้นฐาน ..คุณจะสำเร็จต้องคิดต่าง ..อิ อิ --- "แนะนำนี่เลย หนังสือใหม่ผมกับ Trader ลึกลับ.. หุ หุ --- ฟรีด้อมเทรดเดอร์ (Freedom Trader) ..เดี๋ยวจะวางแผง ให้ขำ (เฮ้ยไม่ใช่!!) ให้มีความรู้และความฮา เร็วๆนี้นั่นเองคร๊าบ!!"

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

เตือนสติ!! จุดดัก "รายย่อย"


ยกกราฟมาให้ดู AJ "พวกหุ้นร้อนๆ จะเห็นได้ว่าผม ไม่เคยเชียร์ให้เล่นเลย ..แต่เอาเข้าจริง รายย่อยชอบเข้าไปติด เลยยกมาให้ดู"

คือ จุดที่รายย่อยจะเข้าไปติดมากที่สุดคือ จุดที่ 1 "บนดอย" ...สาเหตุง่ายๆคือ Volume การซื้อขาย ร้อนแรง และราคาก็ขึ้นสูง ..รายย่อยที่เข้าไป ถามว่า เข้าไปซื้อด้วยเหตุผลอะไร ทั้งๆที่พื้นฐาน ณ จุดนั้นก็แพง ..."โลภ นั่นเอง เห็นหุ้นขึ้นแรง ก็มองว่า มันต้องขึ้นต่อ!! Volume เยอะคิดว่า คนอื่นก็ตื่นทองเหมือนกัน..แต่ที่ไหนได้ มันเป็น Volume ขายทิ้งจากเจ้ามือ ..."

ประเด็นนี้ถ้ามามองลึกๆจะเป็นได้ว่า จุดที่ 1 เป็นจุดที่เจ้ามือปล่อยของ ทำกำไรมากที่สุด ซึ่งแน่นอน ณ จุดนั้นเจ้ามือ ถอนทุนคืนเกือบหมด

... จากนั้น พอหุ้นราคาเริ่มลง รายย่อยก็นึกว่า มันหย่อนลงมาให้ซื้อ ---"อันตรายมาก" ..ถ้าดู Volume ประกอบ Volume จะลดลงเรื่อยๆ "ลองคิดดีๆ ถ้า Volume ไม่มา ราคาจะขึ้นต่อได้อย่างไร ...ดังนั้น การโดดเข้าไปรับหลังจากที่เจ้ามือ ทิ้งหุ้นหนักขนาดนั้น เป็นการซื้อที่ไม่สมเหตุสมผล..ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ เลือดสาด!! อย่างที่เห็น"

ประเด็น ที่หลายๆคนถามว่า เมื่อไหร่เจ้ามือ จะเข้าไปอีก ... "คุณลองคิดซิ ถ้าคุณเป็นเจ้ามือ คุณเพิ่งเทขายไปที่ราคา Peak จุดที่ 1 ..คุณเพิ่งได้กำไรไปหมาดๆ ในขณะที่คนอื่นเลือดสาด คุณจะทำอย่างไร .... ถ้าเป็นผม ผมจะตีตั๋วไป Hawaii ไปนั่งชมวิว ..ปล่อยให้พวกแมลงเม่า เข้าต่อสู้ โช้งเช้ง หักเหลี่ยมกันเอง ..ผมจะไปยุ่งกับพวกนี้ทำไม--จริงไหม!! -- ถามว่าแล้วเจ้ามือจะซื้อเมื่อไหร่ ..ก็เมื่อเลือดมันสาดเต็มพื้นแล้วค่อยมาเก็บศพ ไม่เห็นต้องรีบ!!"

รอบที่ผ่านมา ตลาดปั่นหุ้นพื้นฐานดี แต่ปั่นจนมันราคาหุ้นเลยพื้นฐานไปมาก จากนั้นก็ทำกำไร เลือดสาด .... จนรายย่อยเข็ดขยาด จากนั้น เขาค่อยมาสอยคืนในราคาที่เหมาะสม --- "เรื่องราว การเลือดสาดจะไม่เกิดขึ้นเลย หากคุณไม่โลภ ... ดังนั้น สำคัญที่สุด คือ อ่านพื้นฐาน ถ้ามันแพงเกินไปมากๆ เหมือน IVL อะไรแบบนั้น ..ถึงข่าวดี ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ..เพราะข่าวดี จะปล่อยออกมาทำบ้าอะไร ถ้าไม่ต้องการให้หุ้นมันขึ้น ..ดังนั้น เวลาเขาปล่อยข่าวดีมากๆ แสดงว่า เขาต้องการให้หุ้นขึ้น ..เราต้องมาดูว่า เขาต้องการให้ขึ้นเพื่ออะไร "ขึ้นเพื่อเขาจะขายทำกำไรหรือเปล่า" --- ประเด็นคือ มันไม่ใช่หุ้นไม่ดี "หุ้นน่ะ มันดี แต่เวลาและจังหวะที่คุณซื้อ มันผิดจังหวะ"..ดังนั้น ไม่ใช่ว่าหุ้นดี คุณจะกำไรเสมอไป!!

Volume ช่วยคุณได้ ...ลองศึกษา ประกอบกับ Chart และ Fundamental ประกอบ ... จะช่วยให้มุมมองของเราในการลงทุน มีความสุขุมมากขึ้นครับ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ