แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

Wednesday, May 28, 2025

เข้าใจ Wealth vs Cashflow เพื่อการลงทุนระยะยาวที่ดีขึ้น

 เข้าใจ Wealth vs Cashflow เพื่อการลงทุนระยะยาวที่ดีขึ้น 


1. Wealth คือ ความมั่งคั่งของเราทั้งหมด รวมสินทรัพย์ทุกอย่างที่เราถือครอง บ้าน ที่ดิน รถ ของสะสม …พูดง่ายๆ ว่า Wealth คือ ‘ความมั่นคง‘ 


2. Cashflow คือ รายได้หรือเงินสด ที่เข้ามาหาเราเรื่อยๆ …ทั้งจากการทำงาน และ เงินปันผลจากสินทรัพย์ที่เรามี …สั้นๆ Cashflow ก็คือ ‘อำนาจในการจับจ่ายใช้สอย’


3. คนที่มี Cashflow เยอะ มักกล้าใช้เงิน แต่คนที่มี Wealth อย่างเดียว มักไม่ค่อยกล้าใช้เงิน ….เพราะการเอา Wealth ตัวเองมาใช้มันทำให้เรารู้สึกไม่มั่นคง ’ความรวยลดเดี๋ยวจน’ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราต้องสร้างทั้ง Wealth และ Cashflow ไปพร้อมๆ กัน


4. หุ้นปันผลส่วนใหญ่ จะเน้นให้ Cashflow …เพราะเวลาเราถือครอง จะให้ปันผลในอัตราที่สูง แต่ข้อเสียคือพอตลาดเป็นขาขึ้น หุ้นพวกนี้จะขึ้นไม่เยอะ


5. หุ้นเติบโตหรือหุ้นขนาดเล็ก จะเน้นให้ Wealth …ดังนั้นในตลาดที่ไม่ใช่ขาขึ้น หุ้นพวกนี้จะแย่มากๆ แถมแทบจะไม่มีปันผล …แปลว่า ช่วงเวลาที่ดีของคุณพวกนี้คือตลาดขาขึ้นเท่านั้น


6. Cashflow ก็คือ คุณภาพชีวิต …เพราะถ้าเรารวยแต่ไม่ใช้เงินเลย ก็แปลว่า ความรวยที่เรามี สร้างแค่ ’ความรู้สึกมั่นคง’ แต่เราก็ไม่กล้าใช้เงินอยู่ดี 


7. จุดเหมาะสม ก็คือ การสมดุลย์ระหว่าง การสร้าง Wealth และ Cashflow ไปพร้อมๆ กัน …ทำให้รู้สึกทั้งมั่นคง และ ก็กล้าใช้เงิน


8. ตลาดขาขึ้นเราควรเน้นการสร้าง Wealth …ส่วนตลาดขาลง เราควรเก็บหุ้นสร้าง Cashflow …แล้วเมื่อตลาดกำลังจะเป็นขาขึ้นใหม่ ก็ค่อยเก็บหุ่นสร้าง Wealth อีกครั้งนั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

Saturday, May 24, 2025

เคยสงสัยไหมว่าบางคน ‘โคตรเก่ง โคตรฉลาด’ แต่ทำไมยังไม่รวยสักที ?

 เคยสงสัยไหมว่าบางคน ‘โคตรเก่ง โคตรฉลาด’ แต่ทำไมยังไม่รวยสักที ?


1. มี Lifestyle inflation …พอมีรายได้เพิ่ม ก็มีรายจ่ายเพิ่มมากกว่าตลอด …ใช้ชีวิตไฮโซเร็วไปหน่อย


2. ไม่วางเงินให้ทำงาน …ไม่แบ่งเงินลงทุน …ยิ่งเริ่มลงทุนเร็วแค่ไหน ก็มีโอกาสมีอิสรภาพทางการเงินเร็วขึ้นเท่านั้น


3. มัวแต่ทำงานที่ตัวเองไม่ถนัด …การทำงานไม่ถนัดมันควรทำตอนอายุยังน้อย ตอนที่กำลังค้นหาตัวเอง …แค่ถ้าอายุเริ่มเยอะ ต้องเลือกทำงานที่ตัวเองถนัด


4. ไม่สร้างผลงานที่จับต้องได้ …ผลงานก็คือผลลัพธ์ที่มาจากงานที่เราทำ …ต้องบอกให้ได้ว่า งานของเรา สร้างคุณค่า และ ผลลัพธ์อะไรบ้าง (รายได้จะแปรผันตามคุณค่าและผลลัพธ์เสมอ)


5. กลัวความเสี่ยงมากเกินไป …คนเก่งมักเข้าใจความเสี่ยง จนหลายครั้งกลายเป็นกลัว ไม่กล้าเสี่ยงเลย …ต้องไม่ลืมว่า ทุกครั้งที่ชีวิตจะก้าวกระโดดต้องกล้าเสี่ยง ..ใช่!! ล้มบ้างก็ได้ ความล้มเหลวไม่ได้เลวร้ายแบบที่เราคิด


6. เลือกหัวหน้าและลูกน้องที่ไม่ได้เรื่อง …หัวหน้ากับลูกน้องเลือกได้ ถ้าไม่ใช่ก็แค่เดินออกมา หรือไล่ออกไป การทนอยู่กับคนที่ไม่ใช่ มันทำร้ายและทำลายอนาคตทั้งคู่


7. อายุมากขึ้นต้องทำในสิ่งที่เราชอบ …อายุน้อยให้เลือกงานที่เงินเยอะ พออายุเยอะต้องเลือกงานที่ชอบ …เพราะ งานที่ชอบ ทำให้เราชอบตัวเอง เคารพตัวเอง และ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเป็นคนอย่างเรา


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

Saturday, May 17, 2025

8 ข้อสรุป The Almanack of Naval Ravikant

 8 ข้อสรุป The Almanack of Naval Ravikant 



Selfmade Billionaire ลูกครึ่งอินเดีย …อพยพมาอยู่อเมริกาตอน 9 ขวบ เลี้ยงโดยแม่เลี้ยงเดี่ยว …เป็นนักลงทุนใน Startup ชั้นนำ เช่น Twitter , Uber ..และอื่นมากมาย 


1. สะสม Asset …สินทรัพย์เป็นสิ่งเดียวที่ยิ่งสะสม ยิ่งมั่งคั่ง


2. เล่น Money Game อย่าเล่น Status Game …ถ้าเราต้องการดูรวย เราจะไปไม่ถึงความรวยจริงๆ 


3. อ่านหนังสือให้เยอะ …หนังสือจะจุดประกายสร้างปัญญาให้เรา 


4. สนใจ เลข และ การขาย …การขายคือการเข้าใจคนอื่น ชีวิตเราจะง่ายขึ้น


5. เลือก Choice ที่ยากเสมอ ชีวิตที่เหลือจะง่ายขึ้น …แต่ถ้าเลือกทำแต่สิ่งง่ายๆ ชีวิตที่เหลือจะยาก


6. หัวดำหัวหงอก ก็หลอกเราได้ …ไม่มีผู้เชียวชาญที่แท้จริงในสิ่งใด


7. อิสรภาพคือสุดยอดเป้าหมายของชีวิต …เด็กๆ เราต้อง ‘Freedom For’ …พออายุมากขึ้นจะเป็น ‘Freedom From’


8. อย่ากลัวที่จะเริ่มใหม่ …ทุกครั้งที่เริ่มคือโอกาสในความสำเร็จครั้งใหม่เสมอ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ทำไมแค่ซื้อหุ้นปันผลเก็บไปเรื่อยๆ เราก็มีอิสรภาพทางการเงินได้ ?

 ทำไมแค่ซื้อหุ้นปันผลเก็บไปเรื่อยๆ เราก็มีอิสรภาพทางการเงินได้ ?


บางครั้งการทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ ในเวลาที่คนอื่นไม่เห็นด้วยกับเรา (ด้วยความอดทนและต่อเนื่อง) มันยิ่งทำให้เรายิ่งประสบความสำเร็จ !!


1. มันคล้ายการมีบ้านปล่อยเช่านั่นแหละ …เราจะได้เงินจากปันผลไปเรื่อยๆ เลี้ยงเรา


2. หุ้นไม่ได้มีค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา …ต่างๆ กับ สินทรัพย์หลายๆ อย่าง ที่ต้องมีค่าดูแล เช่น บ้าน , ที่ดิน 


3. หุ้นจำกัดความเสียหาย แค่ที่เราถือครอง …ดังนั้น ถึงบริษัทติดหนี้ หรือ ล้มละลาย เราก็เสียหายแค่ที่เราถือเท่านั้น


4. หุ้นก็คือธุรกิจที่เมื่อโตถึงจุดนึงจะกลายเป็น Cash Cow นั่นก็คือ สร้างกระแสเงินสดต่อเนื่อง มั่นคง นี่แหละ ที่เหมาะจะถือให้หุ้นจ่ายปันผลเลี้ยงเรา


5. นอกจากปันผล หุ้นบางตัวที่เราถืออาจขึ้น แล้วทำกำไรให้เรามหาศาล …โดยมากคนที่รวยจากหุ้นเยอะๆ คือ คนที่ถือยาว …เพราะคนเล่นสั้น หุ้นขึ้นนิดเดียวก็ขาย เลยไม่ได้กำไรคำใหญ่แบบคนซื้อถือยาวกินปันผล


6. ควรคัดหุ้นที่เจ้าของถือเยอะ …ถือเยอะ หมายถึง สัดส่วนในการถือเยอะ เขาจะทำทุกอย่างที่ให้ประโยชน์ผู้ถือหุ้นมากที่สุด


7. การซื้อหุ้นคืน ก็เป็นสัญญาณที่ดี ที่ทำให้มูลค่าหุ้นเพิืม และ ปันผลเพิ่มขึ้น …แถมเป็นสัญญาณที่ดีว่า บริษัทมีการเงินแข็งแกร่ง


8. การซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย ยิ่งให้ผลดีหากเราเริ่มสะสมในช่วงตลาดไม่ค่อยดี เพราะ เราจะได้เงินปันผลเฉลี่ยที่สูงขึ้น ทำให้เราไปถึงอิสรภาพทางการเงินได้เร็วขึ้น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

Sunday, May 11, 2025

เลือกหุ้นให้แม่น ..ไม่ใช่ทำนายว่าอะไรจะเปลี่ยน ให้มองหา อะไรที่ไม่เคยเปลี่ยน !!

 เลือกหุ้นให้แม่น ..ไม่ใช่ทำนายว่าอะไรจะเปลี่ยน ให้มองหา อะไรที่ไม่เคยเปลี่ยน !!


1. หุ้นที่ดีแล้ว ไม่เคยทำให้เรารวย ….หุ้นที่ดีแล้ว ก็แปลว่า มันขึ้นมาเยอะแล้ว มันทำให้คนที่ถือมาก่อนรวยไปแล้ว …มันเลยไม่ทำให้เรารวยไง 


2. หุ้นส้นตีน เป็นหุ้นที่สร้างเศรษฐีใหม่ ….ก็เหมือนซื้อหวย มันไม่ Make Sense แต่อย่างน้อยทุกงวด ทุกเดือน มันก็สร้างเศรษฐีใหม่ขึ้นมา 1 คนเสมอ (แม้ว่าส่วนใหญ่จะ รวยแป๊บเดียว ก็ขอสักครั้งอ่ะนะ)


3. คนส่วนใหญ่ลงทุนผิดตลอด …คนส่วนใหญ่จะขายหุ้นทิ้ง ในเวลาที่ควรเริ่มซื้อมากที่สุด …และคนส่วนใหญ่ จะซื้อหุ้นในเวลาที่ราคามันแพงสุด 


4. หุ้นจะขึ้นลงเป็นรอบ ไม่ว่า หุ้นนั้นจะเป็นหุ้นพื้นฐานดี หรือ พื้นฐานไม่ได้เรื่องก็ตามที …มันจะมีรอบเสมอ อยู่ที่เราจะซื้อตรงไหน …ข้างบน หรือ ข้างล่าง ?


5. หลังเหตุการณ์แย่ หุ้นจะดี …หลังเหตุการณ์ดี หุ้นจะแย่ ….แต่คนส่วนใหญ่ ซื้อหุ้นตามเหตุการณ์ …พอรู้สึกดี ก็ซื้อหุ้น จากนั่นหุ้นก็แย่เลยซวย 


6. ถ้ามุ่งลงทุนระยะยาวผลตอบแทนจะดีเสมอ แต่เราก็อดไม่ได้ที่อยากกำไรเร็ว แล้วเปลี่ยนมาลงทุนระยะสั้น …ถึงสั้นที่สุด 


7. ถ้าเราอยากเปลี่ยน ให้ค่อยๆ ฝึกทำตรงข้ามกับความรู้สึกเรา …เริ่มทีละน้อย ค่อยๆ ให้ผลลัพธ์ใหม่ สอนเราให้เปลี่ยน


ใช่!! อาจารย์ที่ดีที่สุดในตลาดหุ้น คือ คนที่อยู่ตรงข้ามเรา …ในวันที่เราขาย เขาตั้งซื้อจากเรา …ในวันที่เราเข้าซื้อ เขาตั้งขายให้เรา …หวังว่าวันนึงเราจะคิดได้ ทำได้แบบคนตรงข้าม !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ความแตกต่างอย่างสุดขั้ว ‘พอร์ตเพื่อรวย‘ ต่างกับ ’เพื่อรักษาความรวย’ ยังไง ?

 ความแตกต่างอย่างสุดขั้ว ‘พอร์ตเพื่อรวย‘ ต่างกับ ’เพื่อรักษาความรวย’ ยังไง ?


1. พอร์ตเพื่อรวย คือ มองหาโอกาส ’เชิงรุก’(Active)  …ส่วน เพื่อรักษาความรวย คือ เตรียมตัวป้องกันวิกฤต ‘เชิงรับ‘ (Passive)


2. พอร์ตเพื่อรวย ต้อง วิ่งเข้าหาความเสี่ยง ในเวลาที่คนอื่นกลัว เช่น ซื้อหุ้นตอนหุ้นลงแรง …ส่วนพอร์ตรักษาความรวย พยายามหนีความเสี่ยง เช่น ซื้อกองทุนผสมมีทั้งตราสารหนี้และทุน …หรือ ซื้อตราสารหนี้เป็นส่วนใหญ่


3. พอร์ตเพื่อรวย จะ Focus ซื้อน้อยตัว ไม่กระจายความเสี่ยง …พอร์ตเพื่อรักษาความรวย ต้องกระจายความเสี่ยงให้เยอะ เช่น การซื้อ ETF ของ index ตลาดต่างๆ 


4. พอร์ตเพื่อรวย จะดีมากในตลาดขาขึ้น (พอร์ตจะโตเร็วแบบก้าวกระโดด) …พอร์ตเพื่อรวย จะโดดเด่นมากในตลาดขาลง เพราะ การกระจายความเสี่ยงที่ดี ทำให้ขาดทุนน้อย หรือ อาจจะไม่ขาดทุนเลย


5. พอร์ตเพื่อรวย เหมาะกับ คนที่มีรายได้สม่ำเสมอแล้วมองหาโอกาสรวยจากการลงทุน …พอร์ตเพื่อรักษาความรวย เหมาะกับ คนที่มีเงินก้อน แต่ไม่มีรายได้อื่นเข้ามาอีกแล้ว 


6. พอร์ตเพื่อรวย มีจุดอ่อนคือ เวลาตลาดไม่ดีจะขาดทุนเยอะ เฉลี่ยจะติดลบประมาณ 50% …พอร์ตเพื่อรักษาความรวย มีจุดอ่อนคือ พอร์ตจะไม่ค่อยโต (ก็เพราะกระจายความเสี่ยงมากเกินไป) 


7. ถ้าเอาทั้ง 2 แนวมาผสมกันล่ะ ….ก็ต้องแยกแต่ละพอร์ตให้ชัดเจน ตามวัตถุประสงค์ …แยกให้ชัด ไม่เอามารวมกัน 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

Saturday, May 10, 2025

ศิลปะของการปฏิเสธ ทำให้เรามีเวลามากขึ้น รวยเพิ่มขึ้น …สบายๆ

 ศิลปะของการปฏิเสธ ทำให้เรามีเวลามากขึ้น รวยเพิ่มขึ้น …สบายๆ 

‘เรามักจะเก่งในการเลือกทำ ..ก็คือทำสิ่งที่ดีที่สุด ….แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญมากกว่า คือ เลือกว่าเราจะไม่ทำอะไร’ 


เหตุผลก็คือ เรามีเวลาจำกัด 


…การเลือกว่าเราจะไม่ทำอะไร มันจะช่วยให้เรามีเวลามากขึ้น …เราจะได้เอาเวลาที่เราทุกคนมีอย่างจำกัด ไปใช้ในสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีกว่านี้


1. ’พยายามทำในสิ่งที่ออกแรงน้อยแต่ให้ผลเยอะ‘ …เช่น การลงทุนระยะสั้นออกแรงเยอะ แต่ให้ผลน้อย แถมความเสี่ยงสูง ได้เยอะ เสียเยอะ …ส่วนการลงทุนระยะยาว ออกแรงน้อย แต่ให้ผลที่มากกว่า (แต่มันยากกว่า และ ต้องใช้ความอดทนที่สูงกว่ามาก)


2. ’ให้ใช้เวลากับคนที่มีเป้าหมายแบบเดียวกับเรา’ ….ก็เหมือนเพื่อนเดินทาง ถ้าเป้าหมายมันคนละแบบ มันก็ไม่ work ป่ะ …เช่น คนนึงอยากชมวิว แวะตลอด กับ อีกคนอยากไปถึงเป้าหมายให้เร็ว …มรึงไปคนละคันเถอะ …555


3. ’ถ้ายังคิดอะไรไม่ออก ให้ใช้เวลากับกิจวัตรที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น‘ ….สมมุติกิจวัตรเราคือ เราจะกินเหล้าวันละขวด แน่นอน ปลายทางคือ ติดเตียง แบบไม่ต้องเดา ….แต่ถ้ากิจวัตรเราคือ ออกกำลังกายวันละชั่วโมง ..ปลายทางมันดีชัวร์ๆ ไม่ต้องสงสัย …ใช่ป่ะ?


4. ’การลงทุนก็เป็นกิจวัตรได้ แล้วดีด้วย‘ …ถ้าเราคิดไม่ออกว่าจะรวยยังไง …แต่ถ้าเราแบ่งเงินมาซื้อหุ้นปันผลดี ทุกเดือน เก็บไปเรื่อยๆ …อาจเริ่มจาก 10% ของเงินเดือน (พอเงินเดือนเยอะขึ้น ก็เพิ่มสัดส่วนซื้อหุ้นมากขึ้น) …ไปเรื่อยๆ …สุดท้ายหุ้นปันผลที่เราซื้อ มันก็ให้ปันผลมากขึ้นเรื่อยๆ ….จนในที่สุด เงินปันผล ที่เราได้มากกว่าเงินเดือน นั่นแหละ ‘จุดเริ่มต้นของอิสรภาพทางการเงิน‘ 


5. ‘คนที่ไม่มีเงินจะพูดว่า เงินสำคัญกว่าเวลา 

…แต่คนที่มีเงินจะพูดเหมือนกันว่า เวลาสำคัญกว่าเงิน‘ ….เออ!! อยากเป็นอย่างหลังทำไงล่ะ ? …เอาตรงๆ เลยนะ คนอย่างแรกกับคนอย่างหลัง มันคนละประเภทกัน …ถ้าอยากเป็นแบบคนอย่างหลัง มันก็ต้องคิดและทำแบบคนอย่างหลัง …ก็คือ ให้ความสำคัญกับเวลาตั้งแต่ยังไม่มีเงิน …ใช่!! แล้วเดี๋ยวเงินมันก็จะมาเอง ส่วนเวลาก็มีอยู่แล้ว (เพราะคุณจะมุ่งหาแต่สิ่งที่ให้เงินสูงสุด ในเวลาที่สั้นที่สุดไง - ’ผมเป็นประธานบริษัท เดี๋ยวผมไปตีกอล์ฟก่อนนะ …เฮ้ยๆๆ ไปคุยงาน‘)


6. ’อย่าเสียเวลาไปทำ ในสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้‘ …พูดง่ายๆ ทำอะไรก็ได้ ที่คู่แข่งมันน้อย หรือ คู่แข่งไม่เก่ง ….สมัยก่อนเขาจะให้เราไปจับปลาในที่มีปลาเยอะๆ …เชื่อเถอะในโลกที่ข้อมูลถึงกันหมด …ไปแย่งกันจับ มันแทบจะไม่ใครได้ปลา ….หาจุดยืนที่แตกต่าง แปลกแยก สุดไปเลย บางทีโลกมันจะหมุนมาหาคุณแบบ งงๆ ก็ได้ (ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ ? …ได้ดิ ถ้าคุณลึกพอ สุดพอ สุดเลย) ….ให้ปลามันวิ่งมาหาเราเอง   


7. ‘ก่อนที่จะปฏิเสธ เราต้องมีสักอย่างที่ทำได้ดีก่อนนะ‘ …ใช่!! การที่จะเลือกได้ว่า อันนี้ผมทำ อันนี้ผมไม่ทำ …เราต้องแน่ใจก่อนว่า เรามีสักอย่างที่เราทำได้ดี …ถ้ายังไม่มี ต้องรีบหาของ สร้างของ ’เป็นคนมีของ!!‘ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ตลาดหุ้นไทยกำลังขึ้นรอบใหม่ หรือจริงๆ มันหมดอนาคตแล้ว ?

 ตลาดหุ้นไทยกำลังขึ้นรอบใหม่ หรือจริงๆ มันหมดอนาคตแล้ว ?


คำถามนี้สำคัญมาก เพราะ ถ้าคำตอบคือขึ้นรอบใหม่ เราต้องซื้อ แต่ถ้าตำคอบคือหมดอนาคต เราต้องขาย !!


1. ในช่วงที่ตลาดไม่มีอนาคตกับ ตลาดต้นรอบ มันมีส่วนที่คล้ายกันมาก ก็คือ ‘หุ้นส่วนใหญ่ มันจะถูกมากๆ เพราะไม่มีใครอยากซื้อ และก็ไม่มีใครกล้าซื้อ’ 


2. ต้องตอบให้ได้ว่า หุ้นที่เราอยากซื้อ ในอนาคตจะมีรายได้มากกว่านี้ หรือ รายได้ลดลงเรื่อยๆ ….ใช่!! ถ้ารายได้ในอนาคต จะมากกว่านี้ ก็แปลว่า มันมีอนาคต …แต่ถ้ารายได้จะลดลงเรื่อยๆ แปลว่า ธุรกิจนั้นกำลังจะตาย ไม่มีคนซื้อและใช้สิ่งนั้นอีกต่อไป


3. หุ้นจะดีต่อเมื่อมันอยู่ในประเทศที่มีความมั่นคงและเติบโต …ถ้าดูประเทศไทยจริงๆ เรามีความมั่นคง …ส่วนสิ่งที่ต้องถกเถียงกันคือประเทศเราจะเติบโตหรือไม่ ? ….คนอยากมาอยู่ ? ต้องค่าครองชีพไม่แพง มีงานที่เติบโตได้ …หรือ คนอยากมาเที่ยว ? เช่น คนอยากไปเที่ยวญี่ปุ่น เที่ยวจีนมากขึ้น แต่คนอยากไปเที่ยวอเมริกาน้อยลง ทำไม ?


4. ในเชิงเทคนิค หุ้นจะวิ่งเป็นรอบ เป็น Cycle …แต่ในตลาดที่หมดอนาคต หุ้นจะลงไปเรื่อยๆ ทำจุด New Low ไปเรื่อยๆ อันนั้นแปลว่าหมดอนาคต


5. ‘เราผ่านจุดขาย จุด Cut Loss ที่ดี ไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว ?’ …จุดขาย จุด Cut Loss ที่ดี คือ ช่วงที่ราคาหุ้นลงแรง และมี Volume มหาศาล …แล้วตอนนี้ราคาอยู่ตรงไหน ?


6. ในเชิงพื้นฐาน จุดที่เจ้าของ และรายใหญ่ขาย ไม่ลงทุนต่อ เป็นจุดที่เสี่ยงที่สุด ….หุ้นดีดูง่ายๆ คือ เจ้าของถือเยอะ …ปันผลสูง (ก็เพราะเจ้าของถือเยอะ) …ซื้อหุ้นคืน ก็เพราะมีเงินสดเหลือ แล้วหุ้นถูกเพียงพอ


7. ’ไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุด‘ …เพราะจริงๆ คำตอบ คือ ทางเลือกของเราแต่ละคน มีเกิดจาก ‘ประสบการณ์ + ความเสี่ยงที่เรารับได้’ …ไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุด แต่มีคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับเราเท่านั้น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

Thursday, May 8, 2025

‘Man Search for meaning’ หาความหมายในตลาดหุ้น

 ‘Man Search for meaning’ หาความหมายในตลาดหุ้น


ตลาดหุ้นมาหาเงิน ไม่ใช่เหรอ มาหาความหมายอะไร ? 


ถ้าเราเปรียบนักลงทุนระยะยาวตลาดหุ้น ก็เหมือนทั้งชีวิต ต้องเจอขึ้นแรง ลงหนัก …เราถึงต้องมาทำความเข้าใจมันอย่างถ่องแท้นั่นเอง


1. ‘ถ้าเรามองแค่ตัวเลขกำไรตลอดเวลา เราจะเจอช่วงที่แย่ และจิตตกมากๆ‘ …เพราะขนาดปู่ Buffett หุ้นของเขายังมีช่วงเวลาที่ราคาหุ้นมันย่อ 50% ถึง 3 ครั้ง …คำถามคือ ‘ช่วงที่มันแย่ เราจะทำใจยังไง ไม่ให้สติแตกหรือเลิกเล่นไปก่อน ?‘ 


2. การหาความหมาย (Purpose) จากหนังสือ Man Search For Meaning …บอกว่า มันมี 3 จุด ที่เราต้องค้นหา คือ หนึ่ง จากงานที่เราทำ ..สอง จากความรัก และการช่วยเหลือคนอื่น …และ สาม จากความทุกข์ 


3. ‘ความหมายของความทุกข์ จะหาเป้าหมายได้อย่างไร ?‘ …ความทุกข์มันจะถ่อม Ego ของเรา ทำให้เราหันมามองความจริงมากขึ้น …อย่างตลาดหุ้นไม่ใช่มันจะขึ้นตลอด …เราต้องอยู่กับขาลงด้วย 


4. ’ชีวิตไม่จำเป็นต้องสุขตลอด แต่อย่าทิ้งเป้าหมาย‘ …เป้าหมาย และ ความสม่ำเสมอ จะทำให้เราผ่านช่วงแย่ๆ แล้วพาเราไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด …คล้ายๆ การออกกำลังกาย เราไม่ได้สุขภาพดีและหุ่นดีในเวลาสั้น มันอาศัย ความสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง ทุกข์ระหว่างทาง กว่าจะถึงความสำเร็จ


5. ’Freedom to Respond คือ อิสรภาพสิ่งที่เรามี แม้แต่ในช่วงที่เราไร้อิสรภาพก็ตาม’ …แปลว่า คนสองคนที่เจอเหตุการณ์เลวร้ายเหมือนกัน คนนึงอาจมองแย่ ซึ่งมันก็ยิ่งแย่ …ในขณะที่อีกคนมองจุดดี แม้ทุกข์ระหว่างนั่น แต่ก็จะผ่านมันไปได้ในที่สุด 


6. ’ชีวิตมีความหมาย เพราะเราให้ความหมายมัน’ …ความหมายนั่นแหละ ที่ทำให้มีพลัง มีกำลังใจ และ จะพาเราผ่านอุปสรรคต่างๆ ในที่สุด


7. ’การปั้นพอร์ตให้โตในระยะยาว ไม่ใช่การที่เราต้องกำไรตลอด ชนะทุกครั้ง แพ้ได้แต่ห้ามตาย ห้ามเลิก’ …มันคือ การค่อยๆ ปรับวิธีการลงทุน ให้เหมาะกับเราที่สุด …มันคือ ศิลปะแห่งการประคองตัว ที่เราต้องเรียนรู้และเติบโตชั่วชีวิตนั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


Wednesday, May 7, 2025

6 ข้อ ที่เราควรรู้ว่าทำไม VI ยัง work ในตลาดหุ้นไทย !!

 6 ข้อ ที่เราควรรู้ว่าทำไม VI ยัง work ในตลาดหุ้นไทย !!


1. VI คือ การมองยาวในขณะที่อื่นมองสั้น …การมองยาวซื้อแล้วถือ ส่วนการมองสั้นคือการซื้อแล้วขายในเวลาสั้น


2. VI มันดีในเวลาที่หุ้นไม่แพง …ปัญหาหลักของการซื้อหุ้นแล้วไม่รวย เพราะเราซื้อแพง …ดังนั้นเวลาที่ตลาดถูก เป็นเวลาที่เราต้องคุยเรื่อง VI


3. ช่วงที่ดีที่สุดในการซื้อหุ้นแล้วถือยาว คือเวลาที่คนอื่นไม่อยากซื้อหุ้น


4. ช่วงที่หุ้นแย่สุด เจ้าของคือคนที่ต้องซื้อแล้วถือยาว …สิ่งที่เราเห็นคือ การซื้อหุ้นคืน การปันผลสูง 


5. ตลาดหุ้นไทยคือหุ้นยุคเก่า ที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต แปลว่า เราจะดีในเวลาที่โลกยากลำบาก


6. แก่นของ VI คือ การซื้อแล้วถือ ซึ่งเราจะทำแบบนั้นได้เมื่อเราบริหารเงินสดได้ดีนั่นเอง 


#ภาววิทย์ 

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ