วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เศรษฐีณีผู้เล่นหุ้นตั้งแต่ตลาดยังไม่เปิด(งง..เล่นยังงัย)แต่รวยง่ะ!!


จริงๆแล้วการวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณ เรื่องการลงทุน ในที่ต่างๆ เช่น ทอง, หุ้น, ที่ดิน ..ผมเชื่อว่าในระยะสั้น ไม่มีใครสามารถวิเคราะห์และทำนายได้อย่างตรงเป๊ะหลอกครับ หรือ ถ้ามี "คุณต้องตั้งข้อสงสัยเอาไว้ก่อนเลยว่า เขาคือ เจงกิสข่านหรือเปล่า"..หลายคน งง ว่า "เจงกิสข่าน มาเกี่ยวอะไรด้วยฟะ" --..หุ หุ ก็ เห็นหลายๆคนลือว่า ที่เจงกิสข่านเก่งกาจ เพราะเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว จึงเป็นนักรบที่เก่งกาจกว่าคนสมัยนั้นมาก สามารถครอบคลองอาณาจักรแผ่ขยายไปกว่าค่อนโลก อ้าว!! ว่าไปนั้น

จริงๆมันไม่มีหรอกครับ --แต่สิ่งที่มีมันก็คือ "มุมมอง + ความเสี่ยง" อย่างสมมุติ ผมมองเห็นว่า "ราคาหุ้นในอีก 3 ปี จะต้องขึ้นแน่นอน แต่ถ้ามาถามผมในระยะสั้น ผมก็จะไม่สามารถบอกได้ เพราะจริงๆแล้ว ในระยะสั้น มันอาจผันผวน -- ยิ่งกว่า!! การพนันเสียอีก ดังนั้น กฏเกณฑ์ในการวิเคราะห์(ระยะสั้น กับยาวมัน)จึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง

พูดถึงตรงนี้ ผมว่า คนส่วนใหญ่ จะอยากรู้ว่า "ระยะสั้น จะทำอย่างไร" มันเป็นเรื่องปกติที่เรามักจะต้องการรู้ เหตุการณ์ในระยะสั้น เพราะเนื่องจากชีวิตของเรามันไม่ได้ยืนยาวนัก (ตอนนี้ก็ไม่เกิน 100 ปี) คุณเคยเห็น คุณนายแก่ๆ ที่เขาเรียก "เศรษฐีณีไหม" ส่วนมากจะอายุก็ 80 ปีขึ้นไป หลายคนสงสัยว่า ทำไมพวกนี้ "โชคดีรวยมาก ที่ดิน ที่เขาเป็นเจ้าของ ล้วนมีค่าเป็นร้อยเป็นพันล้านบาท" และถ้าถามว่า เขาซื้อมาราคาเท่าไหร่ "ขอบอกว่าถูกมาก ถูกแบบคิดไม่ถึง คือ เขาอาจซื้อไร่ละไม่กี่พันบาท แต่ปัจจุบันมันพันล้านบาท"

ผมว่าทุกคนคงเคยดู "แม่นาคพระโขนง" เรื่องนี้ผ่านมายังไม่ถึงร้อยปี (ถ้าลองคิดถึงเทคโนโลยีในภายหน้า ซึ่งจะทำให้ อายุขัยของเราสูงกว่า ร้อยดี กลไกการเปลี่ยนแปลง ของความคิดเราต่อ มูลค่าสินทรัพย์ คุณลองคิดดูว่า มันจะเปลี่ยนไปอย่างไร) อย่างละครแม่นาค ที่เราดู "ที่ดิน"แถบพระโขนง คือ อยู่ในป่านะครับ (กันดารมากๆ) คือ ถ้าคุณเกิดในสมัยนั้น ให้ที่ดินฟรี คุณยังไม่รู้จะเอาหรือเปล่า ..

กลับมาถึงเรื่องของ "เศรษฐีณี" ที่เกิดในสมัย ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงสมัยก่อน ก็ต้องพึ่งสามี ที่รับ ราชการ ดังนั้น สามีของเศรษฐีณี น่าจะรับราชการ บางครั้งก็ได้รับปูนบำเหน็จ แกเลยเอามาซื้อที่ดินไว้ให้เป็นมรดกลูก--อะไรประมาณนั้น ( สมัยนั้นไอ้ที่ดิน 10 ไร่ "แถวๆแม่นาคพระโขนงอยู่" มันแทบไม่มีค่า เพราะมันไกลอยู่กลางป่า ทำรายได้ก็ไม่ได้).. หลังจากที่แก ครอบครองที่ดินไร้ค่านั้น มา 50ปี(จริงๆแกอาจลืมไปแล้วว่ามีที่ดินนั้นอยู่) ปรากฏว่ามีคนมาขอซื้อแก ไร่ละ 100 ล้าน แกเลยขายไปได้มา 1,000 ล้าน

ในอีกด้านนึง "เศรษฐีณี" ถ้ามุ่งแต่เก็บ "เงินที่ได้จากเงินเดือนของสามี "ที่สมัยนั้น ประมาณเดือนละ 200 บาท" คุณคิดดูละกัน ว่า (ภาพที่เห็น ในหัวคุณกับโลกแห่ง การลงทุนมัน เป็นภาพที่ต่างกันมากมายจริงๆ)

ผมมองย้อนกลับ แค่ 10 ปีที่แล้ว ที่ PTT เข้า IPO ในตลาดที่ 30 บาท (ใครๆก็มองว่าเป็น คุณ PTT ก็ "ปอ เต็ก ติ้ง") แต่คุณดูตอนนี้ซิ ราคาเท่าไหร่ (นี่ผมยังไม่ได้คิดปี 2008 ที่ราคาหุ้นพุ่งไป 440 บาทนะ) คือ เอาแค่ราคาตอนนี้ 250 บาทเทียบกับ เมื่อ 10 ปีที่แล้วซิครับ (จะเห็นได้ว่า มันก็เป็นมุมที่คล้ายกับ เศรษฐีณี คือ คนส่วนใหญ่มองข้ามการตีราคามูลค่าสินทรัพย์ในอนาคตนั่นเอง)

ย้อนมาที่ประเด็น (มุมมอง+ความเสี่ยง จึงเท่ากับ "ความมั่งคั่ง") เพราะหากเราวิเคราะห์ แต่เราไม่ลงมือทำ เพราะกลัวเสี่ยง เราก็จะไม่ได้ความมั่งคั่ง ..อย่าง เศรษฐีณี ความมั่งคั่งของแก อยู่ที่การเปลี่ยนเงินเดือนที่น้อยนิด(ของสามี)สมัยนั้น เป็นที่ดิน (ซึ่งสมันนั้นก็ไม่มีใครเห็นมูลค่ามัน จึงถูกมากๆ) แต่ปัจจุบัน "มีคนมากมายที่เห็นค่าที่ดิน..ราคามันจึงแพง) ดังนั้น โอกาส ของคนรุ่นใหม่มีไม่มาก ..คุณลองมองไปซิ ไม่ว่าทอง หรือ อะไรก็ตาม มันแพงหมด ---ผมเลยเห็นโอกาสเดียวของ "คนรุ่นใหม่" ที่จะสามารถลงทุนในโอกาสที่เหมือนกับเศรษฐีณี ก็คือ "ใช้วิธีเดียวกับเศรษฐีณี นั่นเอง"

ใช้แล้วครับ เศรษฐีณี แกซื้อสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าไม่มีมูลค่า (แต่จริงๆมันมี) ---มันก็คล้ายๆกับ คุณซื้อหุ้นที่คนอื่นมองว่าไม่มีค่านั่นแหละ ..คือ จะรวยไม่ว่าในยุคสมัยใดมันก็ต้องออกแรง "คุณว่า คุณเสี่ยง แต่ เศรษฐีณี เขาก็เสี่ยงเช่นกัน" ไม่เห็นมีอะไรต่าง มันอยู่ที่คุณมองเป็นหรือเปล่าต่างหาก --"ที่กล่าวว่า เศรษฐีณีผู้เล่นหุ้นตั้งแต่ตลาดยังไม่เปิด มันก็คือ สมัยนั้นยังไม่มีตลาดหุ้น ซึ่งสิ่งที่ เศรษฐีณี ทำนั้น ก็คือ การซื้อที่ดินที่มีความเสี่ยงต่ำ ในภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงนั่นเอง" (หลายคนเอามาตีความ แล้วไปซื้อที่ดินบ้าง(มันคนละสถาณการณ์เลย) อย่างนี้มัน"เมา"แล้ว)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น