แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิธีซื้อหุ้นตัวแรกในชีวิต ภาววิทย์เลือกให้หน่อย


7 ขั้นตอน 'เริ่มซื้อหุ้นตัวแรกในชีวิต' 

การซื้อหุ้นแล้วถือ ก็ทำให้เรามีสถานะเป็นนักลงทุน เหมือนเศรษฐีใหญ่ที่เราเห็น เขาเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ๆมากมาย ..เราก็ได้เริ่มจากเงินหลักพัน หลักหมื่นของเรานี่แหละ ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อย

'อย่าหมิ่นเงินน้อย' นี่แหละที่คนส่วนใหญ่ปิดโอกาสตัวเอง ..พอเงินน้อยก็ไม่เริ่ม ..ก็เลยไม่เคยมีโอกาส 'วางเงินทำงาน' ..ซึ่งหุ้นนี่แหละ เปิดโอกาสให้คนธรรมดา สามารถวางเงินทำงานได้อย่างเศรษฐีเลยแหละ 

ค่อยๆ เริ่ม 'อย่าหมิ่นเงินน้อย' มี 7 ขั้นตอน ดังนี้

1. 'เปิดพอร์ตหุ้นของตัวเอง' ..ยกตัวอย่างแบบง่ายสุด ไปที่สาขาธนาคารกรุงเทพทุกสาขา ขอเปิดบัญชีหุ้น แบบ บัญชีเงินสด (Cash Balance) แปลว่า พอร์ตนี้จะซื้อหุ้นจากเงินที่เรามี มากน้อยได้หมด ...หลักฐานที่นำไปด้วย คือ 1.บัตรประชาชน 2.ทะเบียนบ้าน 3.บัญชีธนาคาร (เอาบัญชีธนาคารเราไปผูกกับ พอร์ตหุ้นที่เราจะเปิด เอาไว้จ่ายเงินซื้อหุ้น รับเงิน และรับปันผล)

2. 'เตรียมเครื่องมือซื้อหุ้น' ...พอเปิดพอร์ตหุ้นของตัวเองเสร็จ เราสามารถซื้อหุ้นได้ 2 ทาง คือ 1.โทรสั่งซื้อผ่านโทรศัพท์ (ที่เรียกว่า ซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด หรือ Marketing นี่แหละครับ) 2. กดซื้อขายหุ้นด้วยตัวเอง (อันนี้คือซื้อขายผ่านมือถือหรือคอมพิวเตอร์เราเองเลย ก็เข้าเว็บของ โบรคเกอร์บัวหลวง แล้วก็ใส่ Username กับ Password เข้าล็อคอินในเว็บ ก็ใช้เครื่องมือซื้อขายหุ้นด้วยตัวเองได้เลย)

3. 'เตรียมเงินเพื่อทดลองซื้อหุ้น' ...ในการซื้อขายหุ้น มีกำหนดขั้นต่ำคือ ซื้ออย่างน้อยครั้งละ 100 หุ้น ..สมมุติว่าหุ้นตัวนึงราคา 20 บาท ...ก็แปลว่า เราต้องซื้อขั้นต่ำ 2,000 บาท (เห็นไหมล่ะ จะเริ่มเล่นหุ้น ไม่เห็นต้องเป็นเศรษฐี เริ่ม 2,000 บาท ก็ยังได้ ...ยิ่งหุ้นบางตัวราคาไม่กี่บาท ก็มีมากมาย)

4. 'เลือกหาหุ้นที่อยากทดลองซื้อ' ..ครั้งแรกเราไม่ได้จะซื้อเพื่อรวย แต่เราจะทดลองซื้อเงินจริงให้เราเรียนรู้กระบวนการซื้อ ...ก็เริ่มจากค้นหาหุ้น ซึ่งในตลาดมีหุ้นอยู่ 800 ตัว (บริษัทชั้นนำ ที่เรารู้จักทั้งนั้น เช่น เซ็นทรัล , ซีพี , ปตท. , AIS , ธนาคารกรุงเทพ , MK สุกี้ , คอนโด LPN , สนามบิน AOT , ...เอาตัวไหนดี ?)

5. 'ซื้อเลยตัวนี้' ...เลือกมา หนึ่งตัว แล้วกดซื้อเองเลย ...ไม่ลองก็ไม่รู้อยู่นั่นแหละ ...ให้ผมเลือกให้ก็ได้ เอา ธนาคารกรุงเทพละกัน ..เพราะตอนนี้ ซื้อที่ราคานี้ก็ได้รับเงินปันผลประมาณปีละ 4% ...'เสี่ยงไหม ?' 

6. 'เสี่ยงคืออะไร ?' ...สมมุติเราจะลองซื้อหุ้นธนาคารกรุงเทพ ตัวย่อคือ BBL ..เราเสี่ยงไหม ? ...เทียบแบบนี้ ปกติเราฝากเงินได้กี่ % ..ตอนนี้ได้แค่ 0.50 % ..เราก็ยังฝาก ในฐานะลูกค้าเราได้ 0.50 % จากเงินที่เราฝาก ....แต่ถ้าวันนี้ซื้อ BBL เรากลายเป็นเจ้าของ วันนี้ในฐานะเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น คุณได้ปันผล ปีละ 4% นั่นหมายความว่า ...ความเสี่ยงวันนี้ถ้าเราจะ 'วางเงินเฉยๆ ให้มันทำงาน หรือ ซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย ถือรับแต่ปันผล เราจะได้ 4% ต่อปีนั่นเอง'

7. 'ซื้อแล้วเมื่อไหร่จะรวย' ..ใจเย็นๆ ที่เล่ามาทั้งหมด อยากให้ทดลองซื้อ ขั้นต่ำ 100 หุ้น ให้คุณรู้ขบวนการมีพอร์ตหุ้น ภาพความเสี่ยงคร่าวๆ และซื้อหุ้นตัวแรก ...จากนี้ไปลองค่อยๆ หาความรู้เพิ่ม ยิ่งความรู้และประสบการณ์เพิ่ม พอร์ตเราก็ค่อยๆ โตตามครับ

ถ้าซื้อหุ้นแบบเจ้าของ ก็คือ คิดแบบเศรษฐี ค่อยๆ ศึกษาและออมหุ้น เหมือนออมเงิน ซื้อแล้วไม่ขาย ..ถือรับปันผล ให้หุ้นเลี้ยงเรา ...บริษัทที่เราซื้อโตขึ้น เราก็รวยขึ้นตาม ปันผลก็ค่อยๆ มากขึ้น 

สุดท้าย หุ้นจะเลี้ยงเรา ...นี่คือ 'การเริ่มออมในหุ้นแบบเศรษฐีครับ'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เรื่องกล้วยๆ ของเซเว่น จัดว่าโดน


กล้วยเซเว่น ..เปลี่ยนโลกผมจริงๆ !!


วันนี้เดินเข้าเซเว่นตอนเช้า เห็นพนักงานกำลังเรียงกล้วยแบบขะมักเขม้น ขนชั้นเป็น 'กล้วยหอม ลูกละ 9 บาท' (เคยกินไหมครับ กล้วยลูกละ 9 บาท แม่เจ้า !! ...ผมลองคูณกลับ ถ้าหวีละ 15 ลูก ก็ตก 135 บาท ..คร่าวๆ เครือนึงมี 5 หวี ก็ตกเป็น 675 บาทต่อเครือ) 


มองไปที่ตระกล้าบนพื้นที่พนักงานกำลังจะจัดเข้าชั้น 'มีกล้วยน้ำว้า 2 ลูก 10 บาท' 


- ด้วยความสงสัย ผมถามไปเลยว่า 'ขายดีไหมครับ?' ...เขาบอก 'พี่ ก่อนเที่ยงก็หมดแล้ว ..สั่งมาวันละร้อยลูก!!' 


- ผมลองซื้อทันที กินปั๊บ อร่อย 'ลูกอวบ เนื้อดี หวานพอดี ได้สุขภาพ ..จัดไป'


- เซเว่น มี 10,000 สาขา ถ้าขายสาขาละ 100 ลูก ก็จะขายได้วันละ 1,000,000 ลูก 'ต่อวัน' ...แซนด์วิชอาจจะยอดขายตก เจอกล้วยเบียด


- 'ผมถามอีก ใครซื้อ?' ...ผมคิดว่า น่าจะเป็นผู้หญิง หรือ ไม่ก็คนที่ Health Conscious แคร์สุขภาพ (เออ! จริงๆ ไม่ใช่แนวผม เลยสงสัยไง)


- ถ้าขายแบบนี้ ชาวสวนรวยแน่ ..ผมก็ลองดูที่ถุงกล้วยว่า สวนไหนวะ ?


- สวน Dole ครับ ..งงซิ ..บริษัทข้ามชาติไง ...บริษัทอเมริกาที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลไม้สดที่ใหญ่ที่สุดในโลก - 'แปลกใจไหมครับ กล้วยไทย ..คนซื้อก็คนไทย ..ร้านขายก็เซเว่นไทย ...แล้วใครรวยวะเนี่ย ?'


- ประเด็นที่น่าสนใจคือ 'กล้วยไง!!' ...นี่แค่กล้วย ...อ๋อ ชั้นบนของ ชั้นวาง มี 'ลองกอง' ...ลองกองไง !! 


- ปกติถ้า เจอรถเข็น เขาขายเป็นกิโล ..กล้วยขายเป็นหวี ..หยิบใส่ถุงพลาสติก ขายถูกๆ กำไรไม่มี ..คนเข็นร้องไห้ ..คนปลูกน้ำตาไหล ...'แต่พอเปลี่ยนมาขายเป็นชิ้น ขายเป็น เสริฟ ...ยิ้มกันทุกคน กำไรกันทุกคน'


- ผมว่า เรื่องนี้ปรับใช้ได้กับ แนวคิดการทำธุรกิจของคนไทยได้เลย 


- ใครสำคัญ ? ...ลูกค้าไง ...คนเดี๋ยวนี้ ไม่ได้สนหรอก กล้วยลูกละ 9 บาท ..เขาไม่สนหรอกว่า ไปซื้อที่ตลาดเป็นหวี แล้วกินวันละลูก ถูกกว่า ..เขาสนว่า กินครั้งละลูกไง ก็จ่ายแค่นี้ ถ้ามันตอบโจทย์ก็ซื้อเลย ..ใช่!! ประเด็นเปลี่ยนการเกษตรไทย คือ หนึ่ง 'ขายเป็น Serve' คนกินยังไง ก็ขายแบบนั้น


- สอง Packaging หีบห่อ ...ถ้าขายเป็นโล เอาใส่ถุง ก็ขายได้ถูก ...อย่างกล้วยนี่ Dole แทบไม่ได้ทำอะไร เอามาแยกใส่ถุง แปะตา Dole เข้าไป ..'ผมว่ากล้วยไทยนะ แต่กำไร Dole ..555'


- สาม Start-Up บ้านเรา มาการเกษตรบ้างก็ได้ครับ ไม่ต้องไปแข่ง IT กับฝรั่งใน Silicon Valley นักหรอก ...เอาสมองมาสร้าง Value Added เพิ่มคุณภาพ เพิ่มราคา ..เริ่มจากขายคนไทยนี่แหละ เซเว่นโชว์แล้วว่า มีตลาด คนยอมจ่ายให้คุณภาพ สะดวก ขอให้ตอบโจทย์ ..ราคาไม่สนด้วย ..พอสำเร็จแล้ว ไปแข่งกับ Dole ครับ ..อิ อิ


- สี่ ยังมีสินค้าการเกษตร อีกมาก ที่ต้องการเป็น แบบ 'กล้วยหอม' 


- ห้า ขั้นต่อไปคือ แปรรูป ...ผมไปอ่านเรื่องบริษัท Wine ในอาเจนติน่า เขาสร้างและใช้ R&D วันนี้สู้ฝรั่งเศสได้ ...อันนี้เรื่องจริง ...ผมว่า เรื่องอาหาร การกิน และ การแปรรูป ใส่ R&D ไปอีก อาจจะทะลุ ไปเรื่องอาหารเสริม ความงาม ยารักษาโรคต่อได้อีก


- หก ..ไปกินกล้วยก่อนครับ ...อั้ม!! ผลไม้ไทย โคตรดี ถูกอีก ...'ถ้าอยากน้ำตาไหล ไปลองซื้อผลไม้ที่ญี่ปุ่นครับ'


ฝากช่วยกันคิดต่อ ...ใครอยากทำธุรกิจ ปั้น Start-Up มาเรื่องแบบนี้บ้างก็แนวดี ...ไม่แน่ อาจช่วยเปลี่ยนประเทศ ได้เงิน ได้ภูมิใจในสิ่งที่ทำ ..สุดว่ะ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ยุคนี้ชะตาชีวิต ถูกกำหนดจากสิ่งที่คุณรู้


มีคนถามว่า ผมโพสเฟส แล้วแชร์ความรู้ให้คนอื่น มันมีประโยชน์อะไร ?

'มีมากเลยครับ' ยุคนี้ Key Success Factor คือ 'Knowledge & Network' !!!

 ..หมายความว่าอะไร ?

หมายความว่า คนในยุคนี้โชคดีกว่าคนในยุคก่อน ที่เส้นสายเป็นกลไกหลักของสังคม ..ยุคนั้น เกิดมาอย่างไร ก็เป็นแบบนั้นแหละ ..คนยุคก่อนยากที่จะยกระดับฐานะของตัวเอง เพราะทุกอย่างคือเส้นสาย (ชะตาชีวิตถูกกำหนด ตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลก)

แต่ยุคนี้ที่โซเชียลมีเดีย เข้ามาเปิดโอกาสให้คนธรรมดา สามารถเรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้ ด้วยต้นทุนที่ฟรี หรือ ถูกมาก 

(ยุคนี้ชะตาชีวิต ขึ้นอยู่กับการขวนขวายหาความรู้)

.."ข้อจำกัดของทุกวันนี้ เลยอยู่ที่ความขวนขวายของตัวเราเองเท่านั้น"

ผมเองก็เป็นคนนึง ในอีกหลายๆ คน ที่พยายามที่จะขวนขวายพัฒนาความรู้ตัวเอง อย่างต่อเนื่อง 

..ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน ไปทำงานอะไร พบเจออะไรน่าสนใจ ผมก็จะจดจำและวิเคราะห์สิ่งนั้นๆ มาเก็บไว้ และ แชร์ให้เพื่อนๆ 

'นี่แหละ ยุคโซเชี่ยล' - ยุคนี้ อำนาจของการแชร์ ส่งผลดีต่อทั้งคนรอบข้าง และตัวเอง 

ยิ่งเราแชร์สิ่งที่เรารู้ ออกไปมากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้โอกาสในสังคมนี้เปิดกว้างขึ้น

 ..ทั้งคุณและผมก็ล้วนได้รับโอกาสจากการแชร์ทั้งนั้น

'ความรู้นี่แหละ เปิดโอกาสให้คน ..ทั้งแก้ปัญหาความจน และสร้างประโยชน์ ให้โอกาสในชีวิตที่เราไม่เคยมี'

"นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมยุคนี้คนตัวเล็ก ต้องขวนขวายหาความรู้ให้มาก ให้รู้เท่าทัน 

..และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ผมเขียนอะไรมากมายในเฟส แล้วแชร์ให้คนอื่นได้อ่าน"

#เรียนรู้แล้ว เลือกเป็น ให้ดีที่สุดในจุดที่ยืน

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อังกฤษ ในวันนี้เงินปอนด์ถูก จนน่าสนใจ

 
"เงินปอนด์ ถูกที่สุดในรอบ 20 ปี ...หมายความว่า อย่างไร ?"

กลับจากอังกฤษหยกๆ เลยเอาเรื่อง "ค่าเงิน" มาเล่าให้ฟัง ...จริงๆ เสน่ห์ของค่าเงิน มันมีความดึงดูด นักเก็งกำไรทั้งโลก เพราะ มันผันผวน ...แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือว่า ภายใต้ความผันผวน มันคาดเดาได้ !!

ใช่!! "ค่าเงินจริงๆ คาดเดาได้ โดยเฉพาะภาพใหญ่ ...มันมี รอบ ขึ้นลงไม่ต่างจากหุ้น Cycle ของมันก็คือ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป เป็นรอบๆ ไปเรื่อยๆ - นี่แหละที่ทำให้มันน่าสนใจ"

เงินปอนด์ ที่ว่าอ่อน หมายถึงอะไร

1. เราใช้เงินบาทแค่ 40 กว่าบาท แลกได้หนึ่งปอนด์ จากเดิมต้องใช้ถึง 50 กว่าบาท

2. แปลว่าวันนี้ถ้าใช้เงินไทย ซื้อของที่ผลิตที่อังกฤษมันจะถูกลงเกือบ 30% เพราะเงินปอนด์อ่อน

3. สินทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน ที่อังกฤษ ก็จะถูกลง 30% เช่นกัน ...เหมือน England Grand Sales

4. แค่ช่วง 10 ปีที่แล้ว จะแลก 1 ปอนด์ต้องใช้เงินไทยเกือบ 70 บาท ..วันนี้เราใช้แค่ 40 บาทเองนะ

5. วันนี้ถ้าจะส่งลูกหลานไปเรียนหนังสือ ..ผมพิจารณาประเทศอังกฤษ เพราะ ค่าเงินทุกในรอบทศวรรษ ...เรียนปริญญาโทปีเดียวจบ ..แต่อย่าไปอยู่ลอนดอน เพราะ ค่าครองชีพสูง ...ไปเมืองไกลๆ ไกลคนไทย จะได้ฝึกภาษา และ ได้เพื่อนฝรั่ง

6. หลายคนกลัวว่า เงินปอน์ดจะอ่อนไปได้สุดๆ แค่ไหน ...จริงๆ ถ้าดูจาก "รอบ" หรือ Cycle เราก็อาจจะเห็นปอนด์ ต่ำสุดก็แถว 40 บาทนี่แหละครับ

7. เรื่อง BREXIT จะแย่ต่อประเทศอังกฤษหรือไม่ ...เอาตรงๆ นะ "น่าจะดีด้วยซ้ำ" เพราะ ค่าเงินอ่อน ก็แปลว่า สินค้าอังกฤษจะถูกลง ดังนั้น การส่งออก ค้าขายน่าจะค่อยๆ ดีขึ้น (วันนี้ทุกประเทศพยายามทำสงครามค่าเงิน นั่นคือ พยายามทำให้ค่าเงินตัวเองถูก จะได้ค้าขายดี เศรษฐกิจดีขึ้น ...อังกฤษชิงแยกตัวออกจากยูโร เขามองว่า ตัวเองรอด แต่ประเทศยูโรน่ะซิจะเหนื่อย)

8. จะเรียนรู้อะไรจากอังกฤษ ..."ผมว่า ระบบเขาดี" ...ผมอยู่ออสเตรเลียมานาน และก็สัมผัสระบบ มันเอื้อให้คนเขามีคุณภาพ ...พอมาเที่ยวอังกฤษอีกครั้งก็ถึงบางอ้อเลยว่า ระบบออสเตรเลีย น่าจะได้แบบอย่างมาจากอังกฤษนี่แหละ ...ผมไม่ได้ว่าบ้านเราไม่ดีนะ ..จริงๆ คนไทยเก่ง แต่ระบบมันไม่ดี มันเหมือนคนขับรถเก่ง แต่รถมันไม่ดี ไปแข่งเขาก็แข่งยาก - นี่แหละ System หรือ ระบบจัดการที่เราควรศึกษาเรียนรู้จากฝรั่ง

9. Mix Culture ความหลากหลายของวัฒนธรรม ...เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้ได้ เพราะ ผมเชื่อว่า คนที่เก่งกว่า ก็คือ คนที่เห็นโลกมากกว่า เข้าใจตัวเอง และ คนอื่นมากกว่า ...พื้นฐานเหล่านี้ ก็คือ การศึกษาวัฒนธรรมที่หลากหลายของคนที่มาจากที่ต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกัน

10. ถ้าเป็นนักธุรกิจแล้วอยากลงทุนในอังกฤษ หรือ ยุโรป ...ดูจาก "ค่าเงิน" ตรงนี้น่าจะเป็นจุดที่น่าลงทุน ...ถ้าดูจาก "ข่าวร้าย" วันนี้ข่าวร้ายก็น่าจะเพียงพอให้เห็น "ของถูกและโอกาส"

ก็แชร์ข้อมูลแบ่งปันกัน ...ผมเชื่อว่า ทุกอย่างวิ่งเป็น Cycle ..เป็นรอบ ...เวลาที่คนส่วนใหญ่มองว่าไม่ดี ...ผมเชื่อจริงๆ ว่า มันมีของดีซ่อนอยู่เสมอ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ใครว่าไม่ดี ผมว่ามันดี


กลยุทธ์เบอร์หนึ่ง และเบอร์สอง สามในตลาด 

ผมเคยคุยกับผู้บริหารท่านนึง ซึ่งบริหารองค์กรที่ใหญ่มากๆ ..ท่านเล่าให้ฟังถึงกลยุทธ์ของผู้นำ ที่ผมฟังแล้วรู้สึกอึ้ง แบบว่า คาดไม่ถึง ..ผมคิดไม่ถึง ว่างั้นเถอะ

ท่านเล่าว่า

- กลยุทธ์ที่ดีที่สุดของเบอร์หนึ่งในตลาดคือ Copy 'คิดตาม' ...ส่วนกลยุทธ์ที่ดีที่สุดของเบอร์สอง สาม สี่ หรือ Underdog ก็คือ 'คิดต่าง' ทำให้แตกต่างสร้าง Innovation

ใช่!! ท่านพูดสั้นๆ ให้ผมคิดต่อ (เกาหัว 3 ครั้ง ทำไม ผู้นำ ต้องคิดตามวะ ..แล้วทำไมผู้ตาม ต้องคิดต่างวะ ..งง ?)

1. ผู้นำ แปลว่า ฐานลูกค้าใหญ่กว่า ต้นทุนถูกกว่า ดังนั้น ไม่ว่าทำอะไร ก็มีโอกาสสำเร็จมากกว่าธุรกิจรายเล็กกว่า 

..แต่ปัญหาของผู้นำ คือ Ego 

ยึดติดความสำเร็จในอดีต และมองความคิดคนอื่นว่าไม่เข้าท่า 

สุดท้ายพวกยักษ์ใหญ่ในอดีตเหล่านี้ ก็พ่ายแพ้ให้กับสิ่งที่เขามองไม่เข้าท่านี่แหละ

ทางแก้ ก็คือ 'ลด Ego ลง' กล้าลองสิ่งใหม่ๆ แม้กระทั่งกล้าตาม 

2. ผู้ตาม รายย่อย รายเล็ก ..ถ้าเราทำอะไรเหมือนรายใหญ่ก็ไม่มีทางสำเร็จ ..สมมุติวันนี้คุณเห็น 7-11 ทำค้าปลีกประสบความสำเร็จ ถ้าคุณเพิ่งจะมาเริ่มทำวันนี้ แล้วทำทุกอย่างเหมือนที่ 7-11 ทำทั้งหมด ก็การันตีว่า ไม่สำเร็จแน่นอน

กลยุทธ์ที่ฉลาดกว่า คือ 'ไม่ทำอะไรที่รายใหญ่ทำ' ...รายใหญ่มีหน้าร้านครอบคลุม มีจำนวนร้านค้ามาก สะดวก ...ถ้าจะแข่งกับเขา เราก็ต้องไปในแนว ไม่มีหน้าร้านเลย ...เขาขายอาหารสะดวกอิ่ม ...เราอาจต้องขายสิ่งที่มันขนส่งไม่สะดวก

ใช่!! 'รายเล็ก' ต้องคิดเก่งกว่า ต้องแตกต่าง ต้อง Innovation ล้ำสมัย ต้องจับกลุ่มลูกค้าที่ไม่เหมือนใคร

'อ้าว!! ก็มันต้องคิดเยอะไง' 

ข่าวดีคือ ไม่มียุคใดในโลกที่ 'รายเล็ก' จะมีโอกาส ทำธุรกิจตรงข้ามและท้าทายยักษ์ใหญ่เหมือนยุคนี้แล้ว 

'ฝึกซิ ..ฝึกคิด'

- ถ้าใครบอกคุณว่า ธุรกิจนี้มันไม่มีโอกาส ...มันแปลว่า จริงๆ แล้วมันอาจจะดี เพราะถ้าคนส่วนใหญ่บอกว่า มันไม่มีโอกาส ก็แปลว่า เขาไม่คิดจะทำ 

...เขาไม่คิดจะทำ ก็แปลว่า คู่แข่งน้อย

คู่แข่งน้อย ก็แปลว่า 'ฉันอาจไม่ต้องเก่งมาก ก็มีโอกาสสำเร็จได้'

แต่ธุรกิจอะไรก็ตามที่เล่าให้ใครฟังแล้วทุกคนบอกว่าดี ...ผมต้องกลับมานั่งคิดใหม่ เพราะ ถ้าใครๆ ก็ว่าดี ทำไปคงเจอคู่แข่งมากมาย

มองให้ขาด โอกาสก็เป็นของเรา!! 

- 'ใครมองไม่ดี ผมว่าดี !!'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



หลักเปลี่ยนโอกาส มองให้ขาดทั้งลูกจ้าง และเจ้าของกิจการ


'หลักคิดเปลี่ยนโอกาส มองให้ขาด ทั้งลูกจ้าง และ เจ้าของกิจการ'

'ใครกันที่จะให้โอกาส เปลี่ยนชีวิตเรา ..นอกจากตัวเราแล้ว คุณว่าใคร ?'

มี 2 คน ก็คือ

1. 'นายจ้าง' ..สำหรับลูกจ้าง ก็คือคนนี้เลย ผู้ชี้เป็นชี้ตายชีวิต นายจ้าง !!

2. 'ลูกค้า' ..สำหรับเจ้าของธุรกิจ ก็คือลูกค้าผู้ชี้ชะตา

การบริหารคนทั้ง 2 คนนี้ให้ดี ก็คือ 'หลักการสู่ความสำเร็จในการสร้างโอกาสชีวิต' ...เราต้องมองตัวเราดังนี้

1. มุมนายจ้าง เขาจะรักลูกน้องแค่ 2 แบบ (นอกจากนี้แล้ว สำคัญน้อย รุ่งยาก)

หนึ่ง คนช่วยหลังบ้าน คนนี้จัดงานหลังบ้าน ช่วยงานและช่วยลดต้นทุน (นี่คือ 'สมุนมือขวา')

..สอง คนช่วยหน้าบ้าน ไอ้นี่ให้ช่วยเพิ่มยอดขาย หลักๆ มันก็พวกงานเพิ่มยอดขาย (นี่คือ 'สมุนมือซ้าย')

2. มุมลูกค้า เขาจะรักธุรกิจที่ ทำให้เขา 2 อย่าง (นอกจากสองอย่างนี้ รุ่งยากครับ เพราะ มันไม่โดนใจ ใครจะมายอมจ่ายเงินให้ล่ะ)

 หนึ่ง คือ แก้ปัญหาให้เขา 

..สอง สร้างประโยชน์ให้เขา

ลองวิเคราะห์ดูสิ่งที่คุณทำ และ จุดที่คุณยืน ด้วยวิธีมองง่ายๆ แบบนี้ แบ่งเป็นข้อๆ ตามแบบนี้ ..คุณก็น่าจะพอเห็นคำตอบว่า ทำไมสิ่งที่เราทำ ยังไม่รุ่งเท่าที่ควร  

ค่อยๆ ปรับไป ..นี่แหละ การปรับวิธีคิดเพิ่มโอกาสง่ายๆ ให้ชีวิตครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ภาววิทย์เป็นใคร มาจากไหน มาสอนหุ้นได้ไง


ภาววิทย์ คือใคร มาจากไหน ..มาสอนหุ้นได้ยังไง ?

ย้อนกลับไปสิบกว่าปีก่อน ผมเริ่มต้นอาชีพ ด้วยการเป็นผู้ประกอบการ ..หลังจากเรียนจบผมพยายามสร้างธุรกิจของตัวเอง จนตั้งร้านอาหารไทยได้ระหว่างเรียนต่อที่ออสเตรเลีย 

ร้านอาหารเล็กๆ ของผม ขยายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็น 5 สาขา ในเวลาแค่ 2 ปี ..แต่ก่อนจะไปถึงฝันที่จะปั้นร้านอาหารไทยให้ไกลทั้วโลกก็โดนวิกฤตเศรษฐกิจดับฝัน 

ผมทำธุรกิจเล็กๆ หลายอย่าง ที่ออสเตรเลียเกี่ยวกับพวกนวัตกรรมแต่สุดท้ายก็ล้มพังพร้อมกัน ..จุดนั้นมันดับฝันเด็กคนนึงที่ต้องการรวยเร็วทันที

เมื่อ 8 ปีก่อน ผมกลับมาเมืองไทย ไม่รู้ว่าจะทำอะไร จนได้มารู้จักหุ้น ก่อนวิกฤต Sub-prime ก็คลุกคลีกับตลาดหุ้นไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

คนส่วนใหญ่จะรู้จักผมผ่านงานเขียน ..ผมเขียนหนังสือมาแล้ว 13 เล่ม มีทั้งหุ้น และ เรื่องการเงิน ..เล่าการทำงาน ..ที่ดังสุดก็น่าจะเป็น หนังสือ 'ออมในหุ้น' และ 'คลินิกหุ้นมือใหม่' ที่พาให้ผมเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการหุ้น

หลังจากนั้นก็มีงานต่างๆ ทั้งพิธีกร , งานสัมมนา , งานสอน ซึ่งผมลองทำเกือบทุกอย่าง จนรู้ว่า สิ่งที่ตัวเองถนัดคือ 'การสอนมือใหม่ให้เข้าใจหุ้น' (ถนัดสุด)

วันนี้ผมเป็น คอลัมภ์นิสต์ ประจำสัปดาห์เรื่องการลงทุนของ หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

จัดรายการวิทยุ รายการรู้ใช้เข้าใจเงินของ วิทยุคลื่นความคิดของ อสมท. จัดรายการทุกวันศุกร์สุดสัปดาห์ 

เป็นวิทยากรรับเชิญที่ต่างๆ เช่น มหาวิทยาลัยชั้นนำ , องค์กรชั้นนำ , หน่วยงานราชการ และที่อื่น ตามที่เขาเชิญมา

งานหลักผมก็เป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่หลักทรัพย์บัวหลวง ซึ่งหน้าที่หลักก็คือ 'การสอนนั่นแหละ'

ใช่!! ผมเดินทาง 'อ้อมโลก' ทำงานสารพัดเพื่อค้นหา Passion และสิ่งที่ผมทำได้ดี

ก็นี่แหละอาชีพผม 'อาจารย์สอนหุ้น และการลงทุน' ..การสอนที่ดี ผมว่ามันคือการเปลี่ยนชีวิตคนเรียน ..ซึ่งการเปลี่ยนชีวิตที่ง่ายที่สุด มันเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีคิด แล้วสอดแทรกความรู้ และแนวทางปฏิบัติที่จำเป็นเข้าไป 

'ถ้าผู้เรียนเอาจริง' ..ผมเชื่อว่า เขาเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ไม่ยาก 

(ผมไม่เชื่อหรอกว่า ใครจะเปลี่ยนชีวิตคนอื่นได้ ดังนั้น 'ตัวเอง' ต่างหาก ที่ต้องขึ้นมารับผิดชอบในการเปลี่ยนชีวิตครั้งนี้)

---------------------------------

ใครสนใจเรียนหุ้น และการลงทุนกับผม ..ขอแนะนำ คอร์สออนไลน์อันนี้ 'คอร์ส มือใหม่มาก อยากเล่นหุ้น'

---------------------------------
คอร์สนี้ร่วมกันสอนมือใหม่โดย ผมเองร่วมกับคุณ หยง ซึ่งเป็นเทรเดอร์มืออาชีพและอาจารย์สอนหุ้นที่มีลูกศิษย์จำนวนมาก

มาสอนมือใหม่โดยเฉพาะ ตอบทุกข้อข้องใจ เอาใจมือใหม่มาก

สนใจโทร 063 191 0816
สอบถามทาง line@ : @basicblueprint 

คอร์สราคาประหยัด สุดคุ้ม! (เรียน 21 วัน ดูซ้ำได้ตลอดไป)
ราคาเต็ม 4,500 บาท พิเศษ !! สมัครและโอนชำระเงิน
ก่อน 30 พฤศจิกายนนี้ เหลือ 3,500 บาทเท่านั้น

อ่านรายละเอียดด้านล่างครับ

----------------
รายละเอียดคอร์ส
----------------
คอร์ส "มือใหม่มาก อยากเล่นหุ้น"
เรียนรู้ผ่านกลุ่มปิด 
เริ่มเรียนตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2559
ผ่านการดูวิดีโอสั้น ๆ ทุกวัน 21 ตอน 
(ไม่ต้องดูสด ๆ ดูย้อนหลังได้ ดูซ้ำกี่รอบก็ได้)
สอนโดย แพ้ท ภาววิทย์ & หยง ธำรงชัย 
สองนักลงทุนตัวจริงที่เข้าใจว่ามือใหม่ต้องการอะไร
---------------------
ความพิเศษของคอร์สนี้
---------------------
1.เรียนรู้ออนไลน์ผ่านมือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ดูที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ดูซ้ำกี่รอบก็ได้
2.เรียนรู้ผ่านเฟสบุ๊กกลุ่มปิด ไม่ต้องเข้าเว็บไซต์ให้ยุ่งยาก 
3.เรียนรู้ผ่านคลิปวิดีโอสั้น ๆ ทุกวันแบบเข้าใจง่าย ได้สาระ พร้อมความสนุก 
4.เนื้อหาออกแบบเพื่อมือใหม่ (และคนไม่เคยเล่นหุ้น) ไม่มีคำศัพท์ยาก ๆ รู้เฉพาะเรื่องที่ต้องรู้
5.สอนทั้งเรื่องแนวคิดที่ถูกต้อง และวิธีใช้งานโปรแกรมหุ้น (Capture หน้าจอของจริงให้ดู) 
6.เมื่อเกิดข้อสงสัย สามารถเขียนถามไว้ใต้คลิป วิทยากรจะมาตอบ
------------------------------
ตัวอย่างเนื้อหาในคอร์ส (บางส่วน)
------------------------------- 
หุ้นคืออะไร? ซื้อขายหุ้นกันที่ไหน? ทำไมบริษัทเอาหุ้นมาขาย? 
วิธีรู้จักชื่อหุ้นผ่านหนังสือพิมพ์ 
สามค่าต้องรู้ เอาไว้เลือกดูหุ้นดีเข้าพอร์ต 
เล่นหุ้นแบบไหน ที่ระหว่างทางมีตังค์ใช้เรื่อย ๆ 
วิธีเปิดบัญชีหุ้นทางอินเทอร์เน็ต 
วิธีหาหุ้นในดวงใจและวิธีดูว่าหุ้นถูกหรือแพง 
วิธีหาจังหวะเข้าซื้อด้วยการดูกราฟผ่านโปรแกรม Streaming Pro 
วิธีลากเส้นหาแนวรับ-แนวต้าน และการดูโซนราคา (อย่างง่าย) 
วิธีส่งคำสั่งซื้อ-ขายหุ้นและการดูพอร์ตของตนเอง 
รู้จักเครื่องมือสแกนหุ้น 
รู้จักเครื่องมือจับสัญญาณหุ้น & เครื่องมือบันทึกผลการลงทุน

คนยุคนี้เขาใช้หลักฆ่าความสำเร็จเดิม เปิดทางให้เริ่มความสำเร็จใหม่


คนยุคนี้ เขาฆ่าความสำเร็จเดิม เพื่อเปิดทางให้เริ่มความสำเร็จใหม่ !!

ลองฟังแล้วถามว่าคุณรู้สึกอะไร ? ...จากหนึ่งในคนที่สำเร็จสุดๆ ในการทำ YouTube Channel ก็คือ Casey Neistat เขาออกมาประกาศว่า วีดีโอคลิ๊ปที่ผมโพสแปะข้างล่างนี้คือ Vlog คลิ๊ปสุดท้ายของเขา

'แฟนคลับเกือบ 6 ล้านคน ที่ตามดู VDO Vlog ของเขาทุกวัน น่าจะอึ๊งไปตามๆกัน ...เหมือนอารมณ์ สรยุทธ์ ออกมาประกาศว่าจะเลิกอ่านข่าว ...แต่นี่มันต่างกันตรงที่ Casey Neistat เขาเป็นคนตัดสินใจเลิกเอง!!!' 

...'เลิกทำไม สำเร็จอยู่แล้ว ?!? ..เออ!! คุณคิดเหมือนผม !!'

...Casey เป็นนัก YouTube ที่ทำ VDO Vlog ทุกวันมาประมาณเกือบ 2 ปี คน Subscribe เกือบ 6 ล้านคน แต่ละคลิ๊ปมีคนดูเป็นล้านๆ 
(ลองคูณดูว่า แค่รายได้จาก YouTube เขาได้เงินเท่าไหร่ ...นี่ไม่รวมงานโฆษณาจากบริษัทอย่าง Nike หรือ องค์กรใหญ่ที่ sponsor เขา)

...เขาเล่าว่า 'การเลิก Vlog ครั้งนี้ เพื่อจะทำสิ่งใหม่ที่ท้าทายกว่า' ...โคตรกล้า !! 

- ถ้าเขายึดความสำเร็จเดิมๆ การทำสิ่งนี้ต่อไป มันรู้สึกสบายเกินไป ปลอดภัยเกินไป

- เขาบอกว่าชีวิตเขาเหมือนทาซาน กระโดดหาเถาวัลย์ใหม่แล้วโหน พาตัวเองไปสู่โอกาสใหม่ ...แต่การหยุดที่ความสำเร็จเดิม มันเหมือนเขาเกาะที่เถาวัลย์เส้นเดิม ไม่เปลี่ยนเพราะรู้สึกว่า ดีแล้ว สำเร็จแล้ว ปลอดภัยแล้ว

- ถ้าไม่ฆ่าสิ่งเดิม ก็จะไม่เกิดสิ่งใหม่ (หล่อมากอ่ะ !! ..)

- ไม่ !! เขาไม่ได้จะเกษียณ หรือ เลิกทำในสิ่งที่เขาทำ เพียงแต่เขาต้องการความท้าทายครั้งใหม่ ..นี่คือ ชีวิตนักผจญภัยที่ไม่ธรรมดา

สิ่งที่เขาพูด มันคือ วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ ที่ชีวิตเดินทางไปในสิ่งใหม่ตลอดเวลา ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครรู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจริงๆ มันคืออะไร 

แล้วคุณคิดยังไงกันบ้างล่ะ ?

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อาชีพเดิมๆ ที่ทำเงิน ในเมืองตากอากาศที่อังกฤษ



อาชีพอะไร ที่จะมีบ้านติดทะเล ? ..ก็วันนี้มาเมืองตากอากาศ Whitby เป็นเมืองติดทะเลที่อากาศดีมาก แม้จะหนาวจนเกือบหูหลุด !! 

ที่นี่เขาว่ากันว่า Fish & Ship มันอร่อยจนน้ำตาไหล ...พอเจอชิ้นปลาก็น้ำตาไหลจริง เป็นปลา Hake อย่างสด เนื้อเด้งและแน่นมาก 'เป็นปลาที่เหมือนเนื้อปู ..เป็นที่มาของ หอย ปูปลา - ปลาปู!!'

เมืองนี้มีประชากรหมื่นกว่าคน เป็นเมืองที่ดู Slow Living - ส่วนใหญ่น่าจะทำงานเกี่ยวกับนักท่องเที่ยว - เปิดร้านเล็กๆ - ถนนเล็กๆ - คดเคี้ยวไปตามตึกที่ดูขลัง - ข้อมูลบอกอายุคนที่นี่คือ 41 ปี - รายได้หลักของคนยังเกี่ยวกับการประมง - คนหนุ่มสาวไม่รู้จะทำอะไรที่นี่ - ธุรกิจใหม่ๆไม่ค่อยเกิด - เมืองขยายยาก - เป็นบ้านเกิดของ Captain Cook - ที่กำเนิดของนิยาย Dracula !!

อนาคตของเมือง เขาคุยกันเรื่อง พลังงานทดแทน - กังหันลม เพราะลมแรง ติดทะเล 

ไม่ต้องสงสัยว่า ข้อมูลต่างๆ นี้ ได้มาจาก 'อากู๋' Google ..555

มานั่งคิดว่า ถ้าผมอยากอยู่เมืองนี้ ต้องทำอาชีพอะไร ?

1. เปิดร้าน ขายของให้นักท่องเที่ยว แต่ต้องลงทุนเยอะทีเดียว (ดูจากจำนวนนักท่องเที่ยวแล้วก็เสียวๆ อยู่ ..มันไม่เยอะขนาดนั้น) ..ด้วยประสบการณ์การทำธุรกิจที่โชคโชน ..โชคเลือด เจ๊งมาเยอะของผม ขอตัดข้อนี้ ทิ้งไปก่อน - ธุรกิจที่ลงทุนไปก่อน โดยที่ไม่ชัดเจนว่าลูกค้าจะเป็นยังไง มันช่างไม่โดนใจเลยล่ะ !! 

2. ไปหางานทำ ซึ่งเขาคงไม่อยากได้ลูกจ้างเอเชียเท่าใดนัก

3. 'หา Wifi แล้วก็ เล่นหุ้นเมืองไทยละกัน ..ฮ่า ฮ่า' 

ดูทางเลือกแล้ว ผมยังขอยึดอาชีพ 'นักลงทุน' เหมือนเดิม

คอมพิวเตอร์ + Internet ที่โอเค + อยู่ที่ไหนในโลกก็ได้ = 'นักลงทุน!!' 

(อาชีพอิสระ ทำได้ทุกที่ ให้เงินทำงานแทนเราก็ได้ ไม่มีเกษียณ ยิ่งแก่ ยิ่งเก๋า เพราะเขาวัดกันที่ความรู้และประสบการณ์)

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

เปลี่ยนปัญหา เป็นขุมทรัพย์ให้ขุดค้น


รถไฟ ใต้ดิน บนดิน ล้วนเป็นทางเลือกอันดับหนึ่งของการเดินทางในต่างประเทศ ..แต่บ้านเรา รถไฟ กลายเป็นทางเลือกสุดท้าย

อะไรจะทำให้รถไฟ น่าสนใจอีกครั้ง อาจต้องวางแผนกันใหม่

1. อังกฤษคนใช้รถไฟใต้ดิน Tube เยอะมาก เพราะมันครอบคลุม ..บ้านอยู่ไหนก็ตอบโจทย์ ...ถ้าลงทุนสร้างทั้งทีต้องให้ครอบคลุม ครึ่งๆกลางๆ ไม่ตอบโจทย์

2. ทางเดินเชื่อมจุดต่างๆ ..กรุงเทพเห็นมีตรงสยามไปราชประสงค์ ทื่อื่นเดินยาก เพราะทางเดิน เราไม่ได้ใช้ให้คนเดินเท่าไหร่

3. ยิ่งเพิ่มสถานีรถไฟ ที่ดินยิ่งราคาขึ้น ...ถนน และ การเดินทาง ตัดไปที่ไหน จะกลายเป็นทำเลทอง

4. รถไฟความเร็วสูงเข้าเมือง จะทำให้คนทำงานในเมืองสามารถมีบ้านชานเมืองอย่างสะดวก ...นั้นคือ งาน และอาชีพที่จะเกิดขึ้นจำนวนมาก จากเมืองใหม่

5. สถานศึกษาควรใกล้ รถไฟ ..เด็กและผู้ใหญ่ จะได้ไม่ต้องเดินทางไขว้กันเสียเวลา 

6. ที่จอดรถจำนวนมากในเมือง มันทำให้รถติด เพราะ คนเลือกที่จะขับรถเข้าเมือง ..เปลี่ยนที่จอดรถในเมืองเป็น co-working space

7. สร้างจุดถนนคนเดิน และ จุดร่มรื่น เพิ่มขึ้นในเมือง ..หลายคนคิดว่า การตัดถนนเพิ่ม สร้างสะพานเพิ่มทำให้ช่วยให้รถไม่ติด ..แต่ถ้าจะแก้ปัญหาจากต้นเหตุ ต้องแก้ pain point ให้คนไม่ใช้รถแล้วชีวิตดีกว่า - 'ทางแก้คือ การให้คนได้เลือกสิ่งที่ดีกว่า ..ต้องเสนอทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ'

8. กรุงเทพไม่น่าเดิน เพราะเราไม่ได้ออกแบบให้คนเดิน ...'ผมเห็นคนไทย เวลาไปอังกฤษก็เดินช็อปปิ้งกันกระจาย!!' ...สร้างที่เดิน แล้วคนจะเดิน เขาจะใช้รถลดลง

9. บางครั้งเราออกแบบ ที่พัก , ที่เที่ยว และ ที่ช็อปปิ้ง ในแบบเดิมๆ ...ก็ได้ปัญหาแบบเดิมๆ ..ไม่มีที่จอด ..รถติด ..ไม่สะดวก ...การออกแบบใหม่ ต้องวางให้สัมพันธ์กัน 

10. ทุกวันนี้หลายๆ อาชีพ ไม่ต้องทำงาน 9-5 แล้ว ..แต่เราก็ยังต้องให้ทุกคนมา 9 โมง เลิก 5 โมง อยู่ดี

ถามว่าโอกาสดีๆ มันก็คือ เปลี่ยน 10 ข้อนี้เป็น ธุรกิจ Start-Up ไง 

'ทุกปัญหาที่เราเห็น คือ โจทย์ตั้งต้นของการทำธุรกิจ ..อย่าง Airbnb เขาเห็นว่า คนจำนวนมากมีบ้านปล่อยไว้เฉยๆ แค่ใช้ Airbnb เขาก็สามารถมีรายได้เพิ่มแบบที่โรงแรมไม่ค่อยชอบใจเท่าใดนัก'

ปัญหาคือโอกาส ...ทุกครั้งที่เห็นปัญหา มันก็เหมือนเราเจอขุมทรัพย์ที่รอให้เราขุดค้น!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



ทำไมโลกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ทำไมโลกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

'ก็เคยคิดอยากเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ Perfect ...แต่เดี๋ยวนี้อยากเป็นคนที่พัฒนาไปเรื่อยๆ ...ยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งรู้เลยว่า เราเรียนรู้ได้ไม่รู้จบ'

ทุกครั้งที่ผมตั้งคำถามกับสิ่งที่เคยเชื่อ แล้วหาคำตอบ ..ก็มักจะพบว่า ความเชื่อของเรามันขึ้นอยู่กับมุมที่เราเลือกมองโลก

เด็กๆ เราคิดว่า ทุกอย่างหมุนรอบตัวเรา

พอโตขึ้น เราเข้าใจว่า จริงๆ แล้วเราเป็นเพียงกลไกเล็กๆ ของโลก

ทุกวันนี้ก็เข้าใจมากขึ้นว่า โลกของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน และสิ่งที่กำหนดโลกของแต่ละคนก็คือ 'มุมมองและความรู้ ที่แต่ละคนมี'

มุมมอง เกิดจากประสบการณ์ ..ส่วนความรู้ เกิดจาก แสวงหาและตั้งคำถามกับสิ่งที่พบเจอ

ผมจะเล่าให้ฟังว่า โลกของบางคนน่าอยู่มากครับ

- โลกของเขานั้น ทุกวิกฤตมีโอกาสแฝงอยู่

- เขามองเห็นโอกาส และหยิบฉวยสิ่งดีๆ ได้เสมอ ในขณะที่คนอื่นเห็นแต่ความวุ่นวายและวิกฤต

- เขาไม่ค่อยโกรธใคร หรือโกรธง่ายก็หายเร็ว เพราะเขามักเห็นข้อดีของแต่ละคน จึงเข้าใจว่าเหตุใดคนนั้นจึงคิดเช่นนั้น

- ในโลกของเขาไม่มีคนเลว แค่เขาอาจอยู่ในสถานการณ์และการตัดสินใจที่ไม่เหมือนกับเรา

- สิ่งที่เราได้ ที่เรามี โอกาสที่เราได้รับ มันก็เกิดจากสิ่งที่เราเองเป็นคนกระทำ

 ...ไม่โทษพ่อแม่ ไม่โทษชีวิต ไม่โทษชะตา ก็เพราะโลกของเขา เปลี่ยนและปรับปรุงได้ทุกวัน ด้วยมือของเขาเอง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เสริฟอาหาร จนซื้อบ้าน 20 ล้าน ใครว่าทำไม่ได้


เสริฟอาหารจนซื้อบ้าน 20 ล้าน ใครว่าทำไม่ได้ !!

นั่งรอกินอาหารที่ London เห็นคนเสริฟเดินไปเดินมา ก็นั่งนึกไปเพลินๆ ว่า 'เอาแค่งานเสริฟอาหาร ทำไมฝรั่งถึงได้เงิน เยอะกว่าเสริฟอาหารที่เมืองไทย ?'

ผมนั่งสังเกตว่า ..คนเสริฟทำไมหน้าตาดีจัง !! -- 'เฮ้ย!! ไม่ใช่ครับ ..ชักนอกเรื่องแล้วนี่'

ผมนั่งสังเกตว่า ...เขารับ ลูกค้ายังไง ..รับ order ยังไง ..แต่งตัวยังไง ..เสริฟอาหารเป็นยังไง ..คนนึงดูแลกี่โต๊ะ ..ระบบร้านอาหารเป็นยังไง ..(ประมาณว่า ฝรั่งคงนึกในใจ ไอ้คนเอเชียคนนี้มันมองอะไรของมันวะ..55) 

จริงๆ ก็อยากถามเขาตรงๆ นะ ว่า 'ทำไม you ถึง มีค่าจ้างแพง.. you เจ๋งยังไง ?' ..แต่ไม่ได้ถาม ลองคิดๆ เอาเอง

ก็ประมาณนี้

1. 'ค่าครองชีพ' ที่นี่ค่าครองชีพแพงกว่าเมืองไทยประมาณ 5 เท่า ..ค่าเช่าบ้าน / ค่ากิน / ค่าเดินทาง มันคูณห้า ..ดังนั้น 'ค่าจ้าง' จึงสูงกว่า

2. 'หนึ่งคน หลายหน้าที่' ..ถ้าเรามองระบบโรงงาน หรือ พนักงาน Low Skill ก็มักให้ หนึ่งคน หนึ่งหน้าที่ ...แต่งานที่นี่สังเกตว่า หนึ่งคนทำหลายหน้าที่ ..เช่น ขับรถด้วย มีไมค์ลอยติดตรงปาก แล้วทำหน้าที่ไกด์ไปด้วย แล้วก็เป็นเด็กยกกระเป๋าไปในตัว 

3. 'งานหมุนเวียนกันได้ ลดค่าใช้จ่ายเจ้าของร้าน' ..พอพนักงานทำงานบางอย่างแทนกันได้ ความปวดหัว และค่าใช้จ่ายเรื่องคนก็ลดลง เลยเอามาจ่ายค่าแรงได้เพิ่มขึ้น

4. 'โปร' ...ผมว่าตรงนี้ขึ้นกับคน แต่ส่วนใหญ่เราจะรู้สึกว่า ฝรั่งโปร หรือ มืออาชีพกว่า ..ขนาดเด็กเสริฟเรายังรู้สึกว่า 'เขารู้เรื่อง และมืออาชีพ(เก่งในงานของตัวเอง)' ..ตรงนี้คือ ความใส่ใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ก็สมควรมีรายได้สูงกว่า (เคยไป บางที่ ที่พนักงานเสริฟ ยืนกระจุกคุยกัน ไม่สนใจลูกค้า พอเรียกก็ไม่ค่อยสนใจ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง ..แบบนี้ไม่ควรจ้างเลย)

5. 'พัฒนาตัวเอง' ..เด็กเสริฟฝรั่งส่วนใหญ่ มักเป็นนักศึกษาด้วย คือ เสริฟไปแล้วก็เรียนเพื่อพัฒนาอาชีพและโอกาส ..แปลว่า คนเหล่านี้เขาต้องการพัฒนาตัวเองไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น ..ก็ไม่แปลกที่คนแนวนี้มักมีค่าจ้างที่สูงกว่า

6. 'คนไม่ค่อยเกี่ยงอาชีพ' ..ดูประเทศเหล่านี้ เขาทำงานแบบไม่ค่อยแบ่งชนชั้น ..ไม่ค่อยมีงานกระจอก งานที่แยกชนชั้นแบบบ้านเรา ..ลูกคนมีเงินก็ทำงาน part-time ...เมื่อไม่แบ่งชนชั้นตามงาน ทุกอาชีพก็ทำงานตัวเองได้ภูมิใจ มีรายได้ เลี้ยงครอบครัวได้ทุกงาน ...เลยมีโอกาสในทุกอาชีพ ขอให้ทำให้ดี ..เป็นช่างไฟ , ทำถนน , ก่อสร้าง ...ทุกคนรวยได้หมด ก็น่าสนใจดี

7. 'มีสถาบันการศึกษามาช่วยพัฒนาอาชีพ' ...ยกตัวอย่างชัดๆ เชฟ ในบ้านเรา ถ้าเป็นร้านอาหารตามสั่งทั่วไปมักใช้คนงาน ผัดผิด ผัดถูกก็ผัดๆ ไป ...แต่ฝรั่งนี่ขนาดร้านอาหารเล็กๆ ยังมีเชฟ ซึ่งเรียนการทำอาหาร ต้องมี certificate ...เรียนรู้การจัดการอาหาร บริหารครัว บริหารร้านอาหาร ...'ใช่!! ความรู้ มันยกระดับรายได้ ไม่เกี่ยวว่าต้องอาชีพไหน ได้หมด'

8. 'การใช้เครื่องทุ่นแรง เครื่องอำนวยความสะดวก ยกระดับรายได้' ...เมื่อทุกอาชีพ อยู่ได้ คุณภาพชีวิตโดยรวมของคนก็ดี ..คนที่นี่ต้องทำทุกอย่างเอง ไม่มีคนใช้แบบบ้านเรา ..ก็มีส่วนให้คนที่นี่ต้อง ใช้เครื่องทุ่นแรง และ เรียนรู้ที่จะทำอะไรเอง ...ผมสังเกตว่า สังคมที่มีเครื่องทุ่นแรง และคนใช้เป็น จะมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น ..ค่าแรงจึงสูงตาม

9. 'จะซื้อบ้านที่อังกฤษ ต้องมีเงินประมาณ 500,000 ปอนด์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 20 ล้านบาท' ...หมายความว่า ชนชั้นกลางของที่นี่ สุดท้ายถ้าผ่อนหนี้หมด จะมีทรัพย์สินหลักๆ ก็คือ บ้าน มูลค่าประมาณ 20 ล้านนั่นแหละ (แต่ต้องทำทุกอย่างเองนะ งานบ้าน ตัดหญ้า ซ่อมแซมเล็กๆน้อยๆ)

10. 'คิดไปคิดมา ..บ้านเราสบายกว่า' ...สรุปว่าไม่ว่าอาชีพไหน หากอยากมีรายได้เพิ่มขึ้นให้ทำดังนี้

หนึ่ง ศึกษาในสิ่งที่ทำให้เรารู้จริง เก่ง เป็นมืออาชีพ
สอง ทำงานตัวเองที่รู้จริง ด้วยความใส่ใจ พิถีพิถัน และไม่หยุดเรียนรู้พัฒนาตัวเอง
สาม 'จ้างหนึ่งเหมือนได้สาม' เรียนรู้งานที่เกี่ยวข้อง ช่วยขยายโอกาสตัวเอง
สี่ 'รับผิดชอบ' ..หลักๆ คือ ต้องทำงานเหมือนเราเป็นเจ้าของร้าน 

เอาแค่นี้ได้ ใครๆก็อยากจ้าง ..แล้วเชื่อหรือไม่           โอกาสอื่นๆ จะเข้ามาอีกจนเราอาจตกใจ 

'คนที่ตั้งใจ ทำงานตัวเองให้ดี ศึกษาให้รู้จริง แล้วพัฒนางานตัวเองให้ดีขึ้น มักจะเป็นคนโชคดี เพราะจะมีโอกาสดีๆ เข้ามาเยี่ยมเสมอๆ'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ถูกและดี เส้นทางสายนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป


'ถูกและดี เส้นทางสายนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป'

เรื่องเล่า ของ Primark จากอังกฤษ ...ถูก และ ดี เราได้อะไร 


หลายคนชอบช็อบของหรู ..แต่ผมชอบของถูก ..เอ๊ะ!! ยังไง ...วันนี้เดินช็อปปิ้งไปเจอร้านนึง ที่ขายเสื้อผ้าราคาถูกจนน่าตกใจ ...ประมาณว่า Uniqlo ผมคิดว่า ถูกแล้ว เจอ Primark เข้าไปถึงกับ งง !! 


ผมเริ่มเข้าไปค้นข้อมูลทันที พบว่า Primark ก่อตั้งโดยเศรษฐีชาวไอริส ชื่อ Arthur Ryan เริ่มจากขายเสื้อผ้าราคาถูก และดี ..ง่ายดีนะ - นี่คือ ภาพรวมของ Primark


1. เสื้อผ้าทันสมัย และราคาถูกโดยรวม ...ถูกกว่า Zara และ Uniqlo


2. ร้านใหญ่ และครบวงจร เหมือนเปิด Supermarket แล้วขายแต่เสื้อผ้า ตั้งแต่เด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย ผู้ใหญ่ ...'เดินกันมันส์เลยล่ะ' 


3. 'ถูก' ...สาขามี 325 สาขา นึกถึง IKEA ใน Version ของ เสื้อผ้า แล้วเน้น ถูก !!


4. มีสินค้าที่น่าสนใจ กระจายอยู่ในร้าน ..แถมมี Size ที่หลากหลายมาก


5. เจอคนแขก เยอะมาก ..เต็มร้าน แต่ละคน ซื้อแบบย้ายบ้าน เป็นการการันตี ว่าคัดสินค้ามาโดนใจลูกค้า


6. มีจุดจ่ายเงิน เหมือน Supermarket กระตุ้นให้เราซื้อเยอะๆ ...ระหว่าง ต่อคิวจ่ายเงินยังมีสินค้าน่าสนใจมาล่อ ให้เราเสียเงินง่ายๆ 


7. หลายคนตั้งคำถามว่า 'ทำไม เศรษฐีระดับโลก ทั้งเจ้าของ Zara และ Uniqlo รวมถึง Primark จึงเน้น ถูกและดี ?' ...ตอบง่ายๆ ก็เพราะ ทุกคนชอบของถูกและดี ...แต่นี่คือกลยุทธ์ที่ทำยากที่สุด ...เพราะจะถูก ต้องใหญ่ ต้องขายจำนวนมาก ..และยิ่งให้ของดี ต้นทุนยิ่งสูง 


ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง ...สมัยที่ผมเริ่มทำธุรกิจครั้งแรก ผมเปิดร้านอาหารไทยที่ออสเตรเลีย ผมพยายามใช้กลยุทธ์นี้แหละ 'ถูกและดี'


ผมทำดังนี้


1. ผมเลือกที่ตั้งร้านในทำเลที่ดีที่สุด ...ค่าเช่าที่โคตรแพง

2. ผมใช้กลยุทธ์ 'ถูกและดี' แต่เผอิญร้านผมไม่ใหญ่ ...ต้นทุนวัตถุดิบผมเลยไม่ถูก ...แต่ขายอาหารให้ถูกๆ ดีๆ กำไรผมแทบไม่มี 

3. เนื่องจากกำไรน้อย เลยต้องประหยัดเรื่อง คนงาน ..จึงต้องทำเองให้เยอะ ..สรุปคุณภาพ จึงห่วยตาม ความพยายามที่จะลดต้นทุนคนงาน

4. ร้านเล็ก ลูกค้่าจึงไม่สม่ำเสมอ และไม่มากพอ


หลังจากนั้น ไม่นาน 'ร้านอาหารทั้งห้าสาขาของผม ทยอยปิดตัว เจ๊งแบบง่ายๆ' -- ผมก็เรียนรู้เลยว่า 'ถูกและดี' คือ สิ่งที่ต้องพัฒนาจากประสบการณ์ ..เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด แต่ทำยากที่สุด


วันนี้ผม มาหลงไหล กลยุทธ์ของคนญี่ปุ่นมากกว่า ที่ 'โคตรดี โคตรเทพ แต่แพง' 


แล้ววันนึง เมื่อผมแข็งแกร่งขึ้น ใหญ่ขึ้น ...วันนั้น เราจะเจอกัน ที่ 'ถูกและดี' ...กลยุทธ์เศรษฐีผู้ผูกขาด และร่ำรวย


จัดไปคิด !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ร่ายมนต์อย่างไร ให้เงินเข้าเราง่าย แต่จ่ายเงินยาก


"ทำไมเงินหาแสนยาก แต่เราก็อยากจะจ่ายง่ายๆ ล่ะ ?" ...ร่ายมนต์อย่างไร ให้เงินเข้าง่าย แต่จ่ายเงินยาก !!!

'ทำงานทั้งปี เพื่อซื้อสิ่งนี้แหละ ..หรือ ทำงานหลายปี ก็เพื่อจ่ายเงินซื้ออันนี้แหละ'

 ...เคยสงสัยไหมครับว่า แรงงาน หยาดเหงื่อ สุขภาพ ความแก่ และ เวลาที่เสียไป เราจ่ายให้กับอะไร 

1. โลกยิ่งพัฒนา ปัจจัยสี่ ยิ่งถูกลง ..ชีวิตไม่ได้โหดร้ายนัก ถ้าเราจะบริโภคเพื่อปัจจัยสี่ ...กินให้อิ่ม ไม่ได้ใช้เงินเยอะ ...แต่กินเพื่อถ่ายรูปลง facebook มันแพงมาก 

2. เพื่อนใน Social Network ไม่ได้ Like เรา เพราะยินดีที่เราถ่ายรูปชีวิตหรู ชีวิตดี๊ดีโชว์เขาหรอก ...คุณว่า เขา Like ทำไม ลองคิดดู ?

3. ใครเคยรูดบัตรเครดิต จ่ายสิ่งที่แพงจนเราไม่มีปัญญาจ่าย และสุดท้ายมันก็ไม่จำเป็น ..เคยไหมครับ ?

4. ยุคนี้เป็นไหม ..ให้เราคิดวิธีจ่ายเงินนี่ง่ายมาก แทบไม่ต้องคิด !! ...แต่ลองให้เราคิดวิธี หาเงิน แทบคิดไม่ออก !!

5. 'เราหมั่นไส้ คนใช้ของแพงเล็กๆ ...แต่ตัวเราก็อยากซื้อของแพง' ...มันยังไงกัน ?

6. ร้านแบรนด์เนมหรู มีคิวยืนต่อกัน ยาวเหยียด ...สงสัยไหมว่า ทำไมคนต่อคิวซื้อของแพงถึงหัวดำ ? ...คนหัวดำร่ำรวยมาก อย่างนั้นเชียวหรือ ?

7. รถหรู สำคัญกว่าบ้าน ...มันอยู่ในความคิดเราตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

8. ทุกคนชอบบอกว่า 'ฉันเป็นคนคิดต่าง ฉันไม่เหมือนใคร' แต่พอเรื่องจริง ก็ชอบทำเหมือนคนอื่น ..ใครทำอะไร ใช้อะไร มีอะไร ทำไมฉันต้องมีบ้าง

9. คนที่ขายของถูก มีแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ ..แล้วมันจะแปลกอะไร ที่คนรวย ควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่ ร้านค้าข้างบ้าน ร้านค้าแถวที่ทำงาน ที่ท่องเที่ยว ที่กิน และที่ใช้ชีวิต ...เราบอกบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่ดี ผูกขาด แต่เรานั่นแหละที่สนับสนุนยักษ์ใหญ่ด้วยความสมัครใจใช่หรือไม่ ?

10. เราปฏิเสธสิ่งสำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตเรา นั่นคือ การอ่านหนังสือ การเรียนรู้ และ การพัฒนาตัวเอง ...แล้วเราจะบ่นทำไมว่า ทำไมเราไม่มีโอกาสในชีวิต ไม่มีเงิน ไม่ร่ำรวย

จริงๆ แล้ว 'คนที่ทำให้เราเป็น ในสิ่งที่เราเป็น ก็คือ ตัวเราเอง' 

ถ้าจะถามว่า 'อยากเปลี่ยนตัวเอง อยากได้โอกาสในชีวิตใหม่ๆ อยากรวย อยากดี ควรทำอย่างไร ..เริ่มยังไง ?'

- 'เริ่มจากคิดและทำ' ดังนี้

 หนึ่ง หาตัวอย่าง แล้วลองดูซิว่า คนที่ 'คิดและทำ' คล้ายๆ กับเราเขามีอนาคตอย่างไร

สอง ถ้าเราคิดว่า 'ไม่ใช่' เราต้องมองหาต้นแบบ คนใหม่ เพื่อศึกษา 'วิธีคิดและทำ' ของเขา

สาม หาความรู้ อ่านหนังสือ Search ข้อมูล และเรียนเพิ่ม ...เราต้องแข่งกับต้นแบบของเรา 

สี่ ลงมือทำ ...ใช้ความรู้ใหม่ เข้ามาเปลี่ยนวิธีคิด และมุมมองของเราต่อทุกๆสิ่งที่เราทำ ...แล้วผลลัพธ์ทั้งหมดจะเปลี่ยนตาม 

'เมื่อผมหาความรู้ แล้วสร้างความเชื่อในการดำเนินชีวิตใหม่ ...โอกาสในชีวิตผมเริ่มเปลี่ยน ...วิธีหาเงินเริ่มเปลี่ยน ...คนที่เข้ามาในชีวิตก็เปลี่ยน ...โลกของผมทั้งหมดจึงเปลี่ยนตาม'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ