แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559

'ภาววิทย์ Facebook Live ไม่ใส่สูท ตอนที่ 6' : ...เรื่อง 'อาชีพแนวใหม่ ไม่ต้องใช้ปริญญา เริ่มพัฒนาจากความเชี่ยวชาญ ทำงานที่รัก เงินดี อนาคตไปไกล กำหนดเอง'

มาละ !! -- 'ภาววิทย์ Facebook Live ไม่ใส่สูท ตอนที่ 6' : ...เรื่อง 'อาชีพแนวใหม่ ไม่ต้องใช้ปริญญา เริ่มพัฒนาจากความเชี่ยวชาญ ทำงานที่รัก เงินดี อนาคตไปไกล กำหนดเอง'
มาคุย ดิบๆ ถามได้ ตอบไป ..กับ 'ภาววิทย์ Live ไม่ใส่สูท ครั้งที่ 6'

เก่งจากความเชี่ยวชาญ "นักสะสม" ต้องสะสม Asset

1. สิ่งนั้นมนุษย์ต้องการ (เพิ่มค่าได้จาก Story เรื่องราวของสิ่งนั้น)
2. มีจำนวนจำกัด
3. มูลค่าเพิ่มตามกาลเวลา


หลักการสะสม

1. ชอบสิ่งนั้นมาก (ระดับ Passion)
2. เชี่ยวชาญรู้จริง (แบบ แฟนพันธ์แท้)
3. อยู่ในวงการนั้น (ถ้าเราอยู่ในวงการนั้น เราจะรู้แหล่งซื้อ และ แหล่งขาย "ซื้อได้ ขายเป็น)
4. มี Trust ในวงการ (วงการให้ความเชื่อถือในตัวเรา ว่าเก่งในเรื่องนั้นๆ)
5. เราสะสมสิ่งนั้นเองจริงๆ

อาชีพใหม่ งานชอบ เงินดี มีโอกาส


'อาชีพใหม่ งานชอบ เงินดี มีโอกาส คืออะไร'...พอดีวันนี้นั่งคุยกับคุณหยง 

แกไปเที่ยวญี่ปุ่นนานเลย ไปดูอะไรแปลกๆ ..ไปเที่ยวเชิงลึกว่างั้น !!

ครั้งนี้คุณหยงไม่ได้เที่ยวแบบคนปกติ แต่เลือกไปเที่ยวเจาะลึกเอง เน้นดู พิพิธภัณฑ์ Museum และ เทศกาลแปลก Festival

แปลกไม่แปลก เช่น มีเทศกาลกระจู๋ คือ ก็ตรงๆ เป็นเทศกาลเรื่องกระจู๋นั่นแหละ แปลกโคตรๆ ...เดี๋ยวไว้ผมจะเอารูปมาให้ดูกัน น่าสนใจไหมล่ะ ?

ก็คุยกันว่า ทุกวันนี้ งานดีๆ หายาก ..เลยมานั่งคุยกันว่า 'งานสุดยอดของโลกอนาคตคืองานอะไร ...ต้องเป็นงานที่ งานชอบ เงินดี มีโอกาส' - ก็นี่เลย อาชีพ Curator

แปลตรงๆ ก็ อาชีพคนดูแลพิพิธภัณฑ์ ...เดี๋ยว!! ไม่ใช่แค่พนักงานทำความสะอาด  หรือ คนเก็บเงินนะ ...แต่ Curator คือ คนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆ อย่างจริงจัง

อย่างเมืองไทยถ้าพูดถึงคนรุ่นใหม่ที่รู้เรื่องพระแบบจริงจัง ก็อย่าง บอย ท่าพระจันทร์ ...เอาแบบเชี่ยวชาญ รู้ราคา รู้คุณค่า รู้จักตลาด ...ใครที่เป็นแบบนี้ บอกตรงๆ ว่า รวยทุกคน แต่ต้องเชี่ยวชาญรู้จริงในเรื่องนั้นๆนะ

ลองดูซิ ประเทศไทยเรามีของสะสมตั้งมากมาย ตั้งแต่ของเก่า , เพชร , อัญมณี , พระเครื่อง , รถยนต์ , มอไซค์ , ตุ๊กตา , สแตมป์ ... เอาว่าคุณเคยดูรายการแฟนพันธ์แท้ ก็นั่นแหละ ทุกเรื่องต้องการ Cutator

ขอให้คุณมีคุณสมบัติดังนี้

1. ชอบสิ่งนั้นมาก (มี Passion)

2. เชี่ยวชาญ รู้จริง ศึกษาเรื่องนั้นแบบรู้ลึก (แฟนพันธ์แท้)

3. อยู่ในวงการนั้นๆ รู้จักแหล่งซื้อ รู้จักแหล่งขาย (เป็นคนในวงการนั้น)

4. มี Trust คือ ในวงการให้การเชื่อถือ ..เราเป็นที่ยอมรับในเรื่องนั้นๆ 

5. เราซื้อสิ่งนั้นสะสมเองจริงๆ 

ใครมีคุณสมบัติ 5 ข้อนี้ ในเรื่องใดก็ได้ ลองพิจารณา อาชีพอิสระอันนี้ อาชีพ Curator -'อาชีพแนวๆ งานชอบ เงินดี มีโอกาสโต'

จัดไป

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม 

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

พ่อรวยสอนลูก ตอนที่ 1


'พ่อรวยสอนลูกยังไง ?'

ก็แล้วแต่นะ ..บางคนไม่มีเวลาสอน ก็ปล่อยๆ ชิวๆ แต่สำหรับพ่อผมไม่ใช่ 

พ่อผมดูใจดี (แต่จริงๆ ดุโคตรๆ) ..พ่อสอนผมด้วยไม้เรียว คติที่พ่อผมยึดถือคือ 'รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี' ..แน่นอน ผมโตมาด้วยไม้เรียว เข็มขัด ก้านมะยม หรือ อะไรก็ได้ที่ใกล้มือพ่อ ...แต่พ่อผมมีเหตุผลนะ คือ ถ้าทำถูกต้องนี่จะเอาอะไรก็ให้ แต่ถ้าผิด คุยกับไม้อย่างเดียว

ผมว่าเด็กรุ่นผมก็โตกันมาแบบนี้ ..แต่ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนเราเอาแบบฝรั่งมากขึ้น ..ถามว่าดีไหม ก็ตอบไม่ได้นะ มันขึ้นอยู่กับว่า ใครจะมองยังไง จริงไหม ?

สำหรับผม ผมมองย้อนกลับ ก็ขอบคุณคุณพ่อ ที่เข้มงวด และเปิดโอกาสให้ผมลองผิดลองถูก 

พ่อผมแม้จะเข้มงวด แต่ในเรื่องอนาคต ทางเลือก อยากเรียนอะไร อยากทำอะไร พ่อไม่เคยปิดกั้น ..ผมหาที่เรียนพิเศษเอง สอบมหาวิทยาลัยก็เลือกคณะเอง ทำเองหมด

บอกตรงๆ ว่า ตอนเด็กๆ ผม งง มาก เพราะเราจะแกว่งตามกระแส ..จะถูกภาวะจากสังคมรอบด้าน เพื่อน ให้เราเลือกไม่ถูกว่าโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร

ช่วงที่ยากที่สุด น่าจะเป็นช่วงวัยรุ่น เพราะผมขอพ่อว่าจะอยู่หอ แล้วขอรถยนต์ส่วนตัว นั่นแหละมันส์โคตร เละโคตรๆ แต่มันก็ผ่านมาได้ 

ตอนอยู่มหาวิทยาลัย ผมเก่งทุกอย่างยกเว้นเรื่องเรียน ..ลองทุกอย่าง ทั้งขายตรง ทำบริษัทจำลอง ..เข้าค่ายอาสา ..ฝึกงานกับบริษัทจริง

พอเรียนจบ ผมขอพ่อจะไปเรียนต่อ ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่ผมเคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS ..ผมเลือกมหาวิทยาลัยเอง ติดต่อเอง จัดการเองทุกอย่าง ...เป้าหมายของผม คือ ต้องสร้างธุรกิจ ต้องยิ่งใหญ่ด้วยตัวเอง 

บทสรุปคือ ผมเรียนไม่จบที่ออสเตรเลีย เพราะมัวแต่ทำงาน ..เอาเงินที่บ้านจำนวนมหาศาลไปทิ้งกับร้านอาหาร และโรงงานกระจก ...ใบปริญญาก็ไม่ได้ ต้องกลับบ้านมือเปล่า

พ่อผมไม่พูดสักคำ ...บอกว่า 'ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เริ่มใหม่' 

...ในใจผมคิดว่า 'ไม่เป็นไรกะผีอะไร เงินเสียไปขนาดนี้ ปริญญาโทก็ไม่จบ พังทุกอย่าง อายุก็เริ่มเยอะแล้ว ยังทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ห่วยแตกชิบหาย กรูไม่ไหวแล้ว ทำไมกรูถึงไม่เอาไหนขนาดนี้วะ ?'

จุดนี้แหละที่ผมเริ่มรู้จักตัวเองว่า จริงๆแล้ว ถ้าไม่มีบารมีจากพ่อ ตัวผมเองไม่มีอะไรดีเลย ไม่เอาไหนเลย ...นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่ผมเริ่มพัฒนาตัวเอง

ผมซื้อหนังสือ อ่านหนังสือเยอะมาก เข้าสัมมนา พยายามหาความรู้ทุกอย่าง 

จนวันนึง พ่อเรียกผมเข้าไปคุยในห้องพระ บอกว่า 'เอาเงินก้อนนี้ไปลองเล่นหุ้น ทำให้ดีล่ะ'

นี่คือ เหตุผลที่ผมเข้าตลาดหุ้น แล้วก็เป็นผมอย่างในปัจจุบัน

สิ่งที่ผมเรียนรู้คือ 

1. ความเชื่อมั่น และกำลังใจจากคนที่เรารักคือพลังที่สำคัญมากในชีวิต โดยเฉพาะเวลาที่เราอ่อนแอ

2. เราจะรู้จักตัวเองจริงๆ ก็วันที่เราเจอวิกฤตหนักๆ ในขีวิต ..นั่นคือ เวลาตัดสินคน 

3. ไม่มีพรสวรรค์ในโลก มีแต่พรแสวง ..ยิ่งเจอปัญหา ยิ่งมีโอกาสพัฒนาตัวเอง

4. ล้มเหลว มันลุกได้ ขอเพียงไม่ล้มเลิก

5. พ่อเก่ง ไม่ได้หมายความว่าเราเก่ง ..ความเก่ง แต่ละคนต้องเรียนรู้เองจากประสบการณ์

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ข้ออ้าง ศัตรูร้ายของความก้าวหน้า


'เรื่องของข้ออ้าง ที่จะไม่ต้องทำ ไม่ต้องสู้'

ลองเอาข้ออ้างที่จะ 'ไม่ทำ' ออก บางทีโอกาสมันก็เปิดขึ้นได้ครับ 

ลองศึกษาประวัติ ผู้ก่อตั้ง What's App แล้วจะทึ่งว่า คนเกิดมาติดลบ พ่อแม่ตายตั้งแต่ยังเด็ก ต้องพึ่งเงินเลี้ยงดูของรัฐบาลอเมริกัน วันนี้รวยระดับโลกได้ไง

'ข้ออ้าง คือ อุปสรรค ที่น่ากลัวที่สุดในชีวิต'

- ก็ฉันไม่ได้เกิดมารวย
- ก็ฉันไม่ได้เรียนสูง
- ก็ฉันไม่ได้โชคดีนี่
- ก็นั่นก็นี่ ...

ก็เพราะฉันแค่หาข้ออ้าง ทีจะ 'ไม่ทำ ' ก็เท่านั้นแหละครับ !! 

เอาใจช่วยนะครับ ..ผมเชื่อว่า ทุกคนเปลี่ยนตัวเองได้ ให้ดีขึ้น แค่เอาข้ออ้างที่ ไม่ทำออก 

ถึงไปไม่ถึงดวงดาว แต่อย่างน้อยมันต้องดีกว่าจุดที่เราเป็นวันนี้ครับ😊

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ใช้เงินอย่างไรให้รวยขึ้น คำสอนจากพ่อ


'จ่ายเงินยังให้ให้รวยขึ้น ?'

 ...จ่ายเงินจะรวยได้ไง จ่ายแล้วมีแต่จนลง ...ทันใดนั้นพ่อผมก็สอนว่า จ่ายเงินให้รวยขึ้น คือ จ่ายเงินซื้อสินทรัพย์ไง (Asset) 

ปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่ยิ่งใช้เงินยิ่งจน ซื้อของยิ่งเป็นขยะ เพราะ

1. เขาแยกไม่ออกว่าอะไรคือ Asset หรืออะไรคือขยะ

2. ไม่กล้าซื้อ Asset เพราะซื้อขยะ มันดูถูกกว่า มันได้จำนวนชิ้นมากกว่า (แต่สุดท้ายขยะมันแพงกว่าเมื่อเวลาผ่านไป)

3. ซื้อขยะมันเท่ห์ มันตามกระแส ..คนซื้อ Asset ต้องไม่ตามกระแส เลยถูกมองว่า ไม่เท่ห์ ไม่แนว (แต่พ่อบอก มันรวยนะ ไม่ต้องตามกระแสก็ได้)

พ่อผมสอนว่า

 'บ้านไม่ใช่ Asset สิ่งที่เป็น Asset คือ  ที่ดิน และ ของสะสมในบ้าน ..พ่อบอกว่า บ้านก็เหมือนโกดังใส่ของ อย่าไปทุ่มเงินสร้างบ้าน ให้ทุ่มเงินซื้อที่ดินดี และ ทุ่มเงินในของสะสมที่เป็น Asset ..เมื่อส่งต่อความมั่งคั่งให้ลูก สองสิ่งนี้แหละที่ลูกต้องการ คือ ที่ดิน และ ของสะสม เพราะมันเปลี่ยนเป็นเงินได้ทันที ส่วนบ้านน่ะ ทุบทิ้ง!!'

สิ่งที่พ่อสอนทำให้ผมรู้ว่า 'การที่คนไหนจะรวย ต้องมีวิธีคิดที่ถูกต้องก่อน ..บางคนหาเงินเก่ง แต่ใช้เงินไม่เป็น ซื้อแต่ขยะ ของฟุ่มเฟือย สุดท้ายก็เงินหายหมด ไม่มีอะไรเหลือ'

 ...นี่แหละวิธีคิดเศรษฐี ขนาดใช้เงิน ยังสามารถใช้เงินให้ตัวเองรวยขึ้นได้เลย ...มันเริ่มที่วิธีคิด!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

ภาววิทย์ Live ไม่ใส่สูท ครั้งที่ 5 : ตอน "เปิดบ้านภาววิทย์"


'Facebook Live เปิดบ้าน ภาววิทย์ ครั้งแรกในโลก' -- สดๆ Facebook Live !!
'เปิดบ้าน ให้ดู!!'

..มาดูกันว่า Passion Investment 'ลงทุนในสิ่งที่รัก โดย พ่อของภาววิทย์

(เก่งกว่า ภาววิทย์ ต้องเจอพ่อภาววิทย์ ตัวเป็นๆ)

เงินเก็บใน สินทรัพย์ ที่เรารัก ให้ทั้ง คุณค่าทางใจ ให้ทั้ง ความร่ำรวย ที่เพิ่มขึ้น
เจอกันสดๆ กับพ่อภาววิทย์

ในคลิ๊ปนี้จ๊าาา

"ภาววิทย์ Live ไม่ใส่สูท" ครั้งที่ 4 "การปั้นพอร์ตลายคราม"


'ภาววิทย์ Facebook Live ไม่ใส่สูท' ครั้งที่ 4 ตอน 'วิธีปั้นพอร์ตการลงทุนแบบลายคราม'
..เก็บตกสัมมนากับคุณวิชัย ทองแตง ของช่อง 3 วันนี้

ใครสนใจมาเรียนรู้การลงทุนเพิ่มเติม ชวนมา BLSTALK ขอนแก่น กับ หาดใหญ่กันครับ
คลิ๊กสำรองที่นั่งที่นี่ http://investmentstation.bualuang.co.th/blstalk/


ตอนที่ 2 : ปั้นพอร์ตลงทุนลายคราม กับ 'ภาววิทย์ Facebook Live ไม่ใส่สูท'
เมื่อกี้ เน๊ตหลุด ขออภัยครับ ..555 เอ้า!! ฟังกันต่อ

ลิงค์สมัครของ BLSTALK ขอนแก่น และ หาดใหญ่ ใครสนใจคลิ๊กจองที่นั่งที่นี่เลยครับ
http://investmentstation.bualuang.co.th/blstalk/




วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559

ทำธุรกิจแบบพี่ Mark


'เห็น Vision ของ Mark Zuckerberg แล้วทึ่งมาก ...เขาคุยในแผน 10 ปีของ Facebook

ต้องยอมรับสิ่งที่ Mark สร้าง มันเปลี่ยนโลกจริงๆ ...ใครจะคิดว่า โลกเราจะสื่อสารกันง่ายถึงเพียงนี้ 

ล่าสุดตัว Facebook Live อันนี้ก็น่าจะเปลี่ยนโลกอีกครั้ง ...ถ้ามองเผินๆ ก็ไม่ต่างจาก YouTube นี่ ..แต่เมื่อผมลองเล่น มันไม่ใช่แค่นั้น อันนี้มันถ่ายทอดสด!! - พูดปั๊บ มีคนฟัง แล้ว Comment กันสดๆ ..แถมออกอากาศเสร็จมันทำเป็น VDO ให้อีก ..งง !! ครับ ทำได้ไง

 - พูดง่ายๆ ว่า วันนี้ทุกคนไม่ต้องลงทุนพันล้านไปสร้างสถานทีโทรทัศน์ ก็สามารถเป็นเจ้าของช่องส่วนตัวได้

ผมว่าเรามีอะไรต้องเรียนรู้กันอีกพอสมควรในการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งนี้ ..แต่อย่างน้อยผมก็ได้เรียนการทำธุรกิจจาก Mark ดังนี้

1. ห้ามหยุดนิ่งกับความสำเร็จเดิม ..เดินต่อซิครับ จะอยู่เฉยทำไม

2. การแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้คนอื่น คือ หัวใจของการสร้างธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ในยุคนี้ -- ตี Pain Point ของคนได้กระจาย!!

3. ต้องเข้าใจลูกค้า ..ไม่ใช่แค่รู้จักนะ คุณต้องเข้าใจลูกค้า ...เขาใช้ชีวิตอย่างไร คิดอย่างไร ทำอย่างไร 

ใช้ได้จัดไป!! ..เรียนรู้กันต่อไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2559

ภาววิทย์ Facebook Live ไม่ใส่สูท' ตอน 'เริ่มธุรกิจง่ายๆ ต้องมี 3 รู้

หัวข้อ 'อยากเริ่มธุรกิจ ต้องรู้ 3 อย่าง' (อะไรบ้าง ลองคิดดู ?)

 เฮ้ย!! เช้ามากอ่ะ 6.45 น.ใครจะตื่นฟระ !! ..ใช่ !! คาถาเศรษฐีข้อแรก 'อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา' ..555 - จริงๆ ไม่ใช่

..วันนี้ผมมีสัมมนาที่ อสมท.งาน FM 96.5 คุยการลงทุนกับ ดร.นิเวศน์ ..ก็เลยตื่นเช้าก็เท่านั้นแหละ ..อิ อิ

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

"ภาววิทย์ Live ไม่ใส่สูท" ครั้งที่ 2 (ครั้งนี้ไม่ใส่สูทจริงๆ)

"ภาววิทย์ Live ไม่ใส่สูท" ครั้งที่ 2 (ครั้งนี้ไม่ใส่สูทจริงๆ)

ผมมีโอกาสได้บรรยายให้ "สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย"

...ในหัวข้อ "นักการตลาด (ที่ไม่ชอบเลข คือ ไม่ชอบจริงๆ) ลงทุนหุ้นได้ไหม ?"

ตอบเลยว่าได้ "ดีด้วย" เพราะ ผมคือ "นักการตลาดที่เล่นหุ้น ...ผมไม่ชอบตัวเลข แต่ผมก็เล่นหุ้นในแบบของผมได้"

มีคลิ๊ปย้อนหลังให้ดูกัน (ผมพูดต่อจากคุณป้อม ผมเริ่มตอนนาทีที่ 7.30 ครับ) ลองดูครับ


ภาววิทย์ Facebook LIVE "ไม่ใส่สูท" ครั้งที่ 1 (ครั้งนี้ใส่สูท เอ๊ะ ยังไง..555)

ภาววิทย์ Facebook LIVE "ไม่ใส่สูท" ครั้งที่ 1 (ครั้งนี้ใส่สูท เอ๊ะ ยังไง..555)

ครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ทดลองออกกากาศ Facebook Live มีพี่ป้อม พี่บอย มาร่วมสนทนา

ในหัวข้อ การลงทุน ทำไม ?

"ลงทุนทำไม ?" ผมหุ้น - พี่ป้อมธุรกิจ Start-Up - พี่บอยใกล้ตัวสุด ลงทุนในตัวเองเลย เอากับเขาซิ

ลงทุนในตัวเอง

ฟังคลิ๊บย้อนหลังได้ที่นี่คลิ๊ก


วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

ในชีวิตคุณแพ้กี่ครั้ง ชนะกี่ครั้ง


'ในชีวิตคุณแพ้กี่ครั้ง ชนะกี่ครั้ง ?' ...อันนี้เป็นคำถามสำคัญมากสำหรับคนที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิต

อัตราส่วนโดยเฉลี่ยของแพ้กับชนะ บนโลกนี้คือ 10 ต่อ 1 ...เดี๋ยวๆ นี่ไม่ใช่แต้มต่อพนันนะ แต่เป็นอัตราส่วนจริงๆ ถ้าเราความล้มเหลว และเอาความสำเร็จของคนทั้งโลกมาเขย่ารวมกัน

'ก็ใช่น่ะชิ !!' คนรวยเลยมีแค่ 10% นอกนั้นไม่รวย

เอางี้ คุณลองมองใหม่ ลองมองว่า ถ้าเราต้องการสำเร็จแบบชัวร์ๆ แล้วไม่มองแบบโลกสวย พวกที่ทำครั้งแรกรวยเลย อันนั้นไม่ใช่เรา ...ให้เรามองแบบซวยสุดเลยคือ มองเราเป็นพวก 10 ต่อ 1  

คือทำอะไรจะแพ้ 9 ครั้ง ชนะ 1 ครั้ง ...จากนั้นลงมือเลย ลุยไปเลย 10 ครั้ง ยังไงกรูต้องชนะสักครั้ง ...ไอ้ครั้งที่ชนะก็คือ รวยเลย - ดังเลย - ชนะเลย 

หลายคนอาจไม่รู้ว่า อย่างผมเองเป็นนักเขียนที่ได้ชื่อว่า 'นักเขียน Bestseller' ..หลายๆคน อาจมองว่า ก็โชคดีเขียนหนังสือแล้วดัง ขายดี ...แต่จริงๆ แล้ว ใน 7 ปีที่ผ่านมา ผมเขียนหนังสือไป 13 เล่ม ไม่รวมหนังสือเสียงอีกหลายๆเล่ม บทความและคอลัมภ์ต่างๆ เป็นพันบทความ -- ทั้งหมด ที่ดังจริงๆ ก็แค่ 1-2 เล่ม เท่านั้นเอง 

'ใช่!! ผมก็ประเภท 10 ต่อ 1'

ดังนั้น สร้างผลงานให้ถึง 10 ครับ แล้วคุณจะเป็นคนที่ 1 คนต่อไป ...อันนี้ใช้ได้กับการทำงาน ทำธุรกิจ และการลงทุน

 ...จัดไป!! แพ้ชนะ เรื่องปกติ ทำต่อไป 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


นักลงทุนทุกคนที่ประสบความสำเร็จ มักพูดคำนี้


'นักลงทุนทุกคนที่ประสบความสำเร็จ มักพูดคำนี้' ..เหมือนกัน !!

ผมกับพี่ป้อมและพี่ๆ หลายๆท่าน เราช่วยกันสร้างสังคมนักลงทุน Stock2morrow ซึ่งวันนี้ขยายไปหลายๆ ด้าน ทั้งหนังสือ สถาบันการเรียนรู้ ...สิ่งหนึ่งที่ผมเจอเยอะมาก คือ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ

บางคนเริ่มไม่นานก็สำเร็จ ..บางคนก็ใช้เวลานาน ...บางคนก็ยังอยู่ในวิกฤต ..มีทุกรูปแบบ ..แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ ทุกคนที่ผ่านมันได้

คำว่า 'ทุกคนที่ผ่านมันได้' คือ ผ่านบททดสอบนักลงทุน อันนี้ผมการันตีว่าทุกคนต้องเจอด้วยตัวเอง ก็คือ ความเสียหายระหว่างทาง ซึ่งบอกเลยว่า หนักพอตัว แบบที่ว่า จุดนั้นอยากที่จะเลิกเล่นหุ้นกันไปเลย 

แต่เคล็ดลับคืออะไรรู้ไหมครับ -- 'ทุกคนที่ผ่านจุดนั้นได้ คือ แย่แล้วสู้ใหม่ แล้วกลับมายืนได้ จะพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า เสียดายที่เริ่มลงทุนในหุ้นช้าไป ..ผมเองกว่าจะเริ่มก็อายุจะ 30 แล้ว ...พี่ป้อมกว่าจะเริ่มก็เกือบ 40 ..'

ถ้าเทียบหุ้นกับกีฬา นี่ผมว่า หุ้นสบายกว่าเยอะ ..อย่าง Golf ถ้าคุณจะเก่งแบบ Tiger Woods ต้องเอาไม้กอล์ฟใส่มือตั้งแต่ 2 ขวบ ..ฝึกโหด ชีวิตยาก

ส่วนหุ้นนี่ เซียนหุ้นในอดีต เริ่มอายุเยอะหมด ..รุ่นผมก็เริ่มกันใกล้ๆ 30 ..ผมยังเสียดายเลยว่า ถ้าผมเริ่มตอนอยู่มหาวิทยาลัย หรือ เริ่มตั้งแต่อยู่ในโรงเรียน คงสุดยอดกว่านี้ไปแล้ว

เอางี้ ..ถ้าคุณยังอายุน้อย หรือ คุณมีใครที่ยังอายุน้อย ลองแนะนำให้เขาศึกษาหุ้น ...และนั่นจะอาจจะเป็นคำแนะนำที่ดีที่สุดในชีวิตเขาเลยก็ได้

ในหุ้นที่ดูผันผวน ดูเสี่ยง และน่ากลัวในสายตาคนส่วนใหญ่ มันมีรางวัลที่ยิ่งใหญ่แฝงอยู่ ...ถ้ารางวัลมันไม่ใหญ่จริง คุณว่าคนบ้าอย่างพวกผมจะอยู่ในตลาดหุ้นทำไม ..คนที่เข้าใจตลาดหุ้นแล้วอยู่รอดได้แล้ว แทบไม่มีใครเลิกเล้นหุ้นเลยชั่วชีวิต (ตรงนี้น่าคิดมาก ว่า รวยไม่เลิก คืออะไร)

'เริ่มเลยครับ จะได้ไม่ได้พูดเหมือนเซียนหุ้นทุกคนว่า - รู้งี้ผมเริ่มเล่นหุ้นเร็วกว่านี้'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2559

เวลาเป็นแผล เราเอานิ้วไปจิ้มแล้วหมั่นขยี้แผลไหม


'เวลาเป็นแผล เราเอานิ้วไปจิ้มแล้วหมั่นขยี้แผลไหม ...ไม่!! แต่แผลใจ เราชอบทำแบบนั้น ทั้งจิ้มทั้งขยี้ จนกลายเป็น ปมชีวิต!!'

หลายคนไม่รู้ว่าจริงๆ ปัญหาหลายๆ อย่างที่เราคิดว่า เป็นเรื่องของโชคร้าย ดวงไม่ดี ..บ่อยครั้งที่มีสาเหตุมาจาก ปมชีวิต โดยที่เราไม่รู้ตัว

'ปมชีวิต' มันเกิดจากเราย้ำแผลใจ และส่วนใหญ่เกิดจากคนรักและคนใกล้ตัว ...ถ้าจะพูดให้เห็นภาพ ก็เหมือน การเขียนโปรแกรมสั่งคอมพิวเตอร์ทำงาน

ปมชีวิต ก็เหมือนเขียนโปรแกรมสั่งสมองให้เราทำแบบนั้น ย้ำทำแบบนั้น จนสุดท้ายมันส่งผลร้ายซ้ำๆ ในชีวิต

ทางแก้ คือ การหาสาเหตุ ในเรื่องที่เรามักผิดพลาดซ้ำๆ ...พูดแล้วตลก เรื่องการเล่นหุ้นนี่ก็เกี่ยวนะ คนที่พลาดแล้วถ้าไม่หาสาเหตุ ก็มักจะเจ๊งในเรื่องเดิมอีก ..ผิดมันอย่างเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก

1. หาสาเหตุของปมนั้น ..หาให้เจอว่า อะไรคือ เหตุ ..แต่ต้องไม่โทษคนอื่นนะ ..การหาสาเหตุเราสนใจอย่างเดียวคือ สาเหตุในส่วนที่มาจากตัวเรา ...ทุกปัญหาถ้าเรามองด้วยใจเป็นกลางจะพบว่า จริงๆ เราก็คือส่วนนึงของต้นเหตุของทุกปัญหาของเรา ...หาจุดนั้นให้เจออย่างแรก !!

2. พิจารณาแก้ไข ..ฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันโคตรเปลี่ยนชีวิตสำหรับคนที่ทำตาม 2 ข้อนี้ คือ 'หาเหตุ แล้วพิจารณาแก้ไข'

หลายๆ ปัญหาชีวิต หรือ เรื่องงาน ที่เราผิดแล้วผิดอีก เพราะเราลืมแก้สมการที่สำคัญที่สุด ก็คือ 'ส่วนที่เป็นตัวเรา' 

ทุกปัญหาไม่ต้องไปแก้ที่อื่น แก้แค่ส่วนของตัวเรา จากนั้นทุกอย่างมันจะดีขึ้นเอง ...ลองดูซิครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

อาชีพไหนก็รวยได้จริงเหรอ


'อาชีพไหนก็รวยได้จริงเหรอ ?...ใช่รึเปล่า ? 

ถ้าใช่แปลว่า ทุกคนที่ขยัน สุดท้ายจะรวยใช่ไหม ? -- ฮึม!! ไม่ใช่ เพราะบางคนขยันมาก อดทนมาก ทำงานแทบไม่มีวันหยุดพัก แต่ก็ไม่รวยอยู่ดี ...อันนี้จะแก้ไขอย่างไร ?

ทางแก้ คือ มาทบทวนตัวเองจริงๆ จังๆ กับอาชีพที่ทำครับ โดยถามคำถามดังนี้ครับ

1. 'อาชีพที่เราทำเน้นที่เวลาของเรา หรือเน้นที่ผลงาน' ..ถ้าต้องตรอกบัตรเข้า ทำงานตามเวลา อันนี้แสดงว่า เราขายเวลาแลกเงิน (ทำงานแบบนี้ได้ประสบการณ์ ได้ทำงานเยอะ แต่รวยยากนะ แล้วก็โตยาก)

2. 'งานที่เราทำสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตของลูกค้าได้แค่ไหน' ..ถ้าน้อย แปลว่าบริษัทที่เราทำอยู่ อนาคตอาจไม่สดใส เพราะลูกค้าจะยอมจ่ายเงินให้สิ่งที่เขาคิดว่าสำคัญในชีวิตเขาไหม

3. 'หน้าที่ที่ฉันทำ มีคู่แข่งหรือคนทำแทนได้เยอะไหม' ...ตรงนี้คือ มีใครมาแทนเราได้ไหม ถ้าใครๆก็แทนเราได้ แปลว่า หน้าที่นี้ไม่สำคัญในบริษัท เพราะเราออกไป ก็หาคนใหม่มาแทนง่ายๆ อันนี้รวยยากครับ

4. 'งานที่เราทำมีผลต่อรายได้โดยตรงของบริษัท' ...งานส่วนใหญ่ที่ได้เงินดี แล้วบริษัทเห็นค่า มักจะเป็นงานที่สร้างรายได้โดยตรงให้บริษัท หรือ ถ้าเป็นงานสนับสนุนก็ต้องประหยัดเงินให้บริษัทแบบชัดเจน 

สรุปคือ ถ้าวันนี้เราทำงานหนักแต่รายได้ไม่สูง ต้องพิจารณา 4 ข้อ แล้วเริ่มปรับเปลี่ยนทันที เพราะมันแปลว่า 

'เรากำลังหาอาหารในจุดที่มันไม่มีอาหาร !!' (ก็จุดนั้นมันไม่มีปลา คุณจะหาปลาได้ยังไงเล่า?)

ทางแก้ ดังนี้

1. 'ถ้างานเราขายเวลา' ให้เอาเวลาว่างหางานเสริม ใช้เวลาหลังเลิกงานทำอาชีพเสริม เริ่มจากเรียนรู้สิ่งที่อยากทำ เช่น ไปเรียนทำอาหาร , เรียนตัดเสื้อ , เรียนเล่นหุ้น , เรียนปลูกผัก , เรียนวิชาชีพอะไรก็ได้ ที่มันจะต่อ ยอดอาชีพเสริมให้เรา

2. 'งานเราไม่สำคัญต่อคนอื่น' ..ก็ทำให้มันสำคัญ เริ่มจากทำตัวเราให้มันสำคัญต่อคนรอบตัว ...ช่วยเหลือคนรอบด้าน โดยเฉพาะหัวหน้า ..ทำการบ้านว่า ตัวเราสามารถเสริมนายเราในด้านไหน ที่เขาจะเห็นคุณค่าเรา ..ในส่วนลูกค้า เราต้องคิดวิธีช่วยลูกค้า ให้ลูกค้ารักเรา เริ่มจาก 'ยิ้ม' (อย่างแรก เลิกทำหน้าตูดใส่คนรอบข้าง) แล้วค่อยๆ ต่อยอด

3. 'งานเราใครทำก็ได้' ..ต้องพยายามสร้างจุดเด่นให้ตัวเอง ให้เป็นว่า แม้งานฉันใครทำก็ได้ แต่ตัวฉันไม่ใช่ใครจะเป็นได้ ..เช่น เป็นคนน่ารัก เป็นคนดี เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นคนช่วยเหลือคนอื่น เป็นจุดเชื่อม ...พยายามหาสิ่งพิเศษที่ให้เราแตกต่าง

4. 'งานเราไม่สร้างรายได้ตรงให้บริษัท' ..ต้องพยายามหาจุดที่ทำรายได้ โดยเริ่มจากศึกษาเรื่องนั้น แล้วเสนอตัวเข้าไปลองทำในจุดนั้น ...หรือ ถ้าที่บริษัทไม่มีโอกาสให้แสดงฝีมือ ก็ใช้เวลาว่าง สร้างอาชีพเสริมที่ทำรายได้

ลองพิจารณาแล้วปรับเปลี่ยนดูครับ ที่ผ่านมาไม่ใช่เราดวงไม่ดีหรอกที่ 'ทำงานหนักแต่เงินน้อย!!'

 ..เราดันไปตกปลา ในจุดที่ไม่มีปลา -- ก็ให้ตั้งสติ มองดูว่าฝูงปลาอยู่ที่ไหน แล้วค่อยๆ ขยับขยายไปจุดนั้นให้ได้ 

มาเรียนการลงทุนไหมครับ แถวนี้ปลาเยอะนะ แต่ต้องฝึกวิธีหาให้รู้จริงก่อน ..จัดไป 'ออมในหุ้น' (อันนี้เลือกปลา ให้มันหาเงินให้เรา..555)

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

การปั้นธุรกิจทำเงินในยุคนี้


'การปั้นธุรกิจทำเงินในยุคนี้ ...มีน้องหลายคนอยากสร้างธุรกิจให้ยิ่งใหญ่เร็วๆ 

 ผมมีคำแนะนำในฐานะที่ผมปั้นธุรกิจมาค่อนข้างโชคเลือด ..ไม่ใช่โชคโชนนะ ผมโชคเลือด เพราะลองมาทุกแบบ จนได้วิธีคิดอันนี้'

'ถ้าอยากได้หน้า เริ่มธุรกิจให้ใหญ่ แต่ถ้าอยากได้เงินคิดให้ใหญ่ แต่เริ่มให้เล็ก !!'

คำว่า 'เริ่มให้เล็ก' หลายคนตีความผิด แล้วบอกว่า 'โถ่พี่ แบบนี้จะยิ่งใหญ่เหมือน Mark Zuckerberg ได้ไง มัวแต่ทำเล็ก ...ต้องคิดแบบผมนี่ เปลี่ยนโลก !!'

'ใจเย็นน้อง มองไปรอบๆ ตัวก่อนว่า นี่เมืองไทย ประเทศอินดี้ ไม่ใช่ อเมริกา หรือ Silicon Valley นะน้อง ..Rakuten ยักษ์ใหญ่ออนไลน์ของญี่ปุ่นที่พิชิตมาแล้วทั่วโลก เจอตลาดไทยยังม้วนเสื่อกลับบ้านเลย ...เคยถามไหมว่าทำไม ?'

วันนี้เด็กรุ่นใหม่ที่ผมเจอ ส่วนใหญ่ใจร้อนและร้อนวิชามาก อยากเริ่มสร้างบริษัทเลย ลงทุนเปิดออฟฟิศ เริ่มจ้างคนเลย ซื้อเครื่องจักรเลย เช่าที่เปิดหน้าร้านเลย 'ยังไม่มีรายได้ ก็อยากเสียเงินแล้ว' -- ใจเย็น ๆ !!

'ทุกธุรกิจคิดการใหญ่เป็นเรื่องดี แต่เวลาเริ่มมันควรเริ่มเล็กๆ ...ผมใช้วิธีคิดนี้ว่า การปั้น One Man Corporation คือ องค์กรที่เริ่มจากคนหนึ่งคน'

ใช่!! วางแผน เปลี่ยนโลก ถูกแล้ว แต่เวลาเริ่มให้คิดแบบ Project ..ก็เหมือนทำการบ้านส่งครูตอนมหาวิทยาลัยนั่นแหละ

ก็เริ่มจาก เลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จากนั้น ก็พัฒนาสินค้า ทำ Product จริง ที่คิดว่า กลุ่มเป้าหมายเราจะสนใจ ...ทำจากจำนวนน้อยๆ ยังไม่ต้องสนเรื่องต้นทุน เป้าหมายคือ พัฒนาสินค้าจริงขึ้นมา แล้วลองขายจริง แล้วดูว่า 'กลุ่มเป้าหมายที่เราคิดว่าจะจับ' เขายอมซื้อจริงๆ 

'จำตอน ทำ PowerPoint พัฒนา Idea แล้วไปพรีเซ้นต์หน้าห้องให้อาจารย์ฟังนั่นแหละ ...'

ถ้าไม่ซื้อ ก็ต้องปรับใหม่ ลองใหม่ ..ขั้นตอนทั้งหมดนี้ มันอาจจะดูไม่เท่ห์ ไม่เปลี่ยนโลก แต่เชื่อเถอะว่า ทุกธุรกิจที่ยิ่งใหญ่เริ่มทำแบบนี้ทั้งนั้น ...ทั้ง Google / Facebook หรือ Apple มันเริ่มจาก Project แล้วก็ขยายจากกลุ่มคนซื้อแรก แล้วค่อยๆ โต 

ลองไปปรับใช้ดูครับ ...One Man Corporation ผมบอกเลย แม่งโคตรเท่ห์ เพราะถ้าสินค้าคุณเริ่มขายได้ มันจะเริ่มเห็นเงินทันที (เห็นเงิน นี่สุดเท่ห์ครับ) ...จากนั้น เราจะรู้เองว่า ควรขยายต่ออย่างไร !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




ทำไมโลกยุคดอกเบี้ยต่ำที่อยู่ยาก


'ทำไมโลกยุคดอกเบี้ยต่ำที่อยู่ยาก ..แล้วมันเกี่ยวกับคนทั่วไปยังไง ?'

เรากำลังจะเหมือนญี่ปุ่น ..เจริญใช่ไหม ? - ไม่ใช่ครับ ที่เหมือนคือ เรากำลังเป็นสังคมคนแก่แบบประเทศญี่ปุ่น ..แทบไม่ต้องเดาเลยว่า ประเทศเราแทบเหมือนญี่ปุ่น ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราก็จะเจอความท้าทายแบบญี่ปุ่น ดังนี้

1. ดอกเบี้ยจะต่ำยาวนาน ..อันนี้ทำให้คนอยู่ยาก โดยเฉพาะยิ่งเรากำลังเข้า ยุคสังคมผู้สูงอายุ ที่รายได้ลด แต่รายจ่ายสุขภาพเพิ่ม ..ซึ่งคนที่เกษียณส่วนใหญ่พึ่งเงินฝาก ซึ่งฟันธงเลยว่าดอกเบี้ยจะต่ำอีกนานจนแทบอยู่ไม่ได้ ..คิดง่ายๆ สมัยก่อนดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร 10% ถ้ามีเงินเก็บ 10 ล้าน ก็เกษียณสบายละ เพราะได้ดอกเบี้ยเดือนเกือบแสนบาท ...แต่ถ้าวันนี้หวังเกษียณที่เงิน 10 ล้านแล้วฝากเอาดอกเบี้ย ก็เหลือปีละ 50,000 บาท - 'มันอยู่ไม่ได้ไง !! บ้าไปแล้ว'

2. คนจะไม่กล้าลงทุน เพราะยิ่งดอกเบี้ยต่ำ ยิ่งรู้สึกไม่มั่นคง ก็ยิ่งไม่กล้าลงทุน ทำให้คนส่วนใหญ่ เงินยิ่งไม่โต 

3. บริษัทต่างๆ จะลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะเรื่องคน ไม่มีใครอยากจ้างคนเพิ่ม ทำให้เด็กรุ่นใหม่หางานยาก บีบให้คนรุ่นใหม่ต้องไปทำธุรกิจเอง หรือตกงาน ซึ่งความแน่นอนในรายได้ยิ่งต่ำเข้าไปอีก 

4. ข้าวของค่าครองชีพจะสูงแบบน่ากลัว เพราะแรงงานรุ่นใหม่จะไม่เลือกทำการเกษตรทำให้สุดท้ายอาหารและค่าครองชีพจะสูงแบบสุดขีด

5. ค่านิยมการออมของคนเปลี่ยน เด็กยุคใหม่จะไม่เก็บเงิน ทำให้ความผันผวนเศรษฐกิจจะหนักกว่าทุกวันนี้ เวลาดีก็ดีใจหาย เวลาแย่ก็แย่ใจสลาย

ที่พูดมามีทางแก้ คือ 'เราต้องเปลี่ยนตัวเอง จาก Consumer เป็น Investor (ผันตัวเองจากผู้บริโภคเป็นนักลงทุนแทน)'

สิ่งที่กล่าวมาคือ ผลกระทบต่อผู้บริโภค ก็คือ คนที่เลือกใช้ชีวิตตามกระแสแบบคนส่วนใหญ่ กำลังจะเจอความยากลำบากในการใช้ชีวิตในอนาคต

ผมเสนอทางเลือกให้ใช้ชีวิต 'ทวนกระแส' คือ การคิดแบบนักลงทุน

1. ไม่ออมเงินแบบคนทั่วไป แต่ 'ออมในหุ้นแทน' เพราะผลตอบแทนปันผล จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าบริษัทประหยัดต้นทุนจะกำไรเพิ่ม ยิ่งไม่กล้าลงทุน สุดท้ายก็ต้องปันผลสูง นี่คือ เทรนต์สำหรับบริษัทดีที่เราออมในหุ้นได้

2. ไม่ใช้เงินตามกระแส ..ถ้าคนส่วนใหญ่จ่ายเงินในส่วนไหนเยอะ เราต้องใช้ให้น้อย - เมื่อคนส่วนใหญ่หยุดใช้ เราถึงจะเริ่มใช้เงิน 'ถ้าคิดแบบนี้เราจะ ได้ข้อเสนอที่ดีเวลาเราจะใช้เงิน เพราะเวลาคนอื่นเงินฝืด เราจะมีอำนาจต่อรองสูง'

ใช่!! ปัญหาใหญ่แก้ได้ ที่ตัวเรา เมื่อเราเลือกใช้ชีวิตทวนกระแส และเลือกเป็น Investor ไม่ใช่ Consumer  

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

หมั่นส่องกระจกสะท้อนความสำเร็จ


'กระจกสะท้อน คือ หัวใจของการรักษาความสำเร็จและตัวเรา'

เรามักจะเห็นคนมากมาย ที่เกิดขึ้น และดับลง ในเวลาที่แตกต่างกัน ..บางคนดังเร็ว และก็ลงเร็ว / บางคนเกิดช้า แต่เกิดแล้วอยู่ยาว / บางคนไม่ดัง แต่หากินเรื่อยๆ ยาวๆ - คำถามคือ เราอยากเป็นแบบไหนล่ะ ?

ใช่!! ขอ ดังเร็ว แล้วอยู่ยาวๆ ได้ไหม ? ...อันนี้ใครๆก็อยาก เหมือน คนถูกหวยแต่ดันรักษาเงินที่ได้มาได้ ไม่ธรรมดาแล้วแบบนี้ เพราะ คน 90% ที่ถูกหวย สุดท้ายจนเหมือนเดิม ชีวิตแย่กว่าเดิม แย่กว่าก่อนที่จะถูกหวยเสียอีก

เคล็ดลับของ คนที่สำเร็จเร็วแล้วรักษาความสำเร็จนั่นได้ยั่งยืน ก็คือ 'กระจกวิเศษ เหมือน Snow white ..แต่เป็นกระจกที่สะท้อนตัวเราเอง' ..คนที่มีกระจกสะท้อนจะเห็นตัวเองตลอด 

และการสะท้อนตัวเองจะได้

1. 'ไม่หลงตัวเอง' คนที่หลงตัวเองจะประมาท และนำอันตรายสู่ตัวเองได้ง่าย

2. 'ยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น' คนที่เข้าใจหลักเหตุผลของทุกสิ่งจะเข้าใจว่า ความสำเร็จทุกคนได้มาด้วยความเหมาะสมแล้ว จึงยินดีกับคนอื่นและมีมิตรมาก

3. 'เห็นผลลัพธ์ของตัวเอง' เราจะเปลี่ยนตัวเอง หรือ พัฒนาตัวเอง ต้องรู้และยอมรับความจริงก่อนว่า ตอนนี้เราอยู่ตรงไหน ...ถ้าไม่รู้จักจุดที่ตัวเองยืนก็พัฒนาต่อยอดไม่ได้ เพราะกำลังหลงทาง

4. 'เมื่อเห็นตัวเอง จะเห็นคนอื่น' ..ความเข้าใจคนอื่น และเห็นใจคนอื่น เป็นหลักเบื้องต้นในเรื่องของ 'คน' ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของทุกความสำเร็จ ..คนที่มองไม่เห็นใคร ก็เพราะเขาไม่เคยมองเห็นตัวเอง

5. 'รู้จักพิจารณาตัวเองในมุมตรงข้าม' ทุกการตัดสินใจมีสิ่งหนึ่งที่เราเลือก และมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราทิ้งเสมอ ...บางครั้งการพิจารณาสิ่งที่เราทิ้ง ก็เป็นการสร้างปัญญาในรูปแบบนึง

ลองส่อง กระจก และหมั่นดู ...พัฒนาตัวเองนะครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วัฒนธรรมกาแฟ ระดับชาติ


'วัฒนธรรมกาแฟ ระดับชาติ'

Coffee Culture ผมคิดถึง Starbucks ทันที

ใครจะคิดว่า Starbucks จะสามารถทำให้คนทั่วโลกยอมจ่ายค่ากาแฟแพงกว่ากินข้าวได้

สมัยเด็กผมไม่ชอบกาแฟเพราะมันขม แต่วันนี้กินทุกวันประดุจยาเสพย์ติด ..ค่ากาแฟผม มักแพงกว่าข้าว ..เฮ้ย !! เพราะบางมื้อไม่กินข้าว นั่งดื่มแต่กาแฟ

ลองนั่งคิดเล่นๆ ว่า กาแฟมันสร้างให้เป็นวัฒนธรรมการกินแฟได้อย่างไร แถมระบาดไปทั่วโลก ..หลักการ 'ระบาดกาแฟทั่วโลกของ Starbucks'

1. 'สุดโต่ง' ความสุดโต่งมันแสดง Passion  และมันเท่ห์ ..เท่ห์ที่ชัดเจน เพราะคนทั่วๆไป เป็นคนกลางๆ ทำอะไรกลางๆ ..แต่ถ้าสร้างวัฒนธรรมต้องชัดเจน สุดโต่ง 

2. 'สร้างมาตรฐานใหม่' กาแฟชง 45 องศา ทำมือตั้งฉากกับดวงดาว เมล็ดต้องสีน้ำตาลอมเทา กลิ่นหอมขึ้นตา และบดเวลาจะชงเท่านั้น ..คนชงเราเรียก บารีสต้า ใช้เวลาฝึก 48 ชั่วโมง พร้อมข้อสอบความเข้าใจประวัติศาสตร์กาแฟทุกพันธุ์ทั่วโลก

3. 'ใครซื้อครั้งแรกเป็นต้องร้อง' ...เชี่ย!! แพง กาแฟแก้วนี้นะร้อยบาท ..เฮ้ย งั้นต้องลองสักแก้ว ...และลองอีกแก้ว ...จากนั้นก็ลองอีกแก้ว สองแก้ว 

4. 'สนิทกับคนซื้อ' กาแฟใครกินก็ติด มันเป็นนิสัย พอใส่พนักงานที่เป็นกันเอง มันโอเคขึ้นมาทันที ...ลองไปดูซิครับว่า พนักงานที่ Starbucks เขาคัดเลือกพนักงานแล้วฝึกอย่างไร ทำไมต่างจากร้านกาแฟทั่วไป 

5. 'ทำเลโคตรดี' ..สมัยก่อนคนที่ใช้กลยุทธ์นี้คือ แมคโดนัลด์ ..วันนี้ลองดูว่า ทุกทำเลทองการค้าจะมี Starbucks ตั้งร้านอยู่ (ข้อนี้ยากสุด เพราะมันคือ ต้นทุนของแบรนด์ ที่ทำให้เขาได้ทำเลดีกว่า ในค่าเช่าที่ถูกกว่า)

จริงๆ ทุกธุรกิจมีจุดแข็งไม่เหมือนกันหรอกครับ ..รายใหญ่คิดอย่าง ..รายเล็กต้องคิดอีกอย่าง

แค่ใครแค่ทำการบ้าน 5 ข้อแตกต่าง ...เราก็สร้างความสามารถการแข่งขันเหนือคู่แข่งไป 5 ขั้นแล้วครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เจ้าของธุรกิจ ต่างกับผู้บริหารยังไง


'เจ้าของธุรกิจ ต่างกับผู้บริหารยังไง' (แล้ว 'หมาบ้าน' ต่างกับ 'หมาข้างถนน' ยังไง อันนี้ก็น่าคิด)

 ..เป็นคำถามที่น้องๆ นักศึกษาอยากรู้ เพื่อจะได้วางแนวทางตัวเองถูกต้องสำหรับอนาคต

โอเค !! เรามาดูผู้บริหาร ส่วนใหญ่ต้องเก่ง เรียนเก่งเป็นพื้นฐาน เพราะคนที่ได้ดีในองค์กรต้องมี Profile ที่ดี ..จบมหาวิทยาลัยดี , มีประสบการณ์ที่ดี , มี Resume ใบสมัครงาน สวยอ่านประวัติแล้วทึ่งว่างั้น - นี่คือ คนที่มีโอกาสเป็นผู้บริหาร 

ข้อดีของผู้บริหารคือ เงินเดือนสูง ความเสี่ยงต่ำ เพราะยิ่งตำแหน่งสูง ยิ่งรู้มาก บริษัทไม่กล้าไล่ออก ..แต่ข้อเสียคือ Comfort Zone หนา แทบไม่มีโอกาสไปทำธุรกิจส่วนตัวเลย เพราะ มันเสียเยอะไปจากความสะดวกสบายที่มี ทำให้ผู้บริหารมืออาชีพส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างตลอดไป

มาดูเจ้าของ หรือ เถ้าแก่บ้าง ..ส่วนใหญ่เป็นเด็กเรียนไม่ค่อยเก่ง เลย Profile ไม่ค่อยดี ..สมัครงานก็จะได้ตำแหน่งที่ไม่ค่อยดี อย่าง Jack Ma เจ้าของ Alibaba ก็เป็นตัวอย่างของเถ้าแก่ ...หลักๆ ก็คือ โอกาสในบริษัทมันไม่รุ่ง เลยต้องหาโอกาสนอกบริษัท

ข้อดีของเถ้าแก่ ก็คือ ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร ถ้ารวยจะรวยมาก และไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง ขอให้สู้ แล้วหมั่นเรียนรู้หน้างาน ก็มักจะเป็นเถ้าแก่ได้ในที่สุด ...แต่ข้อเสียคือ เถ้าแก่ส่วนใหญ่ไม่ได้รวยนะ (แถมเหนื่อยตลอดชีวิต)  เพราะธุรกิจส่วนใหญ่คือ SME มันไม่มีระบบ ทั้งธุรกิจวางอยู่บนเถ้าแก่คนเดียว ..เถ้าแก่หยุด ธุรกิจก็จบ ความเสี่ยงเลยสูง

ผมเคยคุยกับเถ้าแก่หลายคน ..อย่างพี่เมฆ เจ้าของ Index Creative แกเปรียบเทียบ ความเป็นเถ้าแก่ได้เห็นภาพมาก ..แกเล่าว่า 'ลองนึกถึง หมาบ้าน กับ หมาข้างถนน เห็นภาพเลย'

'หมาบ้าน' รู้แน่ว่าเดี๋ยวถึงเวลาเจ้าของก็เอาอาหารมาให้กิน ..ไม่ต้องดิ้นรนมาก ทำให้เจ้าของรักก็จบแล้ว

ส่วน 'หมาข้างถนน' ต้องหากินเอง ถึงคุ้ยขยะที่เดิม บางวันก็ไม่มีอาหาร ..อันตรายอยู่รอบตัว นอนยังต้องระวังศัตรู

พี่เมฆ กล่าวด้วยคำพูดให้ผมคิดว่า :
'พี่เป็นหมาข้างถนน มาตลอด แล้วเอ๊งล่ะ ?'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559

พ่อสอนผมเล่นหุ้นอย่างไร


'พาพ่อมาทานข้าว ก็คุยเรื่องที่ผ่านมากัน ...เรื่องพ่อผมสอนผมเล่นหุ้นยังไง ทั้งที่พ่อผมไม่ใช่นักเล่นหุ้น ?'

เรื่องนี้ตลกและปนความโหด คือเมื่อประมาณ 8 ปีที่แล้ว ผมกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองไทยหลังจากธุรกิจในต่างประเทศที่ผมสร้างไปไม่รอด

ผมกลับมาได้สักพัก พ่อก็เรียกผมไปคุย           'แพ้ทนี่เงินก้อนสุดท้าย ของเรา ลองไปคิดวิธีลงทุนซิ เพราะเดี๋ยวแม่เราก็จะเกษียณแล้ว ..จะได้มีเงินใช้หลังเกษียณ'

เวลานั้นผมสนใจแต่ทำธุรกิจ ไม่สนตลาดหุ้น แต่อย่างที่บอกว่า ผมเพิ่งล้มไม่เป็นท่าจากธุรกิจร้านอาหาร และ Start-Up ธุรกิจกระจกในต่างประเทศ ยังไม่มีใจจะทำอะไรต่อ กลัวทุกอย่าง 

(คนที่เคยทำธุรกิจเจ๊ง น่าจะเข้าใจความรู้สึกผมในตอนนั้นว่า มันคือจุดที่เราไม่มีความมั่นใจเหลือแล้ว มีแต่ความกลัว)

สิ่งที่พ่อผมทำ มันคือการ จุดประกายให้ผมตื่นอีกครั้ง !!

พ่อผมเอาเงินเก็บทั้งชีวิตวางตรงหน้าผม แล้วบอกให้ผมเอาไปจัดการให้ดี

 'เฮ้ย!! ผมคิดในใจเวลานั้นว่า พ่อบ้าไปแล้วหรือ ..ผมเพิ่งเอาเงินก้อนใหญ่ไปเสียในต่างประเทศ แล้วนี่จะเอาเงินก้อนสุดท้ายมาไว้ใจผมอีกหรือ ?'

'โคตรบ้า!!'

นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ผมเข้าตลาดหุ้น และศึกษาอย่างจริงจัง ..ใช่!! โจทย์นี้ยากที่สุดในชีวิต และเปลี่ยนให้ผมเป็นภาววิทย์ในปัจจุบัน

'ความไว้ใจของพ่อ ต่อคนไม่เอาไหนอย่างผม มันเปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของผมไปอย่างสิ้นเชิง'

นี่คือการสอนของพ่อผม สอนด้วยชีวิตจริง 'โหดสาดดด แต่มันลึกซึ้งกินใจ!!'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2559

สิ่งที่นักลงทุนอสังหาต้องระวัง 'ตึกผี' เมืองผี


'สิ่งที่นักลงทุนอสังหาต้องระวัง 'ตึกผี' เมืองผี'

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของ เมืองผี ในเมืองจีน เช่น South China Mall ที่โด่งดังใน Internet ว่าเป็นห้างผี ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ..ถูกทิ้งล้างตั้งแต่สร้างเสร็จ จนได้ชื่อว่า ห้างผี

จริงๆ แล้ว มันเกิดมาจากการเร่งสร้าง โดยไม่ดูความต้องการของคน แบบว่า สร้างไปก่อนเดี๋ยวก็ขายได้เอง ...ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นปัญหาฟองสบู่ครั้งใหญ่ในเมืองจีน ที่สร้างโครงการบ้านแล้วขายไม่ได้ สร้างห้างแล้วไม่มีคนเช่า แม้กระทั่งสร้างทั้งเมืองแต่ไม่มีคนอยู่

วันนี้ปัญหาอสังหากลายเป็นปัญหาระดับชาติของเมืองจีนที่รัฐบาลพยายามเร่งแก้ไข โดยใช้ 3 วิธีคือ 

1. ทุบโครงการทิ้ง แล้วรอพัฒนาใหม่ (ลด Supply ของเดิม)
2. ไม่อนุญาตให้สร้างเพิ่ม (ลด Supply ไม่ให้สร้างเพิ่ม)
3. รัฐบาลเข้าซื้อแล้วเปลี่ยนเป็นบ้านเอื้ออาทร (ลด Supply โดยใช้เงินรัฐบาลอุ้ม)

ใช่!! ที่เล่าเรื่อง เมืองผี เพราะอยากจะชี้ให้เห็นว่าเรื่องของ Supply 'จำนวนผลิต' กับ Demand 'ความต้องการซื้อ' มีความสำคัญมากในการทำธุรกิจ และ การลงทุนทุกอย่าง

ถ้ามีการลงทุนแบบไม่ลืมหูลืมตา เราต้องระวังตัว เพราะนั่นแปลว่า Supply จะสูงเกิดจริง ..ซึ่งสุดท้ายทุกอย่างจะกลับสู่ความจริง ราคาจะร่วง ลงมาจนถึงจุดที่ตรงกับ Demand ในที่สุด

ทุกวันนี้มีรายงานจากเมืองจีนว่า เมืองผีเหล่านี้เริ่มมีคนทยอยเข้าไปอยู่ แต่มันก็เป็นบทเรียนราคาแพงของนักลงทุน นักพัฒนาที่ลงทุนไปก่อนหน้านี้

สิ่งที่ผมใช้ดูว่า อสังหา หรือ หุ้น ที่ลงทุนมันราคาเหมาะสมหรือว่าแพงเกินไป อสังหาต้องวัดที่ค่าเช่า คือ ลงทุนกู้ซื้อคอนโดไป แล้วปล่อยเช่าได้ (ต้องปล่อยเช่าได้ ถ้าไม่มีคนเช่า แปลว่า ไม่มี Demand) เทียบผลตอบแทนต้องสูงกว่า ดอกเบี้ยเงินกู้ 

ส่วนหุ้น ต้องดูปันผลว่า สูงกว่าเอาไปวางไว้ที่อื่น เช่น ซื้อพันธบัตร หรือ ซื้อตราสารหนี้

ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ถือว่า สินทรัพย์ไม่แพง ทั้งอสังหาและหุ้น ควรสูงกว่า 5% ต่อปีขึ้นไป (ยิ่งสูง ยิ่งดี) 

...ถ้าผลตอบแทนต่ำกว่านั้นแปลว่า สิ่งที่คุณลงทุนเริ่มแพงแล้วครับ 'ต้องระวังและดูความเหมาะสมให้ดี'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


BLSTALK ปีนี้เดินสายแล้ว ใครสนใจอย่าพลาดครับ


'เดินสายแจกหนังสือเสียงไปถึงมือท่านเลย กับสัมมนา BLSTALK !!! 

- งานนี้เป็นสัมมนาปูพื้นฐานการลงทุนที่ไม่เหมือนสัมมนา เหมือน Talk Show พูดคุยหุ้นในมุมสนุกๆ เข้าใจง่าย (เหมาะมากสำหรับคนที่อยากเข้าใจหุ้น สั้นๆ ง่ายๆ วันเดียวจบ)

- งานนี้ 3 กูรู (แพ้ท / ปิ๊ก /เน๊ต) เดินทางไปคุยกับท่านโดยตรง : ผมเอาวิธีคิดการลงทุนไปฝาก ..ปิ๊กเอาหลักการเลือกหุ้นไปให้ ..เน๊ตสอนเครื่องมือและครั้งนี้เอา Bualuang Stock Signal 'เครื่องมือช่วยมือใหม่ดูหุ้นแบบเทคนิค' (แจกให้ใช้ฟรีครับ)

- งานนี้บัตรเข้าสัมมนาถูกมาก เพียง 300 บาทต่อท่าน ..นอกจากความรู้ที่ท่านจะได้ในสัมมนา ท่านจะได้รับหนังสือเสียงอีก 2 แผ่น เอาไปฟังต่อที่บ้าน ฟังยามรถติด ให้จุใจ 

(หนังสือเสียง แผ่นแรก 'ออมในหุ้น & ออมในกองทุน' / แผ่นสอง 'วิธีลงทุนแบบ The Stock Master' ทั้งสองแผ่นจะเป็น Audiobooks ฟังสบาย เหมาะฟังเวลารถติด เปลี่ยนเวลารถติดเป็นเวลาเรียนรู้) ...หนังสือไม่ต้องอ่าน ฟังเลย !!

- กำลังจะเดินสายไปใน 4 จังหวัด ดังนี้ (กรุงเทพรอก่อนนะครับ ครั้งนี้ไปต่างจังหวัดก่อน) ..รายละเอียด สถานที่จัด เวลา สำรองที่นั่ง คลิ๊กสมัครที่ลิงค์ด้านล่างเลยครับ

- ไปเชียงใหม่ วันที่ 24 เมษายน  
- ไปพัทยา วันที่ 25 เมษายน
- ไปขอนแก่น วันที่ 14 พฤษภาคม  
- ไปหาดใหญ่ วันที่ 28 พฤษภาคม

ใครสนใจมาแจมงานนี้ รายละเอียด และจองที่นั่งที่นี่ครับ ..จองด่วน แล้วเจอกันจ๊าาาา 


 www.bualuang.co.th/blstalk

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559

สอนคนให้รวยทำได้ด้วยหรือ


'สอนคนให้รวยทำได้ด้วยหรือ ?'

หลายคนสงสัยว่าเรื่อง วิธีรวยมันสอนกันได้ด้วยหรือ ?

สอนได้ซิครับ ...แต่ที่สำคัญกว่ามันอยู่ที่คนเรียนยอมเปิดใจเรียนรู้ไหม 

การทำเงินมันมี 3 แบบ 

ขั้นแรก : ตอนเด็กต้องเรียนรู้การทำงานเพื่อเงินให้ได้ก่อน ..ในขั้นนี้การเรียนในระบบสำคัญมาก ยิ่งใครเรียนได้ดี ได้ปริญญาสูง ก็จะมีโอกาสในการหาเงินแบบนี้ได้มาก

แต่สำหรับคนที่เรียนในระบบไม่เก่ง ก็มีทางเลือกคือ ต้องหาประสบการณ์ให้มาก ลองทำธุรกิจจริงๆ ยิ่งเก่งเงินก็ยิ่งมาก

ดังนั้น ในขั้นแรก 'ใช้เวลาของตัวเองแลกเงิน - ต้องเรียนสูง หรือ เก่งให้มาก'

ขั้นสอง : 'เรื่องการวางเงินทำงาน อันนี้ไม่ต้องเก่ง แต่ต้องเข้าใจแก่นของการลงทุนและมีความอดทนรอได้' ..ขั้นนี้ทำให้คนสามารถมีอิสรภาพทางการเงินได้ เพราะไม่ต้องเอาแรงงานและเวลาไปแลกเงินแล้ว 

เรื่องที่ผมสอน 'ออมในหุ้น' ก็คือ สอนให้คนสามารถรู้วิธีคิดและวิธีปฏิบัติ นำไปใช้ได้นั่นเอง

ขั้นสาม : 'ใช้ความคิดสร้างเงิน' ขั้นนี้ต้องผ่านขั้นแรกและ ขั้นที่สองได้แล้วถึงจะเข้าใจข้อนี้ เพราะในขั้นนี้ต้องเรียนรู้การใช้เวลาของคนอื่น และใช้เงินของคนอื่น ..เช่น เจ้าของกิจการในตลาดหลักทรัพย์ ระดมเงินจากมหาชน แล้วก็จ้างผู้บริหารมืออาชีพมาบริหารธุรกิจให้โต 

ในขั้นนี้ตัวเรากลายเป็นผู้จัดสรรเงิน จัดสรรผลประโยชน์ และจัดสรรเวลา ของคนจำนวนมาก

ผู้ที่สามารถอยู่ในขั้นนี้ได้ ต้องเป็นผู้ที่สังคมวางใจ มี 'Trust' สูงสุดนั่นเอง

ถ้าเราศึกษาให้ดี จะพบว่า ในโลกนี้มีคนทุกระดับ พูดง่ายๆ ว่าในทุกขั้นเราสามารถหาตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จในขั้นนั้นๆ เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาได้ ...ยิ่งถ้าได้ พูดคุยกับคนในขั้นนั้น แล้วได้เรียนจากเขาจะยิ่งทำให้เราสำเร็จเร็วขึ้น

ใช่!! ความรวยและความสำเร็จ เรียนรู้กันได้ เริ่มจากเราถ่อมใจ และยอมเรียนรู้ 

-- ทุกเป้าหมายที่เราอยากได้ อยากเป็นในโลกนี้ มีคนทำได้แล้ว ..หาอาจารย์ในจุดนั้นให้เจอ เราก็สำเร็จตามได้ครับ ..จัดไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

เลือกบริษัทที่เลี้ยงเราได้ ทำอย่างไร


'เลือกบริษัทที่เลี้ยงเราได้ ทำอย่างไร ?'

อันนี้เป็นส่วนสำคัญของการเป็นนักลงทุนเลย ต้องเลือกบริษัทที่จะลงทุนให้เป็น

หลายคนหลงคิดว่า บริษัทที่ควรเลือกลงทุนคือบริษัทที่อยู่ในกระแสหรือคนพูดถึงเยอะๆ ..จริงๆ ตรงข้ามเลย 

ถ้าจะเลือกเทรดหุ้นเก็งกำไรอันนั้นเลือก บริษัทในกระแสถูกแล้ว เพราะการเทรดหุ้นสั้น นักเทรดมีจุด Stop Loss อยู่แล้ว 'ความเสี่ยงของนักลงทุนระยะสั้น ขึ้นกับฝีมือคุมความเสี่ยงของเทรดเดอร์เอง (ถ้ามีจุด Stop Loss แล้วมีวินัย ยังไงก็ไม่เจ๊ง เพราะถ้าพลาดก็เสียหายเท่าจุด Stop Loss แค่นั้น)

แต่นักลงทุนระยะยาว หรือ คนลงทุนแบบออมในหุ้นไม่ใช่เลย ..ความเสี่ยงของนักลงทุนระยะยาว กลับอยู่ที่บริษัทที่เขาเลือกลงทุน ถ้าเลือกของดี ก็เข้าตำราให้เงินทำงาน นั่งเฉยๆ รอรับเงิน แต่ถ้าเลือกผิดก็เสียหาย (ดังนั้นนักลงทุนระยะยาว ใช้วิธีการจายความเสี่ยงช่วยคุมความเสียหายเวลาผิดพลาด)

มาดูหลักการเลือกบริษัทที่เลี้ยงเรา มีดังนี้

1. 'ทำสิ่งดี' ธุรกิจต้องทำสิ่งที่ดี ถึงจะอยู่ได้ยาว เช่น 7-11 ทำให้คนสะดวก , มือถือทำให้การติดต่อสื่อสารง่าย , พลังงานทำให้เราดำเนินชีวิตไม่ติดขัด

2. 'มีกำไร' ถ้าธุรกิจดีต้องทำแล้วมีกำไรด้วย จึงจะถือว่าทำได้ยาวๆ มั่นคง

3. 'แบ่งปันผล' ถ้าธุรกิจดีมีกำไรแต่ไม่แบ่งปันผลเลย นักลงทุนระยะก็ต้องการเงินใช้ด้วย ไม่ใช่มองแต่อนาคตอย่างเดียว ต้องแบ่งเงินให้เราระยะสั้นบ้าง

ถ้าเข้า 3 ข้อนี้ ถือว่า 'ลงทุนยาวๆด้วยได้ครับ'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ผมไม่เชื่อในพรสวรรค์ แต่เชื่อในพรแสวง


'ผมไม่เชื่อในพรสวรรค์ แต่เชื่อในพรแสวง'

หลายคนบอกให้หาพรสวรรค์ให้เจอแล้วเราจะประสบความสำเร็จ !! ...ผมก็มานั่งหาว่า อะไรที่ผมทำได้ดี ปรากฏว่าเด็กในยุคผม Gen Y ทำได้ทุกอย่าง

ถ้าอะไรไม่เก่ง จับไปเรียนพิเศษ เดี๋ยวจะได้ตามเพื่อนทัน 

เลขอ่อนเดี๋ยวไปติว ..ภาษาอังกฤษอ่อน ไปเรียนเพิ่ม

สรุปแล้วเด็กรุ่นผม อย่าไปหาพรสวรรค์เลย หาไม่เจอ เพราะมันเก่งเท่ากันทุกอย่าง เรียนก็เก่ง กีฬาก็ดี บางคนดนตรีก็ได้ บางคนทำอาหารทำขนมเก่ง ...เอาดิ ยุคเก่งทุกอย่าง อะไรคือ พรสวรรค์ครับ ?

สารภาพเลย ตัวผมเอง วันนี้ยังไม่รู้เลยว่าอะไรคือพรสวรรค์ของผม เพราะงานที่ผมทำวันนี้ คือ จุดอ่อนทั้งหมดของผมในวัยเด็ก

ผมเป็นนักพูด เป็นวิทยากร วันนี้ผมทำเงินจากการพูดเยอะมาก แต่ใครจะรู้ว่า ผมเป็นคนกลัวเวที ไม่กล้าพูดหน้าชั้น ...ผมพูดครั้งแรกแบบขึ้นเวทีจริงจัง ก็ตอนผมอายุเกือบ 30 แล้ว ...จุดอ่อนอันดับหนึ่ง กลายเป็นสิ่งที่ทำเงินให้ผมอันดับหนึ่ง

ผมเขียนแย่ ภาษาไทยผมอ่อนมากเวลาเรียน ..ผมไม่เคยคิดจะเป็นนักเขียน ..แถมผมเพิ่งมาฝึกเขียนก็หลังจากผมทำธุรกิจเจ๊งนั่นแหละครับ ..วันนี้จุดอ่อนด้านภาษา เปลี่ยนเป็นจุดแข็ง ผมกลายเป็นนักเขียน (แปลกว่ะ)

ผมไม่เก่งเลข ในมหาวิทยาลัยผมไม่ชอบวิชาการเงิน บอกตรงๆ สมองผมไม่ถึง ผมไม่ชอบอะไรยากๆ ..แต่วันนี้ผมเป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่มีชื่อเสียง สถาบันการเงินระดับประเทศจ้างผมทำงาน ...จุดอ่อนจุดนี้กลายเป็นจุดแข็งอีกอัน

ตลกดีนะครับ ...ถ้าให้ผมสรุปส่วนตัว ผมคงจะบอกว่า 'พรสวรรค์หาได้จากจุดอ่อน' อาจจะใช้ไม่ได้กับคนส่วนใหญ่นะ ..555

งั้นขอสรุปใหม่ว่า 'ให้แสวงหา ทำให้เยอะ ลุยให้เยอะ ลองในสิ่งที่คิดว่าทำไม่ได้ เพราะจุดแข็งตัวคุณอาจแฝงในจุดอ่อนแบบผมก็ได้'

ดังนั้น 'พรแสวง' ...สู้ให้เจอครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




คนเราจะเก่งกว่าอาจารย์ได้อย่างไร


'คนเราจะเก่งกว่าอาจารย์ได้อย่างไร ?'

พ่อถามผม ...'ว่าไงแพ้ท ตอบดิ ?'

พ่อมักท้าทายผมด้วยคำถามแปลกๆ เช่น 'ลูกต้องเก่งกว่าพ่อ ไม่งั้นโลกก็กำลังถอยหลังดิ คนรุ่นใหม่โง่กว่าคนรุ่นเก่า!!'

'ก็จริงครับพ่อ แต่มันทำยังไงล่ะ ...'

คำถามเหล่านี้ผมถูกถามตั้งแต่เป็นเด็ก ...ทำให้ผมคิดตลอด เช่น เวลาเรียนหนังสือผมก็คิดนะว่า ถ้าเราทำทุกอย่างตามที่เรียนมา ก็ไม่มีทางเก่งกว่าอาจารย์ไดั

เราจะไปต่างอะไรจากคอมพิวเตอร์ ที่ถูกตั้งโปรแกรมให้ทำตามคำสั่ง ทำตามตำรา แล้วจริงๆ มันทำตามคำสั่ง ตามตำราได้ดีกว่าคน ..อ้าว!! แล้วจะมีคนไปทำไม ?

คิดๆ ก็มาเจอคำตอบ ก็คือ 'สิ่งที่เราทำดีกว่าคอมพิวเตอร์ ก็คือ สวนคำสั่ง ท้าทายคำสั่ง ท้าทายตำรา ..แหกตำรา ..แหกคำสั่ง..' ...ไอ้คนที่โดนไล่ออกจากงานคนก่อน ก็คิดแบบผมเลยนี่ 'แหกคำสั่งหรือ? ไล่ออก ...ไป!!'

ผมใช้เวลาเกือบ 20 ปี ตอบคำถามที่พ่อถามผม ..เริ่มจากผมสอบติดธรรมศาสตร์และนั่นคือจุดที่ผมเริ่มออกจากบ้าน ไปอยู่หอ อยู่ด้วยตัวเอง ...ผมพยายามเรียนให้ดี 

ผมจบเกียรตินิยมจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี แล้วก็ผจญภัยต่อที่ออสเตรเลีย

ผมนึกถึงชีวิตตัวเอง คล้ายๆ หนังกำลังภายในจีน ที่พระเอกต้องท่องยุทธภพ ..เสาะหาวิชา และฝึกฝน ยิ่งถ้าตกเขา ยิ่งจะไปเจอวิชาดี 

ใช่!! ชีวิตผมทำตามหนังจีนกำลังภายในเลยว่า 'ต้องท่องยุทธภพ ถ้าไม่เจอคัมภีร์ดาบวงพระจันทร์ ผมจะไม่กลับมา' ...ช่วงนั้นผมก็ยังตอบคำถามพ่อไม่ได้ว่า 'ทำไงจะเก่งกว่าอาจารย์ เพราะแค่หาอาจารย์เก่ง กรูยังหาแทบไม่เจอ ถึงเจอเขาก็ไม่รับเราเป็นศิษย์'

สรุปชีวิตผมตกเขา และก็ไม่เจอคัมภีร์ เจอแต่แผลกลางหลัง สุดท้ายผมต้องกลับยุทธภพ ก็คือ ยอมแพ้ในการทำธุรกิจในต่างประเทศแล้วกลับมาเป็นลูกจ้างในเมืองไทย (ถ้าในหนังจีน คือกลับมาเป็นเสี่ยวเอ้อ)

วันนี้ผมยังเป็นเสี่ยวเอ้อ ยังเป็นลูกจ้าง แต่ความคิดผมเปลี่ยนไปมาก ..ผมได้ลองทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆ อยู่หลายอย่าง ในเวลาว่างนอกงานประจำ ซึ่งทำให้ผมเรียนรู้การทำธุรกิจมากขึ้น

ผมเริ่มตอบพ่อได้ว่า 'ทำไงจึงเก่งกว่าอาจารย์'

ก็ไม่ยาก 'ตั้งใจเรียนทุกอย่างจากอาจารย์ แต่ไม่ได้เรียนเพื่อทำตาม แต่เรียนเพื่อรู้ ..จากนั้นต้องทิ้งมันไป เพื่อที่เราจะพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ที่เราจะใช้จริงในปัจจุบัน'

เคล็ดลับของการเรียน ไม่ใช่เพื่อจำ แต่เพื่อเข้าใจ แล้วทิ้งมันไป ..การทิ้งคือการหลุดกรอบจากสิ่งที่ทำ เราจะต้องการทิ้งทุกอย่างเพื่อสร้างสิ่งใหม่ที่ดีกว่า

ใช่ไหมครับพ่อ ?

'ไอ้บ้า!! ไปคิดใหม่เลย ...' 

(อ้าว!! นึกว่า เท่ห์..555)

 'เรียนเพื่อทิ้ง - วางเพื่อหลุดกรอบ - เมื่อไร้กรอบจึงสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ เหนือคอมพิวเตอร์ !!'

 ...อย่าไปแข่งทำตามแบบคอมพิวเตอร์ เราต้องเป็นที่คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



ใครสลักชื่อบนหน้าผากคนนั้นโชคดี


'ใครสลักชื่อบนหน้าผากได้ก่อน คนนั้นโชคดี'

ใช่แล้ว ใครก็ตามที่มีชื่อสลักบนหน้าผาก คนนั้นจะโชคดีมาก ทั้งในเรื่องงานและการหาเงิน ...เพราะใครเห็นเขาก็เห็นชื่อที่สลักบนหน้าผากทันที

ตัวอย่างเช่น 

- คุณตัน มีคำว่า 'ชาเขียว' สลักอยู่ที่หน้าผาก

- คุณต๊อบ มีคำว่า 'สาหร่าย'สลักอยู่ที่หน้าผาก

- พี่ Mark มี 'Facebook' สลักบนหน้าผาก

- Henry Fords มี 'รถยนต์' 

- คุณสรยุทธ์ ก็ยังมีคำว่า 'ข่าว' แม้จะหยุดอ่านข่าวไปแล้วก็ตาม

..หลักการของมันก็คือ ชื่อที่สลักบนหน้าผาก ต้องเห็นและเข้าใจทันที ..ใครพูดเรื่องนี้ก็นึกถึงเขา บางครั้งได้การโปรโมรทฟรี เป็นชื่อแรกในใจผู้คนเมื่อพูดถึงสิ่งนั้น

ดังนั้น จุดแรกของการทำงาน ต้องทำงานเพื่อสลักชื่อบนหน้าผาก อย่าเพิ่งไปเน้นเงิน เอาชื่อให้ได้บนหน้าผากก่อน จากนั้นเงิน โอกาส ชื่อเสียงจะไหลตามมาเอง

การเลือกชื่อที่มาสลักบนหน้าผาก 'ให้ง่ายขึ้น' มีหลักการคร่าวๆ ดังนี้

1. สิ่งนั้นยังไม่มีเจ้าตลาดที่แข็งแรง (ถ้ามีรายใหญ่ทำสิ่งที่เราจะทำอยู่ จงรู้ไว้ว่า เรากำลังท้าต่อยมวยกับมืออาชีพ ดังนั้นเราจะไปเวทีอื่น หรือ ขอเปลี่ยนกฏในการสู้ใหม่แทน)

2. สิ่งนั้นยังไม่เคยมีใครทำ หรือ ยังไม่มีใครเอามาทำเป็นธุรกิจมาก่อน (เดิมทีโยคะก็ไม่ใช่ธุรกิจ , เดิมทีการออกกำลังกายก็ไม่ใช่ธุรกิจ , ทุกธุรกิจใหม่เริ่มจากเดิมทีไม่ใช่ธุรกิจ)

3. เป็นสิ่งใหม่ เพราะสิ่งใหม่มันเท่ห์ (ไม่มี    เทรนด์ไหนเกิดจากการเป็นผู้ตาม ..ต้องนำสมัย)

4. เป็นชื่อที่มันชัดเจน คนเข้าใจง่ายๆ ด้วยการอธิบายไม่กี่คำ (ถ้าสิ่งที่คุณทำต้องอธิบายให้ลูกค้าฟังเป็นวัน คุณเกิดยากละ)

5. สิ่งนี้นำการเปลี่ยนแปลงอย่าง หรือเสนอทางเลือกบางอย่างที่ดีต่อชีวิตคน (อันนี้ยากสุด เพราะหลายๆชื่อถึงดังก็พลาดข้อนี้ แต่ใครทำข้อนี้ได้คือความยั่งยืน)

ครบ 5 ข้อละ คุณลองไปหาชื่อมาสลักบ้างซิ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ทางเลือกและความหลากหลาย


'ทำธุรกิจอย่างไรให้ถูกใจลูกค้าทุกคน ?'

คุณรู้ไหมคนที่ทำได้ ส่วนใหญ่ ธุรกิจไม่โต ...เฮ้ย!! อ้าวนึกว่า เอาใจลูกค้าทุกคนแล้วธุรกิจโต

ไม่ใช่ครับ !! ในยุคที่ทางเลือกของลูกค้ามีไม่จำกัดแบบยุคนี้ ...การทำให้ลูกค้าพอใจ เป็นสิ่งที่ใครก็ทำ กลายเป็นสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่สร้างความแตกต่าง แถมบางครั้งทำให้ต้นทุนสูงโดยไม่จำเป็น

เช่น เราชงกาแฟแบบเข้มสุดขีด กินปั๊บตื่นไปอีก 2 วัน แต่มีลูกค้าคนนึงบ่นว่า ..'กาแฟเข้มไปนะ ถ้าอ่อนกว่านี้สักครึ่งนึงจะมีคนมากินอีกเยอะเลย'

คำถามคือ คุณควรทำอย่างไร ?

ก็ชงกาแฟให้อ่อนลงโดยรวม , ชงให้พิเศษเฉพาะลูกค้าคนนี้ , เพิ่มเมนูใหม่อีกอัน กาแฟอ่อนพิเศษ

ใช่!! ทุกอย่างทำได้หมด แต่ทุกการเลือกทำในธุรกิจคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ...แต่มีข้อจำกัดอย่างนึงที่ต้องระวังคือ ความหลากหลาย ทำให้เรากลายเป็นคนธรรมดา ..ทางเลือกมาก ในบางครั้งทำให้เราโตยาก นักธุรกิจระดับโลกจึงชอบอะไรง่ายๆ

- ร้านฟาสฟู้ด ส่วนใหญ่สินค้าชัดเจน ไม่ได้มีให้เลือกแบบร้านอาหารตามสั่ง ทำให้ต้นทุนถูกกว่า และขายได้มากกว่า

- Steve Jobs และพี่ Mark ..เมืองไทยมีคุณต๊อบ เถ้าแก่น้อย ... ไม่ชอบเลือกเสื้อผ้า มีอยู่ชุดเดียว

- ร้าน Hermes กับ Issey แทบไม่เปิดโอกาสให้เราเลือกสินค้า

...ไม่ได้ชี้ว่า ทางเลือกน้อยดีกว่ามาก หรือ การโฟกัสดีกว่าการสุ่มหว่าน ...แต่ทุกอย่างที่เราเลือกคือต้นทุน

คนที่ประสบความสำเร็จ มักทำอะไรง่ายๆ ชัดเจน และ มีจุดยืนที่เราเลือกอย่างดีที่สุดแล้ว !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2559

เปิดให้สมัคร DW01 Master เรียนการเก็งกำไร 2 ขา

http://investmentstation.bualuang.co.th/dw01master/

'เปิดรับสมัครแล้วครับ 'DW01 Master' สำหรับคนที่สนใจ ทยอยสมัครแล้วรอเข้าสู่ Journey การเรียนรู้ได้เลยครับ'

'มีหลายคนถามว่า จะรวยจากหุ้นต้องถือแล้วรอให้หุ้นขึ้นเท่านั้นใช่ไหม ..แปลว่า ถ้าหุ้นลงเราต้องซวยใช่หรือไม่ ? ...ถ้าใช่ มีทางแก้ไหม ? ...มีเครื่องมืออะไรไหมที่สามารถเก็งกำไรหุ้นขาลงได้แบบง่ายๆ ? 

...หรือ ถ้าเราถือหุ้นเต็มพอร์ต แต่รู้แน่ๆว่าตลาดจะลง เราสามารถป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตเราได้หรือไม่ ?'

ตอบ 'มีเครื่องมือเก็งกำไรหุ้นขาลงครับ ..ถ้าเรามองว่าหุ้นจะลง หรือ ตลาดหุ้นจะลง เราสามารถซื้อ DW01 เก็งกำไรขาลงได้ ..พูดง่ายๆ คือ ถ้าหุ้นลงเราจะได้กำไรครับ

- ข้อดีของ DW01 คือ สามารถเก็งกำไรได้ทั้ง 2 ขา คือ เก็งกำไรได้ทั้งตลาดขึ้นและลง ได้หมด เหมือน Future แต่ความยุ่งยากในการซื้อน้อยกว่า เพราะ DW01 ซื้อขายเหมือนซื้อหุ้น คือ ถ้ามองว่าตลาดลง เราก็ซื้อตัว Put 'ถ้าตลาดลง เราได้เงิน' แต่ถ้ามองว่าตลาดขึ้นเราซื้อ Call 'ตลาดขึ้น เราได้เงิน'

- DW01 ใช้เงินน้อยเก็งกำไรได้มากกว่าหุ้น เหมาะกับนักเก็งกำไรที่ควบคุมความเสี่ยงเป็น  ..ยกตัวอย่าง ถ้าตลาดหุ้นขึ้น 10% ตัว DW01 อาจขึ้น 30% ขึ้นไป (ในขาลง ก็ลงมากกว่า ทำให้คนที่เก็งกำไรถูกทาง ทำกำไรมากกว่า เมื่อเทียบกับระยะเวลาเท่ากัน) ...เพราะมี Leverage 'อัตราทด ที่แกว่งกว่าหุ้นนั่นเอง'

- DW01 สามารถใช้ป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นได้ เช่น ถ้าเรามีหุ้นอยู่เต็มพอร์ตแต่เรามองว่าตลาดหุ้นจะลง เราไม่ต้องขายหุ้นก็ได้ แต่ซื้อ DW01 ตัว Put ซึ่งใช้เงินสัก 10% ของพอร์ต ...ถ้าตลาดลงตามที่เรามอง เราก็จะได้กำไรในส่วน DW01 มาชดเชยการลดลงของพอร์ตหุ้นที่เราถือได้

- DW01 เป็น Option ประเภทหนึ่งที่รายย่อยสามารถซื้อขายได้ง่ายๆ และมันมี Leverage สูงกว่าหุ้น(แรงกว่า เร็วกว่า) ..เหมาะกับการเก็งกำไรโดยใช้เงินน้อย สำหรับคนที่มีความรู้ และเข้าใจความเสี่ยง 

- ใครสนใจเรียนรู้เรื่อง DW01 แนะนำให้ เรียนรู้และเข้าโครงการ DW01 Master เพื่อเรียนรู้ เครื่องมือ และวิธีการวางเงิน รวมทั้งแนวทางการเก็งกำไรที่ถูกต้องครับ

- การเรียนครั้งนี้ของโครงการ DW01 Master เราวาง Journey 'ประสบการณ์การเรียนรู้' ทั้งหมดเป็นออนไลน์ 'Online' เพื่อความสะดวก เรียนที่ไหนก็ได้ เวลาไหนก็ได้ 

..โดยเริ่มสอนตั้งแต่การติดตั้งเครื่องมือการเทรด DW01 

: เครื่องช่วยเทรด DW01 (เราพัฒนา Bualuang Stock Signal ช่วยคุณอ่านสัญญาณการซื้อขายของหุ้นรายตัวให้ผู้เรียนได้ใช้) 

: สอนวิธีการเลือก DW01 ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์การลงทุน

 : สอนการใช้ Technical การใช้กราฟสำหรับการเทรด DW01

 : สอนการวาง Stop Loss และการออกเป้าราคาใน DW01 (เราเปิด iAlgo ให้ทุกท่านใช้ Robot ของบัวหลวงในการเฝ้าพอร์ตให้ท่าน ทำให้โครงการเทรดไม่กระทบงานประจำของคุณครับ)

- Journey การเรียนรู้ออนไลน์ครั้งนี้ สอนตั้งแต่เครื่องมือ ปูพื้นความรู้ รวมทั้งให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติเทรดจริง เป็นเวลา 1 เดือน (ซึ่งไม่กระทบคนที่ทำงานประจำ เพราะเรียนออนไลน์ทั้งหมด 'ส่วนคนที่อยากมาที่บัวหลวงในบางวันสามารถแจ้งทางเจ้าหน้าที่สำรองที่นั่งไว้ได้ครับ แต่แนะนำให้ออนไลน์เพราะทุกท่านสามารถซักถามได้เหมือนกันผ่าน App 'Connex' ที่จะให้ท่านโหลดเข้ามือถือ ใช้ติดต่อสื่อสารกับทีมงานและโค๊ช ตลอดโครงการ)

- 'ทุกคนต้องเทรดเงินจริงใช่หรือไม่ ?' ...ใช่ครับ เพราะจากค่าสมัครเรียนโครงการนี้เพียง 4,000 บาทตลอดหลักสูตร ..เราให้ DW01 คืนใส่พอร์ตของท่านมูลค่า 2,000 บาท ...อันนี้จะเป็น DW01 ก้นถุง ให้ทุกท่านที่เข้าร่วมโครงการได้ลองเทรดจริง 'ได้เงิน และขาดทุนจริง รวมถึงเห็นถึงความเคลื่อนไหวจริงของ DW01'

ข้อควรระวัง : 'DW01 เหมาะกับการเก็งกำไรเท่านั้น ใช้เทรดระยะสั้น ข้อดีคือได้เสียเร็ว กำไรมาก ถ้าเสียก็เสียหนัก ..ผู้เรียนควรมีประสบการณ์เทรดมาพอสมควร

 ..หรือ ถ้าใครประสบการณ์น้อยแต่อยากเรียน ให้ใช้เงินให้น้อยครับ คนที่เทรดเป็นแล้วเราแนะนำใช้เงินไม่เกิน 10% ของพอร์ตเท่านั้น (เพราะเพียง 10% ก็ได้เสียเท่ากับ 100% ของเงินคุณแล้ว นี่คือ Leverage ของ Option ที่คุณควรรู้ 'ความแรง ความเร็ว') ...ส่วนคนที่ประสบการณ์เทรดน้อย แนะนำให้ใช้เงินน้อยกว่า 10% ของพอร์ต 'เอาเงินที่มองว่าเสียได้ มาลองเรียนรู้เท่านั้น'

วัตถุประสงค์ : คือผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้ เครื่องมือการลงทุนตัว Option อย่าง DW01 เพื่อเข้าใจว่า เทรดเดอร์มืออาชีพที่เขาทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงเขาทำกันอย่างไร ...'ใช้เงินให้น้อย แต่ต้องใช้เงินจริง เพื่อความรู้ให้คุณไปต่อยอดในอนาคต'

'อย่าเสี่ยงเล่น DW01 หรือ Option ถ้าคุณยังไม่มีความรู้' -- มาเจอกัน มาร่วมเรียนรู้ จัดไป!!

รายละเอียดเพิ่มเติมของโครงการ พร้อมเปิดรับสมัครออนไลน์วันนี้ คลิ๊กดูที่นี่ครับ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ