แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อาวุธที่สำคัญสุดของนักลงทุนคืออะไร


อาวุธที่สำคัญสุดของนักลงทุนคืออะไร 

เอาสำคัญสุดเลยนะ ..สำคัญว่า รู้สั้น รู้ยาว ก็คือ 'สติ'

ในตลาดหุ้นมันขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ล้วนๆ ราคาขึ้นลงรายวัน เกิดจากอารมณ์ของนักลงทุนตามข่าวแต่ละวัน 

'เจ้ามือรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี'

คิดดูซิ เขาเลยใช้ 'ข่าว' ในการขับเคลื่อนราคา ..ถ้าเขาอยากขาย เขาก็ใส่ข่าวดีเข้าไป ..ถ้าเขาอยากซื้อเขาก็ใส่ข่าวร้ายเข้าไป 

พื้นฐานน่ะเหรอ ก็อยู่ในมือเขา ถ้าเขาอยากได้หุ้นคืนในราคาถูก ก็หนึ่ง ปล่อยข่าวร้าย สอง ออกงบห่วยๆ สาม ประกาศไม่จ่ายปันผล และ ถ้าโหดกว่านั้น ก็สี่ เพิ่มทุนราคาถูก (ถ้าเจ้าของถือเยอะ ก็เพิ่มทุนราคาถูก ..ถ้าเจ้าของถือน้อย ก็เพิ่มทุนราคาแพง ดังนั้น ทิ้งของให้เม่าก่อน จากนั้นค่อยเพิ่มทุน ตัวเองใช้สิทธิให้เต็ม เพราะนักลงทุนขยาดและกำลัง งง ..555)

'เราเสียเปรียบอ่ะ' ..ก็ใช่อ่ะซิครับ หุ้นที่ทำแบบนี้ ก็คือ หุ้นปั่นไง !! (ถ้าอ่านเกมเขาไม่ออก อย่าไปยุ่ง 'สติ!!!!')

...ลองไปดูพอร์ตเม่าซิ  เวลาติดหุ้น ติดแต่หุ้นปั่น ทั้งที่เริ่มเล่นหุ้นก็เล่นหุ้นดีๆ หรอก แต่เห็นรวยช้า เห็นหุ้นปั่นขึ้นเร็วแรงดี ขอติดซะหน่อย (บ้าไปแล้ว?) -- นี่ไง 'ความโลภมา สติหาย ปัญญาหด พอร์ตพัง'

ถ้ามี 'สติ' ก็ยังมี ปัญญา พอร์ต ก็รวยได้

เดี๋ยวนะ !! ผมไม่ได้บอกว่าห้ามเล่นหุ้นปั่น ไม่ได้ห้าม แต่ถ้าจะเล่น มันเสี่ยงกว่าเท่านั้นเอง เพราะ หุ้นปั่น มีแค่ 'เจ้ามือ กับ เม่า' (พวกกองทุน หรือ นักลงทุน เขาไม่ซื้อหุ้นปั่น ดังนั้น ถ้าติดหุ้นปั่น ชาตินี้ อาจรออีกนาน ชาติหน้า เพราะเจ้าทิ้งแล้วเขาไม่จำเป็นต้องกลับมาช่วยเม่า 

 ..แต่ถ้าหุ้นพื้นฐาน ถึงติด พอรอบหน้ามา ก็มีคนมาซื้อ มันก็หลุดได้ แถมระหว่างรอหุ้นดี มันยังมีปันผลให้นะ)

สรุป 
1. มีสติ เหนือ ข่าว (เพราะนั่นคืออารมณ์)
2. ใช้ ปัญญา อ่านเกมให้ออก ..ถ้าหุ้นพื้นฐาน เกมมันก็ตามรอบธุรกิจ แต่ถ้าหุ้นจี๊ด คุณต้องอ่านเกมเจ้า (ถ้าอ่านไม่ออก ก็ไม่ต้องเข้าไป..จบ)

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint


วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อาชีพใหม่ในยุคนี้


'อาชีพใหม่ในยุคนี้'

คุยเรื่องอาชีพ คนส่วนใหญ่ไม่อยากคุยเลย อยากเกษียณเร็วๆ จะได้ไม่ต้องทำงาน ..แต่ถ้าเราสังเกตดีๆ จะพบว่า ทุกวันนี้ทำอะไรก็เสียเงิน แค่ก้าวขาออกจากบ้านก็เสียเงินตั้งแต่มอไซค์ แท๊กซี่ รถไฟฟ้า ค่าน้ำมัน 

เดินไปอีกนิดก็เสียค่ากาแฟ แล้วก็เสียค่าข้าว ซื้อนุ่น ซื้อนี่ ขี้หมูขี้หมาก็ปาไปหลายร้อยแล้ว ยังไม่ผ่านหนึ่งวันเลย

กำลังจะชี้ให้เห็นว่า 'ทุกวันนี้เราจ่ายเงินตลอดเวลา' ...การที่ใครก็ตามคิด สินค้า หรือ บริการขึ้นมาขายเรานั่นแหละ คือ อาชีพแล้ว

- เรื่องไร้สาระ ทำเงินง่ายกว่ามีสาระ
- ของถูก ลูกค้าจะเสียเงินจ่ายมากกว่าในที่สุด
- เพื่อนบอกน่าเชื่อถือกว่าสื่อใดๆในโลก
- จ่ายเงินกับประสบการณ์มากกว่าสิ่งของ
- เก็บเงินวันนี้ใช้พรุ่งนี้ทันที
- อนาคตเกินคาดเรา เอาที่สบายใจละกัน

กำลังจะบอกว่า ยุคนี้ อย่าคิดในกรอบว่า อาชีพคือ มีงานออฟฟิศ ทำงานห้องแอร์ แต่ให้มองให้รอบด้าน แล้วตอบ 3 คำถามนี้

1. เราทำอะไรแล้วเพื่อนๆชอบขอให้เราทำอีก นิ่งนั่น ถ้าทุ่มเวลาพัฒนาความสามารถตรงนั้นให้ดีขึ้นมากๆ เราจะมี 'จุดแข็ง' ซึ่งจะค่อยๆ พัฒนาเป็นอาชีพได้ในที่สุด ...อย่างผมชอบพูด สุดท้ายการพูดจึงกลายเป็นจุดแข็งของอาชีพพูดเรื่องหุ้นของผม (ใช่!! แค่เรื่องการพูดก็ พัฒนาอาชีพพูดเรื่องอะไรก็ได้ มีเรื่องอีกมากมายทีคนสนใจมากกว่าหุ้น แต่ยังไม่มีคนพูดเลย)

2. จุดแข็งของเรา มีประโยชน์ต่อผู้คน ..ชงน้ำหวานได้ขั้นเทพ ทำอาหารอร่อย สอนหมาได้เก่ง ฝึกแมวให้เต้นได้ จัดงานปาร์ตี้ได้สนุกสุด ..ไม่ว่าจะมีสาระ หรือ ไม่ ไม่สำคัญ สำคัญที่สิ่งนั้น แก้ปัญหาและสร้างประโยชน์บางอย่างในเรื่องผู้คนใส่ใจ ..ใส่ใจจนยอมจ่ายเงินนั่นแหละ -- ถ้าตลก ดูแล้วเดินหนี นั่นไม่ตลกละ ..ตลกต้องแบบพี่โน๊ต ตลกจนอยากเสียตังค์ดู !! ..สนุกจนอยากจ่ายค่าตั๋วเข้ามาร่วม ..ได้ความรู้จนชีวิตพลิก เอาเงินไปเลย ...ง่ายจนฟังแล้วทำได้ทันที จัดไป 

3. อาชีพที่ดีในอนาคต มักไม่มีคำว่า 'อาชีพ หรือ ตำแหน่ง' ...เพราะเมื่อมีตำแหน่ง แปลว่า หนึ่ง มีคู่แข่ง สอง รายได้มีทางตัน และ สาม ส่วนมากทำแล้วเราไม่ได้เครดิตในผลงาน

สามข้อนี้ คือ โครงสร้างของการ สร้างอาชีพ ที่เราตีกรอบใหม่ เปลี่ยนโจทย์ใหม่ สร้างแนวทางใหม่ ...ยากไหม? - 'ยากซิ แต่คุ้มเหนื่อย' 

เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราสร้างอาชีพ จาก 3 ข้อที่ว่ามานี้ เราจะสนุกกับงานที่ทำ รายได้ดี คู่แข่งไม่ค่อยมี 

...ที่หลายคนไม่สนุกกับงาน เงินเดือนน้อย คู่แข่งเยอะ เพราะเราทำงานสำเร็จรูปที่บริษัทเขากำหนดมาให้เรา มันเหมือน บะหมี่สำเร็จรูป ที่ขึ้นราคายาก ขยายยาก โตยาก 

... เป็น 'ราเมง แชมเปี้ยน' ดีกว่า ...คิดเลย! 
เส้นเทพ , ซุปเทพ , หมูเทพ , ผักเทพ , รสชาติ จัดจ้าน เพราะ ฉัน คือ งานที่มีหนึ่งเดียวในโลก !!



ลองอ่านหนังสือเล่มนี้กันหรือยังครับ?


'ลองอ่านหนังสือเล่มนี้กันหรือยังครับ?'

อันนี้แนะนำสำหรับ คนรุ่นใหม่ เพราะมันตรงทะลวงใจๆเลย ...'ใครเข้าใจบ้างว่า รักตัวเองช่วยให้ชีวิตดีขึ้น และทำงานเก่งขึ้นอย่างไร ..ฮึม!! ผมคนนึงล่ะที่ก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจ'

ตั้งแต่ผมได้เจอ ดร.ต้อง ได้ร่วมกันทำหนังสือชุด Filter ชีวิต ..ซึ่งหนังสือชุดนั้นผมว่ามัน Rare Item เพราะมันจัดเรียงวิธีคิดของการมอง เงิน งาน บ้าน เวลา และ ความรัก ใหม่ทั้งหมด

ใช่!! เราถูกสอนโดยสภาพแวดล้อมให้เรามองเรื่องทั้ง 5 ด้านแบบคนส่วนใหญ่ ซึ่งผลก็คือ ชีวิตเราจะเป็นดั่งที่เรามอง

วันนี้ตัวผมเปลี่ยนวิธีมองใหม่ จากเงินคือนายเรา มันนี้ผมมองเงินเป็นลูกน้อง ใช้เงินทำงานให้ผมแทน

มองบ้านคือการเชื่อมต่อ ไม่ใช่แค่สถานที่โชว์ ไม่ใช่

งานผมคือ การอธิบายตัวตน ไม่ใช่ทำเพื่ออยู่ ผมจึงใส่ใจกับงานในเรื่องของการเชื่อมต่อกับผู้คน ส่งผลให้งานผมดีขึ้น เพราะเข้าใจคำว่างานมากขึ้น

พูดจะยาว มาถึงเรื่อง 'ความรัก' เป็น Filter ชีวิต ที่กรองมุมมองในด้านที่ยากที่สุด 

เอางี้ดีกว่า คุณลองไปร้านหนังสือ ลองหาหนังสือ รักเป็นภายใน 24 ชั่วโมง มาลองอ่านดู

แล้วคุณอาจจะคิดเหมือนผมว่า ..'มันเปลี่ยนชีวิต' ใช่ ลองดูครับ

ใครซื้อมาอ่านอาจจะไม่วางหนังสือลงใน 24 ชั่วโมงนะครับ ..555

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คน 4 ประเภทในโลกของเงิน


'คน 4 ประเภทในโลกของเงิน'

เรื่องเงินมี 2 อยู่สี่ประเภท ..ลองดูซิว่าเราอยู่ในแบบใด

1. 'ประเภทชาตินี้ไม่มีวันจน' คนแบบนี้มีรายได้มากกว่ารายจ่ายเสมอ แถมรายได้เป็นแบบ Passive Income คือ เงินไหลเข้ามาแม้ว่าจะทำงานหรือไม่ทำงานก็ตาม ..เราเรียกคนเหล่านี้ว่า Smart Investor (นักลงทุนที่วางเงินทำงานเป็น)

2. 'ประเภทรวยแล้วกำลังจะจน' คนเหล่านี้ปัจจุบันมีเงิน ซึ่งอาจมาจาก ได้เงินก้อนมา ทั้งจากมรดก และ โชคลาภ ..แต่นับวันมีแต่ใช้ให้เงินก้อนนี้ค่อยๆ ลดลง สุดท้ายก็เลยจน เงินหมดในที่สุด (เงินก้อน หรือ ลาภลอย ไม่เคยทำให้ใครรวยอย่างยั่งยืน แต่เงินไหลจากการลงทุนต่างหากที่ทำให้ร่ำรวยตลอดไป)

3. 'ประเภทยังไม่รวยแต่กำลังจะรวย' ก็คือคนที่เพิ่งเริ่มเรียนรู้การวางเงินทำงาน ..เมื่อเราหาได้เป็น เราก็ทำงานเพื่อเงินได้ ..แต่คนที่กำลังจะรวยคือ คนที่เรียนรู้วิธีเปลี่ยนเงินที่หามาได้ วางให้มันทำงานเป็น 

4. 'ประเภทชาตินี้ไม่มีวันรวย' คนเหล่านี้หาเงินก็ไม่ค่อยเป็น วางเงินทำงานยิ่งไม่รู้เรื่องเลย ..ใครเป็นประเภทนี้ต้องรีบหาความรู้ปรับปรุงตัวเองด่วน

แต่อย่าเสียใจ หรือ ใจเสีย เพราะคนเราเปลี่ยนประเภทด้วยการมีความรู้เพิ่มเท่านั้นเอง

จัดไป!! 'เปลี่ยนประเภท ด้วยความรู้'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

'เซียนพระ ดูพระเก่ง' ..ส่วนเซียนเงิน 'เข้าใจเงิน'


'เซียนพระ ดูพระเก่ง' ..ส่วนเซียนเงิน 'เข้าใจเงิน'

เกี่ยวกันยังไงเนี่ย ?

'คนที่เข้าใจอะไร ก็มักจะร่ำรวยจากสิ่งนั้น เรื่องจริงครับ ..แล้วถ้าอยากเซียนเงินต้องเข้าใจอะไร?' -- เข้าใจเงินครับ 

หลักเข้าใจเงิน 4 ประการ

1. 'เงินเหมือนน้ำแข็ง ยิ่งเก็บมูลค่ายิ่งลด' ...คนส่วนใหญ่คิดว่าเงินคือทองคำ นึกว่าเก็บไว้ในเซฟแล้วจะรวย พอเปิดเซฟออกมา ..แม่เจ้า!! มูลค่าละลายเหลือกระจิ๊ดเดียว (พลาด!!)

2. 'เงินเหมือนเมล็ดพันธุ์' ..ถ้าใครเอาเงินไปปลูก จะกลายเป็นเครื่องผลิตเงิน เช่น เอาเงินไปซื้อหุ้นดีมีปันผลแบบออมในหุ้น ..แต่ถ้าไม่เอาไปปลูก เมล็ดมีแต่แห้ง และสุดท้ายปลูกไม่ขึ้น (ช้าไปละ!!) ..เคล็ดลับคือ ได้ปั๊บต้องรีบปลูก แต่อย่าปลูกมั่วนะ ต้องเรียนวิธีปลูกซะก่อนนะ (ปลูกมั่วคือ โยนเมล็ดลงส้วม ก็เหมือนซื้อหุ้นปั่นไม่มีปันผลนั่นแหละ ซื้อส้วมได้ส้วมครับ)

3. 'เงินเหมือนน้ำ' ถ้านิ่งนานๆ มันเน่า ..คนที่เข้าใจจะเอาเงินมาหมุนเวียน ทำนุ่นทำนี่ หมุนไปหมุนมา จัดการน้ำอย่างฉลาด เราจะมีน้ำใช้ตลอดไป ..เพราะนิ่งคือเน่า 'เราต้องทำให้น้ำหมุนเวียนอย่างฉลาด'

4. 'เงินจะวิ่งไปในที่ที่คนส่วนใหญ่ไม่ไป' ..อาชีพยอดฮิตไม่เคยทำเงิน ..หุ้นยอดฮิตไม่ทำให้คนส่วนใหญ่รวย ..การลงทุนยอดฮิตมักพาเราไปดอย ...เงินจะวิ่งไปหาคนส่วนน้อย ดังนั้น ให้ดูว่าคนส่วนใหญ่ทำอะไร แล้วเดินให้มันห่างจากสิ่งนั้น

นี่คือ หลักการเข้าใจเงิน 4 ประการ ที่ควรคิดและนำไปใช้ จัดการเงิน

'เอาน้ำไปหมุนในจุดที่ขาดแคลน สร้างเขื่อน สร้างฝาย วางระบบจัดการที่ยั่งยืน ทั้งตัวเราและคนรอบข้างจะมีน้ำใช้ตลอดไป' 

(เงินวิ่งเข้าหาคนที่สามารถจัดการมันให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ยิ่งเราจัดการเงินให้แก้ปัญหาและสร้างประโยชน์เท่าไหร่ เงินยิ่งเข้ามาหาเราแบบไม่รู้จบ) -- 'ยิ่งให้ ยิ่งได้' เคล็ดลับความมั่งคั่งสุดขอบฟ้า 

...Money is a Tool !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint


วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

10 ข้อควรรู้จาก The Stock Blueprint


'10 ข้อควรรู้จาก The Stock Blueprint' ..หลักการแกะพิมพ์เขียวตลาดหุ้นไทย

1.  'ความเสี่ยงลดลงเมื่อความรู้เพิ่มขึ้น' ..ความเสี่ยงของตลาดหุ้น ไม่ได้อยู่ที่หุ้น ..มันอยู่ที่คนเล่น  

2. 'ได้เงินเท่าไหร่ ตลาดหุ้นให้เราเอง แต่เสียเงินเท่าไหร่เรากำหนดได้' ...ผลตอบแทนในตลาดหุ้น ควบคุมไม่ได้ แต่ความเสี่ยงในพอร์ตเราควบคุมได้ 

3. 'หุ้นส่วนใหญ่ขึ้นมากกว่าลง แต่พอร์ตรายย่อยลงมากกว่าขึ้น เพราะทำตรงข้ามกับสิ่งที่ควรทำ' ...หุ้นขึ้นลงเป็นรอบ รอบขาขึ้น ขึ้น 5-10 เท่า แต่ขาลง ลงแค่ 70% ..ถ้าแบ่งเงินลงทุนเป็น ไม่มีทางจนเลย เพราะได้มากกว่าเสียตลอดเวลา (เข้าใจข้อนี้ จะนั่งขำความโง่ของตัวเอง)

4. 'ความรู้สูงสุดในตลาดหุ้นคือรู้งี้ และรู้งี้สูงสุดคือ รู้งี้ไม่เลิกลงทุน' ..เพราะตลาดหุ้นเป็นสถานที่ที่คนรวยไม่เคยเลิก (แม้จะพลาดบ้างก็เรียนจาก รู้งี้ แล้วลงทุนต่อไปจนรวย) แต่คนเลิกไม่เคยรวย ..หุ้นในระยะยาวขึ้นไม่ต่างจากที่ดิน คนที่ถือนานที่สุดรวยที่สุด -- ราชาที่ดิน & ราชาหุ้น

5. 'ใครไม่เลือกหุ้นเอง ไม่เคยทนรวยได้' ..หุ้นดีทุกตัวขึ้นเป็น 10 เท่า ร้อยเท่า แต่คนที่ไม่เลือกหุ้นเอง จะไม่สามารถทนรวยเห็นเงินตัวเองเพิ่มขนาดนั้นได้ มักขายหมูเสมอ (เลือกหุ้นถือเองไม่ได้ ก็ขายหมูทั้งชีวิต) ..เพราะการทนรวยมันอาศัย 'ปัญญา + เวลา' (มีความรู้ และเชื่อมั่นในความรู้นั้น ถึงจะร่ำรวยได้)

6. 'ตลาดหุ้นสามารถทำเงินได้สองแบบ คือ ทำงานเพื่อเงิน และ ก็วางเงินทำงาน ..แต่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะ ทำงานเพื่อเสียเงิน' ...ง่ายกว่าไหมที่จะเริ่มจาก 'วางเงินทำงานก่อน' พอเก่งขึ้น ค่อยเร่งความรวยเพิ่มเมื่อความรู้และความเข้าใจในตลาดเพิ่มขึ้น (จะตัดต้นไม้ให้ได้ดี ใส่ใจการลับขวานให้คมก่อนจะดีกว่า)

7. 'การหาเงินเร็วไม่ได้ทำให้รวย แต่มันช่วยสร้างกระแสเงินสด ....ส่วนการวางเงินให้รวย ไม่เคยใช้เวลาสั้นๆ' ..การเข้าใจ 'เล่นสั้น เพื่อวางแผนเล่นยาว' จึงเป็นเคล็ดลับการสร้างความมั่งคั่งอย่างสมบูรณ์

8. 'ใครไม่เรียนเรื่องหุ้น สุดท้ายจะเสียเงินจากหุ้นไม่ทางใดก็ทางนึง เพราะระบบเศรษฐกิจและการเงินยุคนี้ใช้ทุนและหุ้น เป็นตัวขับเคลื่อน' ...ถ้าคุณจะใช้ถนน แม้นว่าคุณจะไม่ขับรถ คุณก็ควรรู้ว่ากฏจราจรเป็นอย่างไร เพื่อเข้าใจและเอาตัวรอดบนถนนที่ทุกคนใช้ร่วมกัน

9. 'ตลาดหุ้นให้ความรวยเพิ่มสิบเท่าโดยค่าเฉลี่ย' ..กลไกของตลาดหุ้นคือใช้เงินคนอื่นทำงาน ซึ่งรวยมากกว่ากลไกของบริษัทนอกตลาดหุ้นที่ใช้เงินตัวเองทำงาน ..ผู้ที่เข้าใจความแตกต่างที่ซับซ้อนตรงนี้ จึงได้รางวัลเป็นความมั่งคั่งอย่างน้อยสิบเท่าจากคนทั่วไป

10. 'พอร์ตหุ้นเด็ด สำคัญกว่าหาหุ้นเด็ด' ..ไม่มีใครในตลาดหุ้นที่รวยจากหุ้นตัวเดียว ..เพราะการรวยจากหุ้นเด็ด จะเสียหายจากหุ้นเด็ดในที่สุด (สัจธรรมนักพนัน) ...คนที่รวยอย่างถาวรในตลาดหุ้นคือ เลือกหุ้นธรรมดาๆ แต่สร้างพอร์ตเด็ด ที่กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสมตามหลัก The Stock Blueprint !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #TheStockBlueprint #ออมในหุ้น

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ตามกลิ่นของเงินไป


'ตามกลิ่นของเงินไป'

ตามไปทำไมถามได้ ...'จะได้รู้ว่า เงินอยู่ที่ไหน จะได้ตามไปหาให้ถูกที่' 

ยุคนี้เงินหายากจริงๆครับ ถ้าหาผิดที่ ..แต่ถ้าหาถูกที่มันหาง่ายกว่าเยอะ ..คำถามคือ 'แล้วที่ตรงไหนล่ะที่เงินหาง่าย'

เมื่อกี้ผมเพิ่งกลับจากสนามบิน รู้สึกว่า มันไม่มีที่เดิน ไม่มีที่นั่ง ยังพอมีที่ยืนบ้าง ..อะไรมันเกิดขึ้นที่สนามบิน ..นี่ขนาดดอนเมืองที่เคยปิดร้างมากนาน วันนี้คือโรงงานปลากระป๋องดีๆ นี่เอง 

'นี่แหละครับ ผมตามกลิ่นเงินมาถึงสนามบินแล้ว ...มาดูกันเห็นๆ เลยว่า ต่างชาติเขาอยากซื้ออะไรเรา ?' 

ข้าว ? ..ยางพารา ? ..อ่ะนะ ขายยากอยู่ ..เอานี่ไปเลย 'การท่องเที่ยว สัมผัสเมืองไทย'

ตรงนี้แหละ Demand เงินมารอแล้ว ...เราติดอันดับประเทศที่นักท่องเที่ยวสูงสุดอันดับต้นๆ ของโลก ปีนึงคนมา 28 ล้านคน ..นี่ขนาดเราทั้งเผา ทั้งจุดระเบิดโชว์ ยังมาเที่ยวขนาดนี้ 'เราต้องมีอะไรดีซิ'

ไม่ต้องคิดเลยว่า ถ้าทำให้ดีจะมากันขนาดไหน ?

ใครคิดทำ Start-Up ไปพ่วงกับการท่องเที่ยวเลย เอาเทคโน ไปผูกกับ การบริการต่างๆ ..ผูกการซื้อสินค้า บริการ ..ขายความสะดวก ..บริการให้ถึงใจ ..ซื้ออะไรตามส่งให้ถึงบ้าน 

ถ้าจะต่อยอด ก็พัฒนา Brand ตอนนี้เครื่องสำอางค์ , นวด และสาหร่าย เขาจับทางถูก รวยเข้าตลาดหุ้นไปแล้ว ..นักธุรกิจรุ่นใหม่อย่ารอช้า 

ใช่!! ...'ถ้าจะทำงานที่เหนื่อยน้อย แล้วได้เงินเยอะ ต้องวิ่งตามกลิ่นเงิน ก็คือ ตาม Demand ..เราต้องรู้ว่าลูกค้าอยากจ่ายอะไร'

การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่เราถนัดเดิมซึ่งไม่ทำเงิน ไปทำสิ่งใหม่ที่ตลาดต้องการ ต้องอาศัยการเรียนรู้ครั้งใหม่ บวกกับความกล้า

วันนี้ตลาดเปลี่ยน แค่เราตั้งใจคิดดีๆ ว่าคนยุคนี้เขาให้ค่ากับอะไร เราก็จะเห็นโอกาสธุรกิจแล้วครับ

เอาใจช่วย จัดไปครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น

อาชีพเสี่ยงที่นั่งเฉยๆอาจเสียเงินได้


'อาชีพเสี่ยงที่นั่งเฉยๆอาจเสียเงินได้'

รู้จักอาชีพ Teller ไหมครับ ..คนที่เราไปฝากเงินถอนเงินที่ธนาคารไงครับ ...เป็นอาชีพที่มานั่งเบลอๆ เซ็งๆ อาจเสียได้ ..นับเงินผิด โอนผิด ทำผิดแบบ งงๆ ได้ไม่ยาก

ใช่!! สิ่งที่ผมอยากจะชี้ก็คือ ทุกอาชีพมันมีความแตกต่าง แต่มีความเหมือนกันอยู่อย่างนึงคือ 'ใครก็ตามใส่ใจและพยายามทำอาชีพตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ว่ามันจะเสี่ยงหรือไม่ก็ตาม ..สุดท้ายเขาจะได้รางวัล!!'

ไม่แปลกที่คนมี 'เส้นสายดี' จะได้รับการดันก้าวหน้าไว แต่เชื่อเถอะว่า ในทุกงานทุกอาชีพ มันมีถนนสำหรับเส้นสาย แต่มันก็มีถนนของพวกฝีมือเช่นกัน

'ถนนของคนฝีมือ' ก็คือ ในทุกอาชีพทุกบริษัท จะมีคนบางคนที่ขึ้นมาด้วยฝีมือ ขึ้นไปโดยไม่ได้ใช้เส้นสาย ...ผมว่าลองมาดูซิว่า ถนนของคนฝีมือ เขาทำอะไรบางอย่างที่คล้ายๆกัน

1. 'เขาทำงานเขาด้วยใจ' ..เขามักใส่พลัง ใส่ใจลงในงานที่เขาทำ ทั้งเพื่อนร่วมงาน และลูกค้าต่างสัมผัสได้ 'ไอ้นี่บ้าพลัง!!'

2. 'เขาทำงานเกินค่าจ้าง' ..เขามักทำงานเกินค่าจ้าง ช่วยเพื่อนร่วมงาน ช่วยหัวหน้า ช่วยลูกค้า ..ทุกคนมองว่า 'พ่อคนดี!!'

3. 'เขามักลองทำอะไรใหม่ๆ และยอมรับผลทั้งถูกและผิด' ..พวกนี้ถือว่างานเป็นความรับผิดชอบ เขายอมรับผลทั้งถูกและผิด ไม่โยนความผิดให้ใคร ..คนเหล่านี้เวลาผิดพลาดมักไม่ผิดซ้ำ เพราะรับเละ เจ็บหนัก ..ผลคือ เมื่อเขารับในความผิดพลาด เขาจึงไม่เคยผิดซ้ำเรื่องเดิม ..'แหม!! พวกยิ่งล้ม ยิ่งเก่ง ..พ่อตุ๊กตา ล้มลุก'

4. 'เขาเรียนรู้ตลอดเวลา' ...ชอบเรียน ชอบอ่านหนังสือ ชอบมากๆ ...'พ่อหนอน หนังสือ'

5. 'ชอบทำงาน มากกว่าเที่ยว' ..เชื่อไหมมีคนแบบนี้อยู่ในทุกออฟฟิศ ลองไปหาซิว่าใครคิดแบบนี้ คบเขาไว้หน่อยก็ดี ..ไม่ต้องชวนเขาเที่ยว ให้คุยกับเขาเรื่องงาน

มันคล้ายๆ กัน จนเหมือนน่าเบื่อ ที่เรามักเห็นคนแนวนี้ สามารถก้าวขึ้นมาประสบความสำเร็จในอาชีพ ...ใช่!! มันมี Pattern ที่แม่นยำ ที่พาเราไปสู่เป้าหมายที่เราตั้ง

เหมือน ตั้งโปรแกรม สู่ความสำเร็จ

คุณคือ งานที่คุณทำ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint




ทำไมต้องใช้รถยนต์


'ทำไมต้องใช้รถยนต์ ?'

หลังจากดูสารคดีชีวิต Henry Ford ทำให้ผมมาศึกษาชีวิตเขามากขึ้น ..ผมว่า มันมีหลายอย่างเลยที่คล้ายกับ Steve Jobs

แต่ต่างกันตรง Ford ไม่ได้โดนไล่ออกจากบริษัทตัวเอง เหมือนที่ Steve Jobs โดนไล่ออกจาก Apple ..ซึ่งจุดนั้นน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Steve Jobs สามารถสร้าง Apple ได้ยิ่งใหญ่จากการกลับเข้าไปใหม่

ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของความสำเร็จก็คือ ตัวเราเอง 

เอาล่ะ มาดูกันว่า 'ทำไมเราต้องใช้รถยนต์' ...เอาจริงๆ ถ้าเราไม่ต้องใช้รถยนต์ เราอาจทำหนักน้อยลงได้นะ เพราะไม่ต้องหาเงินมาซื้อและดูแลรถ ทำให้คนส่วนใหญ่รวยได้มากขึ้น -- 'แต่มันต้องใช้ไง จบไหม?' ฮึม ใช้ก็ได้จ๊าาา !!

ผมว่าวันนี้ คำถามมันมาที่ 'ทำไมเราต้องใช้ iPhone ?' ตอนนี้ iPhone เป็นเจ้าตลาดของ Smartphone คล้ายๆ ที่ Ford เคยเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ แล้วกำลังจะลดลงเรื่อยๆ คล้ายๆ กัน 

Henry Ford ใช้กลยุทธ์ขายรถ Ford ราคาถูกที่สุด ..แต่ Steve Jobs ใช้กลยุทธ์ขาย Premium ตั้งราคา iPhone ไว้สูง ให้คนปีนขึ้นไปซื้อ ทั้งที่ต้นทุนถูก ผลิตจากจีน -- น่าคิดไหมครับว่า ผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างไร ? (ตกลงคนชอบของถูกหรือแพง ..ไม่รู้ Steve คิดยังไง?)

คำถามต่อไป ผมว่า ทำไมคนรวยต้องมีเครื่องบินส่วนตัว ? ...แล้วเมื่อเครื่องบินถูกจนทุกคนซื้อได้ (แต่ต้องไม่ใช่เครื่องบินแบบที่เราใช้ปัจจุบันนะ มันยัง Mass ไม่ได้) -- เมื่อนั้นเราคงมานั่งถามกันว่า ...ทำไมทุกคนต้องมีเครื่องบินส่วนตัว ?

วันนี้เราเปลี่ยนจากคำถาม ทำไมทุกคนต้องมีรถยนต์ เปลี่ยนมาถามว่า ทำไมทุกคนต้องมี Smartphone แทน ?

เอาแค่นี้เราก็รู้แล้วว่า ต่อไปเราต้องไปทำธุรกิจอะไรรวย

ยุค 'รถยนต์' ต้องทำโรงงาน , ทำก่อสร้าง , ยางมะตอย เมือง การเดินทาง โรงแรม  ร้านอาหาร เป็น Free Range Urbanization !!! 

ยุค 'Smart Phone' ต้องไปทำ Online Infrastructure ..ง่าย เร็ว ดี -- สินค้าและบริการ ต้องง่าย เร็ว ดี '3 นาทีจบ' ..ส่วนถูก จับ Mass ..แพง จับ Niche

คนจะนั่งอยู่บ้านนอกเมือง ทำงานผ่านออนไลน์ ประชุมออนไลน์ ..มาเจอหน้ากันตามร้านกาแฟ หรือ co-working location ที่บริษัทเช่าไว้แทน Office ...คนที่ทำงานที่ต้องทำใน Office หรือ อยู่หน้าร้าน ก็ต้องเป็น Cityman อยู่ห้องเล็กๆ ใช้ Public Transport ใช้ชีวิตมนุษย์เมือง

ส่วนพวกพนักงาน Free Range ก็ไปอยู่นอกเมือง มีชุมชนของตัวเอง ..

โลกเปลี่ยนแน่นอน ...Smartphone และ ออนไลน์ กำลังเปลี่ยนชีวิตผู้คน เหมือนที่ 'รถยนต์และถนน' เคยเปลี่ยนโลกก่อนหน้านั้น

เราจะเห็นโอกาสเมื่อเราเข้าใจ Tipping point ...การจุดประกายความเปลี่ยนแปลง ไม่ไกลแล้ว ต้องพร้อมรับมือครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint


วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

3 หมัดเด็ด เคล็ดวิชา Henry Ford


'3 หมัดเด็ดเคล็ดวิชา Henry Ford - ตำนานแห่งยุคอุตสาหกรรมโลก'

ผมดูสารดีของ Ford แล้วรู้สึกว่า โลกเรากำลังถึงจุดที่ Henry Ford เคยเจอ นั่นคือ 'จุดเปลี่ยนอุตสาหกรรม'

ยุค Henry Ford คือ ยุคเปลี่ยนจากเกษตรกรรม มาสู่ ยุคอุตสาหกรรม ..ซึ่ง Ford ในยุคนั้นก็เหมือน Google , Facebook , Apple ,..

Henry Ford เป็นลูกชาวนา ไม่ได้เรียนสูง แต่อาศัยการทำงานหนักและเรียนรู้จากหน้างาน

ยุคที่ Fords สร้างบริษัท รถยนต์ มีคู่แข่งจำนวนมากเป็นร้อยๆ บริษัทที่แข่งกันเป็นเจ้าตลาด พยายามที่จะเปลี่ยนให้คนที่ไม่เคยมีรถยนต์ ให้เปลี่ยนมาใช้รถยนต์เป็นครั้งแรก ..ใช่!! อารมณ์คล้ายๆ กับยุคนี้ ที่พยายามโยกคนให้ไปใช้ออนไลน์ เป๊ะ!!

เรามาดูกันว่าทำไม Ford ถึงชนะคนอื่นๆ  ...ในยุคที่รุ่งโรจน์สุดๆ เขาควบคุมการขายรถยนต์ 50% ของทั้งอเมริกา ..ครับ !! เหมือน Google / Facebook / Youtube / ..

1. รถของ Ford ดีมาก 'มันเปลี่ยนชีวิตคนซื้อ' เหมือน iPhone ที่มาเปลี่ยนชีวิตคนยุคนี้

2. Ford เป็นคนแรกที่คิดวิธี Mass Production เป็นบิดาแห่งอุตสาหกรรม ..ทำให้ Ford มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดและขายรถถูกที่สุด ...เหมือนที่ Uniqlo และ Zara ใช้ คือ นวัตกรรมที่ทุกคนจับต้องได้

3. 'ขายถูก แต่จ่ายลูกจ้างแพงที่สุด' อันนี้ Ford ก็ก้าวไปเหนือคู่แข่ง โดยการยอมลดกำไรบริษัทมาขึ้นค่าแรงให้ลูกจ้าง ...ลูกจ้างพอใจ สินค้าเลยมีคุณภาพ และ ลูกค้าก็ได้รับการดูแลดีตามมา

'3 หมัดเด็ดนี้' ทำให้ Henry Ford กลายเป็น หนึ่งในคนที่รวยที่สุดในโลก 

ลองเอาแนวคิดต่างของ Ford ไปปรับใช้กับงานและธุรกิจที่ทำ คิดให้ฉีก ..ยิ่งตอนนี้กำลังเปลี่ยนยุคพอดี ...ไม่แน่!! คุณอาจเป็นตำนานแห่งยุคข้อมูลข่าวสารก็เป็นได้

'Ford บอกแล้ว ลูกชาวนา ก็สำเร็จได้ ..ถึงความรู้น้อย เรียนหน้างานก็ได้ แต่ต้องทำสิ่งใหม่ สิ่งที่ใครคาดไม่ถึง' ...คาดไม่ถึง !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

งานเราคือของขวัญแด่ผู้คน


'งานเราคือของขวัญแด่ผู้คน' 

นั่นคือเคล็ดลับของความร่ำรวย คือ ทำงานของเราให้เป็นของขวัญแด่ผู้คน

จะสังเกตว่าคนส่วนใหญ่ 'ทำงานแบบขอไปที ขอให้เสร็จสักที จะได้รีบไปเที่ยวให้รางวัลชีวิต ..งานคือ กรรม ..งาน คือ ความทุกข์ความกดดัน และความทรมาน' ..เออ!! ถ้าใครมองงานที่ทำอยู่แบบนี้ ผมแนะนำให้รีบเปลี่ยนงาน เพราะมันการันตีความไร้อนาคตแน่นอน

ผมมาศึกษาประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จโดยส่วนใหญ่ เขาชอบทำงานมากกว่าการพักผ่อน มองงานเป็นเรื่องสนุก ...ก็ไม่น่าแปลกอยู่แล้วที่คนเหล่านี้จะรวยกว่าคนทั่วไป เพราะ เขาสนุกกับการหาเงิน ไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ที่ความสนุกผูกกับการใช้เงิน

หลักของการทำงานให้เป็นของขวัญ มีดังนี้

1. สร้างสินค้าและบริการที่เราอยากใช้ แต่มันยังไม่มี หรือ มันยังไม่ดี ...เราต้องทำสินค้าหรือบริการนี้เป็นสิ่งที่เราเองอยากใช้ (ใช้สิ่งที่เราขาย ถ้าเราเองยังไม่ใช้ ใครจะซื้อฟระ!!) 

2. ลูกค้าไม่รู้ว่าเขาต้องการ ก็เหมือนที่ Steve Jobs สร้าง iPhone คือ ไม่ต้องไปถามหรอกว่าลูกค้าต้องการอะไร เพราะถ้าเขารู้ มันมีคนทำไปแล้ว ไม่ใช่เรา

3. ใส่ใจรายละเอียด ..ของ Brandname กับตัวก๊อบ ดูเผินๆ ไม่ต่างกัน แต่ต่างที่การใส่ใจในรายละเอียด นั่นแหละ คำว่า 'คุณภาพ' ..โรงแรมห้าดาว ไม่ได้วัดที่สร้างใหญ่แค่ไหน แต่วัดที่การใส่ใจรายละเอียด นั่นคือคุณภาพบริการ

4. ลูกค้าดีใจเมื่อได้ใช้สินค้าของเรา ...ถ้าลูกค้าไม่รู้สึกขอบคุณเราเมื่อได้ซื้อสินค้า แปลว่า ของขวัญยังไม่ดีพอ ...ทำให้มันถึงใจ !!

5. ลูกค้าอยากบอกต่อ หรือ อยากให้เพื่อนได้ใช้บ้าง 

งานที่สร้างสินค้าและบริการที่เข้าข่าย 5 ข้อนี้ เป็นงานที่ คนทำมีความสุข ทำแล้วภูมิใจ 

...ต่างจากงานในโรงงานนรกมากๆ ที่ร้านค้ากดราคาโรงงาน โรงงานก็ใช้แรงงานเด็ก กดค่าแรง ส่วนลูกค้าซื้อแล้วก็ทิ้งๆ กว้างๆ พวกเทรนด์ Fast Retailer ที่กำลังฮิตนั่นเอง 

'เพื่อให้ได้ของห่วยๆ ที่ซื้อแล้วทิ้ง ก็ต้องจ้างแรงงานถูกๆ ..ตกลง ห่วงโซ่นี้ ส่งผลโดยตรงแก่ผู้บริโภค ซึ่งเป็นทั้งคนบริโภค และก็คือแรงงานด้วย'

ทางแก้ คือ แก้ที่ตัวเรา 

1. มองการบริโภคที่ยั่งยืน อย่าซื้อของแล้วทิ้ง ให้ซื้อของดีที่เราใช้จริง 'น้อยชิ้นแต่มีคุณภาพ' 

2. ใส่ใจคุณภาพและรายละเอียดในงานที่ตัวเองทำ ..ตรงนี้จะยกระดับรายได้ของเราให้สูงขึ้น 

3. การันตีคุณภาพด้วยชื่อของเรา นี่คือการสร้าง Brand นั่นเอง ..การสร้าง Brand คือ สิ่งที่จะพาเราออกจากวัฏจักรของราคาต่ำ สามารถสร้าง Value Added เพิ่มมูลค่าในงานที่ทำ 'ใช้แรงน้อยลง แต่ใส่ใจมากขึ้น'


วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ความลับของเงินกับความรับผิดชอบ


'ความลับของเงินกับความรับผิดชอบ'

คนส่วนใหญ่อยากได้เงิน แต่ไม่รู้ว่า เงินมันมาพร้อมความรับผิดชอบ 

ลองสังเกตรอบๆตัวเราจะเห็นเลยว่า 'ใครต้องรับผิดชอบมากกว่า ย่อมรวยมากกว่า' มันไม่ใช่ภาพของเศรษฐีนั่งกระดิกเท้า แต่มันเป็นภาพของคนที่วุ่นวายอยู่ตลอดเวลา

คำถามคือ 'คนที่ต้องการเงิน ต้องทำยังไง' ก็เริ่มจากหาความรับผิดชอบก่อน ...ใช่!! มันขัดกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ที่ ต้องได้เงินก่อนฉันถึงจะยอมทำงาน

เปลี่ยนซิ !! ..เอาจากจุดที่คุณอยู่ ลองรับผิดชอบสิ่งต่างๆ รอบตัวมากขึ้น ใส่ใจกับงานมากขึ้น แสดงความรับผิดชอบต่อผลงาน 

เช่น สมมุติเรามีหน้าที่ดูแลลูกค้า ลองดูแลแบบพิเศษ ช่วยบริษัทคิดว่าจะทำให้ลูกค้าพอใจมากขึ้นควรทำอย่างไร ..ช่วยงานเพื่อนร่วมงาน -- รวมๆ คือ การเสนอตัวสร้างความรับผิดชอบในสิ่งรอบๆตัวมากขึ้น ...คุณรู้ไหมว่า สิ่งที่ผมพูดนี่ ฝรั่งเขาเรียกว่า Passion ในสิ่งที่ทำ

เคยเห็นคนทำงานแบบขอไปทีไหม ทำเหมือนว่า ให้มันจบๆไป ...ทำแบบนั้นน่ะ เสียเวลา เพราะมันไม่มีทางก้าวหน้า และก็ไม่มีทางรวย

ถ้าใครเป็นแบบนั้น ให้เลือกระหว่าง หนึ่ง เปลี่ยนงานซะ ..หรือ สอง รับผิดชอบ โชว์พลังในสิ่งที่ทำ -- 'ปล่อยแสง แสดงแพชชั่น' 

นั่นแหละ จุดเริ่มต้นของโอกาสดีๆ และเงินที่จะเข้ามา มันเริ่มจากเราต้อง 'พร้อมรับผิดชอบ'

จะตักน้ำ เตรียมขันให้พร้อม ไม่ต้องไปรีบใช้มือจ้วงเหมือนคนส่วนใหญ่หรอกครับ ...เตรียมขันใบโต พอถึงคิวเราตัก ก็จ้วงให้เต็ม เขาเรียก 'จัดไป!!'

คนที่รับผิดชอบมากกว่า รวยกว่า ..ลองเริ่มดูครับ กฏเปลี่ยนชีวิตง่ายๆ ทำได้ ณ จุดที่ยืน

ว่าแล้ว ผมก็เริ่มรับผิดชอบเรื่องการเงินของผมเลยครับ ...อย่าไปคิดว่าเกษียณแล้วจะสบาย เดี๋ยวบริษัทหรือรัฐบาลก็จะรับผิดชอบชีวิตเรา ไม่มีหรอกครับ!! 

..ผมจัดแจง สร้างเครื่องผลิตเงินของผมขึ้นมาเอง ผมใช้วิธีออมในหุ้น

 'ซื้อหุ้นดี ถือรับปันผล ทนรวยจากมัน ..ได้ปันผล ได้มูลค่าเพิ่ม ตราบเท่าที่ถือมัน นานเท่านาน'

เมื่อผมรับผิดชอบเรื่องเงินของผมเอง ...ผลดีๆ มันก็ตามมาครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint


3 ข้อต้องรู้ ก่อนลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว


'3 ข้อต้องรู้ ก่อนลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว'

ยุคนี้กระแสการทำธุรกิจส่วนตัวแรงมาก ..Steve Jobs กล่าวว่า อย่ามัวเสียเวลาทำตามความฝันของคนอื่น !!

โอโห ว่าแล้ว ก็เขียนจดหมาย เดินไปที่โต๊ะของ ผู้จัดการ แล้ววาง โป๊ะ !! 'ลาออกครับ'

ผู้จัดการถามว่า : 'เฮ้ย!! แล้วจะไปทำมาหากินอะไร เดี๋ยวก็อดตายหรอก'

ตัวเรา : 'ผมเชื่อพี่ Steve ..คนเราจะมานั่งทำฝันของคนอื่นทำไม ?'

ผู้จัดการ : 'ฮึม !! โอเค กรูเซ็นต์อนุมัติเลยละกัน ..อะนี่ อนุมัติ โชคดีนะ สมชาย !!'

(เฮ้ย!! ทำไม อิสรภาพ มันทำไมง่ายถึงเพียงนี้ จากที่ต้องทนหัวหน้าดุด่า ทนเพื่อนร่วมงานที่แก่งแย่งเอาหน้า ...จากนี้ไป ผมจะมีอิสรภาพที่จะทำอะไรก็ได้ จะไปตามความฝันของฉัน แต่ปัญหามีอยู่อย่างนึง คือ ไม่มีเงินว่ะ ..เอ่อ กรูชักหิวแล้ว เดี๋ยวเดินลงไปซื้อ Starbucks ลองท้องหน่อย บ่ายนี้ หนึ่งแถมหนึ่ง)

ผมว่าอารมณ์มันประมาณนี้นะ ใจนึงก็อยากมีอิสระ อีกใจก็กลัวไม่มีกิน ...เอางี้ ลองเอา 3 ข้อต้องรู้ ไปลองใช้ดู

3 ข้อต้องรู้ ก่อนลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว

1. 'รู้หรือไม่ว่า คุณสามารถสร้าง Passive Income และ มีอิสรภาพทางการเงิน ตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง' ...อันนี้ประสบการณ์ตรงของผู้เขียน ผมเริ่มจากเป็นผู้ประกอบการ ออกผจญภัยสู่โลกกว้างมีอิสระอย่างเสรี จนวันนี้ผมกลายเป็นลูกจ้างเรียบร้อย ..ใช่!! มันอาจจะต่างจากคนอื่นๆ ที่เริ่มจากลูกจ้างแล้วค่อยออกไปเป็นผู้ประกอบการ 

ผมจากผู้ประกอบการสู่ลูกจ้าง ..แต่เดี๋ยว !! ผมว่าตรงนั้นเป็นสิ่งที่หลายๆคนหลงประเด็น เพราะจริงๆ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่า เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือ เป็นลูกจ้าง ผมว่าประเด็นคือ มีเงินใช้เพียงพอไหม และ มี Passive Income หรือเปล่า

ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง มีทั้งพวกรวย และก็มีทั้งเดือนชนเดือน ..นายจ้างแบบทำงานแค่มีเงินจ่ายลูกน้องแบบเดือนชนเดือน น้ำตาไหลนองหน้า นี่ก็เยอะมากๆ ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้

เอางี้ ผมในฐานะลูกจ้างที่มี Passive Income มากกว่ารายจ่ายขั้นต่ำต่อเดือนเรียบร้อย นั่นแปลว่า ตัวผมเองแม้จะยังเป็นลูกจ้าง แต่ผมมีอิสรภาพทางการเงินเบื้องต้นจากการลงทุนเรียบร้อย แม้ว่าวันนี้ผมเลิกเป็นลูกจ้าง ก็ยังมีเงินเข้ามาไม่อดตาย ...ผมแนะนำว่า ลองเริ่มศึกษาเรื่อง 'ออมในหุ้นและการลงทุน ตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง' ...ในสิบปี เห็นผล แน่นอน

2. 'รู้หรือไม่ว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ประกอบการถึงจะมีความสุข ..ลูกจ้างก็มีความสุขในงานได้' ...อันนี้ประสบการณ์ตรงเช่นกัน สมัยผมเป็นเจ้าของร้านอาหาร ผมโคตรไม่มีความสุขเลย เพราะผมเกลียดการทำอาหาร แต่ทำเพราะตอนนั้นร้านอาหารมันเป็นธุรกิจที่รวยได้ ในเวลาที่ผมเรียนที่ออสเตรเลีย 

แต่วันนี้ตรงกันข้าม ผมเป็นลูกจ้าง ทำอาชีพที่ปรึกษาการลงทุน ..งานสอนและให้ความรู้ลูกค้า ที่บัวหลวง ตั้งขึ้นมาให้ผมทำ ..ชอบครับ 'ได้ให้ความรู้คนอื่น แล้วชีวิตเขาดีขึ้น และผมได้เงินในการทำสิ่งนี้' ชอบกว่าตอนยืนผัดข้าวเยอะเลย

จะบอกว่าเป็นลูกจ้างก็ทำสิ่งที่รักได้ครับ แต่มันมีขั้นตอน มีการวางแผน ที่จะเปลี่ยนจากงานที่ไม่รักเป็นงานที่รัก (งานแรกในฐานะลูกจ้าง คงไม่ง่ายที่ได้งานที่รัก แต่เราวางแผนเพื่อก้าวสู่งานที่รักได้ครับ)

3. 'รู้หรือไม่ว่า คำว่า ลูกจ้าง กับ นายจ้าง มันกำลังไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนอีกต่อไป' ...ลูกจ้างเสียเปรียบ เจ้าของเอาเปรียบ ...เออวันนี้คุณเดินเข้าตลาดหุ้น แล้วซื้อธุรกิจชั้นนำของประเทศได้เกือบทุกตัว อยากเป็นเจ้าของธุรกิจไหน ซื้อเลยครับ 'ยิ่งซื้อตอนธุรกิจนั้นมีข่าวร้าย ยิ่งได้หุ้นราคาถูก' 

พอผมเข้าใจหลักการข้อนี้ ผมฟินเลย !! ...วันนี้ผมเป็นลูกจ้าง แต่พอร์ตออมในหุ้นผม เป็นเจ้าของธุรกิจชั้นนำของประเทศ บางตัวระดับโลก แถมผมขี่คอเจ้าของซื้อ คือ ซื้อตอนราคาถูก ...แล้วที่แจ๋วกว่านั้นคือ ผมแทบไม่คิดจะขายหุ้นเหล่านี้ที่ผมได้มาในราคาถูกเลย แม้ว่าราคาจะขึ้นเยอะ

เพราะมันทำให้ผม ได้สิทธิเหมือนเจ้าสัวต่างๆ ผมได้สิทธิในการเป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำเหล่านั้น ผมได้เงินปันผลทุกปี เพราะหุ้นเหล่านี้มันมีมืออาชีพทำงานให้ มีเจ้าสัวต่างๆ ทำงานหนักเพื่อผม และสุดท้ายผมก็สามารถยกหุ้นเหล่านี้ไปให้ลูกหลานผมถือต่อไป

 'ลูกหลานที่จะได้ พอร์ตออมในหุ้นต่อไปเป็นมรดก'

นี่คือ 'ลูกจ้างอิสระ' ผมคือ Freedom Slave ..ผมว่า มันก็เท่ห์ไม่เหมือนใครดีนะ ..55

ที่เขียนเรื่อง 3 ข้อนี้ ไม่ได้จะสรุปว่า เป็นลูกจ้าง หรือ นายจ้างดี ...เป็นอะไรก็ดีได้ หากเราเข้าใจแนวคิด 'ดีที่สุดในจุดที่ยืน' ..เปลี่ยนจุดที่ยืนให้เหมาะกับตัวเราที่สุด ผมว่านี่แหละดีที่สุด !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

อย่าเป็นนักลงทุนเพราะคนอื่นๆ บอกว่าดี


'อย่าเป็นนักลงทุนเพราะคนอื่นๆ บอกว่าดี'

พลาดมาก !! หากเราเลือกเป็นเพราะคนอื่นว่าดี ...ไม่ต่างกับเห็นคนอื่นรวยแล้วอยากทำบ้าง ก็เหมือนยุคตื่นทองทุกครั้งที่จบไม่เคยสวย

การเป็นนักลงทุนที่ดี เราต้องเลือกเอง ไม่ใช่ตามกระแส ..การเลือกเองหมายถึง เรามีความรู้และมีความเชื่อในสิ่งที่ลงทุน ...นั่นหมายความว่า จริงๆ แล้วการลงทุน ก็เหมือนทำธุรกิจนั่นแหละ 

ต้องเริ่มจาก '3 คำถาม ตื่นทองต้องรู้!!'

1. ทำไปทำไม ? ...ทำเพื่ออะไร นี่มันต้องถามอย่างแรกเลย เพราะมันจะชี้ให้เห็นเลยว่า ควรทำหรือเปล่า 

เช่น ซื้อเฟอร์บี้เพื่ออะไร ? ..มันเท่ห์ ก็นั่นแหละเงินที่จ่ายตรงนั้นแลกความเท่ห์ ...ซื้อตุ๊กตาลูกเทพเพื่อ ? ..เพื่อความสบายใจ ก็เงินที่จ่ายนั่นก็แลกความสบายใจ ...ส่วนลงทุนเพื่อให้ได้ส่วนต่างราคา ก็เทรดไป ซื้อมาขายไป ...แต่ถ้าจะลงทุน เพื่อ 'วางเงินทำงาน' เบื่อทำงานแลกเงิน ก็ลองลงทุนแบบให้เงินมันทำงานเอง ปันผลให้เราเอา ดูมันโต ทนรวยไปเรื่อยๆ ก็ ออมในหุ้น ซะ

(นั่นแหละ ตอบทีละคำถาม ก็จะรู้ว่าตกลงเราพวกนักตื่นทอง หรือเรามีเหตุผลจริงๆ - ไม่ว่าจะยุคตื่นทอง ตื่นเงิน ตื่นอะไรก็ตาม คนได้เงินจริงๆ ไม่ใช่พวกที่ตื่นๆ แต่เป็นพวกมีเหตุผล มีจุดยืน พวกนี้แหละรวยจริงครับ)

2. จะทำธุรกิจอะไรดี ? ...หุ้นตัวไหนที่มีอนาคตจริงๆ ? (ตัดข่าวลือหรือกระแสออกไป เพราะกระแสสร้างประโยชน์ให้คนสร้างกระแสและสร้างข่าวลือเท่านั้น คนตามมักซวย!!)

3. ทำแล้วคุ้มไหม ? ...ณ ราคา ที่เราจะซื้อ มันถูกหรือแพง ? (ของดี แต่ซื้อแพง เช่น ทองใครซื้อตอนบาทละ 27,000 ก็รอนานหน่อยนะ ..ของดี ก็ต้องซื้อให้ถูกเวลา เช่น ซื้อข่าวร้ายมันถึงจะได้ของดีราคาถูก ...ดันไปซื้อของดีในข่าวดี มันพวกตื่นทอง ขาดทุนได้เกิน 50% เวลามันปรับฐาน ต้องระวังให้ดีครับ)

สรุป ลองถามคำถามทั้งสามนี้ดูว่า 'เรามีเหตุผล' หรือ 'เราตื่นทอง'

คนมีเหตุผล มีจุดยืนของตัวเอง รวยทุกคนครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint


วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

The Stock Blueprint ความเข้าใจ


ถ้าเราแยกไม่ออกระหว่าง 'การทำงานเพื่อเงิน'(Work for Money) และ 'การวางเงินทำงาน'(Money Work for you) ...เราอาจต้องเหนื่อยทำงานเพื่อเงินทั้งชีวิต' 

ถ้าแยกไม่ออกระหว่าง 'มูลค่า'(Value) กับ 'ราคา'(Price) ..เราก็จะไม่สามารถซื้อสินทรัพย์ในเวลาที่มันราคาถูกได้

เมื่อเราเข้าใจ กลไกของการวางเงินทำงาน และเข้าใจจังหวะในการซื้อสินทรัพย์ เราก็มีโอกาสได้อิสรภาพทางการเงิน

'อิสรภาพทางการเงิน' ไม่จำเป็นต้องมีเงินล้นฟ้า  แต่มันคือ เราเป็นนายเงิน วางเงินทำงานให้เรา  ..เรามีเงินไหลมามากกว่าค่าใช้จ่าย แม้ว่าเราจะหยุดทำงานไปแล้วก็ตาม

#ออมในหุ้น #ภาววิทย์กลิ่นประทุม #TheStockBlueprint

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ถั่วงอกกับต้นมะม่วง


ถั่วงอกกับต้นมะม่วง ...ปลูกอะไรดี ?

เรื่องเงิน มันก็เหมือน ถั่วงอก กับ ต้นมะม่วง ..คือ มันคนละวัตถุประสงค์ ..ถั่วงอกเราปลูกกินเลย กินทันที ...แต่ต้นมะม่วง ปลูกแล้วต้องรอมันออกลูก เรากินผลมัน ไม่ได้กินต้นมะม่วง !!

มีคนถามว่า 'ภาววิทย์' คุณรู้วิธีปลูกสองอย่าง แล้วตกลงคุณเลือกปลูกอะไร ? ...แล้วถามจริงๆ เถอะ คุณสอนคนอื่นปลูกทำไม ?

ผมปลูก 2 อย่าง ปลูกถั่วงอกก็เหมือน 'การเทรด' เน้นกินเร็ว เป็นเป้าหมายระยะสั้นได้เงินก่อน 

ส่วนการปลูกมะม่วง เป็นเป้าหมายระยะยาว เพราะผมรู้ดีว่า วันนึงผมอาจไม่มีแรงปลูกถั่วงอก ...สุดท้าย การปลูกมะม่วงนี่แหละ ที่ผลมันจะเลี้ยงผม -- มันคือเป้าหมายสูงสุดในการลงทุน !!

การปลูกมะม่วงก็เหมือน 'ออมในหุ้นปันผล' ที่ทุกคนรู้ว่าดี แต่มีน้อยคนที่ทำจริงๆ เพราะ คนส่วนใหญ่คิดว่ามันรวยช้า สุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มเสียที รอจนเกษียณแล้วก็ยังไม่เริ่มปลูก ..เมื่อไหร่ต้นจะใหญ่ล่ะ ?

มีคนถามว่า 'รู้วิธีปลูก' แล้วสอนคนอื่นทำไม ?

'ยิ่งให้ ยิ่งได้' ปลูกคนเดียวมันจะได้สักกี่ต้นล่ะ ...ยิ่งสอนคนปลูกมะม่วงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีคนที่มีอิสรภาพทางการเงินเพิ่มขึ้น ...และการให้ความรู้คนอื่น ในอีกด้านคือการให้โอกาสตัวเอง 

ลองเรียนวิธีปลูกมะม่วงบ้างซิครับ ..การลงทุน เริ่มจาก 1. มีความรู้ - 2. ลงมือทำ - 3. อดทนรวย

'นี่แหละที่มาของคำว่า อดทนรวย!!'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint


วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

'คนส่วนน้อย ทำไมต้องชนะล่ะ' ปูพื้น The Stock Blueprint/Day 10


'ทำไมคนส่วนน้อย จึงชนะในตลาดหุ้น'

ปูพื้น The Stock Blueprint/Day 10

เรื่องนี้หลายๆคนไม่เข้าใจว่า 'ทำไมต้องคิดแบบคนส่วนน้อย จึงจะชนะ' ..คิดแบบคนส่วนใหญ่ไม่ได้หรือ ?

'ไม่ได้' เพราะ หุ้น หรือ Asset ต่างๆ ในโลกถูกกำหนดราคา จาก Demand & Supply

คำว่า Demand แปลว่า 'ความต้องการ'

ส่วน Supply แปลว่า 'จำนวนที่มี' หรือ 'จำนวนผลิต'

ทำไมทองแพง กว่า เหล็ก ...เพราะ Supply น้อยกว่า แถม Demand คนชอบทองมากกว่า 

ทำไมที่ดินบางทำเลแพงกว่า ก็เพราะบางทำเลนั้นคนต้องการมากกว่า แถม Supply บางที่แทบไม่มีแล้ว เช่น ที่ดินกลางเมือง

ถ้าเข้าใจหลักตรงนี้ก็ง่ายละ ...คิดง่ายๆ หุ้นที่กำลังขึ้น คนก็แย่งกันซื้อ ทำให้มีแต่ Demand มีแต่ความต้องการซื้อ ก็แย่งกันซื้อจน Supply หมด ..ราคาหุ้นถึงขึ้นไปเรื่อยๆ

ถ้าเราวิ่งตามคนส่วนใหญ่เข้าไปซื้อ ก็มีโอกาสที่เราจะต้องซื้อหุ้นแพงนั่นเอง

ส่วนการขายก็ตรงข้าม ถ้าทุกคนแย่งกันขาย Supply ก็เยอะ ราคาก็ยิ่งลง คนที่ถือหุ้นกลัวราคาลงต่อ ก็แย่งกันขาย หุ้นก็ยิ่งลงเข้าไปอีก 

แต่สำหรับคนที่มองมูลค่า ก็จะเข้าไปซื้อตอนที่คนส่วนใหญ่ขาย จึงจะได้ราคาถูก

เคล็ดลับของราคาหุ้น หรือ Asset คือ มันจะลงโดยค่าเฉลี่ยประมาณ 70% ในขาลง แต่ขาขึ้น มันขึ้นได้ไม่จำกัด เราเลยเห็นหุ้น 10 เด้ง 100 เด้ง อย่างหุ้นโรงพยาบาล หรือ หุ้น 400 เด้งอย่าง SCC

ลองแบ่งเงินเป็นก้อนๆซิ แล้วลงทุนซื้อหุ้นแบบปลูกต้นไม้ 'ซื้อแล้วถือ' ..ออมในหุ้นดีเวลาวิกฤต เช่น สมมุติมีเงิน 1 ล้านบาท แบ่งเป็นกองๆ กองละ 1 แสนบาท จากนั้นซื้อหุ้นตามหลักออมในหุ้น 'ซื้อหุ้นดี ในข่าวร้าย'

ตัวที่ชนะ อาจขึ้นหลายเด้ง (หลายเท่า) ตัวที่แพ้ก็อาจลงไปบ้าง 

..รวมๆ แล้ว มันขึ้นมากกว่าลง 'หุ้น 10 ตัว อาจได้หุ้น 10 เด้ง 1 ตัว เงินแสนเป็นเงินล้าน ..อาจได้หุ้น 5 เด้งสัก 2-3 ตัว เงินแสนเป็นหลานแสน ..อีก 2-3 ตัวอาจไม่ไปไหน ก็ยังเหลือเงินแสน ..บางตัวอาจขาดทุน ..พอรวมๆ ก็กำไรไง'

ชนะด้วยแผน ไม่ต้องใช้โชคชะตา ...มัน work ครับ ลองวางแผนดู

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

'วางแผนเล่นหุ้นกี่ปี รวยที่สุด' : ปูพื้น The Stock Blueprint/Day 9


'วางแผนเล่นหุ้นกี่ปี จะรวยที่สุด' 

ปูพื้นความรู้ The Stock Blueprint วันที่ 9 

'คนส่วนใหญ่ ตั้งใจจะมารวยเร็วๆ ในตลาดหุ้น' ..ก็แปลง่ายๆ ว่า ทุกครั้งต้องการเข้ามาในตลาดหุ้นสั้นๆ ก็ไม่ต่างจากการเข้าบ่อนครับ

แต่ด้วยสถิติ เราจะพบว่า คนที่รวยที่สุดในตลาดหุ้นคือ เจ้าของ 

เช่น กระทรวงการคลัง รวยสุดในหุ้น การท่า AOT เพราะ ทนรวยได้นานที่สุด ..จากปี 2008 ถึงปัจจุบัน หุ้น AOT ขึ้นมาเกิน 20 เด้ง ..20 เท่า

 (ซื้อไว้ 10,000 บาท ตอนนี้ก็หลายแสน / ซื้อไว้ 100,000 บาท วันนี้ก็หลายล้าน / ... เป็นเจ้าของ เท่าที่เรามีเงิน ไม่จำเป็นต้องมากมาย แต่ก็ได้ความรวย เทียบเท่าเจ้าของ)

เฮ้ย!! ก็ฉันไม่ใช่เจ้าของจะรวยแบบเจ้าของยังไง -- นี่คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ

คนส่วนใหญ่คิดว่า การจะรวยที่สุดจากหุ้น คือ ต้องซื้อขายให้เร็วๆ แต่มันไม่ใช่เลย

การรวยที่สุดจากตลาดหุ้น คือ ถือแบบเจ้าของ คือ ถือนาน นานจนลืม ลืมไปก็กินปันผล ถือไปจนปันผลเลี้ยงเราสบายๆ ถือไปเหมือนที่ดิน เก็บกินถึงลูกถึงหลาน ถือไปจนไม่มีสนามบิน ...เมื่อไหร่ล่ะ ที่เขาเลิกใช้สนามบิน เมื่อนั่นแหละขายทิ้งไป

สรุปว่า เจ้าของ ถือหุ้น เหมือน ครอบครองที่ดินทำเลดี

'เลือกหุ้น ก็เหมือนเลือกทำเลที่ดิน ..ถือหุ้นปันผล ก็เหมือนที่ดินนั้น มีค่าเช่าให้เราตลอด'

ใช่!! เสน่ห์ของตลาดหุ้นคือ คุณมาแบบบ่อน มันก็เป็นบ่อนให้เรา ..แต่ถ้ามาแบบลงทุน มันก็ให้ความเป็นเจ้าของเรา

เฉลยเลยว่า 'คนที่รวยที่สุดจากตลาดหุ้น' ก็ค่อ คนที่ถือหุ้นดีมีปันผล นานที่สุด

ออมในหุ้น ...หลักรวยของคนครอบครองหุ้นประดุจเจ้าของ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

'วิกฤตมาต้องล้างพอร์ต' : ปูพื้น The Stock Blueprint / Day 8


'เวลามีวิกฤตเศรษฐกิจต้องล้างพอร์ตหรือไม่' 

เวลาเกิดวิกฤต ถ้าครั้งใหญ่ๆ เช่นปี 1997 หรืออย่างปี 2008 นั่นเรียกว่าตลาดลง เกินครึ่ง ..'ถ้าตลาดลง 50% ย่อมหมายถึงหุ้นรายตัวอาจลงถึง 70%'

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ถ้าตลาดมีวิกฤตรอบใหญ่ พอร์ตของนักลงทุนรายย่อยน่าจะลงอย่างน้อย 50-70% ...ซึ่งแน่นอน มันรวมถึงพอร์ตรายใหญ่ หรือ เจ้าของหุ้นอย่าง คุณทองมา , ตระกูลจิราธิวัฒน์ , เจ้าสัวต่างๆ ก็ต้องพอร์ตลดตามตลาดที่ลง

คำถามที่ข้องใจ ?

1. ทำไมทุกครั้งที่ตลาดเกิดวิกฤตใหญ่ๆ คนรวยถึงรวยขึ้น (เทียบปี 2008 ถึงปัจจุบัน คนทั่วไปไม่ได้รวยขึ้นเท่าไหร่ แต่คนรวย รวยขึ้นแบบก้าวกระโดด)

2. พวกรายใหญ่เขาขายหุ้นทันไหมเวลาเกิดวิกฤต

3. เอาตรงๆ เขารับมือกับวิกฤตอย่างไร ?

คำตอบคือ 'ส่วนใหญ่ไม่มีใครขายทัน ซึ่งไม่แปลกที่พอร์ตหุ้นของทั้งรายใหญ่และรายย่อยย่อมลงเละไม่ต่างกัน' 

แต่ทำไม พอผ่านวิกฤต รายย่อยยังคงซวย แต่หุ้นของรายใหญ่เริ่มขึ้น ...ก็เพราะ รายย่อยติดหุ้นปั่น แต่รายใหญ่เขาติดหุ้นพื้นฐานและโดยมากมักมีปันผลแถมด้วย

ก็เทียบเหมือนคนนึง ถือทอง อีกคน ถือขยะ ..สุดท้ายทองก็คือทอง มีมูลค่า และในที่สุดก็จะมีมูลค่า ...พวกขยะหรือหุ้นปั่น พอจบรอบ ก็ขยะดีๆนี่เอง 

คำตอบสุดท้าย 'ในวิกฤตเศรษฐีเขาทำอะไร' ..ครับ 'เขาลงทุนเพิ่ม ซื้อเพิ่มครับ ..'

คนส่วนใหญ่มักบอกไม่มีเงินเวลาตลาดวิกฤต 

จริงๆ มันแค่ข้ออ้าง ..ที่ไม่มีคือ ความรู้และความมั่นใจในการลงทุนแค่นั้นเอง

 ..การสร้างธุรกิจและการลงทุนมีจุดร่วมที่เดียวกันคือ ความรู้และความมั่นใจ เพราะเมื่อเรามั่นใจในสิ่งที่ทำมากพอ เราจะมีวิธีในการหาเงินมาเอง 

'ถ้าเรารู้สึกอึดอัดเวลาซื้อ มันจะสบายเวลาถือครับ' ..เคล็ดลับ ..555

ลองศึกษากันดู

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

คอร์สมือใหม่เข้าใจหุ้น (B01-B02) โดย ภาววิทย์



"การขึ้นของตลาดหุ้นครั้งนี้ เป็นการขึ้นจริงหรือแค่เด้ง ?"
ดีกว่าไหม ไม่ว่าขึ้นหรือลง เราก็รวยได้ "สร้างเครื่องผลิตเงินด้วยหุ้นปันผล ง่ายกว่าไหม!!" -- จริงๆ ไม่ได้สำคัญเลยว่า ตลาดจะเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่ได้เก็งกำไรเทรด Index SET

 ..พูดง่ายๆ คือ
"การลงทุนที่ดี ไม่จำเป็นต้องทายถูกว่าตลาดขึ้นหรือลง ก็ยังคงลงทุนให้พอร์ตเราเติบโตต่อเนื่องได้ (วางเงินทำงานให้เรา "ออมในหุ้นสร้างเครื่องผลิตเงิน") ...อันนี้แหละที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ คือ ไม่ว่าหุ้นขึ้นหรือลง ก็รวยได้ ยิ่งอยู่ในตลาดนานเท่า ไหร่ยิ่งรวยขึ้น ..เจอวิกฤตทุกครั้ง พอตลาดกลับมาก็รวยขึ้นไปอีก -- นี่คือ วิธีคิดบริหารพอร์ตของนักลงทุนที่สามารถประสบความสำเร็จและผ่านทุกวิกฤต เศรษฐกิจ"
ใครสนใจเรียนการปูพื้นฐานความรู้สำหรับมือใหม่เข้าตลาดหุ้น หรือ สำหรับมือเก่าที่อยากเปลี่ยนวิธีลงทุนใหม่ ลองดูคอร์สเรียนอันนี้ครับ

"คอร์สมือใหม่เข้าใจหุ้น" : เดือนมีนาคม เรียนเสาร์อาทิตย์ที่ 19-20 มีนาคมนี้ครับ !!
ในชีวิตจริง ผมเชื่อว่า การเป็นนักลงทุน ประกอบไปด้วย 3 อย่างหลักๆ คือ "เก่ง กล้า อดทน"

"เก่ง" คือ มีความรู้เข้าใจพื้นฐานหุ้น (อ่านงบเป็น) และ เข้าจังหวะจากการใช้กราฟเป็น (Technical Analysis)

"กล้า" คือ โอกาสรวย จะมาทุกวิกฤต ..ถ้าคุณแม่นและเชื่อมั่นในสิ่งที่ศึกษา วิกฤตคือ โอกาสของคุณ

"อดทน" คือ คนรวยทุกคนต้องกล้าเมื่อคนอื่นกลัว แล้วอดทนรวยให้เป็น ...

"คอร์สมือใหม่เข้าใจหุ้น เรียน ส.-อา.ที่ 19-20 มีนาคมนี้" : (คอร์สนี้ผมสอนเองคนเดียวทั้งหมดครับ เรียน 2 วันเต็ม เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเข้าใจกลไกของตลาดหุ้นแบบกระชับเข้าใจง่าย หรือ สำหรับมือเก่าที่อยากเปลี่ยน Mindset วิธีคิดและเรียนเทคนิคการลงทุน)

..ใช้การสอนโดยการยกตัวอย่างจริงในตลาด เน้นความเข้าใจถึงระดับ Mindset และวิธีคิดจริงๆ และ วิเคราะห์ภาวะปัจจุบัน

เนื้อหาทั้ง 2 วัน แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ

1. สอนเรื่อง Mindset ของการลงทุนอย่างถูกต้อง ทั้งระยะสั้น และ ระยะยาว ..พื้นฐานเศรษฐกิจและ ความสัมพันธ์กับการขึ้นลงของราคาหุ้น

2. สอนอ่านงบการเงิน Fundamental Analysis ..เพื่อวิเคราะห์ว่าหุ้นถูกหรือแพง โดยการแกะจากงบการเงิน (เข้าใจง่าย ไม่ต้องมีพื้นฐานการเงินก็เข้าใจได้)

3. สอนการอ่านกราฟเบื้องต้น Technical Analysis ..เพื่อเข้าใจการขึ้นลงของราคา ซึ่งวิ่งเป็น "รอบ"
การเข้าใจใน 3 เรื่องประกอบกัน ระหว่าง Mindset + Fundamental + Technical จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าใจตลาด และ หาโอกาสในการทำกำไรตามแนวทางของตัวเองได้ในที่สุด
คอร์สนี้เรียน 2 วันเต็ม ..ผมสอนเองทั้งหมด ..รายละเอียดค่าใช้จ่ายสามารถดูและคลิ๊กจองได้ที่นี่ครับ
http://bit.ly/1PPYgEm

'หาเงิน กับ วางเงิน ในตลาดหุ้น' ปรับความคิด Day 7 : The Stock Blueprint


'หาเงิน กับ วางเงิน ในตลาดหุ้น' ปรับความคิด Day 7 : The Stock Blueprint 

การหาเงินในโลกมนุษย์มี 2 แบบ คือ 

'ต้องไปหา กับ มันมาเอง'

หนึ่ง 'ต้องไปหา' (Active Income) เอาเวลาและแรงงานของเราไปแลกเงินมา ในตลาดหุ้นก็คือ การเทรดหุ้น ซื้อมา ขายไป ทำกำไรจากส่วนต่างของราคา ก็ไม่มีอะไรมาก คือ หลักๆ ก็ใช้กราฟหุ้นจับจังหวะ เฝ้าหน้าจอ สั่งซื้อสั่งขาย

สอง 'มันมาเอง' (Passive Income) อันนี้คือ วางเงินให้มันทำงาน ..อันนี้คนพูดกันเยอะ แต่เอาจริงๆ ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า 'วางเงินทำงานในการปฏิบัติจริงๆ ทำอย่างไร'

ไม่มีโรงเรียนไหนสอนครับ 'วางเงินทำงาน' ..บางคนทำงานหาเงินเก่ง แต่ทั้งชีวิตก็ยัง 'วางเงินทำงาน' ไม่เป็น ...สรุปชีวิตก็ลำบากซิครับ 

ใช่!! ไม่ว่าใครจะหาเงินเก่งแค่ไหนก็ตาม ถ้าไม่รู้วิธีวางเงินทำงาน ชีวิตไม่สบายครับ ..เหนื่อยตลอด 

โอเค!! มาดูกัน ในทางปฎิบัติ การวางเงินทำงาน ก็กฏอยู่ที่ว่า คุณต้องวางเงินไว้ให้มันทำงานเอง คุณห้ามไปยุ่ง

 (ถ้าคุณเข้าไปยุ่ง ก็แปลว่า คุณทำงานเพื่อเงิน ผิดหลักการทันที ..อ๊อด!! ตกรอบ กลับไปที่จุดเริ่มต้น !!)

การวางเงินทำงาน ก็เช่น การซื้อที่ดินแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร ทิ้งไว้ให้ราคามันขึ้นไปเรื่อยๆ 'ซื้อแล้ว ทนรวย จบ'

แต่ปัญหาปัจจุบัน มันต้องหาสิ่งที่เราวางเงินทำงานแล้ว สอดคล้องกับคนยุคนี้ ..ผมเลือกหุ้นปันผล เพราะผมมองว่า

1. ผมหาจังหวะซื้อตอนข่าวร้ายที่หุ้นมันถูกๆ (คนเล่นสั้นเขาอาจจะขายเวลาตลาดหุ้นมีข่าวร้าย มีวิกฤต ..แต่คนเล่นยาวซื้อครับ)

2. ผมซื้อแล้วถือแช่นาน ยาวววมาก รับปันผลไปเรื่อยๆ ยิ่งถือเป็นสิบๆปี มันจะได้ทั้งปันผลไปเรื่อยๆ และราคาขึ้นอีกมากมาย (แจ๋วกว่าที่ดิน เพราะหุ้นใช้เงินน้อย แบ่งซื้อได้ แถมให้ปันผล )

ข้อจำกัดก็คือ การวางเงินทำงานในหุ้น ต้องใช้เงินเย็นเท่านั้น เพราะในระยะสั้น ราคาอาจจะแกว่งขึ้นลง จนน่าตกใจ ...แต่มันไม่ใช่ปัญหาของการออมในหุ้นระยะยาว

นั่นแหละครับ ที่มาของคำว่า 'ทนรวย'

'ซื้อหุ้นดี เข้ามีจังหวะ ...ฮึม!! ข่าวร้ายนี้ คุณซัดหุ้นดีไปหรือยังครับ' ..555 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

'พอร์ตดีชนะหุ้นเด็ด' ปรับความคิด Day 6 : The Stock Blueprint


'พอร์ตดีชนะหุ้นเด็ด' ปรับความคิด Day 6 : The Stock Blueprint 

คุณว่าแปลกไหมล่ะ ที่คนส่วนใหญ่มักถามหาหุ้นเด็ด ..และที่แปลกกว่านั้นคือ คนเหล่านั้นมักจะไม่รวยจากตลาด แถมเจ๊งจากหุ้นเด็ดที่เขาได้นั่นแหละ

'จริงๆ แล้วตลาดหุ้นไม่มีหุ้นเด็ด หุ้นเด็ดมีอย่างเดียวคือเด็ดวิญญาณ' ..สิ่งที่เด็ดในจากลงทุนคือ 'พอร์ตเด็ด'

พอร์ตเด็ด คือ ลงทุนออมในหุ้น แบบมีหลักการ ซึ่งใน The Stock Blueprint เราวางหลักการให้ผู้เรียนโดยแบ่งเป็น 1.หุ้นที่เข้าหลักโหงวเฮ้งดี 2.กระจาย Port ซื้อตาม 'รอบ'

คร่าวๆ เรื่องพอร์ตเด็ด คือ 

1. ซื้อหุ้นดีในเวลาวิกฤต เราจะได้หุ้นที่ราคาถูกโดยค่าเฉลี่ย 

2. การวางพอร์ตหุ้นโดยการกระจายความเสี่ยงที่ดี ทำให้เราปิดประตูความเสี่ยงของการลงทุนระยะยาว (การแบ่งไม้ แล้วซื้อตาม "รอบ" ซื้อตามรอบหุ้น & รอบตลาด -- เป็นวิธีการที่น่าเบื่อ และดูจะรวยช้า แต่จริงๆ มันเป็นการลงทุนระยะยาวที่ดีมาก)

คุณลองดูซิว่า จริงๆ คนส่วนใหญ่ที่ลงทุนหุ้นไม่สำเร็จ เพราะทำตรงข้ามกับสิ่งที่ควรจะทำ

1. คนส่วนใหญ่ซื้อหุ้นเน่าในเวลาที่มันแพง (บ้าไหม ทำตรงข้ามกับสิ่งที่ควรทำ ..ก็จบด้วย ติดดอยหุ้นปั่น พอพอร์ตขาดทุนก็โทษว่าตลาดหุ้นเสี่ยง ..จริงๆ ปัญหาคือ เขาไม่มีความรู้มากกว่า - จบ 'ตรงโคตร')

2. คนส่วนใหญ่หาหุ้นเด็ด(หุ้นปั่น) แล้วอัดเต็มตัวเดียว กะว่ารอบนี้กรูรวยแน่ (เพราะได้ข่อมูล Inside จากเจ้ามา ก็มโนกันไป) สุดท้ายก็โดนหลอก แถมอัดหุ้นเน่าตัวเดียว ไม่มีการลงทุนแบ่งไม้และกระจายความเสี่ยง พอติดหุ้นปั่น มันจบรอบก็เลยเจ๊งหนัก ..ก็จบเช่นกัน

ในหลักสูตร The Stock Blueprint เราแก้นิดเดียว คือ เราใช้หลัก 'ซื้อหุ้นดี เข้ามีจังหวะ' จากนั้นลงทุนตามแผน แค่นี้ก็ชีวิตเปลี่ยนแล้วครับ

สรุป คนที่รวยหุ้นในระยะยาว ไม่ใช่หาหุ้นเด็ด ..เพราะหาหุ้นเด็ดมันใช้ในหวย เลขเด็ด ไม่ใช่ใช้ในหุ้น

 ..ถ้าจะรวยจากตลาดหุ้นต้อง 'มีความรู้ที่ถูกต้อง และมีพอร์ตเด็ด' ครับ ..จัดไป!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

'หุ้นรวยเปลี่ยนหลัก' ปรับความคิด Day 5 : The Stock Blueprint


'รวยเปลี่ยนหลักจากตลาดหุ้น - ปรับความคิด Day 5 : The Stock Blueprint'

เรื่องรวยเปลี่ยนหลัก หรือ การเติมศูนย์เข้าไปเพิ่มในบัญชีธนาคาร ...ใช่!! มันทำได้จากตลาดหุ้น 

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมคนที่ใช้ตลาดหุ้นสร้างความมั่งคั่งจะรวยกว่าไม่ใช้ประมาณ 10 เท่า ..ก็คือ ค่า P/E นั่นเอง

โดยปกติธุรกิจจะมีมูลค่าเท่ากับรายได้ที่หา ..พูดง่ายๆว่า เจ้าของธุรกิจจะได้เงินจากธุรกิจเมื่อธุรกิจได้กำไรเท่านั้น 

ยกตัวอย่าง ถ้าธุรกิจมีกำไร 10 ล้าน แปลว่า เจ้าของจะได้เงินปีละ 10 ล้าน ..ถ้าเจ้าของอยากมี 100 ล้าน ก็ทำอีก 10 ปี ก็จะมีเงินได้ 100 ล้าน (นี่คือกรณี ธุรกิจอยู่นอกตลาดหุ้น)

แต่ถ้าธุรกิจดังกล่าวอยู่ในตลาดหุ้น นักลงทุนจะยอมซื้อหุ้น หรือ ซื้อธุรกิจในราคาประมาณ 10 เท่าของกำไร คือ ที่คนพูดว่า P/E 10 ก็คือ นักลงทุนยอมจ่ายเงินซื้อหุ้นในราคา 10 เท่าของกำไร

ดังนั้น ถ้าธุรกิจที่กำไรปีละ 10 ล้าน แล้วอยู่ในตลาดหุ้นที่ P/E 10 เท่า ธุรกิจจะมีมูลค่า 100 ล้านบาท ..ยิ่งช่วงที่ตลาดหุ้นคึกคักหรือตลาด Bull Market นักลงทุนอาจยอมซื้อในราคาที่แพงขึ้นไป P/E 20-30 เท่า ในกรณีที่เขามองว่าธุรกิจเรามีอนาคตที่ดี 

ถ้า P/E ที่ 30 เท่า ..กำไรที่ 10 ล้านต่อปี ธุรกิจจะมีมูลค่า 30*10 = 300 ล้านบาท (ยิ่งถ้าธุรกิจสามารถเร่งกำไรในช่วงที่ตลาดดี มูลค่าบริษัทจะยิ่งเพิ่มเข้าไปอีก ..สมมุติธุรกิจโตแบบก้าวกระโดด กำไรเพิ่มเป็น 50 ล้านต่อปี ในช่วงที่ตลาดคึกคัก ..ถ้านักลงทุนซื้อกันที่ P/E ที่ 20 เท่า ก็เท่ากับ ธุรกิจจะมีมูลค่าในตลาดหุ้นเป็น 50*20= 1000 ล้าน) 

"นี่แหละ ที่เขาสร้างกัน พันล้าน ก็แบบนี้แหละ ...จะมานั่งเก็บเงินไปเรื่อยๆ คู่แข่งเขาวิ่งแซงเข้าตลาดก่อนเรา เขาก็เตะเราตกขอบไปแล้ว ...นี่มันยุค Economy of Speed และ ตลาดหุ้นตอบโจทย์นั้น"

อีกเหตุผลที่เข้าตลาด นอกจากรวยเปลี่ยนหลักดังที่กล่าวมาแล้ว ธุรกิจจะได้ประโยชน์หลายๆอย่าง เช่น

- ได้เงินกู้ถูกลง (ธนาคารให้ธุรกิจในตลาดกู้ดอกเบี้ยถูกกว่า และเจ้าของไม่ต้องค้ำประกัน)

- ขยายธุรกิจง่ายกว่า ..การเข้าตลาดคือการแบ่งธุรกิจบางส่วนให้นักลงทุนเป็นเจ้าของ โดยปกติเจ้าของจะขายให้นักลงทุนในสัดส่วนประมาณ 25% เวลาเข้าตลาด ..นั่นแปลว่า เจ้าของ ก็ยังคงมีสิทธิขาดในการตัดสินใจในการบริหารธุรกิจอยู่ แต่ได้เงินทุนมาเพิ่มให้ขยายธุรกิจโดยไม่ต้องกู้ ทำให้ธุรกิจโตก้าวกระโดดเวลาเข้าตลาด

- คู่ค้าเชื่อมั่น ลูกค้าเชื่อถือ ..ธุรกิจในตลาดหุ้นไดรับความเชื่อถือมากกว่า ส่งผลดีต่อกิจการ

- ไม่ต้องหลบภาษี เอาเงินนั้นมาสร้างระบบจ้างคนเก่งมาทำงาน ..บริษัทนอกตลาดหรือธุรกิจครอบครัว เจ้าของมักไม่อยากจ้างมืออาชีพเข้ามาบริหารเพราะเงินเดือนแพง ทำเองและหลบภาษีดีกว่า ..แต่ธุรกิจในตลาดหุ้นหลบภาษีไม่ได้ ก็เอาเงินนั่นแหละมาจ้างมืออาชีพ สร้างระบบ ทำให้ธุรกิจเป็นระบบและเป็นมืออาชีพ

ก็ประมาณนี้ครับ "กู้ถูก/เจ้าของไม่ต้องค้ำ/ขยายง่าย/คู่ค้าเชื่อมั่น/ลูกค้าเชื่อถือ/และมีเงินไปจ้างมืออาชีพ"

 ..ที่เล่ามาเพราะอยากให้เห็นภาพว่า ตลาดหุ้นมันให้โอกาสรวย 10 เท่าขึ้นไปอย่างไร 

..ส่วนนักลงทุน ถ้าเอาสถิติตลาดหุ้นมาดูจะพบว่า หุ้นโตประมาณ 12% ต่อปี ดังนั้น ทุกๆ 6 ปีพอร์ตจะเพิ่มขึ้น 100% ที่ลงทุนระยะยาว เช่น ออมในหุ้น ..ดังนั้น คนที่ออมในหุ้น มีโอกาสรวยขึ้น 5-10 เท่า ทุกๆ Cycle 10 ปี ตามรอบของตลาดหุ้นนั่นเอง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ