แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

The Stock Blueprint 'หลักสูตรเต็ม และ วิธีการสมัคร'


หลักสูตร 'The Stock Blueprint' 

หลักสูตรเต็ม 5 วัน และวิธีการสมัคร  ..'แพ้ทยาว หยงสั้น' เปิดรับศิษย์เข้าสำนักแล้วครับ !!

'แกะพิมพ์เขียวตลาดหุ้น ..เรียนรู้วิธีการลงทุนเป็น Portfolio โดยแบ่งเงินส่วนใหญ่ลงทุนยาว เงินบางส่วนแบ่งมาทำกำไรสั้นตามรอบ ในจุดที่ความเสี่ยงต่ำ'

คุณหยงสอนวิธีดึงเงินเร็วจากตลาด ดึง Cashflow เรื่อยๆ อาศัยเครื่องมืออย่าง Future ที่สามารถเก็งกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง (เหมาะกับภาวะตลาดปัจจุบัน) การเล่นสั้นเน้นทำกำไรไม่เยอะ เอาชัวร์ แต่กินเรื่อยๆ 'เน้นเอาเงิน ไม่เน้นรวย'

ผม 'ภาววิทย์' สอนสร้างพอร์ตให้รวยในระยะยาว ซึ่งเป็นเงินส่วนใหญ่ และนำกำไรจากสั้นมาเร่งการเติบโตให้วิธีการออมในหุ้น ..การลงทุนยาวต้องเข้าใจธุรกิจ เข้าใจงบ เข้าใจการกระจายความเสี่ยง เข้าใจรอบ และการออมเป็น Portfolio 'ส่วนนี้เน้น รวย'

การเรียนจะเน้นภาคปฏิบัติ โดยผู้เรียนต้องเทรดหุ้นจริง'เงินจริง' ตามที่สอน (ไม่เน้นเทรดเร็ว แต่จะเข้าเทรดในช่วงที่ความเสี่ยงต่ำ)

ผู้เรียนควรเคยซื้อขายหุ้นมาบ้างแล้ว สามารถเปิดใช้กราฟได้ (แต่ไม่ต้องเชี่ยวชาญ เพราะในหลักสูตรมาสอนการดูกราฟ ตั้งแต่เบื้องต้น ..ขอให้สามารถเปิดใช้กราฟเป็นก็สามารถเรียนได้)

รายละเอียดและตัวอย่างหลักสูตรเต็ม สามารถคลิ๊กดูได้ที่นี่ครับ

เรียนทั้งหมด 5 วันเต็ม ที่ Victor Club ชั้น 8 อาคาร สาทรสแควร์ (อาคารติดรถไฟฟ้า BTS ช่องนนทรี)  
วัน - เวลา อบรม (9.30 - 16.30 น.)
วันอาทิตย์ที่ 28 กพ.
วันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 5-6 มีค.
วันเสาร์-อาทิตย์ ที่ 12-13 มีค.

ค่าใช้จ่าย :
คอร์สนี้เป็นเนื้อหาต่อยอด (Advance) เน้นภาคปฏิบัติลงมือจริง , รับจำนวนจำกัด และ เปิดสอนเพียงปีละครั้งเดียว
ราคา 29,500 บาท 

รายละเอียด หลักสูตร The Stock Blueprint Outline

28 กพ: รู้และเข้าใจตลาดหุ้น
 -  ทำความเข้าใจกลไกตลาดหุ้น 
   - ผลกระทบของปัจจัยพื้นฐานกับพฤติกรรมราคาหุ้น
   - ผลกระทบของการเก็งกำไรในตลาดหุ้น
- เข้าใจ & กำหนดความคาดหวังผลตอบแทนในตลาดหุ้นที่ถูกต้อง
- เข้าใจประโยชน์ของการแยกกลยุทธ์การลงทุน (อบรมทั้ง 2 แบบ)
   i) เพื่อสร้างกระแสเงินสด (Cash flow) และ
   ii) เพื่อสร้างความมั่งคั่ง (Wealth)
- Strategy matching เข้าใจที่ถูกต้องว่ากลยุทธ์อะไรควรใช้กับสินค้าใด
- เข้าใจหลักการบริหารหน้าตักที่เหมาะสมเพื่อสร้าง Cash flow และ Wealth ไปพร้อมๆ กัน

5 มีค. : Cash flow เห็นจังหวะเข้าแบบเสี่ยงต่ำ
- เข้าใจที่มา - หลักการสร้าง Cash flow กับ TFEX ดัชนี SET50
- เจาะลึกกลยุทธ์การสร้าง Cash flow ด้วย Technical analysis
   - เข้าใจกลไกความสัมพันธ์ระหว่างความผันผวนราคากับความเสี่ยง
   - เข้าใจผลกระทบ & ความสัมพันธ์ของระดับราคา, ความผันผวนราคา และแรงเหวี่ยงราคา (Momentum) และนำมาวิเคราะห์จังหวะเข้าได้อย่างถูกต้อง
- เข้าใจเงื่อนไขจังหวะเข้า (Trade setup) ที่มืออาชีพใช้จริง
   - เห็น & คำนวณระดับความเสี่ยงและกำไรที่คาดหวังที่เหมาะสมได้ในทุกจังหวะเข้า
   - รู้ว่ากี่โมงในวัน วันไหนในสัปดาห์ วันไหนในเดือนที่น่าจะเกิดจังหวะเข้า ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ

6 มีค. : Cash flow เห็นจังหวะออกแบบกำไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย
   - เข้าใจจังหวะในภาวะต่างๆ
   - เทคนิคการใช้เครื่องมือ Fibonacci กับ     จังหวะที่แม่นยำ
   - จังหวะไหนออกได้ทันที VS จังหวะไหนถือไปได้เรื่อยๆ
   - เทคนิคการทยอยออกของ (Scaling out) ลดความผันผวนกำไร
- การบริหารเงินทุนในการเทรดดัชนี SET50 และการจัดสรรกระแสเงินสดได้ที่มา. 
   (เพราะมันไม่ใช่อย่างที่คิด) 
- การใช้ BLS iAlgo เพื่อกำหนดจังหวะออก โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ
- รู้จักหลักและตรรกะเบื้องต้นการสร้าง Cash flow กับสินค้าอื่นๆ อาทิ TFEX Single stock futures, DW, Forex และ Options


12 มีค. Wealth
⁃เข้าใจหลักการสร้างความรวยจากตลาดหุ้น 
⁃เครื่องมือที่ใช้ในการลงทุนระยะยาว 'Tool Saving in Stocks'
⁃การวาง Portfolio ของการลงทุนระยะยาว และ การแบ่งไม้ (Diversification of Portfolio)
⁃'Cycle Analysis' การวิเคระห์จังหวะ ดูความเสี่ยงของการออมในหุ้น และหุ้นรายตัวในภาวะตลาดที่แตกต่างกัน
⁃'โหงวเฮ้งหุ้น' หลักคิด 2 ประการในการเลือกหุ้นออม (Value - Competition - Cashflow - Risk - Cycle)
⁃การอ่านงบการเงิน (วิเคราะห์เชิงปริมาณ) และการอ่านธุรกิจเชิงคุณภาพ ตามหลัก โหงวเฮ้งหุ้น
⁃กราฟหุ้น การดูรายได้ และ การเลือกจังหวะในการเข้าซื้อ

13 มีค. Wealth

⁃การแบ่งไม้ การเข้าซื้อ ความเสี่ยง และ Action Plan
⁃การตั้งรับกับภาวะวิกฤต การพร่องเงิน และ การจัดการความเสี่ยง (Facing Financial Crisis)
⁃แผนการจัดการลงทุน สั้น-ยาว ..จุดร่วมของการสร้างพอร์ตที่ตอบโจทย์เอาเงินระยะสั้น และเอารวยระยะยาว 
⁃Active & Passive Income จากตลาดหุ้น
⁃Put it All together : ประมวลผล ความรู้สั้นยาว , เครื่องมือ และ การออกแบบพอร์ตของคุณ
⁃การเตรียมการวัดผล และ แนวทางลงทุนต่อเนื่อง 
⁃สรุป จบหลักสูตร 

คำตอบของ The Stock Blueprint 

⁃แก้ปัญหาของคนที่เล่นสั้น แต่พอร์ตไม่โต เพราะขาดการวางแผนลงทุนระยะยาวควบคู่

⁃ตอบโจทย์ของคนลงทุนยาว 'ออมหุ้น' แต่เสียจังหวะในการทำกำไรตามรอบ..คุณหยง ออกแบบการเทรด Future เพื่อตอบการทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง (โดยเลือกลงทุนเฉพาะภาวะที่เสี่ยงต่ำ ใช้ Technical เป็นหลักเข้าลงทุนในวิธีนี้)

⁃เป้าหมายการลงทุน ในระยะยาวสร้างเครื่องผลิตเงินเลี้ยงเรา โดยเร่งการโตของพอร์ตโดยเอาวิธีเทรดดิ้งเข้ามาช่วย -- นี่คือ 'แพ้ทยาว หยงสั้น หรือ พิมพ์เขียวตลาดหุ้น ที่ผมและคุณหยงร่วมกันแกะ !!

วิธีการสมัคร :

สำหรับผู้ที่สนใจ ลงทะเบียนคลิ๊กลิงค์ที่นี่ครับ


วิธีการสมัคร , เบอร์ติดต่อเจ้าหน้าที่ และ เนื้อหาหลักสูตรดูที่นี่ครับ


 









วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559

พิมพ์เขียวตลาดหุ้น The Stock Blueprint


'พิมพ์เขียวตลาดหุ้น The Stock Blueprint ที่จัดปีละครั้ง คืออะไร ?'

'แพ้ทยาว หยงสั้น !!'


เป็นการรวมตัวระหว่างผม 'ภาววิทย์' ซึ่งลงทุนยาวเน้นวางเงินทำงาน ร่วมกับ 'คุณหยง' ซึ่งมีอาชีพเป็นเทรดเดอร์ เน้นทำกำไรระยะสั้น สร้างกระแสเงินสด Cashflow เรื่อยๆ จากตลาดหุ้น 

...เราสองคนมาร่วมกันสอนหลักสูตรที่จะจัดกันประมาณปีละหนึ่งครั้ง เป็นหลักสูตร 5 วันเต็ม ต่อยอด 'Advance' ภายใต้คอนเซ็ปท์ 'แพ้ทยาว หยงสั้น' 

ปัญหานักลงทุนส่วนใหญ่ที่เราเจอ คือ

- เทรดหุ้นแต่พอร์ตไม่โต ก็เพราะเล่นสั้นแต่ไม่วางแผนระยะยาวควบคู่ 

- ขาลงเล่นหุ้นไม่ได้ เพราะไม่รู้วิธีใช้ Future ทำกำไรและจำกัดความเสี่ยงของพอร์ตในช่วงตลาดหุ้นขาลง 

- หรือ ลงทุนระยะยาว วางเงินทำงานได้ดี แต่เสียโอกาสในการทำกำไรระยะสั้น ทำให้รู้สึกว่าพอร์ตเราโตช้า จึงอยากเรียนรู้การแบ่งเงินบางส่วนมาเล่นระยะสั้น เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนในช่วงวิกฤต

ปัญหาเหล่านี้แหละ ที่ผม ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนรวมทั้งสอนรายย่อยลงทุนในหุ้น และคุณหยง ซึ่งเป็นนักลงทุนที่เทรดและสอนนักลงทุนจำนวนมาก เจอเหมือนๆ กัน

เนื้อหาของหลักสูตร :

- เราจึงมาร่วมกันวางหลักสูตร ที่สอนตั้งแต่การแบ่งพอร์ต ว่าในเงินที่อยากมาเล่นหุ้น จะแบ่งเงินระยะสั้นจำนวนเท่าไหร่ และแบ่งเงินไปออมหุ้นระยะยาวจำนวนเท่าไหร่ ...แล้วก็มาออกแบบวิธีการว่า การเล่นสั้นในภาวะตลาดแบบนี้จะใช้ตราสารอะไร 

..ซึ่งในคอร์ส The Stock Blueprint คุณหยง เลือกใช้ Future ซึ่งก็คือ TFEX ..มาใช้ในส่วนระยะสั้น เพราะสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง โดยจุดสำคัญเราออกแบบให้ความเสี่ยงต่ำ ..ใช้วิธีการเข้าลงทุนระยะสั้นเฉพาะในช่วงที่สามารถเทรดความเสี่ยงต่ำ 

(ตรงนี้อาศัยเครื่องมือทาง กราฟ Technical และใช้ควบคู่กับ เครื่องมืออย่าง iAlgo ของบัวหลวง ที่ช่วยเฝ้าพอร์ตและวางจุด Stop Loss ได้แบบอัตโนมัติ ..รวมถึงการใช้ iTracker มาช่วยวัดผล ว่าการเทรดเงินจริงๆ นั้น เราทำตามความรู้ที่เรียนและมีวินัยการลงทุนหรือไม่)

- ในส่วนของคุณหยง จะสอนเรื่องการทำกำไรเรื่อยๆ ทำเงินจากตลาดเรื่อยๆ สร้าง Cashflow แต่ไม่เน้นรวย -- 'เอาเงินก่อน'

- ในส่วนของผม 'ภาววิทย์' จะรับผิดชอบ วางพอร์ตในส่วนระยะยาว ..ดูการแบ่งพอร์ต จัดสรรเงิน และการแบ่งไม้ซื้อหุ้นออม ซึ่งเป็นส่วนที่เน้นรวย -- 'เอารวย ในส่วนนี้'

จุดร่วมระหว่าง 'แพ้ทยาว และ หยงสั้น' ก็คือ การวางเงิน และนโยบายการลงทุนที่ทำควบคู่กัน

ผู้เรียน : 

คนที่เหมาะจะเรียนในหลักสูตรนี้ ควรเป็นคนที่มีพื้นฐานการเล่นหุ้น และเคยเปิดกราฟหุ้นมาบ้าง เพราะเป็นหลักสูตรต่อยอด (ซึ่งการเรียนจะมีทั้งในส่วนของการสัมมนา และการเทรดเงินจริง ..เราเน้นให้คนเรียน ต้องเทรดจริง และวัดผลด้วย iTracker ในพอร์ต ระหว่างเรียน)

ระยะเวลา : 

The Stock Blueprint จะเรียน บวก Workshop และ เทรดเงินจริง ..เรียน 5 วันเต็มในวันเสาร์และอาทิตย์  ส่วนการเทรดจริงจะเป็นช่วงระหว่างสัปดาห์ (ช่วงเทรดเป็น Online  และไม่ได้เน้นการเทรดเร็ว และ ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ ซึ่งจะไม่กระทบงานประจำที่ทำครับ)

ค่าใช้จ่าย : 
เนื่องจากเป็นหลักสูตรต่อยอด Advance เรียน 5 วันเต็ม พร้อมการลงมือเทรดจริง ..ซึ่งสอนเพียงปีละครั้ง และ รับจำนวนจำกัด ค่าใช้จ่ายต่อคน คือ 29,500 บาท ต่อคนครับ 

เวลา : หลักสูตรนี้จะจัดปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือนมีนาคมนี้ครับ 
(28 กุมภา , 5 - 6 มีนา และ 12 -13 มีนา) เรียน 5 วันเต็ม ภาคทฤษฎี + ภาคปฎิบัติ
สถานที่เรียน ที่ VICTOR CLUB ชั้น #8 อาคารสาทรสแควร์
98 ถนนสาทรเหนือ สีลม กรุงเทพติดกับสถานีรถไฟฟ้า BTS ช่องนนทรี Exit 1

ใครสนใจสมัครคลิ๊กที่นี่เลยครับ (โอนเงิน กรอกรายละเอียดในฟอร์ม แล้วรอเจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ ..แล้วเตรียมตัวเรียนครับ : อย่างน้อยผู้เรียนควรลองซื้อขายหุ้นด้วยเงินจริงมาแล้ว เคยเปิดกราฟหุ้น แค่เปิดได้ก็พอ ในส่วนการดู การเทรด มีสอนในหลักสูตรทั้งหมด) 


http://www.thestockblueprint.com


วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

สอนหุ้นแบบ "อายุน้อยร้อนล้าน"

สอนหุ้นแบบอายุน้อยร้อยล้าน !!

อันนี้ผมเอาคลิ๊ปจาก "อายุน้อยร้อยล้าน" มารวมให้ดู

คลิ๊ปแรก เป็นการสรุป หนังสือ Best-Seller ที่ขายดีที่สุด 3 เล่มของ ภาววิทย์ ก็คือ "ออมในหุ้น + คลินิกหุ้นมือใหม่ และ คิดแบบภาววิทย์" ...สรุปแก่น ใจความสั้นๆ ในคลิ๊ปอันนี้ ก็ลองดูกันว่า แก่นของหนังสือที่เป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมาก มันคืออะไร

ส่วนคลิ๊ปนี้ เป็น การสอน "การอ่านงบการเงิน ใน 5 นาที" ..ลองดูซิครับ ว่า "ถ้าผมต้องสอนให้คุณเข้าใจ การอ่านงบการเงินของบริษัท เพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการเล่นหุ้น เลือกหุ้น ผมจะสอนอะไรคุณในเวลา 5 นาที"

ห้องเรียนเข้าใจหุ้น และ งบการเงิน ใน 5 นาที ..ลองดูคลิ๊ปนี้ครับ


"ตลาดหุ้น เปิดโอกาสให้ทุกคน ...ไม่จำเป็นต้องเรียนเก่ง ...ไม่จำเป็นต้องบ้านรวย ...ทุกคนเท่ากัน เมื่อคุณลงสนามหุ้น ..เหมือนขี่จักรยาน เพราะ ไม่ว่าใครก็ตาม ขึ้นขี่มัน คุณจะต้องล้ม ได้เลือด ก่อนได้รวย

...ไม่ได้พูดให้กลัว แต่อยากชี้ให้เห็นว่า ...ตลาดหุ้น ให้โอกาสทุกคน เรียนจากประสบการณ์ และ รวยได้เอง จากประสบการณ์

เมื่อความรู้และประสบการณ์เพียงพอ ...ความรวยมันวิ่งเข้ามาเอง -- นี่คือ ตลาดหุ้น !! ..ไม่มีที่สำหรับความฟลุ๊ค แต่มันเป็นที่แห่งความจริงและประสบการณ์"

เมื่อไหร่ที่การเรียนจะเริ่มไม่คุ้มค่า ?


"เมื่อไหร่ที่การเรียนจะเริ่มไม่คุ้มค่า ?"

คำถามนี้ แรงอ่ะ ..มีด้วยหรือ การเรียนไม่คุ้มค่า ...ก็เห็นวันนี้ ใครๆ ก็พูดว่า การศึกษาเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่พ่อแม่จะให้กับลูกได้ ไม่ใช่หรือ ?

"ใช่ครับ" ..แน่นอน การศึกษา คือ สิ่งที่ดีที่สุดที่จะยกระดับชีวิต และ สร้างความร่ำรวย ความสำเร็จให้แต่ละคน ..ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ที่ใครก็ตามได้โอกาสการเรียนที่สูงกว่า ก็ย่อมมีโอกาสในสังคม การงาน และ หน้าที่ที่ดีกว่า

แต่คำถามที่น่าสนใจกว่านั้น คือ "ความคุ้ม !!" ...อันนี้น่าคิด

ที่ต้องมาคุยเรื่องความคุ้ม เพราะ จริงๆ แล้ว การเรียนก็คือ "การลงทุนประเภทหนึ่ง" เหมือน การลงทุนในหุ้น , การลงทุนในอสังหา , การลงทุนในทอง

 ..การลงทุนในการศึกษา ก็คือ การลงทุน เพราะ มันเข้ากฏของ Asset คือ

หนึ่ง มนุษย์ต้องการ
สอง มีจำนวนจำกัด
สาม สร้างมูลค่าเพิ่มระยะยาว

พูดง่ายๆ หลัก 3 ข้อ เขาใช้วัดว่า สิ่งใดที่มนุษย์ควรเก็บสะสมแล้วจะรวยขึ้น สิ่งใดไม่ควรสะสม หรือ โยนทิ้งถังขยะไป ก็อยู่ในหลักการดู Asset สามข้อนี้

เรามาดูเรื่อง "การศึกษา" ก่อนว่า เป็นยังไง

ข้อแรก มนุษย์ต้องการ อันนี้แน่นอน ..เพราะ คนมีการศึกษาย่อมมีโอกาสในชีวิต มากกว่าคนที่ไม่เรียน
ข้อที่สอง "จำนวนจำกัด" อันนี้ก็ขึ้นกับสถาบันการศึกษา ถ้าเรียนในที่มีที่นั่งจำกัด คนมีโอกาสเรียนน้อย ย่อมช่วยให้เรามีคุณค่ามากขึ้น
ข้อที่สาม ระยะยาวมูลค่าเพิ่ม อันนี้ก็มาจาก การได้การเรียนที่ดี ก็เป็นการเปิดประตูให้เราได้แสดงฝีมือ ได้เวทีแสดงความรู้ความสามารถ ซึ่งสุดท้ายใครทำได้ดี ก็ย่อมได้รับความสำเร็จ

ปัญหามันอยู่ตรงที่ วันนี้ใครๆ ก็รู้ 3 ข้อนี้ ...ทำให้พ่อแม่ทุกคนลงทุนเรื่องนี้ให้ลูกหนักที่สุด เรียกได้ว่า Demand ความต้องการทะลุฟ้า !!

มาดูฝั่ง Supply คือ จำนวนที่นั่ง ในสถาบันการศึกษา ที่มีจำกัด ..ส่งผลให้ "ราคาค่าเรียนพุ่งทะลุฟ้า ตามความต้องการที่ทะลุฟ้าของพ่อแม่" ..ตรงนี้แหละ ที่ต้องมาวัดจุดคุ้มทุน

มันทำให้ผมย้อนไปสมัยตัวผม ยังเรียนอยู่ ซึ่งสมัยนั้น การ Entrance ติดมหาวิทยาลัยรัฐบาล ย่อมดีกว่า ทำให้ผมต้องหาที่เรียนพิเศษ Tutor ...เกิดเป็น อุตสาหกรรม Tutor ที่เกิดขึ้นอย่างมากมาย เพราะ ยุคนั้น Tutor ตอบโจทย์ผม ซึ่งเป็นผู้บริโภค ..ก็สรุปว่าถึงแพง แต่ก็คุ้ม เพราะ ทำให้โอกาสสอบเอนทรานส์ติดมากขึ้น

กลับมาดู เรื่องการศึกษาบ้างว่า วันนี้ที่พ่อแม่หลายคนส่งลูกเรียนอินเตอร์ หรือ ต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้เด็กแต่ละคนใช้เงินลงทุนเกือบ 20 - 30 ล้านบาท ...การวัดความคุ้ม ก็ดูว่า เมื่อกลับมาแล้ว โอกาสในชีวิตประตูไหนที่เปิดให้แก่เขา

หลายคนเห็นตัวเลข 20-30 ล้านบาท แล้วจิตตก เพราะ มันสูงเกินเอื้อม !! ..แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ..ผมอยากชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จ หรือ การขึ้นภูเขา ไม่ได้มีทางขึ้นทางเดียว ...ยุคนี้ ทางขึ้นสู่ความสำเร็จ เปิดกว้าง ผมเห็นเด็กเก่งจำนวนมาก ที่มาจากเด็กกิจกรรม ..พวกเด็กที่เล่นเก่งกว่าเรียน ยุคนี้ก็มีโอกาส เพียงแต่ต้องรู้จักตัวเอง ...พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเราเก่งกิจกรรม จะไปแข่งในสนามเด็กเรียน ก็คงสู้เขาไม่ได้ ...ต้องเลือกสนามแข่งที่เราถนัดแทน

ใช่!! ผมอยากจะชี้ว่า สนามธุรกิจ Start-Up (ผู้ประกอบการ) และ ตลาดหุ้น ก็เป็นอีกสนาม ที่ไม่ได้สนใจว่าคุณจบอะไรมา ..ไม่จบก็ได้ ...สนามนี้วัดที่ประสบการณ์ ...วัดที่ความเก๋า ..ไอ้ความเก๋าและประสบการณ์ มันคือ จำนวน "รู้งี้" ของแต่ละคน

คนที่ร้องว่า "รู้งี้" มากกว่าคนอื่น ก็คือ มันเจ็บ ล้มเยอะ แล้วลุกขึ้นมามากกว่า ย่อมหมายถึง ประสบการณ์ที่มากขึ้น และนั่นแหละความได้เปรียบในยุคนี้ -- "เจ็บเยอะได้เปรียบกว่า"

"การศึกษาในยุคนี้ ไม่ได้อยู่เฉพาะในห้องเรียน ..ในสนามจริงทั้งธุรกิจและตลาดหุ้น มันเปิดให้คุณกระโดดลงมาเลย เพราะ ถ้าเราเข้าใจว่า ธุรกิจทุกวันนี้ ไม่จำเป็นต้องเริ่มเงินมาก ..ตลาดหุ้น ก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเงินเยอะ ...แค่เข้าใจตรงนี้ คนที่กระโดดเข้ามาเรียนจริง เจ๊งจริง รู้จริงก่อน ก็คือ คนที่ได้เปรียบนั่นเอง"

การเรียนจะคุ้มค่า เมื่อ การเรียนนั้น สอนประสบการณ์ชีวิตของจริงให้คนเรียน ...เพราะ ยุคนี้ไม่ได้วัดกันแค่ความรู้ว่าใครท่องตำราได้เก่งกว่า แต่ยุคนี้วัดกันที่ใครเขียนตำราที่เขียนจากประสบการณ์ของตัวเองได้สนุกกว่ากัน -- ยุคแห่งประสบการณ์มาถึงแล้วครับ ...ลงมือทำก่อน คุ้มกว่า

นี่แหละคุ้มค่าของจริง ...."ลงมือทำ แล้วเรียนจากประสบการณ์ครับ" ..ถ้ากลัวก็มองไปรอบๆ หาเพื่อน เดินไปด้วย ..หนึ่ง คนหัวหาย สองคนเพื่อนตาย -- เฮ้ย !! เราไปด้วยกันเพื่อน สองคนเพื่อนตาย ...ลุยไป !!

เป็นนักเก็งกำไร หรือ นักลงทุนดี ?


"เป็นนักเก็งกำไร หรือ นักลงทุนดี ?"

หนึ่งในคำถามที่ผมเจอในฐานะ ที่ปรึกษาการลงทุน คือ มือใหม่มักจะถามว่า จะรู้ได้อย่างไร ว่า ควรเล่นสั้น หรือ เล่นยาว ? ...คำถามนี้ น่าสนใจ เพราะ มันเหมือนคำถามที่ย้อนถามตัวเอง ถึงเป้าหมายในการเข้ามาในตลาดหุ้นของแต่ละคน ซึ่งผมว่าไม่เหมือนกัน

อย่างตัวผมเอง ค่อนข้างชัด ว่า "ผมต้องการเข้าตลาดหุ้นเพื่อหาวิธี วางเงินทำงาน" (Money Work For You) เพราะ ตัวผมเองเป็นลูกจ้างพนักงานบริษัท มีเงินเดือน แต่กลัวว่า วันนึงที่ผมหยุดทำงานแล้วจะไม่มีเงิน ก็เลยเข้ามาศึกษาวิธีวางเงินทำงานในตลาดหุ้น ซึ่งผมก็พบว่า -- "การออมในหุ้นตอบโจทย์ผมได้ เพราะ ให้ทั้ง เงินปันผล ซึ่งสุดท้ายเงินปันผลนี่แหละที่จะเลี้ยงผมแทนเงินเดือน เมื่อผมหยุดทำงาน ..และ อีกอย่างที่ออมในหุ้นให้ได้ ก็คือ ความร่ำรวยจากตลาดหุ้น"

...ฟังดูดีมากที่ ออมในหุ้นให้ทั้ง เงินสดเรื่อยๆ และ ให้ความร่ำรวยในปลายทาง แต่แน่นอน ข้อเสีย มันชัดเจนมาก และ เป็นสิ่งที่คนยุคนี้แทบไม่สามารถทำได้ คือ "วิธีออมในหุ้น มันรวยช้า ..กว่าจะเห็นผล ต้องลงทุนอย่างน้อย 5-10 ปี ขึ้นไป -- ลองดูซิครับว่า มันขัดกับ ความคิดของคนยุคนี้ที่ต้องการรวยเร็วๆ รวยทันทียังไง"

พูดเรื่องเพื่อนสนิทผมบ้าง "คุณหยง" ..คุณหยง อายุเท่าผม เป็นมนุษย์ปีลิง แต่มีเป้าหมายการเข้าตลาดหุ้นที่ตรงข้ามกับผมเลยก็ว่าได้ ..หยงต้องการ "เงินเร็ว และ ต้องการกระแสเงินสดมาใช้ทุกๆ เดือน" ..เพราะ คุณหยงเอง ไม่ได้มีงานประจำ ไม่มีรายได้ทางอื่น ..เขามีรายได้ทางเดียวคือ Full-Time Trader คือ เทรดหุ้นเป็นอาชีพหลัก

ใช่!! การเทรดหุ้นเป็น อาชีพหลัก ย่อมต้องมองเรื่องการ หาเงินเรื่อยๆ แทนเงินเดือน ..จึงทำให้คุณหยงยึดหลักการเล่นหุ้น แบบนักเก็งกำไร ..."เอาเงินเร็ว จำกัดความเสี่ยงทุกครั้งที่เข้าเทรดหุ้น และ ปฏิบัติตามวินัยอย่างเคร่งครัด" ...แน่นอน วิธีการเป็น เทรดเดอร์ หรือ นักเก็งกำไร เห็นเงินเร็ว ได้เงินทันที เป็นที่สนใจของคนยุคนี้อย่างมาก แต่การเล่นหุ้นสั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ สนามนี้มีคู่แข่งจำนวนมาก

คำตอบของผม สำหรับทุกคนว่า เลือกเป็นนักลงทุน หรือ นักเก็งกำไร ผมว่า เป็นทั้งสองอย่าง !! ...แต่ไม่ใช่เอาเงินก้อนเดียวกัน มาเล่นทั้งสั้นและยาว ..ถ้าทำแบบนั้น มีโอกาสเจ๊งสูงครับ

ข้อแนะนำของผม คือ ให้คุณแบ่งเงิน เป็น 2 พอร์ต ..พอร์ตแรก สำหรับ ออมในหุ้น อันนี้ก็เน้นซื้อหุ้นในภาวะตลาดถูก ซื้อไปเรื่อยๆ ซื้อแบบไม่คิดจะขาย สะสมเหมือน "นักสะสมหุ้น" ..พอร์ตนี้เป็นสิ่งที่สร้าง Wealth หรือ สร้างความมั่งคั่งให้ชีวิต

พอร์ตสอง สำหรับ เทรดหุ้น อันนี้เน้นการเอาเงินเร็วจากตลาด โดยหาจังหวะเข้าทำกำไร ..สิ่งที่สำคัญคือการเลือกจังหวะเทรด ..ในตลาดหุ้นมีจังหวะเทรดแค่ 2 แบบ คือ

หนึ่ง ช่วงเทรดง่าย คือ ช่วงที่หุ้นขึ้นแรง ตลาดมีแต่ข่าวดี อันนี้ก็เล่นหุ้นขาขึ้น ..อีกช่วงที่เทรดง่าย ก็คือ ช่วงตลาดขาลง ทิศทางลงชัด ก็เก็งกำไรขาลงโดยการ Short ตลาด และ

สอง ช่วงเทรดยาก คือ ช่วงตลาด Side Way ..ช่วงนี้คือ ช่วงที่ตลาดกำลังจะเปลี่ยน จากขาลงเป็นขึ้น หรือ ขาขึ้นเป็นลง ..ช่วงแบบนี้ตลาดจะวิ่งออกข้าง เพราะ จำนวนคนซื้อกับคนขายพอๆ กัน ..ก็คนนึงซื้ออีกคนขาย ..ไร้ทิศทาง ..ช่วงแบบนี้ควรหยุดเทรด เพราะ ยิ่งเทรดยิ่งเสียเงิน

ครับ!! ..สรุปที่เล่ามา เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า "การทำเงินจากตลาดหุ้น" ต้องรู้

1. "รู้เป้าหมาย" คือ แบ่งพอร์ตชัดว่า ส่วนนี้ใช้สั้น และ ส่วนนี้ใช้ยาว แล้วทำตามเป้าหมายที่วางไว้

2. "รู้วิธี" (การลงทุนในแต่ละแบบ) คือ รู้ว่าเล่นยาว คือ ออมหุ้น ต้องรู้ Fundamental แยกออกระหว่าง Price & Value รวมทั้งรู้การกระจายความเสี่ยงในพอร์ต และ เล่นสั้น คือ เล่นรอบ ต้องรู้ Technical + Stop Loss

3. "รู้จังหวะ" คือ รู้ว่าในช่วงเวลาต่างๆ ช่วงไหนจะเล่นแบบไหน ..อย่างออมในหุ้น ผมเลือกใช้ทุกครั้งที่ตลาดมีข่าวร้ายมากๆ แล้วหุ้นที่ผมสนใจราคาถูก ผมก็ใช้เป็นจังหวะเก็บหุ้น ..ส่วนการเทรด ก็หาช่วงข่าวดีมากๆ หรือ ข่าวร้ายมากๆ ทิศทางชัด เข้าทำกำไรเต็มๆ

ก็ลองไปปรับใช้กับการลงทุนคุณดูครับ ..."รู้เป้าหมาย" - "รู้วิธี" - "รู้จังหวะ"

"การทำกำไรจากตลาดหุ้น และ สามารถรักษากำไรนั้นได้ในระยะยาว ไม่มีฟลุ๊ค !! -- ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ ..ผิดก็เป็นครู ..ทุกครั้งที่ลุกและเรียนจากความผิดพลาดในตลาดหุ้น ..เราจะลุกขึ้น ตัวใหญ่ขึ้น และ สำเร็จมากขึ้น"


วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

ทำไมยุคนี้ถึงรวยยากนัก


'ทำไมยุคนี้ถึงรวยยากนัก ?' ..แก้ยังไง ?

ยุคโลกอุตสาหกรรมเป็นโลกที่เน้นผลิตสินค้าจำนวนมากให้ราคาถูกที่สุด ดังนั้น สิ่งของที่เราซื้อเราใช้ มันไม่ใช่ Asset 'สินทรัพย์' 

ตรงข้ามกับสมัยก่อน ที่สินค้าทำมือ ผลิตจำนวนน้อย ใช้วัสดุยั่งยืน ..สิ่งของที่คนในอดีตใช้ ล้วนเป็น Asset ยิ่งเก็บ ยิ่งมูลค่าเพิ่ม ..โต๊ะ ตู้ เตียง ไม้ งานฝีมือ -- ทุกอย่างสามารถเก็บเป็นมรดกให้ลูกหลาน 

สมัยก่อนรวยไม่ยาก เพราะสิ่งรอบๆตัวคือ Asset ..แต่ยุคนี้รวยยากเพราะ สิ่งรอบๆตัวคือขยะ (ขยะราคาแพงเสียด้วย)

ทางแก้

1. พยายามซื้อ Asset แทนการซื้อขยะ (เราต้องแยกให้ออกว่า สิ่งที่เราซื้ออะไรคือ Asset)

2. เรียนรู้การวางเงินทำงาน เช่น ออมในหุ้น , ออมใน Asset 

การเริ่มเล่นหุ้นในภาวะที่ตลาดมีแต่ข่าวร้าย นับเป็นการเริ่มที่ดี เพราะ ข่าวร้ายแปลว่าหุ้นราคาถูก ....ใช้โอกาสนี้ หาความรู้ ดูหุ้นให้เป็น ว่าหุ้นไหนเป็น Asset โดยอ่านงบการเงิน 

จากนั้นดูกราฟหุ้น ให้เป็นเพื่อเข้าใจจังหวะการซื้อ ...'ซื้อหุ้นให้ถูก ถือให้นาน ก็คือ การวางเงินทำงานนั่นเอง'

ส่วนการเล่นรอบ ก็ฝึกซื้อข่าวร้าย ขายข่าวดี ใช้กราฟหุ้นดูจังหวะ 

ก็ลองศึกษากันดูครับ 'หาโอกาสในวิกฤต ลองหาในตลาดหุ้น' ...ภาวะตลาดหุ้นแบบนี้แหละ ที่น่าเริ่มน่าเรียนรู้ !!


หาโอกาสเล่นหุ้นในตลาดถูก


'หาโอกาสซื้อหุ้นในตลาดถูก'

ทุกครั้งที่ตลาดมีข่าวดีแปลว่าหุ้นมันแพง ..แต่ทุกครั้งที่ตลาดมีแต่ข่าวร้าย ตลาดซึม แปลว่าหุ้นไม่แพง -- การหาโอกาสในตลาดหุ้น โดยเฉพาะการลงทุนระยะยาวต้อง หาหุ้นในยามวิกฤต ..สิ่งที่ต้องเตรียมคือ ความรู้+เครื่องมือ 

"คอร์สมือใหม่เข้าใจหุ้น" : เดือนกุมภาพันธ์ เรียนเสาร์อาทิตย์ที่ 13-14 กุมภาพันธ์นี้เปิดให้จองที่นั่งแล้วครับ !!

ในชีวิตจริง ผมเชื่อว่า การเป็นนักลงทุน ประกอบไปด้วย 3 อย่างหลักๆ คือ "เก่ง กล้า อดทน"

"เก่ง" คือ มีความรู้เข้าใจพื้นฐานหุ้น (อ่านงบเป็น) และ เข้าจังหวะจากการใช้กราฟเป็น (Technical Analysis)
"กล้า" คือ โอกาสรวย จะมาทุกวิกฤต ..ถ้าคุณแม่นและเชื่อมั่นในสิ่งที่ศึกษา วิกฤตคือ โอกาสของคุณ
"อดทน" คือ คนรวยทุกคนต้องกล้าเมื่อคนอื่นกลัว แล้วอดทนรวยให้เป็น ...

"คอร์สมือใหม่เข้าใจหุ้น เรียน ส.-อา.ที่ 13-14 กุมภาพันธ์นี้" : (คอร์สนี้ผมสอนเองคนเดียวทั้งหมดครับ เรียน 2 วันเต็ม เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเข้าใจกลไกของตลาดหุ้นแบบกระชับเข้าใจง่าย หรือ สำหรับมือเก่าที่อยากเปลี่ยน Mindset วิธีคิดและเรียนเทคนิคการลงทุน)

..ใช้การสอนโดยการยกตัวอย่างจริงในตลาด เน้นความเข้าใจถึงระดับ Mindset และวิธีคิดจริงๆ และ วิเคราะห์ภาวะปัจจุบัน

เนื้อหาทั้ง 2 วัน แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
1. สอนเรื่อง Mindset ของการลงทุนอย่างถูกต้อง ทั้งระยะสั้น และ ระยะยาว ..พื้นฐานเศรษฐกิจและ ความสัมพันธ์กับการขึ้นลงของราคาหุ้น

2. สอนอ่านงบการเงิน Fundamental Analysis ..เพื่อวิเคราะห์ว่าหุ้นถูกหรือแพง โดยการแกะจากงบการเงิน (เข้าใจง่าย ไม่ต้องมีพื้นฐานการเงินก็เข้าใจได้)

3. สอนการอ่านกราฟเบื้องต้น Technical Analysis ..เพื่อเข้าใจการขึ้นลงของราคา ซึ่งวิ่งเป็น "รอบ"

การเข้าใจใน 3 เรื่องประกอบกัน ระหว่าง Mindset + Fundamental + Technical จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าใจตลาด และ หาโอกาสในการทำกำไรตามแนวทางของตัวเองได้ในที่สุด

คอร์สนี้เรียน 2 วันเต็ม ..ผมสอนเองทั้งหมด ..รายละเอียดค่าใช้จ่ายสามารถดูและคลิ๊กจองได้ที่นี่ครับ

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559

คลิ๊ปนี้สอนเรื่องงบการเงินแบบง่าย


'งบการเงิน' ใครๆ ก็บ่นยาก

แต่มันสำคัญในการใช้เลือกหุ้น เพื่อเล่นหุ้น ..ออมในหุ้น

ผมเอาคลิ๊ปนี้มาฝาก 'การเข้าใจเรื่องงบการเงิน และ ธุรกิจ ใน  5 นาที' ..จัดไป


 

5 ข้อสู่การสร้างเงินล้านด้วยตัวเองก่อนอายุ 30


5 ข้อสู่การสร้างเงินล้านด้วยตัวเองก่อนอายุ 30

ทุกวันนี้เงินล้านอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าถามว่า 'ให้ลองไปหาเงินล้านจากตัวเรา' ..ไม่ง่ายครับ!! -- ใช่!! เงินล้านแรกด้วยตัวเองยากเสมอ แต่ถ้าใครทำได้ มันจะต่อยอดไปสู่สิบ ร้อย และ พันล้านต่อไป

การสร้างเงินล้านก้อนแรกด้วยตัวเอง กับการได้เงินล้านมาจากมรดก แตกต่างกันสิ้นเชิง เพราะถ้าได้รับมา เราจะไม่สามารถต่อยอดได้ ..รับมา ก็หมดไปนั่นแหละ

เรามาดูกันว่า 5 ข้อ สู่ล้านแรกก่อน 30 ต้องทำอย่างไร

1. 'ตามเงินไป' ยุคนี้จะหวังทำงานแล้วค่อยๆ เก็บเงิน เป็นเศรษฐีเงินล้านยาก ..ต้องเริ่มจากหาวิธีสร้างรายได้เพิ่ม เช่น คนมีงานประจำ ก็ต้องหาอาชีพที่สอง อย่างขายของ หรือ ทำธุรกิจออนไลน์ ..ครับ เงินไม่ได้วิ่งมาเอง เราน่ะต้องวิ่งตามกลิ่นมันไป

2. 'อย่าทำรวย' คนจะรวยไม่ใช่ใช้ชีวิตแบบคนรวย ขับรถเบนซ์ ใส่โรเล็กส์ ถือกุชชี มีหลุยส์ ดื่มสตาร์บัคส์ ใช้ชีวิต slow-life แสนแพง ..ไม่ใช่เลย อันนี้คือ คนจะจนต่างหาก เพราะใช้เงินเก่ง จะเก็บเงินอย่างไรเล่า ? -- คนจะรวยต้องเลียนแบบการทำงานอย่างคนรวย ..'ทำงานแบบคนรวย แต่อย่าใช้ชีวิตแบบคนรวย'

3. 'เก็บเงินเพื่อลงทุน อย่าเก็บเฉยๆ' เงินที่ได้มาอย่าวางไว้เฉยๆ เพราะยุคนี้เงินเฟ้อสูง ยิ่งเก็บเงิน ยิ่งจน ..ต้องรู้จักเอาเงินที่ได้มา ไปลงทุน ..ฝึกลงทุน ฝึกวางเงินทำงานตั้งแต่อายุน้อย จะมีความรู้แบบคนรวยแน่นอน

4. 'อย่าสร้างหนี้ที่ไม่สร้างรายได้' กับดักคนอายุน้อยคือ รีบสร้างหนี้ รีบซื้อคอนโด รีบซื้อรถ ..หนี้เหล่านี้เป็นตัวถ่วง มากกว่าตัวช่วย เพราะมันดึงเงินออกจากกระเป็าเราทุกเดือน -- ถ้าสร้างหนี้ต้องแน่ใจว่าหนี้นั้นสร้างรายได้ และสร้างโอกาส ..แต่ต้องคิดเสมอว่า ยุคนี้สร้างธุรกิจเริ่มจากไม่สร้างหนี้ดีที่สุด 'ยุคนี้ปั้นธุรกิจใช้เงินนิดเดียว'

5. 'ดูแลเงินแบบดูแลแฟนขี้หึง' ใส่ใจเงินเหมือนใส่ใจแฟนขี้หึง ต้องสม่ำเสมอ ตรวจตรา ..ให้การหาเงินเป็นเรื่องแรกที่สำคัญในชีวิต เราถึงจะไปสู่เป้าหมายได้ในที่สุด

ทั้ง 5 ข้อนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เราจะเห็นเด็กรุ่นใหม่ เจ้าของธุรกิจออนไลน์มากมาย ที่เริ่มธุรกิจ ค้าขาย ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา ...ลักษณะคนแบบนั้นแหละ บวกกับนิสัย 5 ข้อนี้รวมกัน ...ได้แน่ เริ่มต้นเป็นเศรษฐีเงินล้าน ก่อนอายุ 30  -- ทำได้ดิ จัดไป !!!


http://www.entrepreneur.com/article/234454

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559

คุณรู้ไหมว่า คนเขา Seach อะไรมากที่สุดในเมืองไทย ?



คุณรู้ไหมว่า คนเขา Seach Google อะไรมากที่สุดในเมืองไทย ?

ไปเจอบทความนี้ แล้วหงาย พลัก !!! ...เขาสำรวจว่า คน Search Google มากที่สุดในแต่ละประเทศคืออะไร ...ก็เหมือนแปลง่ายๆ ว่า "คนมองว่าเราเป็นยังไง หรือ อยากได้อะไรจากประเทศนั้น นั่นแหละ "

ประเทศลาว เขา Seach คำว่า Beer ก็คงอยากกินเบียร์ลาว

แต่ของไทยดิครับ ..Search คำว่า Prostitute ก็ ..เฮ้ย!! เราเมืองพุทธนะ ...ไม่มี เราไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก ไหนๆ ข้อมูลผิดรึเปล่า ...ไม่จริง ไม่จริง รับไม่ได้ ...โอวววว !! ไม่ ไม่ .... เพราะ ประเทศเราเรื่องแบบนั้นมันผิดกฏหมาย

พอมาดู Australia คน Seach เรื่อง สุขภาพ ..ทั้งๆ ที่ เรื่อง Prostitute ของ Australia เขาถูกกฏหมายนะ ...การพนันเขาก็ถูกกฏหมาย ...ทุกอย่าง รัฐบาลควบคุม และ เก็บภาษีแบบถูกกฏหมายหมด

ช่วงที่ผมไปเรียน Australia ผมก็ งง ว่า ..เฮ้ย!! ประเทศนี้มันแปลก มัน Art มาก มันดูมีระเบียบ ...เป็นประเทศที่บ้านเมือง ถนนหนทาง ดูสะอาดเรียบร้อย แต่ทำไม เรื่อง โสเภณี และ การพนัน ถูกกฏหมาย ...แถมเรื่องการ รับสินบน และ เงินใต้โต๊ะ แทบไม่มีเลย ...พูดว่าไม่มีเลยดีกว่า เอาง่ายๆ ถ้าใครขับรถที่ Australia แล้วโดนจับ อย่าคิดที่จะหยิบเงินสินบนจ่ายตำรวจ เพราะ คุณจะโดนค่าปรับเพิ่มเข้าไปอีก (เขาไม่รับครับ ...ใครไม่เชื่อลองดูครับ ..555)

คุณว่าแปลกไหม ?

จริงๆ ไม่แปลกหรอกครับ ...อะไรที่มันถูกกฏหมาย เรื่องเทาๆ ในสิ่งนั้นก็จะหายไป กลายเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ ...อย่าง Australia ที่เขาควบคุมทั้ง 3 เรื่อง นี้ได้ คือ เรื่อง โสเภณี , การพนัน และ คอรับชั้น ...เพราะ มันเกี่ยวเนื่องกัน -- การคอรับชั่น ส่วนใหญ่มันก็เริ่มจาก คนที่หากินในเรื่องที่ผิดกฏหมายนั่นแหละครับ

เดี๋ยวนะ!! เรื่องนี้ละเอียดอ่อน ผมไม่ได้จะฟันธงอะไรว่า อะไรถูกหรือผิด เพียงแต่อยากจะชี้ให้เห็นว่า "ทุกอย่างในโลกนี้ มันมีทั้งปัญหา และ ก็มีวิธีแก้ ..ก็ขึ้นอยู่กับว่า หนึ่ง เรารับความจริงของต้นเหตุของปัญหาได้ไหม สอง เราแก้มันตรงจุดไหม -- ถ้าทำ 2 ข้อนี้ได้ เราแก้ได้ทุกปัญหาแหละครับ"

หลายคนบอกว่า เมืองไทย ข้อแรก เราก็ไม่ผ่านแล้ว ...ก็ประมาณนั้นแหละ ฮ่า ฮ่า -- เพราะ "การรับความจริง เป็นเรื่องที่ยากที่สุดไง ...เวลาเรามีปัญหา มันจะง่ายกว่าที่ชี้ไปโทษคนอื่น แต่จริงๆ แล้วเป็นวิธีที่ไม่ฉลาดเลย เพราะ สุดท้ายเราไม่เคยเปิดใจเรียนรู้จากบทเรียนตรงนั้นเลย ก็เลยทำให้เราผิดเรื่องเดิม โง่เรื่องเดิม ซ้ำไปเรื่อยๆ"

กลับมาที่ตัวเราเองดีกว่า ...ใช่ครับ "หากวันนี้ใครมีปัญหาชีวิตที่แก้ไม่ตก ...ลองทำตาม 2 ข้อนี้ คือ 1. เปิดรับความจริงก่อน ...จากนั้น ข้อ 2 มันง่ายครับ"

ผมเอาวิธีนี้มาใช้กับชีวิตของผมเอง ได้ผลดีมาก ...คือ ทุกครั้งที่ผมทำอะไรพลาด ผมจะเริ่มจาก หนึ่ง รับความจริงเลย ว่า ที่มันผิดนี้ ตัวเรามีส่วนรับผิดชอบ 100% มีอะไรบ้างที่ผมเรียนรู้จากความผิดพลาด 100% นี้บ้าง จากนั้นผมค่อยๆ แก้ไข

...สุดท้ายเราก็ชนะปัญหานั้น แล้วค่อยๆ เติบโต เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น เข้าใจตัวเองขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้นครับ


http://bit.ly/1JX0d0S

ไม่มีอีกแล้วตลาด Mass มีแต่ Niche ที่เติบโต


"ไม่มีอีกแล้วตลาด Mass มีแต่ Niche ที่เติบโต" ...ใครเข้าใจประเด็นนี้ คุณจะเข้าใจว่า ทำไมอยู่ดีๆ ธุรกิจที่เราเคยทำขายของเดิมๆ ขายดี แต่แล้วคนซื้อหายไป งง ลูกค้าหายไปไหน ? ..จะแก้ยังไง ?

ช่วงหลังๆ นี่สารภาพเลยว่า ผมดูทีวีน้อยลงมากๆ แทบไม่ดูเลย ส่วน Series หรือ ละครก็โหลดมาดูเฉพาะเร่ื่องที่มันโดนๆ

คำนี้น่าสนใจ "โดนๆ"

ผมว่าทุกวันนี้ มันกำลังถึงจุดเปลี่ยนในเรื่องของ Content ตั้งแต่ บันเทิง ไปจน สาระความรู้ต่างๆ มันจะเปลี่ยนไป "ดิบขึ้น" ...ที่ว่า "ดิบขึ้น" เพราะ มันต้องสะท้อนความเป็นจริงของโลกมากขึ้น มันถึงจะเรียกว่า "โดน"

วันนี้ถ้าเรามองไปรอบๆ ตัว จะเห็น นิตยสาร , ทีวีดาวเทียม , สำนักพิมพ์ ..และ ธุรกิจสื่อ เริ่มทยอยปิดตัวลง ...สิ่งนี้มันชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ที่คนดู มีทางเลือกมากขึ้น ..จากเดิมอำนาจอยู่ที่เจ้าของช่อง แต่วันนี้อำนาจกลับมาสู่ลูกค้า

ดังนั้น ถ้าใครทำธุรกิจเกี่ยวกับ "สื่อ" หรือ "เนื้อหา" (Content) ผมว่า มันถึงจุดที่ต้องเลือก Focus ให้ชัดเจน มิเช่นนั้น เราอาจเป็นคนต่อไป ที่ต้องเลิกกิจการ

เรามาดูกันดังนี้

 1. ถ้าเราเป็น "สื่อ" เราต้องมองตัวเองเป็น Platform ... ผมอยากเทียบระหว่าง Platform เดิม เช่น ทีวี มาเทียบกับ Platform ใหม่ เช่น YouTube จะเห็นได้ว่า "อันนึงเปิด อีกอันนึง ปิด ...อย่าง YouTube ให้ลูกค้าเป็นคนเลือก ตัวเองเป็นแค่เจ้าของ Platform ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่าเจ้าของ Content เพราะ ลูกค้ายังไงต้องดูผ่านทางนี้ แปลว่า ตัว YouTube มีอำนาจเหนือ Content -- แต่ทีวีเดิม บังคับให้ลูกค้าต้องดูตามเวลาที่ช่องนำเสนอ เพราะ รายได้หลักของตัวเองอยู่ที่โฆษณา ..คิดไม่ยากเลยว่า แนวคิดนี้มันจะค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ เพราะ ไม่สนองตอบความต้องการของลูกค้า ..เมื่อมาดูในส่วน Content กลับพบว่า ทีวีเดิมต้องพยายามสร้าง Content ของตัวเองให้ดีมากๆ ซึ่งต้นทุนค่อนข้างสูง ...โอวว !! ดูทั้งต้นทุนและอนาคต มันเหนื่อย เพราะ มันเป็นทางที่ไปสู่ Niche แต่ต้นทุนดันสูงขึ้นเรื่อยๆ"

 -- ผมไม่มีข้อสรุป แต่อยากชี้ให้เห็นว่า การอ่านอนาคตธุรกิจ จริงๆ ถ้าตั้งใจคิดดีๆ เราจะรู้เลยว่า จริงๆ เราควรเดินไปทางไหน !!

2. ถ้าเราเป็น "เนื้อหา" Content ...ผมว่า เราก็ควร Focus ที่กลุ่มลูกค้าให้ชัดว่า จะทำให้เนื้อหา "โดน" กลุ่มเป้าหมายของเราอย่างไร ...สิ่งที่ต้องระวังคือ "ไม่มีเนื้อหาใด ที่จะโดนทุกคนอีกต่อไป ..โลกยุคต่อไป คำว่า Mass จะค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ" ...หลายคนอาจจะสงสัยว่า ถ้า Mass ค่อยๆ หายไป ก็แปลว่า ธุรกิจจะเล็กลง แต่ไม่ใช่เลยครับ เราต้องมองใหม่

 ..การที่เรา Focus กลุ่มคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน ที่เรียกว่า Niche มันไม่ได้หมายความว่า แค่คนในกรุงเทพ หรือ แค่ในประเทศไทย ..มันจะหมายถึง คนแบบนี้ในประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ หรือ ระดับโลก ...ดังนั้น กลุ่มเล็กๆ ในตลาดใหญ่ คือ คำตอบของการทำธุรกิจในยุคนี้

เพราะ เราอาจลืมคิดไปว่า จริงๆ แล้วธุรกิจยักษ์ใหญ่ระดับโลก ก็ล้วนโตมาจาก Niche ..โตมาจากกลุ่มเล็กๆ แล้วก็ขยายกลุ่มเล็กๆ นั้น ทั่วโลก ..อย่าง Starbucks ก็ใช่ ...เขาจับคอกาแฟจริงๆ ซึ่งเป็นกลุ่มคนเล็กๆ แต่มันเป็นกลุ่มคนเล็กๆ ของคนทั้งโลก เขาก็เลยกลายเป็นยักษ์ใหญ่ทำเงินได้

เราต้องแยกให้ออกระหว่าง "การพยายามขายก๋วยเตี๋ยว หรือ ข้าวแกง ที่ขายใครก็ได้ที่เดินผ่าน" มันเหมือนการพยายามขายแบบ Mass ในกลุ่มลูกค้าเล็กๆ ซึ่งโลกยุคนี้ ไม่มีแล้ว ...แปลว่า ถ้าคุณเริ่มแผนธุรกิจด้วยวิธีคิดแบบนี้ มันไม่รอดตั้งแต่เริ่มต้น

ใช่ครับ !! ...ผมเขียนเรื่องนี้ ขึ้นมาแชร์เพื่อนๆ ที่กำลังทำธุรกิจว่า ...ยุคต่อไป เราต้องคิดวางแผนให้ตรงประเด็น ...ไม่มีแล้ว Mass มีแต่ Niche

เราต้องโตจาก Niche ...กลยุทธ์ ดีที่สุดในจุดที่ยืน แล้วค่อยๆ เติบโต ...จัดไปลองปรับใช้กับงานและธุรกิจของเราดูครับ

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

เมื่อทุกอย่างคือการเช่า เราจะทำธุรกิจอย่างไร


เมื่อทุกอย่างคือการเช่า เราจะทำธุรกิจอย่างไร ?

ก่อนอื่นต้องถามว่า ในฐานะคนที่ทำธุรกิจในยุคนี้ ..คุณรู้สึกไหมว่า โลกเปลี่ยน ?

จากเดิมเคยทำธุรกิจแบบไหน วันนี้แทบจะเปลี่ยนไปอีกแบบเลย ..หลายๆคนที่ปรับตัวไม่ทัน ถึงขั้นต้องปิดธุรกิจกันไปเลยทีเดียว

สมัยเด็กๆ เราคิดแค่ว่า ให้เราทำได้ดีกว่าเพื่อนในห้อง เราก็สบายแล้ว ..แต่มาวันนี้มันกลายเป็นว่า สนามแข่งขัน มันเปิดเป็นทั้งโลก ..วันนี้เราสามารถเปิดร้านขายสินค้าไปได้ถึงขั้วโลก ขอให้มีคนซื้อ และ มีบริษัทขนส่งไปถึงก็ใช้ได้ -- ที่พูดมา คุณเปิดร้านออนไลน์ที่ค้าขายได้ทั่วโลก โดยใช้เวลาน้อยนิด และใช้มือคลิ๊กคอมพิวเตอร์ไม่กี่คลิ๊ก ก็ได้แล้ว My Global Business !!! ..แม่เจ้า

ส่วนอีกมุมที่โหดร้ายกว่า ก็คือ ในอีกซีกของโลก เขาก็เปิดร้านขายเราเหมือนกัน เพียงแต่ เขามีประสบการณ์มากกว่า เขาเชี่ยวชาญกว่า ระบบเขาดีกว่า สินค้าเขาก็จูงใจกว่า ...คำถามคือ เราจะสู้เจาอย่างไร ?

ผมอ่านข่าวเจอว่า วันนี้ร้านออนไลน์ Amazon วันนี้กำลังพุ่งสุดตัวในธุรกิจ Cloud Computing คือ ใช้ธุรกิจเช่า Server และ Hardware ทุกอย่าง ..ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ วันนี้เขาไม่ได้แค่ให้รายย่อยเช่าเท่านั้น แต่เขารุกเข้าตลาดของธุรกิจ นั่นหมายความว่า ต่อไปธุรกิจใหญ่ อาจไม่ต้องซื้อเครื่อง Server  และ สร้าง Data Center เพราะสามารถเช่าได้ ถูกกว่า ดีกว่า และ ทันสมัยตลอดเวลา ..ธุรกิจตรงนี้มูลค่าใหญ่กว่า GDP ของประเทศไทยเกิน 10 เท่า -- นั่นแหละ โอกาสเล็กๆ ในตลาดการเช่าของโลก !!

ใช่แล้ว !! สิ่งที่เล่ามาเป็น Tipping Point เล็กๆ ที่เริ่มจากอุตสาหกรรมการเช่า ...จากนี้ไป จะเข้าสู่ยุคการ 'เช่า' ทุกสิ่งทุกอย่าง 

ลองมองรอบๆ ตัว แล้วพยายามเข้าใจการเปลี่ยนแปลง และ โอกาส คุณเห็นอะไรบ้าง

1. การเช่า ทุกสิ่งทุกอย่าง จะเริ่มจาก Consumer จากนั้นจะลามไปสู่ Business ในที่สุด ..เดี๋ยวนี้มี เช่าที่ทำงาน จ่ายเท่าที่ใช้ ..เช่าบ้านหรู จ่ายเท่าที่ใช้ ..เช่าภรรยา ..เฮ้ย ไม่มี ไม่มี ..555 -- อะไรก็ตามที่ต้นทุนสูงในการสร้างและการดูแลรักษา ร่วมทั้งต้องพัฒนาปรับปรุง จะเปลี่ยนเป็น การแชร์และการเช่า

2. เมื่อคู่แข่งธุรกิจของคุณเช่า ..คุณจะเจอคู่แข่งที่ต้นทุนต่ำกว่าคุณ และ ทันสมัยกว่า ..รวมทั้ง เป็นคู่แข่งที่มุ่งทำในสิ่งที่เขาถนัดเท่านั้น ..โคตรน่ากลัว !!

3. ลดพนักงานประจำ ..เช่าพนักงานขั้นเทพ ..บริษัทจะลดรายจ่ายประจำค่าพนักงานลง แล้วใช้การเช่า Talent แทน ...ความมั่นคงในอาชีพ จะกลายเป็นแค่เรื่องในอดีต !! -- ต่อไป มีแต่ความมั่นคงในตัวเรา ..ไม่มีแล้ว Career Path ต่อไปจะมีแต่ My Own Path -- 'พัฒนาตัวเองๆ ..ความมั่นคงอยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่บริษัท'

4. การเช่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ และ ถูกลงเรื่อยๆ ..วันนี้การเช่าอาจยังแพง เพราะบริษัทต่างๆ เพิ่งเริ่มเห็นโอกาส แต่ต่อไป จะมีธุรกิจจำนวนมากที่เข้ามาให้บริการในเกมนี้ นั่นหมายถึง ทุกบริษัทจะแข่งกันให้เช่า ให้ถูกที่สุด ...ถ้าคุณคิดออกว่า ต่อไป คนและบริษัทจะเช่าอะไร ไปเริ่มธุรกิจนั้นวันนี้ได้เลย

โอกาสในยุคนี้ อยู่ที่เราเห็นการเปลี่ยนแปลง ..จากนั้น เราก็คิดหาโอกาสจากการเปลี่ยนแปลง

'อย่ายึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ วันนี้โลกเปลี่ยน ตัวเราต้องวิ่งไปรอความเปลี่ยนแปลง ...นั่นแหละ ผู้นำ !!'

รอไรครับ ..คิดเลยครับ ...ลุยเลยครับ ..อย่ากลัวที่จะเริ่มคิดนอกกรอบ ...จัดไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น


วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

10 คำถามเปลี่ยนงานเราให้ไปสู่งานที่เรียกว่า Passion


10 คำถามเปลี่ยนงานเราให้ไปสู่งานที่เรียกว่า Passion

ทุกครั้งที่เราอ่านบทสัมภาษณ์ คนที่ประสบความสำเร็จ เรามักจะได้ยินคนเหล่านี้พูดคล้ายๆ กันว่า "ทำงานที่ตัวเรารักซิ" ..ฟังเผินๆ อาจะเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้ว นั่นแหละ คือ เคล็ดลับความสำเร็จจริงๆ

การหาสิ่งที่รัก ก็คือ การเดินตาม Passion ...ซึ่ง มี Check List 10 ข้อคร่าวๆ มาดูว่า งานที่เราทำ ใกล้ Passion หรือยัง ดังนี้

1. "สิ่งที่คุณทำ มันง่ายเพียงพอไหม" ...คำว่าง่าย คือ ง่ายสำหรับลูกค้า ซึ่งแปลว่า มันต้องยากที่เรา -- เราต้องคิดให้หนักทำให้หนักในฝั่งของเรา มันจึงจะออกมาง่ายง่ายในฝั่งลูกค้า

2. "งานอะไรคือ สิ่งที่คนอื่นเชื่อว่า เราเท่านั้นที่ทำได้ดี" ...ลองดูซิว่า สิ่งที่เราทำ มันตรงกับความเชื่อของคนอื่นหรือไม่ ที่มองเราว่า เราเหมาะกับสิ่งที่ทำ และ เขาก็เชื่อว่าเรานี่แหละทำได้ดีที่สุด

3. "ผลงานคุณเชื่อมต่อกับใครบ้าง" ..มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่สร้างสินค้าและบริการที่ไม่เชื่อมต่อกับใคร เพราะ นั่นแปลว่า สิ่งที่คุณทำไม่มีคุณค่าอะไรเลยในสายตาของคนอื่น

4. "คุณมีความกลัวอะไรบ้าง" ..ในการสร้างผลงานขั้นสุดยอด หรือ Masterpiece มันคือ การฉีกกฏและข้อจำกัดเดิมๆ ...นั่นแหละ "ความกลัว" ศัตรูตัวฉกาจที่กั้นไม่ให้คนส่วนใหญ่สามารถสร้างผลงานที่สุดยอด

5. "งานเราเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากที่อื่น" ...ไม่เหมือนใคร เพราะ ไม่มีใครกล้าเหมือน

6. "งานเราต้องการเปลี่ยนอะไร" ...การเปลี่ยนแปลงคือ เป้าหมายของผลงานที่สุดยอด ..ถ้างานของเราสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสังคม นั่นคือ ผลงานที่ทรงพลัง ..Steve Jobs ทำให้สังคมก้มหน้า ..แม่เจ้า !! สุดขีดจิงไรจิง ..ฮ่า ฮ่า

7. "การเปลี่ยนแปลงที่เราสร้างจากผลงาน มีประโยชน์ต่อชีวิตคนอื่นแค่ไหน" ...การเปลี่ยนแปลงมีทั้งดี และ ไม่ดี ..การเปลี่ยนแปลงที่ดีคือ ทำให้ชีวิตคนดีขึ้น ..เช่น เทคโนโลยีอย่าง Google Map สร้างความสะดวกสบายในชีวิต และ ก็ฆ่าแผนที่ไปแล้วเรียบร้อย

8. "ผู้คนจะคิดถึงฉันไหม หากฉันหยุดทำสิ่งที่ฉันทำ" ...หลายๆ คนอาจน้ำตาไหล ถ้า Bill Gates จะออกมาประกาศว่า ผมเลิกบริจาคเงินช่วยเหลือคนแล้ว ...นั่นแหละ ที่ผมชื่นชมในตัว Bill Gates ..งานที่เขารักในครึ่งชีวิตที่เหลือก็คือ เปลี่ยนโลกและชีวิตคนให้ดีขึ้น ด้วยเงินและประสบการณ์ที่เขามี

9. "ผลงานคุณมีจุดยืนในอะไร" ..งาน คือ การสื่อสาร การอธิบายตัวตนของเรา ...หากตัวตนชัด งานที่ทำ ก็จะชัด ..เราต้องสามารถอธิบายตัวตนของเราได้ว่า เราเชื่อในอะไร และ เป้าหมายของเราคืออะไร ...และนั่นจะเปลี่ยนเป็น งานที่เข้าใจง่าย และ ทรงพลัง !!

10. "คุณกำลังจะเปลื่ยนให้ชีวิตผู้คนรอบข้างคุณดีขึ้นอย่างไร" ..มันอาจจะฟังดู ยิ่งใหญ่เกินตัวเรา แต่เชื่อเถอะว่า ถ้างานที่เราทำ มันดีต่อคนอื่น มันเป็นประโยชน์ มันเชื่อมต่อกับคนอื่นๆ ..สุดท้าย ผลงานเล็กๆ ของเรานั่นแหละ เปลี่ยนโลกครับ!!

ดูมา 10 ข้อ เทียบดูซิว่า "งาน" ที่เราทำอยู่ มีกี่ข้อ ...ใกล้ Passion หรือยังครับ

จัดไป "งาน Passion ..ทำแล้วสุข ..ได้เงินใช้ ...และเปลี่ยนโลก" (เว่อร์ไป แต่ก็ไม่แน่ เราอาจจะทำได้สักวันก็ได้ ใครจะรู้ !!)

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น


http://bit.ly/1W5Ejdw

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

อยากได้เงินมาทำธุรกิจ ต้องพิชิต 10 ข้อนี้


อยากได้เงินมาทำธุรกิจ ต้องพิชิต 10 ข้อนี้

ยุคนี้ใครๆ ก็อยากมีธุรกิจส่วนตัว แต่ปัญหาคือ "เงินลงทุน" ..หลายคนบอกว่า ก็เอาเงินเก็บเรานั่นแหละมาลงดีไหม ? ..."ไม่ดีครับ" ...เงินเราต้องเป็นเงินสแปร์ คือ "เงินฉุกเฉิน" -- การทำธุรกิจย่อมมีอุปสรรคการทุ่มใช้เงินตัวเองลงหมด อาจไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดี

เราสามารถเรียนรู้ การเริ่มทำธุรกิจที่เรียกว่า Start-Up ได้จากหลายๆ บริษัทที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ..คนเหล่านี้ล้วนได้เงินมาจากนักลงทุน ..ที่เรียกว่า Venture Capital หรือ Angel Investor (นักลงทุนส่วนบุคคล ที่ชอบลงทุนในธุรกิจ Start-Up)

ในเมืองไทย เราเริ่มมี Angel Investor มากขึ้น นั่นหมายถึงโอกาส ที่คนธรรมดาที่อาจไม่ได้เกิดมารวย แต่มีความสามารถ ก็มีโอกาสในการทำธุรกิจแบบเด็กฝรั่งได้

ข้อดีของการใช้เงินคนอื่น ..คือ เราต้องรอบคอบมากขึ้น คิดมากขึ้น ...เพราะ การจะได้เงินจากคนอื่น เช่น Angel Investor ..ไม่ใช่เรื่องง่าย การะดมทุนจากนักลงทุน ก็คือ การนำแนวคิด การทำธุรกิจของเรา มาทดสอบโดยนักลงทุนที่มีประสบการณ์ มาดูว่า สิ่งที่เราคิดน่ะ เป็นไปได้ทางธุรกิจแค่ไหน ...มโนไหม ? ...นี่แหละ ข้อดี

(หลายครั้งที่คนทำธุรกิจใช้เงินตัวเอง ก็เอาเงินลงไปเลย โดยที่ในความจริง แนวคิดนั้นๆ อาจไม่ Make Sense เลยก็ได้ ...การได้นักลงทุน มาช่วยกลั่นกรอง ก็ทำให้แผนธุรกิจเรามีความเป็นไปได้มากขึ้น โอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นนั่นเอง ...ใช่!! การใช้เงินคนอื่น ก็มีข้อดีไม่น้อยครับ)

มาดูกันว่า สิ่งที่นักลงทุน จะใช้ดูว่าจะให้เงินลงทุนเราหรือไม่ มี 10 ข้อ ดังนี้

1. "เขาดูว่า เรามีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมจริงๆ หรือไม่" ...อันนี้เป็นปัญหาของเด็กจบใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรม คือ เขียนแผนธุรกิจแบบไม่เข้าใจอุตสาหกรรมจริงๆ ว่าในโลกจริงๆ เขาทำงานกันอย่างไร ...อันนี้อาจมีโอกาสสำเร็จต่ำ ...ดังนั้น ถ้าอยากทำธุรกิจอะไร ลองแอบไปสมัครงานในอุตสาหกรรมนั้นๆ ก่อน เพื่อที่จะเข้าใจการทำธุรกิจจริงๆ ก่อนที่จะเขียนแผนธุรกิจ จะทำให้แผนเรามีความเป็นไปได้มากขึ้น

2. "ความมุ่งมั่น ทะเยอทะทาน" ..นักลงทุนที่ลงทุนในธุรกิจ Start-Up จะมองหลักๆ ที่ทีมผู้ก่อตั้ง ดูว่า มีความมุ่งมั่น สู่เป้าหมายแบบ "กัดไม่ปล่อยแค่ไหน" ... การเริ่มธุรกิจ โดยเฉพาะ Start-Up เป็นการหาความแตกต่าง ในการทำธุรกิจ -- "คุณต้องชี้ให้ลูกค้าเห็นว่า สิ่งที่เป็นอยู่มันมีข้อจำกัด และ เรามีข้อเสนอที่ดีกว่า ถูกกว่า เร็วกว่า ชัดเจนกว่า เล็กกว่า คล่องกว่า สะดวกกว่า ..."

3. "ความมีวินัย" ..ถ้าพูดภาษาตรงๆ คือ "ดูความบ้าของเรา" ...เราต้องไม่โชว์ Slow Life เพราะ แน่นอน นักลงทุน ที่จะเงินเขามาลงทุนในเรา ย่อมต้องการเห็นเราทำงานอย่างหนักเพื่อให้ธุรกิจสำเร็จ และ ให้เขาได้กำไรจากการลงทุนที่ลงกับเรา ...ดังนั้น ต้องทำงานอย่างบ้าคลั่ง ไม่ Slow Life นะ จริงๆ

4. "ธุรกิจเราต้องแก้ปัญหาที่คนยอมจ่ายเงิน" ...อันนี้ตรงๆ เลย ว่า การทำธุรกิจไม่ใช่แค่แก้ปัญหาให้คนเฉยๆ ..แต่ปัญหานั้น ลูกค้าต้องยอมจ่ายเงินด้วย จึงจะเรียกว่าโอกาสธุรกิจ ...ยกตัวอย่าง ธุรกิจเล็กๆ อาจไม่ยอมจ่ายค่าโฆษณาลงทีวี เพราะ เงินที่ลงทุนอาจไม่คุ้มค่า หรือ ขนาดธุรกิจไม่เหมาะกับจำนวนเงินเยอะๆที่ต้องจ่าย แต่ธุรกิจเล็กอาจจะยอมจ่ายเงิน Facebook หรือ Google เพื่อโฆษณาแบบเฉพาะกลุ่ม ที่ตรงไปที่เป้าหมายโดยตรง ...เราต้องหาให้ได้ว่า ปัญหาอะไรที่ลูกค้ายอมจ่าย อันนี้แหละโอกาส !!

5. "ขยายได้" ..หลักการของ Start-Up คือ Scalable "ต้องขยายได้" ...ยุคนี้คือ ยุค Information Age เป็นยุคของข้อมูลข่าวสารและ Technology ..ธุรกิจในยุคนี้จึงต้อง ใช้แรงงานให้น้อย แต่ใช้เครื่องทุ่นแรงให้มาก ...พูดง่ายๆ ว่า เราต้องเอา Technology มาใช้ ให้ธุรกิจเราต้นทุนต่ำกว่า แต่มีประสิทธิภาพสูงกว่า เช่น ถ้าขายของผ่านหน้าร้านปกติ จะมีต้นทุนสูงกว่าขายของออนไลน์ แต่เราต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า จะให้ลูกค้าซื้อออนไลน์อย่างไร ..เราต้องคิดค้าขาย โดยไม่ติดกรอบทางกายภาพ ..ไม่มีระยะทางเป็นอุปสรรค ..ไม่มีเวลาค้าขายเป็นอุปสรรค ..ไม่มีภาษาเป็นอุปสรรค ..ไม่มีแรงงานจำนวนมากๆ เป็นต้นทุน ...ขยายและแตกตัวอย่างรวดเร็วในต้นทุนที่ต่ำกว่าธุรกิจดั้งเดิม

6. "ดีกว่าเดิมมหาศาล" ...หลายคนคิดว่า การทำธุรกิจคือ การทำให้ดีกว่าคู่แข่ง เช่น ทำอาหารอร่อยกว่า ก็คิดจะเปิดร้านอาหาร นั่นเป็นความคิดที่ใช้ไม่ได้ในธุรกิจ Start-Up เพราะ มันเป็นความได้เปรียบที่ไม่ดีพอ เพราะ คู่แข่งสามารถปรับตัวให้อร่อยขึ้นได้ไม่ยาก ...ดังนั้น ธุรกิจเราต้องดีกว่าที่คนอื่นๆทำ มหาศาล เช่น Netflix ชนะร้านวิดีโอปกติ เพราะ เขาคิดวิธิให้คนดูหนังแบบใหม่ โหลดเอา ไม่ต้องเช่า -- ใช่!! มันต้องตีลังกาคิดจากสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าคิดเป็นจุดตั้งต้น !!

7. "เลียนแบบยาก" ..ธุรกิจ Start-Up ที่ดีต้องเลียนแบบยาก ..ต้องคิดสิ่งที่คู่แข่งไม่สามารถทำตามได้ง่ายๆ มีจุดเด่น , จุดแข็ง , มีตรายี่ห้อที่น่าเชื่อถือ , มีระบบที่เหนือชั้นอย่าง Google , ควบคุม Platform ในการเชื่อมต่อลูกค้า อย่าง Airbnb -- พยายามคิดให้ฉีก คิดให้เยอะ ไปให้ไกล ล้ำให้สุด อย่าหยุดแม้เป็นผู้นำแล้ว !!

8. "มีความเชื่อมั่นในตัวเอง และ มีความเป็นผู้นำ" ..เรื่องนึงที่สำคัญมากสำหรับเจ้าของธุรกิจ Start-Up คือ คุณต้องฝึกพูดต่อหน้าสาธาณะ ..โลกปัจจุบันคือโลกแห่งการขายความคิด ขายไอเดีย ...ต้องกล้าพูด กล้าเป็นผู้นำ

9. "มี Roadmap ที่ชัดเจน" ...มีแผนที่เดินทางสู่เป้าหมายที่ชัดเจน ...ทุกความสำเร็จ ล้วนเกิดจากการวางแผน แล้วค่อยๆ เดินตามแผนนั้นด้วยความอดทน ...ปัญหาของคนยุคนี้ มีฝัน แต่ไม่มีแผนที่จะเดินสู่ความฝัน มันจึงเป็นเพียงแค่ฝัน -- เราต้องเขียนแผนอย่างชัดเจนสำหรับจัดการฝันนั้น !!

10. "Monetization" ..ทุกธุรกิจจะอยู่อย่างยั่งยืน ต้องทำกำไร ..ดังนั้น การทำธุรกิจจะต้องเห็นกำไรด้วย ...ลูกค้า เขาโหวดความชอบของสินค้าและบริการผ่านสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตเขา ก็คือ "เงิน" -- ลูกค้าจะโหวดว่า สินค้าและบริการของเรา แก้ปัญหาและเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเขา ตามจำนวนเงินที่เขาจ่าย ..."สร้างประโยชน์ แก้ปัญหา เพื่อแลกเงิน นั่นแหละ หลักการของธุรกิจที่ยั่งยืน"

ลองสำรวจว่า ธุรกิจของเรามี 10 ข้อนี้หรือไม่ ...ถ้ามี ก็คงหาเงินจากนักลงทุนได้ไม่ยาก !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น

http://bit.ly/1ZYcvKA

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

10 คนที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เขาทำอะไรกิน ?



10 คนที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก เขาทำอะไรกิน ?

เริ่มจากจนสุดในสิบคนนี้ก่อน ก็คือ อันดับ 10 "เจงกิสข่าน" ..หลักๆ เป็นนักรบ เหมือนที่เราเคยได้ยินว่า ชายผู้นี้ อยู่บนหลังม้าทั้งชีวิตและนอนในเต๊นท์จนวันตาย ไม่มีปราสาท ไม่มีพระราชวัง ...แต่ตีเมืองและครอบครองอาณาจักรไปกว่าค่อนโลกในช่วงที่เขามีชีวิตอยู่ ...หลักความยิ่งใหญ่ของเขา คือ แบ่งทรัพย์สมบัติส่วนใหญที่ได้มาจากการรบให้ลูกน้องเกือบทั้งหมด -- สรุป เจงกิสข่าน หากินโดยเป็นนักรบ

อันดับ 9 "Bill Gates" เป็นคนเดียวใน List นี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ...คงไม่ต้องเล่ายาวสำหรับความสุดยอด เขาคือ คนกลางระหว่างการสื่อสารของคอมพิวเตอร์กับมุนษย์ทั้งโลกมาหลายทศวรรษ ..ก็ window นั่นแหละที่ทำให้เขารวย มันคือ Platform ที่คนทั้งโลกต้องใช้ในช่วงเวลานั้น ...แม้วันนี้มี Platform ใหม่เกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ Google , Facebook , IOS , Android , .. แต่เขาก็ยังรวยที่สุดในโลกปัจจุบันอยู่ -- สรุป Bill Gates หากินโดยเป็นเจ้าของ Platforms ที่คนต้องใช้ทั้งโลก !!(อ๋อ ความรวยของ Bill คือ $67 Billions ถ้าแปลงเป็นเงินไทยก็ประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท -- "ล้านล้าน" ..นั่นแหละ เราว่า พันล้านที่โคตรรวย อันนี้คิดไม่ออกเลย..ฮ่า ฮ่า)

อันดับ 8 "Alan Rufus" เขามีชีิวิตในช่วง 1040 - 1093 ก็เป็นนักรบ ..คร่าวๆ เขามี $194 Billions รวยกว่า Bill Gates เกือบ 3 เท่า

อันดับ 7 "ร็อคกี้เฟรเลอร์" (John D.Rockefeller) เขาเป็นตำนานที่หลายๆ คนรู้จัก โดยเฉพาะคนอเมริกา เพราะ เขาคือ ผู้ก่อตั้ง Standard Oil ซึ่งในยุคนั้นบริษัทนี้ มีส่วนแบ่งตลาดของการผลิตน้ำมัน 90% ของอเมริกา ..เยอะมาก ใหญ่กว่า Exxon ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่รู้กี่เท่า -- สรุป เขารวยจาก ผูกขาดน้ำมัน ..ถ้าพูดแบบสมัยใหม่ ก็คือ เขาควบคุม Platform น้ำมันของอเมริกานั่นเอง

อันดับ 6 "Andrew Carnegie" เขาเป็นตำนานความร่ำรวยในอเมริกาเช่นกัน เขาเป็นผู้ก่อตั้ง US Steel ซึ่งคิดเป็นรายได้ 2.1% ของ GDP อเมริกา --สรุป เขารวยเพราะแทบผูกขาดตลาดเหล็กของโลก

อันดับ 5 "สตาลิน" ก็ผู้นำรัชเชียในยุคฮิตเลอร์นั่นเอง ผู้ควบคุมเบ็ดเสร็จของอาณาจักรหมีขาวในยุคนั้น ..เราอาจเห็น กัดดาฟี ก่อนโดนโค่นอำนาจ ก็ร่ำรวยกว่า Bill Gates หลายๆ เท่าตัว

อันดับที่ 4 "Akbar I" จักรพรรดิอินเดีย ..อันดับ 3 "จักรพรรดิ แห่งราชวงศ์ซ้อง" ว่ากันว่า ควบคุมการผลิตและการบริโภค คิดเป็น 25% ของทั้งโลก (นั่นคือ ความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรจีนในยุคนั้น) ..อันดับ 2 "ซีซาร์" ..ควบคุมอาณาจักรโรมัน ..และ อันดับ 1 "Mansa Musa" ผู้มีชีวิตในช่วงของ 1280 - 1337 ..เขาเป็นกษัตริย์ของ Timbukutu ..สมัยนั้น อาณาจักรแอฟริการวยมาก เพราะ คุมทรัพยากรอย่างทองคำ และ อื่นๆ มหาศาล

ถ้าสรุป ในอดีตความร่ำรวย ก็คือ "เป็นเจ้าของอาณาจักร" ...ซึ่งในปัจจุบัน ก็คือ "การเป็นเจ้าของบริษัท"

จาก อาณาจักร สู่ บริษัท ก็มีสิ่งที่คล้ายคลึงกัน ในเรื่องของ

1. การครอบครองทรัพยากร ..ในรูปของบริษัท คือ มีคนที่เก่ง มีสินค้าที่ดี ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์
2. การจัดสรรทรัพยากร ...ในรูปแบบของบริษัท คือ การเลี้ยงคนเก่ง และ การให้ผลตอบแทนที่ดีเพียงพอ

ถ้าใครเคยฟังสัมภาษณ์ Jack Ma เขาพูดไว้อย่างน่าสนใจว่า "ความรวยที่เขามีในปัจจุบัน ก็คือ ความไว้วางใจของคนอื่น ที่มอบหน้าที่ในการจัดสรรเงินนี้" ..คำว่า "หน้าที่ในการจัดสรรเงิน"

...ใช่ !! TRUST = Money = Opportunity ...นี่คือ เคล็ดลับของความร่ำรวยทุกยุคทุกสมัยนั่นเอง 

การสร้างความมั่งคั่งที่แท้จริงของโลก ก็คือ การแข่งขันสร้างสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ...อย่าง Jack Ma เขาสร้าง Platform การค้าออนไลน์ ที่สร้างอาชีพให้คนจีนเป็นล้านคน ได้มีรายได้ และ โอกาสในชีิวิตที่ดีขึ้น !! (เอ่อ แล้วเราจะสร้างไรดีหว่า ?)

"ผมว่าโอกาส และ ความร่ำรวย มันแฝงอยู่ที่การสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์นี่แหละ" -- มุ่งสร้างประโยชน์แก่มนุษย์แล้วมันจะเปลี่ยนเป็นความมั่งคั่งในที่สุด ผมเชื่อแบบนั้น !!

#ภาววิทย์ กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น


http://ti.me/1N2b7xh

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559

IQ ของประเทศสำคัญกว่า IQ ของเรา



ไปเจอบทความแปลกๆ แต่คิดว่ามีประโยชน์เลยเอาแชร์กัน 'เขาพูดว่า IQ ของประเทศ ทำให้คนในประเทศรวยกว่า และสำคัญกว่า IQ ส่วนตัว!!'

อ่านปั๊บ รีบคลิ๊กเข้าไปดูเลยว่า มันยังไงกัน เพราะ ในชีวิตจริง คนฉลาดกว่า น่าจะรวยกว่า ใช่หรือไม่ ?

เรื่องนี้มันน่าสนใจ ตรงที่แนวคิดมันตรงกับหนังสือ เล่มนึง ที่ผมเคยอ่านของ Yuval ศาสตราจารย์ชาวอิสราเอล ที่ทำการวิจัยว่า 'มนุษย์ครองโลกใบนี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่ร่างกายมนุษย์อ่อนแอกว่าสัตว์อื่นๆ'

สิ่งที่เขาพบก็คือ เพราะ หนึ่ง เราทำงานเป็นทีมได่เก่งกว่าสัตว์ชนิดอื่น เราจึงสามารถร่วมกันสร้างสิ่งต่างๆในโลกให้มนุษย์เหนือกว่าสัตว์อื่นๆ 

สอง มนุษย์เรามองการณ์ไกลกว่าสัตว์อื่นๆ ..ไม่มีสัตว์ไหนในโลกหรอกที่จะนั่งเก็บเงินเก็บอาหารไว้ใช้ยามที่เราหมดแรง ..สัตว์อื่นๆ ก็หาเช้ากินค่ำนั่นแหละ 

ใช่!! ด้วย บทวิจัย 2 ข้อนี้ มันสอนเกือบทุกอย่างเกี่ยวกับความมั่งคั่ง ว่า 'ใครอยากเจริญ ก็ต้องรู้จักทำงานเป็นทีม และมองการณ์ไกล อดเปรี้ยวไว้กินหวาน'

นั่นซิ มันเป็นสองเรื่องที่ยากที่สุดของคนยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ..เพราะทุกคนทุกวันนี้ ขอได้เงินทันที ..ขอเดี๋ยวนี้เลย -- พอจะเห็นอนาคตคนรุ่นใหม่ไหมครับว่า เขาจะพลาดอะไรกัน 

ในบทความเรื่อง IQ เขาสรุปว่า 'คนที่ IQ สูงกว่ามักมองการณ์ไกลกว่า เหมือนกันเลย' 

ผมมีแบบฝึกหัด ให้เราคิดไกลขึ้น ดังนี้

1. ลองคิดแบบนักลงทุน ..นักลงทุนจะมองว่า เงินทุกก้อนมีค่าเสียโอกาส ..สมมุติเขาจะซื้อรถ 1 ล้านบาท เขาก็จะเทียบว่า ถ้าเขาสามารถเอา 1 ล้านนี้ลงทุนที่ 10 % ใน 10 ปี มันจะเพิ่มเป็น 2 ล้านกว่า เทียบกับ รถยนต์จะมีมูลค่าเท่าไหร่ใน 10 ปี (คิดแบบนี้ จะทำให้เราระวังค่าใช้จ่ายมากขึ้น)

2. ลองเอาของทุกอย่างที่เรามี มามองการณ์ไกล เช่น เอาของสะสม มาประมาณราคาในอนาคต ว่ามูลค่าจะเพิ่มเป็นเท่าไหร่ ...การทำแบบนี้มันไม่ใช่การคำนวณทางคณิตศาสตร์ แต่ก็พอจะเห็นภาพว่า สิ่งที่เราถือครองในปัจจุบัน จะทำให้เราเป็นเศรษฐีได้ในอนาคตหรือไม่

3. ลองมองงานที่เราทำ หรือ อาชีพของเราว่า ในอีก 10 ปี จะมีงานหรืออาชีพที่มาแทนอาชีพเราไหม เช่น ในอดีตเราถูกเลือกจากผู้มีอำนาจ เขาสามารถชี้เป็นชี้ตายให้อนาคตเราได้ ..แต่ปัจจุบันงานของเราถูกเลือกจากลูกค้า เป็น Crowd Sourcing แทน 'ยุคนี้จะทำอะไร ถึงต้องมองผู้ใช้หรือลูกค้าอย่างแรกเลย'

4. ลองคิดซิว่า ถ้าพรุ่งนี้เราตายไป เราจะทำให้ใครเดือนร้อนบ้าง ..บางคนคิดปั๊บ รีบซื้อประกันเบื้องต้นเลย ..ก็ยังดีที่คิด เพราะถ้าไม่คิด ไม่เตรียม สิ่งนั้นแหละจะวิ่งเข้ามาทำร้ายเรา ..ใช่!! อย่ารอพูดว่า 'รู้หยั่งงี้ ทำประกันมะเร็ง สุขภาพ ชีวิต เอาไว้จะไม่เป็นแบบนี้' (ผมไม่มีส่วนได้เสียกับธุรกิจประกัน แต่อยากแนะนำทุกคนให้รู้จักเตรียมความพร้อม ให้ตัวเราไม่เป็นภาระใคร)

5. ลองคิดซิว่า Asset อะไร ที่เราจะเก็บไว้ให้ตัวเราในยามแก่ หรือ ลูกหลานเราได้บ้าง ...คนที่คิดเก็บ Asset สุดท้ายรวยกว่าคนที่พยายามเก็บเงินสด เพราะ เงินสด มันออกแบบมาให้ใช้ ไม่ได้ออกแบบมาให้เก็บ ..คิดดีๆ มองรอบๆ คุณจะเห็นว่า คนรวยเขาจึงเก็บเป็น Asset

ก็มองให้ไกลขึ้น ตัวเราจะดีขึ้น ..แล้วเมื่อเราไม่สร้างภาระ สังคมโดยรวมก็ดีขึ้น ..ประเทศก็จะดีขึ้น 

'ไม่ต้องไปเปลี่ยนประเทศอะไรหรอกครับ แค่ตัวเรามองให้ไกลขึ้นสำหรับตัวเราเอง ..แค่นี้เราก็ช่วยให้สังคมดีขึ้นแล้วครับ!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น


ใกล้ Buffett เข้าไปทุกทีละ ..กำลังใจ


Warren Buffett คนรวยอันดับ 3 ของโลก จากอาชีพ 'นักลงทุน'
Buffett เป็น IDOL ของนักลงทุนระยะยาวทั้งโลก ..แต่ใครทราบบ้างว่า เขาพึ่งมีเงินล้าน ตอนอายุ 30 ขวบ !!!! ..เฮ้ย!! บางคนบอกว่า วันนี้ฉันก็สูสีกับ Buffett ตอนอายุ 30 เลย ..เอาไงต่อ เริ่มมีความหวังแล้วซิ !!!

เคล็ดลับสุดขอบฟ้าของ 'การลงทุน' อยู่ที่ Compounding Interest -- แปลตรงคือ 'ดอกเบี้ยทบต้น'
...ซึ่งในสมัยก่อน เงินฝากยังมีดอกเบี้ยทบต้น เช่น ดอกเบี้ยที่ 12% จะทำให้เงินลงทุนเราเพิ่ม 2 เท่าทุกๆ 6 ปี -- เงินมันโตแบบนี้ 1 ล้าน / 2 / 4 / 6 / 12 / 24 / 48 / 96 / ...ปัญหาก็คือ 'วิธีการลงทุนระยะยาวมันให้ผลตอบแทน แผ่วต้น แรงปลาย -- มันต้องข้ามกับความต้องการเราที่ต้องการ แรงตั้งแต่ต้น'
ทางเลือกคนส่วนใหญ่ จึงวิ่งเข้าเก็งกำไรระยะสั้นแทน ซึ่งให้ผลแบบ 'แรงต้น แผ่วปลาย'
'เลือกแนวไหนดี ?'

ไม่!! เราไม่ต้องเลือกหรอกว่า จะได้เงินทันทีแต่ไม่รวย กับ ขอรวยช้าแต่รวยมากแทน -- เราเอาได้ทั้งสองอย่าง เคล็ดลับคือการจัดสรรเงินแบ่งตามวัตถุประสงค์

'หลายคนคิดว่า นักลงทุนระยะยาวคือคนที่เอาเงินทั้งหมดมาซื้อ Asset แล้วไม่ขาย จะเอาเงินที่ไหนใช้ ...คนส่วนใหญ่ลืมไปว่า คนเราทุกคน สามารถแบ่งเงินเป็นหลายก้อน ..แล้วใช้เงินแต่ละก้อน ทำงานตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน'

เคล็ดลับมันอยู่แค่ปลายจมูกแค่นี้เอง ..'มีทหารสองกอง ..กองนึงวางให้รวย ..อีกกองวางให้สร้างกำไรระยะสั้นเพื่อมีเงินใช้ไม่ขาดมือ'

ทั้งสองกอง ใช้วิธีการลงทุนแตกต่างกัน หุ้นคนละประเภท เล่นคนละวิธี เครื่องมือลงทุนแตกต่างกัน จังหวะการซื้อขายก็แตกต่างกันอย่างสินเชิง และเราก็สามารถมีบัญชีการเล่นหุ้นอยู่หลายบัญชี หลายบริษัท -- 'ทำไมต้องเลือก เมื่อเราสามารถทำได้ทั้งสองแบบ'

ใช้ความเข้าใจ แล้วแบ่งเงินให้แต่ละวิธีทำงานให้เรารวยตามวัตถุประสงค์ที่เราตั้งไว้
'รวย ไม่ใช่บ้าเก็บแล้วใช้เงินไม่เป็น ..แต่รวย คือ คนที่มีทางเลือก ...ทำงานเพราะเลือกที่จะทำ ไม่ใช่ทำเพราะต้องทำ ..ลงทุนเพราะเลือกที่จะลงทุน ไม่ใช่จำเป็นต้องลงทุน -- คนรวยคือ คนที่มีทางเลือก เพราะเขาเลือกที่จะตอบและเดินตามหัวใจจริงๆ ของเขา'

คนรวย คือ 'คนกล้า'

..เขากล้าที่จะถามตัวเองว่า ชีวิตนี้เขาเกิดมาเพื่ออะไร -- 'กล้าที่จะเลือกทำในสิ่งที่เชี่ยวชาญ แล้วมุ่งมั่นเป็นสุดยอดในสิ่งนั้น'

..อะไรคือสิ่งที่ฉันทำแล้วสร้างคุณค่าให้ทั้งตัวฉันและผู้อื่นในเวลาเดียวกัน -- 'กล้าที่จะมีจุดยืน และรู้จักตัวเอง'

'เงิน' มันแค่ วิ่งเข้ามาหลังจาก 'มนุษย์คนนึง สามารถค้นหาหัวใจของตัวเองเจอ' ..ก็เท่านั้นเอง

‪#‎ภาววิทย์กลิ่นประทุม‬ ‪#‎ออมในหุ้น‬

http://on.mktw.net/1kX3TE7

'คิดต่าง' สั้นๆ แต่ไม่ง่าย


'คิดต่าง เหมือนจะพูดง่าย แต่เอาเข้าจริง ทำไมมันยาก ?'

คุณเคยสังเกตไหมว่า 'ยุคนี้ใครๆ ก็พูดเรื่องคิดต่าง ทำต่าง ..แต่เอาจริงๆ คุณเห็นมีสักกี่คนที่คิดต่าง และทำต่างจริงๆ'

ใช่!! ตั้งแต่เด็ก เราไปเรียนหนังสือ เรียนเหมือนกัน สอบเหมือนกัน ระบบวัดผลเหมือนกัน คือ 'ใครท่องจำเก่งที่สุด ก็ได้ดีในโรงเรียน' -- (คิดตาม)

พอเราเรียนมหาวิทยาลัย เขาก็สอนอาชีพว่า 'อาชีพนี้คิดแบบนี้นะ ทำแบบนี้นะ หนึ่ง สอง สาม ..ใครทำตามนั้น จะรุ่งในอาชีพ' -- (คิดตาม)

พอทำงาน ก็สอนงานให้เรา หนึ่ง สอง สาม นี่งานนะ นี่สิ่งที่ต้องทำ นี่เป้าหมายนะ และนี่การวัดผล -- (คิดตาม)

จากนั้น หัวหน้าก็เรียกเราไปคุยว่า 'ทำไมคุณไม่คิดต่างล่ะ ?' ...จะสำเร็จเหนือคู่แข่งต้องกล้าแหกกฏ ..ต้องแตกต่าง !!!! -- (ไรวะ ?!?)

สรุปเรียนมาครึ่งชีวิตให้คิดตาม ...แต่หลักแห่งความสำเร็จคือ คิดต่าง !! (มันก็เลยยากไง)

อยากสำเร็จในงาน ต้องทำไม่เหมือนใคร ..อยากสำเร็จในหุ้น ต้องกล้าที่จะสวนทางกับคนส่วนใหญ่

'ผมเลือกสายนี้แล้วล่ะ ..แม้มันไม่ง่าย ..การเดินสวนทางกับคนส่วนใหญ่ มีทั้งคนต่อต้าน มีทั้งความกลัว ..มันคือทางของนักผจญภัยในโลกปัจจุบัน'

 ...ตัวชี้วัดว่า คุณกำลังเดินสายคนคิดต่าง คือ 'ความกลัว' -- ถ้ากลัว แปลว่า เรากำลังก้าว ออกจาก Comfort Zone ..ก้าวออกจากสิ่งเดิมๆ

'เอาใจช่วย เส้นทางนี้ไม่ง่าย แต่ให้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนทั้งชีวิตเรา' -- คิดต่าง!! 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559

10 บทเรียนชนะธุรกิจจากถังฉลาม ..Shark Tank !!




10 บทเรียนชนะธุรกิจจากถังฉลาม ..Shark Tank !!

รายการนึงที่เกี่ยวกับธุรกิจที่ผมชอบดูคือ Shark Tank เป็นรายการที่มันส์แบบแนวๆ คนชอบธุรกิจ เพราะ มันดูมีความหวัง คือ ใครมี Idea ก็สามารถหานำเสนอขอเงินทุนจาก Shark ซึ่งล้วนเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ -- ดูมีความหวังว่างั้นเถอะ ..ขอให้คุณมี Idea คุณก็เอาเศรษฐีมาเป็นพี่เลี้ยงพร้อมได้เงินทุนจากเศรษฐีมาช่วยสร้างธุรกิจ ...แม่เจ้า!! มันสุดยอดมาก

หนึ่งใน Shark ที่ผมชอบมาก คือ Robert Herjavec ..ชายคนนี้เป็น Self-made Millionaire ธุรกิจ IT ..เขาได้ให้คำแนะนำ 10 ข้อ ไว้ในนิตยสาร Entrepreneur อย่างน่าสนใจ ดังนี้

1. "เชื่อในธุรกิจและความคิดของตัวเอง" ..ทุกวันนี้โลกเต็มไปด้วยธุรกิจ ..มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเหลือที่ว่างในโลกให้เราทำธุรกิจ ดังนั้น จงหา Idea ที่มันดูไม่เข้าท่าที่หาเงินได้ ...ใช่!! อย่าทำธุรกิจที่ใครๆ ก็เห็นว่าดี เพราะ สิ่งนั้นทำไปก็มีคู่แข่งจำนวนมาก -- ให้หาธุรกิจที่ทำเงินได้ แต่ใครๆ ก็บอกว่า "มันไม่เข้าท่า" .."มันไม่ work หรอก" ...ทำอันนั้นแหละ  !!

2. "ทดลอง Idea ธุรกิจด้วยตัวเอง" ..อย่าถามเพื่อน พ่อ แม่ พี่น้อง เพราะ ถ้าคุณเอา Idea ธุรกิจไปถาม เขาจะตอบว่าไม่ work เพราะ ถ้าเขาเห็นโอกาสนั้น เขาคงสำเร็จ และ ร่ำรวยไปนายแล้วจริงไหม ? ...สิ่งที่คุณต้องทำ คือ ลองขายสินค้านั้นจริงๆ ..ลองตลาดจริง ...คุณไม่รู้หรอกว่ามันจะขายได้ เพราะ ครั้งแรกที่ Apple ทำ iPhone เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะขายได้หรือเปล่า ?

3. "อย่าเชื่อคนง่ายนัก" ..มันไม่สำคัญหรอกว่าใครจะพูดอย่างไร ใครอยากลงทุนในธุรกิจคุณ ใครอยากซื้อสินค้าคุณ จนกว่าเงินจะอยู่ในมือคุณ นั่นแหละ ของจริง ..."คนอยากลงทุนในธุรกิจคุณ ไม่ได้แปลว่า เขาอยากลงทุนจริงๆ จนกว่าคุณจะได้เงิน" ..."คนอยากซื้อสินค้าคุณ ไม่ได้แปลว่า เขาจะซื้อสินค้าคุณจริงๆ จนกว่าคุณจะได้เงิน" ..ไม่ได้สอนให้หน้าเงิน แต่อยากให้เราอยู่กับโลกความจริงก็เท่านั้น

4. "เตรียมเงินก้นถุง เผื่อเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด" ..คนที่ไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจ มักมองโลกสวย คิดว่า ทุกปัญหาแก้ได้ เมื่อวิกฤตมาแล้วก็ผ่านไป ...แต่ลืมไปว่า "ตัวเราไม่ได้เตรียมการสำหรับวิกฤต" ..คนที่ผ่านวิกฤตได้ ก็คือ คนที่เคยล้มเหลวมาแล้ว ...คนเหล่านี้รู้ว่า เวลาซวย ซ้อนซวย และ ซ้อนซวย ..แล้วโดนกระทีบซ้ำ เจ๊งหุ้น ธนาคารทวงหนี้ พร้อมการหักหลังจากเพื่อนสนิท และ แฟนมีกิ๊ก -- มันเกิดพร้อมกันได้ในวันที่เราพลาด ...คำถามคือ "คุณพร้อมรับมือหรือไม่" ? -- เชื่อไหมว่า คนที่เคยล้มแรงๆ มาแล้ว เขาเตรียมรับสิ่งเหล่านี้ไว้เสมอ !! (โหดสัด เพราะ นี่คือ ชีวิตจริงครับ)

5. "ช้างเหยียบหนูที่กำลังวิ่งไม่ได้" ..ในทุกธุรกิจ ล้วนมียักษ์ใหญ่อยู่ก่อนแล้ว ..ให้แน่ใจว่า หนู อย่างเรา วิ่งไม่หยุด สับขาหรอก ใช้ความเร็ว ความแปลก ความใหม่ ความสด เข้าต่อสู้ ...อย่าเป็นหนูที่ยืนเฉยๆ เพราะ ช้างจะเหยียบธุรกิจคุณจมดินทันที !!

6. "หัดวิ่งมาราธอน" ..การวิ่งมาราธอน จะสอนสองเรื่อง หนึ่ง มันสอนว่า ใจเราเหนือร่างกาย ..เราวิ่งต่อได้ แม่ร่างกายไม่ไหว เพราะใจยังวิ่งอยู่ / สอง มันสอนว่า ความอดทน นำมาซึ่งชัยชนะ ...โลกธุรกิจและการลงทุน ความเก่ง เป็นรองความอึด ...เต่าชนะกระต่ายได้ ในเกมธุรกิจ เพราะ มันไม่หยุดเดิน !!

7. "ให้ล่าต่อ แม้ว่าเราจะอิ่มก็ตาม" ..ในชีวิตจริง เราไม่รู้หรอกว่า โอกาสที่ดีที่สุดจะวิ่งเข้ามาเมื่อไหร่ ...และเรื่องแปลกคือ โอกาสมักวิ่งเข้ามาในเวลาที่เราไม่เตรียมตัว ...หลักความสำเร็จ คือ เตรียมตัวล่าโอกาสเสมอ แม้ในเวลาที่คุณไม่คิดจะล่าก็ตาม

8. "ไม่มีคำว่า Work/Life Balance ในชีวิตจริง" ...คำนี้เท่ห์ และ ใช้ได้ถ้าพ่อคุณรวย ..แต่ถ้าคุณ คือ คนที่ต้องสร้างตัวด้วยตัวเอง ...เจ้าของธุรกิจจริงๆ ทำงานหนักกว่าลูกน้อง และ การเลือกที่จะทำธุรกิจ ก็คือ เราเลือกที่จะไม่มีวันหยุด เพราะ เจ้าของธุรกิจต้องพร้อมรับผิดชอบเสมอไม่เว้นวันหยุดราชการ ...นี่คือ สิ่งที่คูรต้องแลกกับความสำเร็จและความร่ำรวย ...สรุป ชิวได้ถ้าพ่อรวย นอกนั้น ไม่มีข้อยกเว้น ..สู้โว้ย !!

9. "ไม่มีใครได้ทุกอย่างพร้อมกัน" ..คำถาม คือ คุณพร้อมจะแลกอะไรบ้าง กับความสำเร็จ และ ชีิวิตส่วนตัว ..สิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้ คือ การใช้ชีวิตของคนรวย หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จแล้ว ...การใช้ชีวิตแบบคนรวย ไม่มีทางรวย ...ถ้าอยากสำเร็จ ต้องสร้างชีวิตแบบคนรวย "สร้าง !!!"  -- ลองไปดูขั้นตอนการ"สร้างชีวิต"ซิ ว่ามันตรงข้ามกับการ"ใช้ชีวิต" ที่เราเห็นใน Facebook หรือ Instagram

10 "คนสำเร็จ เขามีวิธีการสำเร็จเหมือนๆกัน ..แล้วคุณล่ะ" ..คนสำเร็จ มองงานคือ ความสนุก / คนส่วนใหญ่มองงานคือ ความทุกข์ ...คนสำเร็จ คิดให้ก่อนรับ ...คนสำเร็จ มักเป็นคนที่ทำให้ลูกค้าและลูกน้องได้สิ่งที่เขาต้องการ ..คนสำเร็จสนุกกับงานที่ทำ แล้วไม่คิดจะเกษียณจากสิ่งที่ทำ ...คนสำเร็จ คิดบวก มองวิกฤตเป็นโอกาส ..แต่คนส่วนใหญ่ อยากเกษียณวันนี้ ไม่เคยชอบงานตัวเอง หาแต่เวลาเพื่อใช้เงิน แต่ไม่เคยหาโอกาส ..มองวิกฤตเป็นโชคร้าย และ ไม่เคยเห็นโอกาส (บ้าแต่จริง)

แปลกดี ที่คนส่วนใหญ่ยังรอความสำเร็จและโอกาสวิ่งเข้ามาหา ...แต่คนสำเร็จ เขาค่อยๆ สร้างโอกาสและความสำเร็จทุกๆ วันของชีวิต

แล้วคุณล่ะ มีกี่ข้อแล้ว ...ถ้ามีเกิน 7 ข้อ "ไม่ต้องไปหาหมอดูแล้ว" ผมฟันธงเลยว่า "คุณจะรวยในที่สุดครับพี่น้อง"
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น

http://www.entrepreneur.com/article/240869

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559

11 วิธี โดดเด่นในที่ทำงานยุคนี้


11 วิธี โดดเด่นในที่ทำงาน

ไปเจอบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับ การสร้างความโดดเด่นในที่ทำงาน ..โดย Frank Sonnenberg ผู้เขียนหนังสือ Managing with a Conscience ...เขาพูดเรื่อง การสร้างความโดดเด่นให้ตัวเรา ซึ่งเป็นขั้นตอนสู่การสร้างความแตกต่างในความเป็นมืออาชีพ -- และจุดนี้เองที่จะสร้างความมั่งคั่งและความสำเร็จให้เราในระยะยาว

ผมคัดมาให้ 11 ข้อ ลองมาดูกันซิว่า เรามีกันกี่ข้อแล้ว

1. "ชื่อเสียงของเราคือ สิ่งที่คนอื่นให้คุณค่าเรา" ..เดิมทีการแต่งตัว บุคคลิกสำคัญที่สุด แต่ยุคนี้ โลดเชื่อมต่อกันด้วย Social และ Online ..คนอื่นจะรู้จักเราผ่านสิ่งเหล่านี้ ซึ่งคนอื่นจะใช้สิ่งต่างๆเหล่านี้นั่นแหละตีความเกี่ยวกับเราไปแล้ว ...ลองสำรวจว่าเราสื่ออะไรให้คนอื่นรับรู้ผ่านสื่อออนไลน์รอบๆ ตัว "ดูฉลาด / ดูตลก / ดูไม่ฉลาด / ดูน่าเชื่อถือ / ดูไม่น่าไว้ใจ" -- คุณสื่ออะไรอยู่ ?

2. "ต้องหาความรู้อย่างต่อเนื่องในเรื่องที่เราทำงาน" ..การหาความรู้ ไม่ต่างจากการออกกำลังกายเลย ..อย่าคิดว่า เข้าฟิตเนสครั้งเดียวจะทำให้คุณหุ่นดีตลอดชีวิต ..เช่นกัน อย่าหวังว่า อ่านหนังสือหนึ่งเล่มจะทำให้คุณเก่งตลอดไป -- อ่านหนังสือ และ หาความรู้ต่อเนื่อง เพื่อรักษา Six-pack ในสมองของคุณ ..ต่อเนื่องคือหัวใจ ..นั่นแหละที่ เต่าชนะกระต่ายได้

3.  "อย่าจับฉ่าย" ..ยุคนี้เป็นยุคของทุกคนอยากเก่งทุกอย่าง ..การที่ใครเลือกที่จะเก่งทุกอย่าง คนอื่นจะไม่มองแบบนั้น แต่เขาจะมองว่า จับฉ่าย !!

4. "ถูก ง่าย เร็ว ..อาจไม่ใช่สูตรสำเร็จ" ..ใช่!! ทุกคนชอบ "ถูก ง่าย เร็ว" แต่มันไม่ได้การันตีความสำเร็จแบบนี้ในทุกๆ อย่าง ..บางครั้งเราอาจต้องเปลี่ยนเป็น "แพง ยาก ช้า" ในของเกม -- คุณต้องอ่านสนามแข่งขันให้ออก เพราะ กลยุทธ์ที่ดี อาจไม่ดีในบางสถานการณ์ ..คิด!!

5. "ค่าของตัวเราจริงๆ อยู่ที่ประโยชน์ที่เราสร้างแก่คนอื่น" ..เราทุกคนจะได้ผลลัพธ์ในชีวิต จากประโยชน์และคุณค่าที่เราสร้างให้คนอื่น ..ถ้าเราสร้างประโยชน์ให้ลูกค้าเราจะได้ใจลูกค้า รวมทั้งได้กระเป๋าสตางค์ของลูกค้าด้วย ..ถ้าเราสร้างประโยชน์ให้บริษัทของเรารวยขึ้น เดี๋ยวเราจะเจริญในหน้าที่การงานโดยไม่ต้องสงสัย

6. "พยายามรายล้อมตัวเรา ด้วยคนที่น่าเชื่อถือ" ..เรามักถูกตัดสินจากคนรอบๆ ตัวที่เราคบหา ..คน 5 คนที่คุณใช้เวลาด้วย และ คนอื่นเห็น ..คือ สิ่งที่คนอื่นมองตัวคุณเช่นกัน ...ขี้เมา / ขี้ยา / นักพนัน / นักธุรกิจ / นักสังคม / .. -- ใครกันอยู่รอบๆ เรา ?

7. "ใส่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพราะ พระเจ้าอยู่ในรายละเอียด" ...ความดูมืออาชีพ ไม่ได้อยู่ที่เราคิดใหญ่ แต่อยู่ที่เราใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ..ถ้าอยากเข้าใจเรื่องนี้แบบเห็นตัวอย่าง ลองไปใช้บริการโรงแรม 5 ดาว แล้วสังเกตว่า คนเหล่านี้ใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่ไหน ..และนั่นแหละ เคล็ดลับ 5 ดาว

8. "เป็นคนโปร่งใสชัดเจน" ..อันนี้ไม่ใช่ ใสซื่อ อ่อนโลก ..แต่เป็นคนชัดเจนในตัวเอง คิดอย่างไรก็แสดงออกอย่างนั้น ..ความจริงใจไม่ได้อยู่ที่เราพูดอะไร แต่อยู่ที่เรารู้สึกตรงกับที่พูด เพราะ คนส่วนใหญ่ก็สัมผัสความจริงใจได้เท่าที่เราแสดงออกจริงๆ (คนโกหกใครไม่ได้หรอก ใครๆ เขาก็ดูออก ว่าจริงๆ คุณคิดอย่างไร -- จงจริงใจ แล้วคุณจะเป็นคนจริง)

9. "เป็นคนคงเส้นคงวา"..อันนี้อุปสรรคอย่างใหญ่หลวงของเด็กยุคใหม่ เพราะ หยิบโหย่ง อยากทำทุกอย่าง ...เหมือนจะเท่ห์นะ ว่าเป็นคนจับทางยาก แต่ปัญหา คือ "คุณขาดความน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นมืออาชีพ" ...เรื่องนี้คนเก่งพึงระวัง !!

10. "ยอมรับผิด" ..เดี๋ยวนี้ "แถ" นี้ฮิตมาก ..ตามด้วย "โยนความผิด" ...ถ้าทำครบสองอย่าง ก็กลายเป็นไอ้งี่เง่าได้ทันที -- การผิดพลาดเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ แต่การให้อภัยอยู่ที่การยอมความผิดนั้น ...คนที่กล้ารับผิด และ แก้ไขตัวเอง คือคนจริงที่น่าให้อภัย ...ส่วนพวก "แถ และ โยนความผิด" เป็นได้แค่คนขี้แพ้ ที่ไม่เคยคิดจะพัฒนาตัวเอง

 11. "เข้าใจความแตกต่างของ คุณภาพ กับ ปริมาณ" ...ปริมาณ คือ ทำงานให้เยอะ ดูยาก หนา มีแต่น้ำ ...แต่คุณภาพ คือ ตรงประเด็น และ วัดผลได้ ..อาจดูเท่ห์หากเราสามารถพูดเรื่องง่ายให้ยากแก่การเข้าใจ แต่มันหมดยุคความเท่ห์แบบนั้นแล้ว -- ยุคนี้เราต้องคิดให้หนัก คิดให้จบ สรุปให้ง่าย แม้จะยากในตอนทำ แต่มันทำให้ผู้รับมีชีวิตที่ง่าย ...นั่นคือ "คุณภาพ" !!

ทำครบ 11 ข้อ ก็เตรียม "รุ่ง" "รวย" "โรจน์" ....ประมาณนั้น -- จัดไป !!

#ภาววิทย์ กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น

 http://www.success.com/article/18-ways-to-gain-trust-at-work

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

นั่งเฉยๆแล้วโชคดี หลักคิดใหม่ หรือนี่ ฮ่า ฮ่า


เดี๋ยวนี้มีวิธีคิดแบบใหม่ คือ "นั่งเฉยๆ แล้วโชคดี"

ผมหัวเราะก๊ากเลยว่า ..."เขาคิดกันแบบนี้แล้วหรือ"

วันนี้มีนิตยสารฉบับนึงมาสัมภาษณ์ผม เขามาถามเคล็ดลับ "ความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ทำอย่างไร" ..ในใจก็คิดว่า กรูจะรู้ไหมนี่ วิธีสำเร็จเร็ว ถ้ารู้กรูทำไปแล้วอ่ะ

ก็เลยบอกไปว่า "กฏแห่งความสำเร็จเร็ว ในยุคนี้คือ"

1. ห้ามนั่งเฉยๆ ..คนส่วนใหญ่นั่งทำงานอยู่เฉยๆ รอว่า เมื่อไหร่จะมีบริษัทไหนมาเชิญไปเป็น CEO จะได้รวยกับเขาสักที ..ไอ้นี่สงสัยอ่านสามก๊กมากไปหน่อย ...เฮ้ย!! ตื่น ..ยุคนี้ไม่มีใครไปเชิญขงเบ้งอย่างคุณไปเป็นนายเขาหรอก ..ยุคนี้ขงเบ้งต้องลงจากเขาไปหางานทำ -- ดังนั้น ยุคนี้ห้ามนั่งเฉยๆ ..โชคมันไม่ได้อยู่ในงานประจำที่เราทำ แต่โชคมันอยู่ที่งานเสริมที่คุณทำระหว่างงานประจำ (บทความนี้อย่าให้หัวหน้าอ่าน เพราะ เขาคงไม่พอใจ แต่ผมบอกคุณเลยว่า ยุคนี้ไม่มีใครอยู่ได้จากงานประจำงานเดียวอีกแล้ว ..ยุคนี้คนรุ่นใหม่มีมากกว่าหนึ่งงาน ..ขายของออนไลน์ , เปิดท้ายขายของ , เปิดร้าน , ขายของ , ขายตรง , เทรดหุ้น , เล่นหุ้น , ลงทุน , ซื้อขายเช่าอสังหา , เปิดตลาด หรือ จะขายอะไรก็ว่าไป)

2. เรียนรู้ชีวิตจากงานไม่ประจำ ..งานที่สอง สาม สี่ ที่เราแอบทำ นั่นแหละ สอนชีวิต เพราะ คุณจะรู้จักชีวิตจริงจากงานเสริมนี่แหละ ว่าโลกจริงๆ การขายของ การซื้อของ การทำมา หาเงิน เขาทำกันอย่างไร คนซื้ออะไร ขายอะไร ..ตรงนี้เขาเรียกโรงเรียนชีวิตและความโชคดี

3. ทักษะจากงานเสริม จะนำโชคมาสู่ชีวิต ..ตรงนี้เป็นสิ่งที่หลายๆ คนไม่รู้ ..เพราะ จริงๆ แล้วสิ่งที่นำโชคมาให้ตัวเราคือ ทักษะการหาเงินในชีวิตจริง ที่คุณค่อยๆ หัฒนาขึ้น

4. เพื่อนใหม่ในงานไม่ประจำ จะนำโอกาสเข้ามาในชีวิต ..อันนี้รวมถึงลูกค้า และ คนที่ทำธุรกิจใหม่ๆ รวมทั้งการลงทุนของคุณ จะพาให้คุณเจอแหน่งน้ำ ..เจอโอกาสนั่นแหละ ..แล้วอย่าหวังว่าโอกาสจะมาอย่างรวดเร็ว เพราะ โอกาสและความโชคดี มันขึ้นอยู่กับความเก๋าที่เพิ่มขึ้น

5. เงินที่เสียไประหว่างทำงานไม่ประจำ ไม่ใช่ความเสียหาย แต่ให้มองว่ามันคือ ค่าเรียน ..ก็บางคนไปเรียนปริญญาเพิ่มอีกใบ ก็ต้องจ่ายค่าเรียน ซึ่งทางบริษัทก็ไม่ได้การันตีว่า ถ้าคุณได้ปริญญาอีกใบแล้วเงินเดือนคุณจะเพิ่ม ...ดังนั้น ค่าเสียหาย ระหว่างที่เราทำธุรกิจเสริม และ การลงทุน ก็คือ การจ่ายค่าเรียน ซึ่งทุกคนเขาก็เคยจ่ายทั้งนั้น ...อย่ามานั่งเสียใจว่า ทำไมฉันโชคร้าย ..จริงๆ มันคือ ค่าเรียนครับ

ผมว่า 5 ข้อนี้ เราต้องเจอ เวลาเราไปแสวงโชค

ก็ลองจดๆ ไว้ดู พอเจอจริง จะได้ร้อง "อ๋อ" นี่ไงล่ะ

สรุปเลยว่า โชคดี มันมี ..สำเร็จเร็วๆ มันก็มี ...แต่มันจะเข้ามาหาคนที่ผ่านห้าข้อที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น

ไม่มีนั่งเฉยๆ แล้วโชคดี

จัดไป

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น

9 เรื่องการเงิน ที่คนระดับโลก อยากบอกคุณ


9 เรื่องการเงิน ที่คนระดับโลก อยากบอกคุณ

คุณเคยสังเกตไหมว่า "คนที่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศไทย รวมทั้งคนสำเร็จระดับโลก ...พวกนี้น่าเบื่อ ..ใช่!! เพราะ เขาชอบคิดชอบพูดเหมือนกัน" ...ผมก็อยากรู้ว่า ถ้าเราเอาแนวคิดน่าเบื่อ 9 ข้อนี้มาลองคิดบ้าง ไม่แน่ว่าชีวิตเราอาจเปลี่ยนได้ ...โอววว ไม่จริง ..หรือ จริง

ลองมาดูกันว่า 9 เรื่องการเงิน ที่คนระดับโลก อยากบอกคุณ มีอะไรบ้าง

1. "ให้ลงทุนในอาชีพของคุณ ไม่ใช่แค่ทำงานเพื่อเงิน" ..เด็กทุกวันนี้เอาเงินมาดูก่อนว่า ทำอันนี้แล้วฉันจะได้เท่าไหร่ สุดท้ายไปจมอยู่ในองค์กรที่เงินดี แต่ไม่มีที่โต หรือ อีกแบบก็พวกโดดข้ามอาชีพไปมาจนสุดท้ายไม่รู้ว่าตัวเองเชี่ยวชาญอะไรกันแน่

...ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกเขามองตรงข้าม ..เขาให้มองผ่านเงิน หรือ ค่าตอบแทนเบื้องต้น แต่ให้มองไปที่โอกาสในการพัฒนาเส้นทางอาชีพของตัวเอง ...แล้วอาชีพที่เราเลือกนั่นแหละ ที่จะทำให้เราสำเร็จ ร่ำรวย และ มั่นคงในระยะยาว -- เขายังบอกอีกว่า อาชีพที่ดี ต้องเป็นอาชีพอนาคต "อาชีพอนาคตก็คือ อาชีพที่คนปัจจุบันเขาไม่ทำกันนั่นแหละ (ลองคิดประเด็นนี้ให้หลัก มีมึนตึ๊บ แต่มันใช่นะ)"

2. "สร้างให้ตัวเองเป็นเครื่องผลิตเงินเก็บ" ..ทุกคนพูดกันเรื่อง Passive Income ก็คือ "ลงทุนให้มีเงินไหลมาให้เราเรื่อยๆ ชั่วชีวิต แม้หยุดทำงานไปแล้ว" ...แต่ปัญหาคือ มันยาก ...ข้อแนะนำคือ เริ่มใช้ตัวเรา กับ เงินเดือนที่เราหาได้นี่แหละ แล้วกันเงินออกไปเป็นก้อนเล็กๆ ไปเป็นเงิน "ก้นถุง"(เงินนี้ต้องกันเท่าๆ กัน ทุกเดือน เอาเงินกันไว้ก่อนใช้จ่าย เตรียมไว้เพื่อลงทุน ..ลงทุนในธุรกิจ ลงทุนในตัวเอง ลงทุนในสินทรัพย์) ...เริ่มที่น้อยๆ เช่น 5% ของเงินเดือน "ตัดออกมาก่อนใช้" ...ย้ำว่าก่อนใช้ เพราะ ถ้าใช้ก่อน ก็การันตีว่า ไม่เหลือหรอกครับ

3. "สร้างถุงเงินนิรภัย -- เราต้องมีเงิน 6 เดือน เตรียมไว้ตกงาน แม้ไม่ตกงาน" ..ไม่ว่าจะทำธุรกิจส่วนตัว หรือ เป็นลูกจ้าง ต้องเตรียมเงินอย่างน้อย 6 เดือนเผื่อฉุกเฉิน เพราะ ชีวิตเราทุกคนต้องเจอเรื่องฉุกเฉินแน่นอน (ฟังแล้วจิตตก แต่นี่คือ เรื่องจริง เพราะชีวิตเราต้องมีอันต้องเจอเรื่องไม่คาดฝัน -- คนที่เตรียมตัวเท่านั้นที่ชีวิตไม่ซวย ...ดังนั้น ตั้งแต่วันที่เราเริ่มหาเงินได้ ต้องเตรียมเงินก้อนนี้ ก่อนซื้อของที่อยากได้ ..รถ , กระเป๋า , บ้าน , ..ต้องมาหลังเงินก้อนนี้)

4. "วางแผนเกษียณตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน" ...การวางแผนเกษียณ ต้องคิดต่าง ...คนส่วนใหญ่กว่าจะวางแผนเรื่องนี้ก็ใกล้เกษียณแล้ว ก็มักซวย (คิดแบบคนส่วนใหญ่ ซวยเสมอเรื่องการเงิน )...เพราะ เคล็ดลับของ การเกษียณไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงิน แต่เคล็ดลับอยู่ที่ "เวลา" ...ใช่!! "เวลา" สร้างการทบต้นให้พอร์ตการลงทุน ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ...คนรวยทุกคนรวยจากเข้าใจเรื่อง "เวลา" และ "การทบต้น" นี่แหละ ความแตกต่าง ...เริ่มก่อนชนะก่อน

5. "อย่าสร้างหนี้ที่ไม่ทำให้เราฉลาดขึ้น" ..ทุกคนรู้ดี เมื่อหนี้เยอะๆ จะมีสติ ..ใช่!! สติแตก ..."คนที่คิดฆ่าตัวตายในโลกทุนนิยม ล้วนก่อกำเนิดจากการเป็นหนี้" ...ก่อนเป็นหนี้เราต้องแน่ใจว่า "หนี้ก้อนนี้จะทำให้เราฉลาดขึ้น" ...หนี้ที่ทำให้เราฉลาดขึ้น มีสองข้อ คือ หนึ่ง เราสามารถจ่ายคืนได้ สอง เป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มในอนาคต ...แต่คนส่วนใหญ่สร้างหนี้ เพื่อที่จะเพิ่มภาระให้ตัวเองในอนาคต แล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะจ่ายได้หรือเปล่า อันนี้น่าเป็นห่วง !!

6. "อย่ามีเครดิตการ์ด จนกว่าคุณจะเชี่ยวชาญเรื่องเงิน" ..เรื่องที่ทำให้คนอายุน้อยมีปัญหามากที่สุด คือ เรื่องเครดิตการ์ด เพราะ มันเป็นหนี้ที่แพงที่สุด ที่สามารถสร้างได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

...คนที่สามารถมีเครดิตการ์ด คือ คนที่รู้ว่า เครดิตการ์ดไม่ได้มีไว้เพื่อจ่ายขั้นต่ำ แต่มีไว้เพื่อให้เราสะดวก แล้วต้องจ่ายคืนเต็ม ห้ามเป็นหนี้เครดิตการ์ดเด็ดขาด

7. "เชื่อมั่นในตัวเองและลงทุนในตัวเอง" ..ธุรกิจแจ๋วๆ ส่วนใหญ่ เริ่มจากไอเดีย ที่คนรอบข้างบอกว่าไม่ดี "แต่ฉันจะทำ" ..เพราะ ถ้าไอเดียที่เราคิด เป็นสิ่งที่คนรอบข้างบอกว่าดี ..คนรอบข้างคงรวยจากไอเดียธุรกิจนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ..ดังนั้น ถ้าไอเดียที่คุณคิด มีเสียงรอบข้างสนับสนุน คงต้องมาคิดใหม่ว่า สงสัยจะไม่ work เพราะ เมื่อใครๆ ก็เห็นว่าดี คงมีคนพยายามทำอยู่แล้ว ฟันธงว่า นี่คือ Idea ที่เป็น Red-Ocean "ทำแล้วเหนื่อย คู่แข่งมาก โตจำกัด ยิ่งทำยิ่งท้อใจ"

แต่เชื่อมั่นในการคิดต่างของเรา ต้องวางบนฐานที่ "ความสามารถของตัวเรา" ..คนที่ควรจะทำธุรกิจท้าทายตัวเอง ท้าทายโลก ต้องเป็นคนที่ลงทุนในความรู้ให้ตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ...ต้องเป็นคนอ่านมาก เรียนรู้มาก เพราะ นั่นเป็นหนทางเดียวที่คุณจะเหมาะกับภารกิจนี้ 

8. "เรียนวิธีลงทุนอสังหา และ หุ้น ตั้งแต่ยังไม่มีเงิน" ..ทั้งอสังหาและหุ้น สร้างเศรษฐีและยาจก ...แต่ที่แน่ๆ ทุกคนที่รวยจากหุ้น และ อสังหา ล้วนเคยเจ๊งในหุ้น และ อสังหา มาไม่น้อยกว่า 2 ครั้ง (คุณล่ะเจ๊งกี่ครั้งละ?)

 ...จริง!! คุณคิดว่าโลกมันสวยขนาดที่ว่าจะมีมนุษย์คนไหน ที่ไม่เคยขาดทุน หรือ ผิดพลาดจากการลงทุน

..ไม่มีครับ ...ทุกคนเคยเจ๊ง ...สิ่งที่คุณต้องเรียนคือ "คนที่สำเร็จ เขาลุกขึ้นมาจากความล้มเหลวในอสังหา และ หุ้นอย่างไรต่างหาก" ...ตรงนั้นคือ เคล็ดลับที่ว่า ยิ่งเงินน้อยยิ่งได้เปรียบในการเริ่มลงทุน

..เพราะ เงินน้อย ก็เจ็บน้อยกว่า ลุกขึ้นเร็วกว่า ก็ฉลาดและรวยเร็วกว่า !!

9. "หางานอดิเรกที่ทำเงิน แล้วเปลี่ยนงานอดิเรกนี้แหละเป็นงานประจำที่คุณจะทำอย่างมีความสุขจนวันสุดท้ายของชีวิต" ..เรื่องเกษียณแล้วสบาย มันมีไว้หลอกมนุษย์เงินเดือน ...แต่ความจริง คนที่สบายคือ คนที่สามารถเปลี่ยนงานอดิเรกที่รักเป็นอาชีพที่ทำเงิน นี่แหละ คนโคตรโชคดี

แล้วคนโชคดี ไม่ใช่ พระเจ้าช่วยเขา แต่เขานั่นแหละ สร้างความโชคดีขึ้นมาเอง

คุณลองคิดซิ ..ว่าคุณจะเปลี่ยนงานอดิเรกที่เสียเงินของคุณ ให้มันสร้างเงินอย่างไร แล้วเปลี่ยนมันให้เป็นอาชีพของคุณยังไง -- แล้วคุณอาจจะเป็นอีกคนในโลกใบนี้ที่ได้ทำงานที่รัก แถมรวย และ ความสุข

ก็แนวๆ นี้ "คนประสบความสำเร็จ" เขาก็คิดเหมือนๆ กัน 9 ข้อนี้แหละ ...ลองไปปรับๆ ให้เหมาะกับตัวคุณดูครับ ...จัดไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น


http://www.businessinsider.com/money-advice-from-successful-people-2015-12

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ