แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

The Stock Master 'รู้จริง กับสนามจริง'


เป้าหมายของโครงการ The Stock Master คือ พาคุณเข้าสู่ตลาดหุ้นจริงๆ ด้วยเงินจริง โดยเริ่มจากความรู้ที่ถูกต้อง 

-- 'สอน และ เทรดหุ้น ด้วยเครื่องมือ รอบด้านเพื่อติดอาวุธนักลงทุนรายย่อย อาทิเช่น iAlgo ช่วย Stop Loss / เฝ้า Port / และ Let Profit Run ..รวมทั้งวัดผลจากการเทรดจริงๆ ด้วย iTracker ..และ การสื่อสาร App Connex'

 ...'ความสำเร็จก้าวต่อไปก็อยู่ที่นักลงทุนแต่ละท่าน ไปปรับใช้ความรู้ให้เหมาะกับตัวเอง'

ปีหน้าต้องมันส์กว่าเดิม แน่นกว่าเดิม และ อาวุธเพื่อรายย่อยดีขึ้นกว่าเดิม !!

The Stock Master !!!

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ใครโชคดีที่สุดในตลาด


'คำถามน่าถามในยุคนี้คือ ใครจะโชคดีที่สุดในตลาด ?' ...นี่ผมพูดถึงตลาดจริงๆนะ ที่รวมร้านค้า พ่อค้า แม่ค้า -- คุณว่าใครโชคดีที่สุด ?

ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ความมั่งคั่งของโลกอยู่ที่การค้า และประเทศที่รวยที่สุดก็คือ ศูนย์กลางการค้า ..พูดภาษาบ้านๆ ก็ เจ้าของตลาดนั่นแหละโชคดี รวยสุด -- อยากให้มองไปรอบๆตัว แล้วลองดูซิครับว่า วันนี้ตลาดเริ่มเข้าสู่การเปลี่ยนครั้งใหญ่

เดิมทีเรามีตลาดสด เดี๋ยวนี้คนทั่วไปแทบไม่ไปตลาดสดเลย เหลือแต่ B2B พ่อค้า แม่ค้า ..ขนาดตลาดติดแอร์ เดี๋ยวนี้คนทั่วไปก็แทบไม่เข้า ..เข้า 7-11 เลย อยู่ปากซอย 

แต่สิ่งที่กำลังเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกก็คือ อีกหน่อยหลายๆตลาดจะซื้อ Online เป็นหลัก ..พวกของที่ไม่ต้องการซื้อกินทันที สั่งส่งที่บ้านอีกหน่อยคงซื้อขาย Online เป็นหลัก

ใช่!! คนรุ่นต่อไป ..จะใช้ Online เป็นตลาดหลัก ส่วนหน้าร้านมีไว้เสริม เปลี่ยนตรงข้ามกับปัจจุบัน 

ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า วันนี้ตลาด Online เกือบทั้งหมด เราใช้ของฝรั่งหมดเลย ..Amazon , Ebay , Facebook , Instagram ,  UBER , ...มีจีนที่พยายามสู้ จีนทำ Marketplace ทุกอย่างใน Version จีน เพื่อไม่ให้อเมริกาควบคุมตลาดของเขา ซึ่งนั่นแหละหัวใจเศรษฐกิจและเงิน !!

'ตลาด ก็คือ Platform ..มันคือ ศูนย์กลางของทุกสิ่ง ..นี่แหละความมั่งคั่ง' -- วันนี้อเมริกามี ดอลลาร์เป็น Platform หลักทางการเงินของโลก เขาจึงครองโลก 

...วันนี้เขาส่ง Silicon Valley และ IT ของเขา สร้าง Platform ทุกอย่าง -- ถ้าสำเร็จ นั่นแหละที่จะเป็นหมากต่อจาก ดอลลาร์ ..น่าคิดจริงๆ

อยากให้ผู้ประกอบการไทย เริ่มสร้าง Platform ทางการค้าในธุรกิจของตัวเองสู้บ้าง ..เริ่มจากจุดเล็กๆ ตลาดเล็กๆ หน้าร้านรวมตัวกัน

 ...โจทย์นี้ช้าไม่ได้ เพราะความมั่งคั่งของทั้งโลกกำลังเปลี่ยนมือไปสู่ตลาด และ Platform ใหม่

ถ้าทำดี คุณหรือผม ก็อาจสร้าง Platform ใหม่ที่ว่านั้นได้ ...ต้องรีบทำ!!

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อะไรคือจุดกึ่งกลาง ที่เหมาะสมของชีวิต


'ทำไมต้อง สร้างเมืองในทะเลทราย ทำไมต้องเปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำดื่ม ..ทำไมต้องทำเรื่องยากๆ' ...คำถามเหล่านี้ ผมก็คิดในหัวมาตลอด 

'ทำไมเราไม่ทำอะไรสบายๆ ..'

คำตอบ ก็คือ 'นั่นเป็นเหตุผลเดียว ที่มนุษย์ครอบครองโลกใบนี้ แล้วเอาสัตว์อื่นๆมาใส่กรง -- ก็เพราะเราใช้ชีวิตเพื่อฝืนธรรมชาตินั่นเอง !!

สมัยก่อนถ้าทรัพยากรธรรมชาติหมด เราก็ย้ายถิ่นฐาน ..แต่เราเรียนรู้การเกษตรกรรม ..จำนวนคนเพิ่มขึ้น อาหารไม่พอ เราก็เรียนรู้ การผลิตแบบอุตสาหกรรม ..เราเรียนรู้เทคโนโลยีการแช่เย็น จนสามารถเก็บอาหารได้นาน 

วันนี้พลังงานจะหมด เราก็เริ่มหาพลังงานอื่น ..น้ำจะหมดเราก็หาน้ำจากที่อื่น

'มนุษย์เราอยู่ได้ เพราะเราทำแบบนี้แหละ' ..ข้อเสีย ก็คือ มันเครียดขึ้น 

ธรรมชาติ ต้องการควบคุมเรา ..แต่เราต้องการเหนือธรรมชาติ 

แล้วคุณล่ะ ปล่อยตัวเองตามธรรมชาติ หรือ เราฝืนธรรมชาติ ...?

ผมว่า สุดยอดของหลักคิดของทุกยุค คือ 'ทางสายกลางของพระพุทธเจ้า' -- ทุกครั้งให้มองหาจุดกึ่งกลางของสิ่งที่ทำ

คุณว่า จุดกึ่งกลาง ของ 5 เรื่องนี้ อยู่ตรงไหน ? -- เงิน / งาน / บ้าน / ความรัก / เวลา


วิธีเปิดร้านค้าให้ถูกที่สุด


'เปิดร้านค้ายังไงให้ถูกที่สุด' ..วันนี้มาคุยกันสบายๆ กับ ภาววิทย์ #ปั้นธุรกิจติดลมบน

'เดี๋ยวนี้ ทุกคนทำงานเพื่อฝันที่ยิ่งใหญ่ก็คือ สุดท้ายฉันต้องมีธุรกิจส่วนตัวให้จงได้ !!'

ครับ!! เป็นความคิดของคนรุ่นใหม่ที่โอเคนะ แต่สิ่งที่อยากเสริม คือ วิธีทำ ..วางแผนปฏิบัติยังไงให้ไปถึงเป้านั่นล่ะสำคัญที่สุด

เอ้า!! มาวางแผนกัน ..ลองเริ่มตอบคำถามนี้ก่อน

1. มีเงินป่าว ? ...ถ้าตอบว่ามี ก็เก็บเอาไว้ เพราะธุรกิจของคนตัวเล็กต้องเริ่มโดยไม่ใช้เงิน หรือใช้ให้น้อยที่สุด

2. คุณเก่งอะไร ที่คนอื่นยอมจ่ายเงินให้คุณเพื่อทำสิ่งนั้น ? ...ถ้าตอบว่า ขายแรงงาน อันนี้เหนื่อยหน่อย แต่ค่อยๆ ปรับได้ ...แต่ถ้าตอบว่า ขายผลงานจากความสามารถบางอย่าง อันนี้จะเหนื่อยน้อยกว่าคำตอบแรก ..แต่ยังไง ยังมีด่านต่อไปที่ยากกว่า

3. คุณจะเริ่มเมื่อไหร่ ? ...ข้อนี่ ต้องตอบอย่างเดียว คือ 'เริ่มวันนี้ ..' มาเริ่มกันเลย

สมมติ ผมอยากจะเปิดร้าน ..สิ่งแรกที่ต้องมี ไม่ใช่ที่เปิด ไม่ใช่เงิน ไม่ใช่สินค้า แต่สิ่งแรกที่ค้องมีคือมีลูกค้า !!

อย่าเพิ่งแปลกใจว่า 'จะมีลูกค้าก่อนมีสินค้า และก่อนมีร้านค้าได้อย่างไร' ...ขอบอกว่า นักธุรกิจรุ่นใหม่ เขาสร้างลูกค้าก่อนสร้างอย่างอื่นครับ

'หลักการทำธุรกิจแบบนี้เรียกว่า มีลูกค้าก่อนแล้วค่อยเริ่มลงทุน ..ใช่!! ถ้าทำแบบนี้ มันแทบการันตีไม่เจ๊ง(ปิดประตูแพ้) ดังนั้น ความสำเร็จเลยไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่ทำธุรกิจวิธีนี้' 

หลายคนอาจจะคิดว่า มันใช่ แบบนักพัฒนาอสังหา ที่ขายโครงการก่อนสร้าง ใช่หรือไม่ ...'แม่นแล้ว!!' ยุคนี้คุณต้องทำตรงข้ามคนส่วนใหญ่ ..อย่าเริ่มทำธุรกิจจากการนโน คาดการณ์ว่าลูกค้าต้องการนั่น ต้องการนี่ จากนั้นก็ไปผลิตสินค้า แล้วก็ทำการตลาด เอาไปวางขายตามร้าน เพื่อสุดท้ายเจ๊ง เมื่อรู้ว่าลูกค้าไม่ได้ต้องการซื้อสินค้าอันนี้เลย

ลองดูซิครับ !! ...ระหว่างที่คุณกำลังปั้นธุรกิจในแบบของคุณ ค่อยๆ เริ่มหาลูกค้า ...คุยกับเขา สนิทกับเขา เป็นเพื่อนกับเขา ...ไม่!! คุณต้องไม่พยายามขายของอะไรให้เขา ..คุณต้องเป็นเพื่อนกับเขา 

อย่าคิดเปลี่ยนโลก ไม่ต้องคิดใหญ่ เริ่มมันเล็กๆ เริ่มจากความต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตคนรอบข้างทีละเล็กทีละน้อย ด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด ก็คือใช้ตัวคุณและสมองคุณนี่แหละ

'ธุรกิจ ก็คือ การแก้ปัญหาให้คน ..ถ้าปัญหานั้น คนยอมจ่ายเงินเพื่อแก้ น้่นคือ ธุรกิจที่ดี ..คนมีปัญหา ก็คือ คนมีโอกาสทางธุรกิจ ..คิดให้ง่าย เริ่มเล็กๆ ..เพื่อนคุณนั่นแหละลูกค้า ..ถ้าคนใกล้ตัวยังไม่ซื้อ -- แล้วใครจะซื้อของเราล่ะ ?'


อยากสบายก็รีบหารายได้ แต่ถ้าอยากรวยเร็วต้องคิดแบบพี่ Mark


'อยากสบายก็รีบหารายได้ แต่ถ้าอยากรวยเร็ว(สายฟ้าแลบ) ต้องคิดแบบพี่ Mark'

ถ้าเราถามถึงคนสุดยอดแต่ละยุคสมัย ในเรื่องธุรกิจ ..เราจะคิดถึง Bill Gates , Steve Jobs ..ต่อมาก็ Larry Pages , Sergey Brin แห่ง Google ..และ หนุ่มสุดก็นี่เลยพี่มาร์ค - Mark Zuckerberg

เดี๋ยวก่อน ..คนที่ผมยกขึ้นมาเหล่านี้ ไม่ใช่แค่รวย แต่เขาเปลี่ยนโลก 

คนเหล่านี้ ไม่ได้ทำธุรกิจหรือสร้างตัวเหมือนคนส่วนใหญ่ในโลก ..เขาทำแตกต่าง ..คนทั้งโลกรวยจากหาเงิน แต่ Bill Gates รวยจากสร้าง Platform ของ Computer แล้วเปลี่ยนคนทั้งโลกให้มาใช้ ...หลายคนมองว่า Bill Gates แย่งลูกค้าจาก IBM แต่ไม่ใช่เลย Bill Gates สร้างลูกค้าขึ้นมาใหม่ นั่นคือ จุดกำเนิดของ Microsoft 'เกิดจาก ช่วยเหลือบริษัทเดิม แล้วสร้างลูกค้าขึ้นมาใหม่ ..ความยิ่งใหญ่ของ Microsoft คือ นักบุกเบิก แต่ปัจจุบัน เขาเป็นแค่ผู้แข่งขันคนนึงในอุตสาหกรรมเท่านั้นเอง'

หลักๆ เขาทำแบบนี้

1. 'ช่วยรายใหญ่ แล้วเห็นโอกาสที่เขาไม่เห็น' เช่น Steve Jobs เห็นโอกาสที่ Xerox ไม่เห็น ..Bill Gates เห็นโอกาสที่ IBM ไม่เห็น ..Google เห็นโอกาสที่ Yahoo มองไม่เห็น ..Facebook เห็นโอกาสที่ Google ไม่เห็น

2. 'สร้างโอกาสนั้น โดยไม่สนรายได้' ..โอกาสที่รายใหญ่มองไม่เห็น ก็เพราะมันไม่ได้สร้างรายได้ระยะสั้น (องค์กรใหญ่ตายเพราะมองแค่การทำเงินระยะสั้นเท่านั้น ..ดังนั้น เรื่องของอนาคต การเปลี่ยนแปลง มันต้องให้คนตัวเล็กๆทำ)

3. 'จำนวนคนใช้ สำคัญกว่าเงิน' ..ถ้าโอกาสที่คุณเห็นมันดีจริง มนุษย์คนอื่นๆต้องอยากใช้ ..ถ้าคุณคุยกับ Start-Up ทุกคน เขาจะไม่สนเรื่องการสร้างรายได้ เขาต้องการให้คนมาใช้มากที่สุดเท่านั้น 

4. 'จำนวนคนใช้ซ้ำ ยิ่งสำคัญกว่าดึงคนมาเริ่มใช้' ..ไม่มีประโยชน์ถ้าคุณแค่แย่งลูกค้ามาจากคนอื่น โดยเขาไม่ใช้ซ้ำ ...ต้องทำให้คนใช้ซ้ำ และใช้อย่างเสพย์ติด ก็แบบพี่ Mark ทำกับ Facebook นั่นแหละ ..ติด!!

5. 'ค่อยคิดเรื่องเงินหลังสุด' ..อันนี้เรียกทฤษฎี ขี้ยา ..ก็แจกยาก่อน พอคนติดก็คิดเงิน ..แต่โลกธุรกิจ มันยากกว่า ตรงที่เราไม่ใช้ยาให้คนติด แต่เราใช้การสร้างประโยชน์และเปลี่ยนชีวิตลูกค้าแทน -- มันเลยเป็น สิ่งดี!!

ทั้ง 5 ข้อนี้ องค์กรใหญ่ไม่ทำ เพราะ มันเสียเวลา ดูเหมือนไม่มีอนาคต ดูเหมือนไม่ได้เงิน ..โอกาสนี้ก็เลยเปิดไว้ให้ Mark Zuckerberg หรือ Bill Gates คนต่อไป ไว้เดินไงครับ !!

นี่คือ The Way To Billions 

...ทางไร้อนาคตในสายตายักษ์ใหญ่ คือ หัวใจความสำเร็จของคนตัวเล็ก !!

วิชาเปลี่ยนความเชี่ยวชาญเป็นเงินสดๆ


'วิชาเปลี่ยนความเชี่ยวชาญให้กลายเป็นเงินสดๆ'

'ชายคนนี้ บก.ผมเอง พี่บอย ...ความมหัศจรรย์ของชายผู้นี้ คือ เขาสามารถเปลี่ยนความรู้มาเป็นโอกาสและเป็นเงินได้ !!

..เดี๋ยว !! บก.บอย ไม่ได้เป็นโดเรมอน ..แต่เขาใช้เครื่องมือเปลี่ยนความเชี่ยวชาญให้หาเงิน ได้เก่งมาก

พี่บอยเพิ่งเปิด YouTube Channel แจกข้อมูลๆดีๆอย่างนี้ให้คนที่สนใจฟรีๆ ..เอางี้ ลองฟังตัวอย่างดูว่า ที่แกสอนเปลี่ยนความเชี่ยวชาญให้หาเงินใน 5 นาที เป็นไง ฟังดู ครัช 




วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

กฏแรงดึงดูด กับชีวิตจริงใช้ยังไง


'กฏแรงดึงดูด ใช้ในชีวิตจริงอย่างไร?'

มีการพูดถึง กฏแรงดึงดูดกันเยอะ ว่ามันใช้ได้ ..ผมบอกเลยว่า ผมลองแล้ว ใช้ได้จริงๆ 

หลายคนสงสัยว่า อะไรคือกฏแรงดึงดูด ?

ก็คือ 'คนที่ศีลเสมอกันจะถูกดูดเข้ามาให้รู้จักกัน และนั่นคือหนึ่งในการเปลี่ยนชีวิตของคนเรา' ...หลายคนเฝ้าถามว่าโอกาสอยู่ที่ไหน ทำไมตัวฉันไม่เจอโอกาสดีๆแบบคนอื่น ?

คิดดูดีๆ ซิครับ โอกาสไม่ได้หล่นจากฟ้า แต่โอกาสมากับคนครับ 'คน' ..ใช่!!

ถ้าจะเปลี่ยนโอกาส ก็เปลี่ยนหนังสือที่อ่าน เปลี่ยนเรื่องที่เรียน เปลี่ยนเรื่องที่สนใจจะศึกษา ..จากนั้นเมื่อเรามี Passion ในเรื่องใหม่ที่จะศึกษามากพอ ..คนๆนั้น ก็จะปรากฏ -- คนที่มาพร้อมโอกาสใหม่ๆในชีวิต

อ้าว!! แล้วถ้าอยากเป็น Billionaire ล่ะ !?!

ก็ดูด Billionaire 5 คนมาเป็นเพื่อนรอบๆตัวเราไง ..ฮึม!! ไม่ง่าย ..มันเริ่มที่เรื่องที่เราสนใจ ..เรื่องที่เราคุย ..เรามุ่งมั่น

เพื่อนสนิทที่สุด 5 คน ของเรา เป็นทั้งปัจจุบันและอนาคตของเรา !!

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สัมภาษณ์วิธีการปั้นธุรกิจติดลมบน


'การเริ่มธุรกิจวันนี้ อย่าใช้เงิน ..นี่คือสิ่งที่ผมเคยพลาด ..สมัยก่อนผมเคยคิดว่า ทำธุรกิจก็ไปหาเงินมา เดี๋ยวเปิดร้านได้เอง ...นั่นคือ จุดเริ่มของร้านอาหารของผม มีเงินก็เปิดได้ ..ผลก็คือ เจ๊ง!! 

พอประสบการณ์ผมมีมากขึ้น ผมรู้แล้วว่าจริงๆ ทุกธุรกิจมันประกอบไปด้วย 3 ปัจจัย คือ 1. know-how (ความเชี่ยวชาญ ..ตรงนี้ พัฒนามาจาก Passion ในสิ่งที่เราทำได้ดี) 2. know-Who (เมืองไทยสำคัญมาก มันคือ Connection ..ซึ่งก็พัฒนาจาก กลุ่มคนที่ความชอบในเรื่องเดียวกัน) และ 3. Money (เงิน)

ธุรกิจที่ดีต้องทำข้อ 1 ให้สุดๆ แล้ว ข้อ 2 จะเกิดขึ้น จากนั้น ข้อ 3 เงิน มันมาเอง ...คนที่อยากเริ่มธุรกิจใช้เงินน้อยมันต้องสร้าง Know-how

ลองฟังสัมภาษณ์จากคลิ๊ปอันนี้ครับ http://youtu.be/-rAi8QiXCIk 

ศาสตร์แห่งการคิดต่าง ที่ไม่ใช่แค่สิ้นคิด ..ปั้นธุรกิจติดลมบน !!

 

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

โรงงานที่ดีต้องไม่มีสินค้าของตัวเอง


'โรงงานที่ดีต้องไม่มีสินค้าของตัวเอง' 

ครับ!! เรากำลังพูดถึง Foxconn ผู้ผลิต iPhone รายใหญ่ที่สุดในโลก ที่ก่อตั้งโดย มหาเศรษฐีนาม Terry Gou  

ถ้าไปถาม Apple เราอาจได้คำตอบที่ตรงข้าม 'บริษัทที่ดีต้องไม่มีโรงงานผลิตสินค้า' ...อ้าว!!  แล้วตกลงใครถูกใครผิด แล้วเราควรเดินตามใครถึงจะรุ่งอ่ะ ?

ระหว่างที่สองบริษัทมองอยู่คนละด้านของเหรียญ ก็มีอีกบริษัท ชื่อว่า UBER พูดขึ้นว่า 'ไม่ใช่ทั้งสองคนแหละ ..บริษัทที่ดีต้องไม่มีสินค้าและก็ไม่ต้องมีโรงงาน ..ดูอย่าง UBER ซิ เป็นบริษัทแท๊กซี่รายใหญ่ที่สุดในโลก โดยไม่ได้เป็นเจ้าของแท๊กซี่สักคัน'

ตกลง เชื่อใครดี ? 

ต้องกลับมาถามผู้บริโภค ก็คือลูกค้าที่จ่ายเงิน ลองถามลูกค้าซิครับว่า 'สมมุติคุณจ่ายเงิน 100 บาท คุณจ่ายให้กับอะไร ? ..สัดส่วนเท่าไหร่ ?'

ลูกค้าตอบแบบเบเบ เลยว่า 'ผมไม่สนหรอก ว่าใครจะอยู่เบื้องหลังสินค้าหรือบริการที่ผมใช้ ..ผมไม่ได้แคร์หรอกที่ Apple จะผลิตเอง หรือ จ้างโรงงานอื่นผลิต และ ผมก็ไม่สนด้วยว่า UBER จะมีแท๊กซี่หรือไม่มี ....ผมสนเพียงอย่างเดียวว่า ถ้าเป็นสินค้าผมต้องการสินค้าที่ตอบโจทย์ ไม่จำเป็นต้องถูกที่สุดหรือดีมี่สุด ..มันต้องตอบโจทย์ ...ส่วนบริการก็เช่นกัน มันต้องตอบโจทย์ ..ผมต้องการแท๊กซี่ที่ตอบโจทย์ผม ก็แค่นั้น'

'ตอบโจทย์ - ตอบง่ายเนอะ เบื้องหลัง ห้ำหั่นทางธุรกิจแทบหัวแบะ ...ก็ตอบโจทย์ให้ได้ละกัน ...สินค้าและบริการนี่สุดทีน -- แบบนี้ต้องโดน !!!'

ยุคก่อน ลูกค้าเลือกไม่ได้ โดนบังคับ

ยุคนี้ ลูกค้ามีทางเลือกมากกว่าเงินในกระเป๋า สินค้าและบริการที่ขายดียุคนี้ คือ เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า

ยุคอนาคต ...ผมจะบอกว่า ลูกค้าไม่ได้ต้องการทางเลือก ..ยุคนี้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ดังนั้น ยุคหน้า เขาต้องการสิ่งที่ดีที่สุดต่อตัวเองและคนอื่นๆ ไปพร้อมๆกัน

ขอต้อนรับสู่ TRUST Base Economy 'ถ้าฉันไม่เชื่อใจคุณ ฉันจะไม่ยุ่งกับคุณ ไม่ว่าสินค้าคุณจะดีและถูกเพียงใดก็ตามที'

Media Fraction


'Media Fraction' ..วันนี้ข้อมูลข่าวสารทะลักมากๆ ..ผมคุยกับเด็กรุ่นใหม่แทบไม่มีใครดูทีวีแล้ว ...ขนาดคนรุ่นผม วัยทำงานนี่ก็แทบไม่มีเวลาดูทีวีเลย ..แต่แปลกใจไหมครับว่า ทำไมเราไม่ตกข่าว ?

ถ้าเป็นสมัยก่อน ถ้าเราไม่เปิดทีวีดูสักพักจะรู้สึกตกข่าวมากๆ แต่วันนี้ไม่รู้สึกเลย ..ใช่!! ผมว่า เรากำลังเข้าสู่ยุคของ Social Media เต็มขั้น ..ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องเล่น Social ..แต่ทุกคนจะได้ข้อมูลจาก Social ต่างหาก

พูดง่ายๆ ยุคก่อนเราต้องวิ่งหาข้อมูล ..ใครมีข้อมูลมากคนนั้นได้เปรียบ ..แต่ยุคนี้ข้อมูลต่างหากที่วิ่งหาเรา ..กลุ่มเพื่อนที่เราคบนั่นแหละที่ส่งข้อมูลมาให้เรา ..ยุคนี้ใครมีข้อมูลมากกลายเป็นเสียเปรียบ -- ซะงั้น!!

สิ่งสำคัญของยุคนี้คือ 'การเลือกข้อมูล' ...ขืนเราบริโภคทุกอย่าง เราจะเสียเปรียบคนที่เลือกข้อมูล เพราะเราจะกลายเป็นรู้ทุกเรื่องแต่ไม่เก่งอะไรเลย

ใช่!! ยุคนี้ข้อมูลไม่ใช่ความได้เปรียบ ..ความได้เปรียบตกมาอยู่ดับคนที่ 'เลือก' หรือ Focus 

...ผมไปเดินสายพูดแนะนำการเลือกอาชีพให้น้องๆนักศึกษา ก็เล่าให้เขาฟังว่า ถ้าอยากได้เปรียบคนอื่น ต้องกล้าเก่ง ..กล้าเลือกเรื่องที่เราอยากเชี่ยวชาญ และกล้าตัดเรื่องอื่นๆ 

ความยากอยู่ตรงนี้แหละ 'เลือกและตัด พร้อมๆกัน' เพราะคนยุคนี้อยากเก่งทุกเรื่อง แต่ทุกคนมีเวลาจำกัด ซึ่งทำไม่ได้ !!

อนาคตสื่อต่างๆ จะถูกแบ่ง ตามเรื่องเฉพาะ คนเราจะแบ่งเป็นกลุ่มๆ ที่เรียกว่า Tribes นั่นแหละ ...เหมือนเราอยู่เป็นชนเผ่า -- จะว่าไปแล้ว ก็คล้ายๆเรากลับสู่อดีตอีกครั้งที่ คนจะอยู่กันเป็นกลุ่มๆ เป็นชนเผ่า ...ครั้งนี้ก็ใช่ แต่จะแบ่งตามความเชี่ยวชาญและความสนใจ 

โลกเปลี่ยนเร็ว ..ใครยังไม่เลือกเรื่องที่เชี่ยวชาญ รีบเลือก รีบเรียน และรีบเป็นผู้นำในเรื่องที่เลือก -- ยังพอมีเวลา ให้ลุยทันทีครับ!!

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คนที่ทำงานตลอดชีวิต น่าสงสารไหม


'คำว่า เกษียณ ผมว่ามันกำลังจะหมดอายุ ..คงต้องเลิกใช้ในที่สุด เพราะมันไม่ตอบโจทย์'

- ไม่ตอบโจทย์ การหาเงิน เพราะยุคนี้หาเท่าไหร่ก็ไม่พอเกษียณ

- ไม่ตอบโจทย์เรื่องสภาพจิตใจ เพราะคนส่วนใหญ่เกษียณแล้วกลับไม่มีความสุข (ส่วนคนที่เลือกได้ กลับเลือกไม่เกษียณ)

'สิ่งที่ผมสังเกตเห็น กลายเป็นว่า มีคนประมาณ 10% ของทุกสาขาอาชีพ เขาทำงานจนตายเลย ไม่เกษียณเลย ..เราอาจจะมองว่าเขาทำไมน่าสงสารจัง ทำงานตลอดชีวิต ..แต่ไม่ใช่เลย คำตอบที่ได้จากคนเหล่านี้คือ เขารักงานที่เขาทำสุดๆ แล้วเขาจะเลิกทำสิ่งที่รักทำไม ?' 

...สรุป คือ คน 10% เหล่านี้เขามองงานไม่ใช่งานด้วยซ้ำ แต่มองงานเป็นความสนุก !! 

ทางออก คือ แก้วิธีปฏิบัติเรื่องการเกษียณใหม่ ..ไปสู่ที่ชอบ 

ที่ชอบ ..ใช่!!

#ภาววิทย์ กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #ปั้นธุรกิจติดลมบน

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เด็กยุคใหม่ต้องเรียนอะไรถึงจะทำธุรกิจรุ่ง


'เด็กยุคนี้ ต้องเรียนอะไรถึงจะรุ่ง ?'

ถ้าเป็นยุคเก่า ต้องเรียนเกี่ยวกับ 'ข้าราชการและการปกครอง' เพราะยุคนี้ เป็นยุคแห่ง Authority การรวมอำนาจ ...ในอดีตคนที่เป็นข้าราชการจึงร่ำรวยและมีอำนาจ 

ยุคปัจจุบัน ต้องเรียนเกี่ยวกับ 'การค้า' Commerce เพราะโลกยุคนี้คือ ทุนนิยม ..แก่นของทุนนิยม คือ การค้า -- จะเห็นได้ว่ายุคนี้ 'พ่อค้าเสียงดัง' ..ใครสะสมเงินไว้มาก ก็ยิ่งมีอำนาจ 

แล้วยุคต่อไป ต้องเรียนอะไร ? 

ผมก็มานั่งคิดว่า ยุคพ่อค้า วันนี้เป็นเหมือนผู้มีเสียงดังที่สุด ดังกว่าเผด็จการ มีอำนาจมากทั้งในแง่ของ การเมืองการปกครอง และ เศรษฐกิจ ..อะไรที่จะดีกว่า ระบบพ่อค้า ? ..น่าคิดนะ เพราะ ตราบใดที่ เงิน ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็เท่ากับว่า ผู้ควบคุมเงินได้มากที่สุดก็คือควบคุมทุกสิ่ง

ครับ!! ในยุคต่อไป ผมว่า มีสิ่งที่ดีกว่าเงิน ก็คือ 'Trust' (ความเชื่อใจ ความไว้ใจ) -- ภาษาวัยรุ่นเรียก 'ยุคใจใจ' ..แต่เดี๋ยวนะ ต้องอธิบายเพิ่ม ..ไม่ใช่เงินจะหมดความสำคัญ ..เงินจะยังคงสำคัญอยู่ แต่เรื่อง Trust จะเข้ามามีบทบาทสำคัญพอๆกับเงิน

ในอนาคต ลูกค้าจะเลือกสินค้าจากบริษัทที่ทำดีต่อสังคม ช่วยสังคม ดีต่อสิ่งแวดล้อม ดีต่อชุมชนรอบข้าง ...ลูกค้าจะไม่ใช่ตัดสินใจซื้อจากของดีราคาถูก แต่จะเลือกสินค้าที่ใช้แล้วภูมิใจ รู้สึกมีส่วนร่วมในสิ่งดีๆที่สินค้านี้ได้ทำให้สังคม

ต่อไปคือ 'Trust Base Economy' ..การเพื่อคนอื่น การทำเพื่อสังคม จะถูกหลอมรวมเข้าไปในธุรกิจ

 ...ธุรกิจในอนาคตจะต้องทำเพื่อสังคมและทำกำไรในเวลาเดียวกัน 'นี่แหละนิยามระบบต่อไปของโลก'

ใครที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้แล้วค่อยๆปรับ ธุรกิจตัวเองให้เป็น 'ธุรกิจทำกำไรเพื่อสังคม' ..ก็จะกลายเป็นผู้นำทางธุรกิจในโลกยุคต่อไปได้

ลองคิดซิครับ ว่า 'Give and Take' หรือ 'ทำกำไรและให้สังคม' มันจะผนวกเข้ามาในธุรกิจของฉันได้อย่างไร ?

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ทำไมต้องมีพิพิธภัณฑ์ ..มีค่าอะไร?


'ทำไมต้องมีพิพิธภัณฑ์ ..มีค่าอะไร?'

เวลาเราไปญี่ปุ่น เราไปดูพิพิธภัณฑ์ราเมง ไปดูพิพิธภัณฑ์กันดั่ม ..ดูพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เวลาเราไปอิตาลี เราไปดูพิพิธภัณฑ์ต่างๆ รวมทั้งพิพิธภัณฑ์ Ferrari ...

แล้วมาเมืองไทย ..ก็มาวัดไง ..ที่ต่างชาติเขามาเที่ยวบ้านเรา เพราะเขาไม่มี ..วัฒนธรรมในอดีตของไทยช่างโดดเด่น และมีเอกลักษณ์มากที่สุดแห่งนึงในโลก -- เมืองไทยถึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก !!

แต่สังเกตไหมครับ ที่บ้านเราสบาย ใครๆ ก็อยากมาเที่ยว ล้วนเกิดจาก บรรพบุรุษของเราสร้างเอาไว้ ..สร้างวัด สร้างศิลปะ สร้างวัฒนธรรม สร้างอาหาร -- แต่ลองมองปัจจุบันซิครับ คนรุ่นใหม่ทำอะไรเพิ่ม ?

'ถ้าไม่มี แปลว่า เรากำลังกินบุญเก่า ซึ่งมันค่อยๆหมด'

ทางแก้ ก็คือ 'ให้คุณค่าในการสร้างเอกลักษณ์และ อัตลักษณ์ ในศิลปะและวัฒนธรรม ..ซึ่งการสร้างพิพิธภัณฑ์ นี่แหละที่เป็นการย้ำและแสดงคุณค่า' 

...ลองดูประเทศยุโรป หรือ ญี่ปุ่น เขามีพิพิธภัณฑ์มากมาย ..ทำให้ประเทศเหล่านี้ เห็นคุณค่าในสิ่งที่เขามี เห็นคุณค่าในวิถีชีวิต ส่งผลให้เขาสามารถสร้างสินค้าที่มี Identity กลายเป็น สินค้า Brandname นั่นเอง !!

'เราอาจจะสงสัยว่า การที่ประเทศหนึ่งจะมีสินค้า Brandname ชื่อก้องโลก มันเกิดจากอะไร ..ก็เกิดจากคนในประเทศนั้นเข้าใจ Identity มีความภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจในศิลปะวัฒนธรรม ..นั่นแหละ เขาถึงกล้าสร้างสินค้ามีคุณภาพ กล้าเอาชื่อตัวเองเป็นยี่ห้อสินค้า และสุดท้ายคนทั้งโลกก็โหยหา และ ให้ทั้งคุณค่าและราคากับสินค้าเหล่านี้ !!'

ห้องสมุด เป็นแก่น ของ 'Knowledge' 
พิพิธภัณฑ์ เป็นแก่นของ  'Identity' 
Internet เป็นแก่นของ 'Democracy' 

ทั้งสามอย่างคือ สิ่งที่คนทั้งโลกโหยหา ...ความรู้จะยกระดับคุณภาพชีวิตและฐานะ 

..การมีเอกลักษณ์หรือ Identity จะยกระดับการตีค่าและมองตัวเอง 

..และเสรีภาพคือการเข้าถึงโอกาสที่เปิดกว้าง

'Disneyland คือ พิพิธภัณฑ์แห่งความฝัน 

..ที่ Disneyland ไม่มีอะไรที่อยู่ในโลกความจริงเลย ...มันเป็นโลกแห่งความฝันที่จับต้องได้ --  ไม่แปลกที่คนทั้งโลกชอบ Disneyland ..ไม่!! สวนสนุกเป็นแค่ส่วนประกอบ แต่ที่นั้นคือ พิพิธภัณฑ์แห่งความฝันครับ!!' 

พิพิธภัณฑ์เหมือนสร้างแล้วเสียเงิน แต่จริงๆ มันสร้างโอกาสและเงินมหาศาลต่างหากล่ะ !!


ไทยต่างจากญี่ปุ่นและฝรั่งเศสอย่างไร


'ทำไมเมืองไทยเราต้องขายของถูก แล้วฝรั่งเศสกับญี่ปุ่นเขาก็ไม่ได้ทำสินค้าดีเลิศต่างจากเรามากมาย แต่เขาเป็นประเทศแพง ขายของแพง ค่าจ้างก็แพง ...เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?'

ประเทศไทยปลูกข้าวได้ดี ..ฝรั่งเศสก็ปลูกองุ่นได้ดี ...แต่คนฝรั่งเศสเขาไม่ขายองุ่น แบบเราขายข้าว คือ ผลผลิตออกมาปั๊บขายเลย -- ขายเป็น Commodity ขายถูกๆ พึ่งพึง Demand & Supply เป็นหลัก ..ถ้าประเทศคู่แข่งฝนฟ้าหรือน้ำไม่ดี ผลผลิตฤดูนี้น้อย Supply ลด ..ราคาอาจจะขึ้น 'โชคดีจัง!!'

แล้วญี่ปุ่น กับ ฝรั่งเศส เขาก็ต่างมีการเกษตรเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจ ..เขาทำแบบบ้านเราหรือเปล่า ?

'ไม่ใช่' ...เขาเอาไปแปรรูป แล้วขายเป็น Product ใส่ Brand ยี่ห้อเข้าไป ..เขาไม่ใส่ถุงขายชั่งกิโลแบบ Commodity -- นั่นแหละที่เขาได้เปรียบเรา 

1. แปรรูป - 'สร้างมูลค่าเพิ่ม แถมเก็บได้นาน ไม่ต้องรีบขายเพราะกลัวสินค้าเน่าเสีย' ..ถ้าฝรั่งเศสขายองุ่น มันเสียเร็ว เขาเลยเอาไปทำไวน์ ..คราวนี้ยิ่งเก็บ ยิ่งแพง 'โคตรเทพ ..คิดได้ไงนี่ ?'

2. ใส่ยี่ห้อ - 'ยี่ห้อก็คือ รับประกันคุณภาพสินค้าโดยชื่อฉัน ยี่ห้อนี่แหละ' ..ตรงนี้คนให้ค่าแพงกว่าสินค้า เพราะลูกค้าต้องการของดีและมีการันตี ..คนที่กล้ารับประกันคุณภาพสินค้าด้วยชื่อหรือยี่ห้อของตัวเอง จึงขายของได้แพงกว่า 

ครับ!! เราไม่ได้แพ้ชาติไหนหรอก ..แต่เราแค่คิดน้อยไป 2 ชั้น ..ก็เริ่มจากชั้นแรก แปรรูป ชั้นที่สองใส่ยี่ห้อ ..เดี๋ยวเราก็สู้เขาได้ครับ 

'คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ..จัดไปอีก 2 ชั้น !!' ..จัด!!


วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คาถาหาโอกาส 'ใครเจอเราคนนั้นโชคดี'


'คาถาหาโอกาส ..ท่องในใจ ใครเจอเราคนนั้นโชคดี!!'

วันนี้พี่หนิง เรียกตัวผมไปสัมภาษณ์ที่ช่อง 3 ..ประเด็น การหาโอกาสธุรกิจ และ การหาโอกาสหางานดีๆ สำหรับคนรุ่นใหม่ ..ต้องทำยังไง ?

'ผมมีคาถา เรียก โอกาสครับ !!'

'จริงเหรอ !! ..คาถาอะไรล่ะ?'

'เขาเรียกว่า คาถาเรียกโอกาส ..แต่คาถานี้จะขัดความรู้สึกตอนเริ่มใช้มากๆ แต่พอใช้ไปแล้วชีวิตจะดีขึ้น โอกาสจะค่อยๆ วิ่งมาหาเรา'

คาถานั้นก็คือ ให้ท่องว่า 'ใครเจอเราคนนั้นโชคดี!!'

ข้อหนึ่ง : คนที่ท่องคาถานี้จะต้องมองความต้องการของคนอื่นและประโยชน์ของคนอื่นเป็นอย่างแรก ..และให้มองตัวเองทีหลัง 

(นี่คือการคิดแบบผู้นำ เพราะผู้นำ มองลูกน้องและลูกค้าเป็นที่ตั้ง ..ถ้าลูกค้าและลูกน้องมีความสุข เดี๋ยวโอกาสและเงินวิ่งตามมาเอง)

ข้อสอง : คนที่ท่องคาถานี้ ต้องทำตัวให้เป็นที่พึ่งของคนอื่น โดยให้เป็นที่พึ่งในความรู้และความเชี่ยวชาญของเรา ...พูดง่ายๆว่า ถ้าใครก็ตามต้องการความช่วยเหลือเรื่องที่ฉันเก่ง เขาสามารถนึกถึงฉันคนแรก

(นี่คือเลือกความเชี่ยวชาญ เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่ฉันรู้จริง เก่งจริง และที่สำคัญฉันชอบ มี Passion สุดๆ เรื่องนี้ ...ทุ่มเท เวลา ศึกษา เรื่องนี้แบบสุดตัว!! ..จนเพื่อนๆ ทุกคนรู้ว่า ถ้าเป็นเรื่องนี้ต้องฉันเท่านั้น)

ข้อสาม : คนที่ท่องคาถานี้ จะต้องมุ่งสร้างผลงาน จากเรื่องที่เลือก ...สร้างผลงาน ช่วยเหลือผู้คนรอบข้าง จากเรื่องที่ฉันเชี่ยวชาญ -- 'สร้างผลงาน!!'

ครับ!! นี่แหละหลักการเบื้องต้นของ 'วิธีเสกโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต' -- 'ใครเจอเรา คนนั้นโชคดี' 

ใครทำได้แบบนี้ ชีวิตจะค่อยๆดีขึ้น และมีโอกาสใหม่ๆในชีวิตวิ่งเข้ามา

นี่แหละหนึ่งในวิธีคิด 'ปั้นธุรกิจติดลมบน' ..เริ่มธุรกิจใช้เงินนิดเดียว ก็เพราะมันเริ่มที่ตัวเรา เริ่มที่ความเชี่ยวชาญไงล่ะ !!

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

คอร์สเดือนธันวานี้ B01-B02 รอบสอนสด


'คอร์ส B01-B02 จะเปิดรอบสอนสด วันที่ 12-13 ธันวาคมนี้นะครับ ..ผมสอนเองทั้งหมด 2 วันเต็ม'

โดยเริ่มสอนตั้งแต่ปูพื้นการลงทุนเบื้องต้น ไปจนการเข้าใจตลาดหุ้น วิธีอ่านงบ เลือกหุ้น การใช้กราฟ เลือกจังหวะ 

..คอร์สนี้เหมาะกับมือใหม่ที่อยากเข้าใจภาพรวมของตลาดหุ้น และ วิธีการเอาตัวรอด 

..แล้วก็เหมาะกับคนที่ยัง งงๆ ไม่เข้าใจกลไกของตลาดหุ้น 

ใน 2 วันนี้ จะแบ่งเนื้อหาเรียน คือ วันแรกเรียนปูพื้นฐานการลงทุน เจาะเรื่อง Mindset และ สอนการอ่านงบการเงินด้วยตัวเอง การประเมินราคาถูกแพง และ วิธีเลือกหุ้นในแบบระยะยาว 

วันที่สอง จะลงเรื่องของ Technical การใช้เครื่องมือกราฟ การอ่าน 'รอบ' วิธีจับจังหวะการซื้อขาย ตามแนวการลงทุนของเรา

ทั้งหมดใช้การยกตัวอย่างจริง ของตลาดปัจจุบัน ..ถามตอบ ทุกคำถาม

รายละเอียด เวลาสถานที่ ค่าใช้จ่าย คลิ๊กดูในนี้ครับ http://www.stock2morrow.com/course/seminar_courses_list.php?id=1

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แง่คิด 10 ข้อ จากพี่เคน


แง่คิด 10 ข้อจากพี่เคน 

'วันนี้ The Stock Master 4 ได้เชิญพี่เคน มาถ่ายทอดวิชาความเป็น VS ..เอ๊ะ!! ไม่ใช่ VI ..แต่เป็นวิชา VS : Value Shareholder'

'ลงทุนยาวอย่างเดียวไม่พอ ต้องลงทุนยาวแบบเป็นเจ้าของร่วม' 

1. การลงทุนต้องแบ่งเป็น 3 แบบ หนึ่ง หาของถูก ..สอง หาของโต ..สาม หาของถูกและโต ..แบบสามดีสุดแต่เวลานี้หายาก ..แบบสองยังหาได้และมีมากมายในทุกครั้งที่ตลาดผันผวนอย่างในปัจจุบัน ..แบบที่หนึ่ง พี่เคนไม่ลง 

2. 'กำไรไม่ใช่ตัววัดความสำเร็จระยะยาว' ..กำไรคือผล ..ผลคือจุดจบในตัวเอง ..แต่โอกาสอยู่ที่เหตุปัจจัย ..ความสำเร็จของการลงทุนอยู่ที่การค้นหาเหตุปัจจัยที่ดีของธุรกิจ ไม่ใช่การแห่ตามข่าว หรือวิ่งตามผลเหมือนคนส่วนใหญ่ -- ตอบให้ได้ว่าปีนี้ธุรกิจเก่งขึ้นแบบโดดเด่นในเรื่องอะไรบ้าง นั่นคือเหตุปัจจัยที่จะพาเงินมาเอง !!

3. 'หุ้นตัวแรกที่ลงทุน คือหุ้นที่ดีที่สุด' ..หุ้นตัวแรกที่เราซื้อดีที่สุด แม้จะขาดทุน เพราะมันจะสอนให้เราเติบโตทางความคิดและประสบการณ์

4. 'หุ้นตัวที่สอง สำคัญกว่าตัวแรก' ..เราไม่ควรซื้อหุ้นตัวที่สองเพียงเพราะเรากำไรจากตัวแรก แต่เราควรซื้อหุ้นที่สองเมื่อเรียนรู้อะไรบางอย่างจากหุ้นตัวแรก -- ตอบให้ได้ก่อนว่า หุ้นตัวแรกสอนอะไรเรา ?

5. 'เราทุกคนเต็มไปด้วย เหตุปัจจัยแห่งความล้มเหลว' ..หนทางสู่ความสำเร็จ คือ เส้นทางแห่งการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในทุกๆครั้งที่ลงทุนเพื่อลดปัจจัยแห่งความล้มเหลวให้ลดลงเรื่อย -- 'ผู้ชนะก็คือ คนแพ้ที่หมั่นเรียนรู้แบบไม่หยุดยั้ง'

6. 'คนเก่งที่เราคุยด้วย จะเป็นอาจารย์ที่ดี แม้ว่าเขาจะนำวิกฤตหรือโอกาสมาสู่เราก็ตามที' ..ผู้บริหารที่เก่ง จะคิดแบบที่เราอยากให้เขาทำอยู่แล้ว -- เป๊ะ!!

7. 'ความสำเร็จในปัจจุบัน ไม่ใช่ยุคของการ กระจายความเสี่ยง แต่เป็นยุคของการรวมความเสี่ยงมาในจุดที่เราเชี่ยวชาญ' 

8. 'ธุรกิจที่ดีไม่ได้ขึ้นกับว่าเราอยู่ในอุตสาหกรรมยอดฮิตหรือไม่ ..แต่ขึ้นกับว่าใครคือกัปตันเรือ' ...หุ้นที่ดี ต้องเป็นชีวิตของเจ้าของ ทั้งชีวิต !! -- และเขาก็ทุ่มทั้งชีวิตเพื่อสร้างมัน !!

9. 'นักล่าที่ดี ไม่ใช่คนที่ล่าอะไรก็ได้ ล่าแบบเอากำไรง่ายๆ หรือ หาเช้ากินค่ำ ..นักล่าที่ดี จะไม่เปลี่ยนเป้าหมาย หรือ หลุดจากความเชี่ยวชาญ' ...ถ้าเราคือนักล่าเสือ เราจะไม่ล่ากระต่ายก็ได้ แต่เราจะรอเพื่อล่าเสือ !!

10. 'การขาดทุนระยะสั้น ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่การพลาดโอกาสแห่งการเติบโตทางความคิดและปัญญา นั่นแหละคือ ความพ่ายแพ้อย่างแท้จริง'

ข้อคิด 10 ข้อ จากพี่เคน 'นักลงทุนใจใหญ่ & รายใหญ่ และ เจ้าของธุรกิจ'



ยุคนี้คนแตกต่าง สำเร็จจริงๆ เหรอ


'คนเราต้องเก่งทุกอย่างจริงๆ เหรอ ..ถึงจะชีวิตประสบความสำเร็จ'

ลองดูคนเดี๋ยวนี้ซิ มีเรื่องให้เรียนเยอะ มีประสบการณ์ให้สัมผัสก็มากมาย -- คุณว่า จะสำเร็จต้องทำทุกอย่าง เป็นทุกสิ่ง รู้ทั้งหมด ...ถ้าแบบนั้น ชีวิต 100 ปีก็ไม่พอ

'ความสำเร็จ เกิดจากสิ่งเดียว คือ เราแตกต่าง ..สมมุติคนส่วนใหญ่เดินทางขวา เราต้องเดินทางซ้าย' ...ว่าแต่ เวลานี้มีอะไรที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ทำบ้าง ?

 -- คิดต่าง พูดง่าย แล้วทำยังไงล่ะ ?

เยอะครับ !! ..มนุษย์ส่วนใหญ่ ทำเหมือนๆกัน ..ถ้าอยากสำเร็จ เดินออกมาจากฝูงชน 

ตามหลัก 5 วิชา ต่างมุม !!

หนึ่ง คนส่วนใหญ่ทำงานมองที่เงิน 'เรามองที่ความรู้ที่จะได้จากงาน ...วิชามองผ่านเงิน'

สอง คนส่วนใหญ่รู้ทุกอย่าง 'เราเลือกรู้ลึกๆ แค่บางอย่าง แล้วค่อยหาเพื่อนที่เชี่ยวชาญอีกอย่าง ...วิชาโฟกัส'

สาม คนส่วนใหญ่อยากสำเร็จเร็ว 'เราเลือกทางเดิน ..วิชาสำเร็จช้า'

สี่ คนส่วนใหญ่ทำงานเป็นทาสเงิน 'เราเป็นนายเงิน วางมันทำงาน ..วิชานายเงิน'

ห้า คนส่วนใหญ่เกลียดงานที่ตัวเองทำ 'เราหางานที่รักทำ แล้วทำชั่วชีวิต ..วิชารักงาน'

ใช่!! 5 วิชานี้ อาจดู ขำขำ แต่ใครทำได้ ก็แตกต่าง ...คุณจะเป็นคนส่วนน้อยในสังคมที่ประสบความสำเร็จในทางเดินที่คุณเลือกทำ !!



วันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ถกเถียงเรื่องเกษียณ


'ยุคนี้การเกษียณ เหมือนจะหมดอายุแล้วน่ะ !!'

ช่วงหลังนี้มีการถกเถียงเรื่อง 'ตายแล้วไปไหน ?'...เฮ้ย !! ฮึม ไม่ใช่ 'เขาถกเถียงเรื่อง เกษียณ คือ หนึ่ง เกษียณแล้วจะทำอะไร ? ..สอง เกษียณแล้วตายช้า จะเอาเงินที่ไหนกิน ?'

คุณรู้ไหม เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องกังวล ของคนในอดีตเลย ..ผมก็มานั่งคิดว่าทำไม ? 

-- อ๋อ !! เพราะในอดีตอายุขัยของคนมันแค่ 60 ปีไง ..สรุป คนสมัยก่อนไม่ได้เครียดหาเงินเร็ว ตุนเงิน ไม่ต้องเก็บเงิน ทำงานเรื่อยๆ ชิวๆ สนุกกับงาน ..อาแป๊ะ ขายก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่หนุ่มจนแก่ก็ยังขาย ..อาม่า ขายกล้วยปิ้ง ..ลุงมา ทำสวน (คนสมัยก่อน เป็นเจ้าของธุรกิจ เขาหาอาชีพที่รักที่ถนัด ทำจนตายทั้งนั้นแหละ)

'จุดนี้น่าคิด ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ คือ แทนที่จะรวยเร็ว หาเงินก้อนเพื่อเกษียณ ..ทำไมเราไม่หางานที่ชอบ แล้วทำทั้งชีวิต'

เหตุผลเดียวที่คนเราอยากเกษียณ ก็คือ เราทำงานที่เราไม่ชอบไง ...

ทางแก้ปัญหานี้ มี 2 ทาง คือ 

หนึ่ง ก็หางานที่ชอบทำ ..ถ้าวันนี้งานที่ทำยังไม่ใช่ ก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองไปทำงานที่ชอบในที่สุด 'เป้าหมายนี้คือ ทางสู่ที่ชอบที่ชอบ  ..งานชอบ!!'

สอง หา Passive Income ให้มากกว่า รายจ่าย จากนั้นก็เปลี่ยนงานที่ไม่ชอบ ไปสู่งานที่ชอบ ...'มีเงิน แล้วไปที่ชอบเช่นกัน ..งานชอบ!!'

สรุป ..ไม่ว่าเส้นทางไหน ...'งานที่ชอบ คือ คำตอบครับ' ...ชีวิตคน เราอธิบายตัวเอง มีความสุข จากงานที่ทำ ..เป้าหมายคือ ไปสู่งานที่ชอบนั่นเองครับ !!

คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้บ้างล่ะครับ ?


หลักการจ่ายเงินให้รวยขึ้น


หลักการจ่ายเงินให้รวยขึ้น ..คิดยังไง ?

'คุณใช้เงินเป็นไหม ?' ..คำถามนี้ท้าทายคนรุ่นใหม่มาก เพราะ คนส่วนใหญ่จะตอบทันทีว่า 'ถามไมฟระ!! ส่งเงินมาดิ เดี๋ยวจะใช้ให้ดู !!'

ผมไปพูดให้กับน้องๆ ที่มหาวิทยาลัย ก็ถามน้องๆว่า 'ถ้ามีคนให้น้อง 1 ล้าน แล้วบอกว่า ถ้าใช้ไม่หมดใน 1 วัน จะเอาคืน ..ทุกคนบอก ใช้หมดแน่นอน ..แต่พอถามว่า แล้วถ้าให้น้องหาเงิน 1 ล้านจาก ปริญญาความรู้ที่มีเลยนี่ น้องๆ จะใช้เวลากี่วันล่ะ ถึงจะหาเงินได้ 1 ล้าน ?'

โอวว!! เงินเวลาใช้แสนง่าย เวลาหา แสนยาก ..555

ผมมีวิธีมองเงินมาแชร์ ..ถ้าอยากใช้เงินเป็น หรือ ใช้เงินคุ้มค่า ต้องเข้าใจ เรื่อง 'สัญลักษณ์'(Symbolic) กับ 'อัตลักษณ์' (Identity)

คนไทยและคนเอเชียใช้เงินเก่ง เพราะเราเป็นสังคม 'สัญลักษณ์' ..คือ จ่ายเงินเพื่อซื้อของแสดงสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ 

สังเกตไหมว่า เวลาคนเอเชียซื้อของ จะซื้อเพราะอยากให้คนอื่นมองเราดี ..ซื้อเพื่อโชว์ , ใช้เพื่อโชว์ ..ทุกอย่างเพื่อโชว์ 'For Show'  -- อันนี้แหละ สังคมสัญลักษณ์ ..มีเงินเท่าไหร่ใช้ซื้อของที่ไม่จำเป็น แม้เราไม่ต้องการ

 ...จนมีคำพูดแรงๆ ล้อเราว่า 'เรามักซื้อของที่ไม่จำเป็น ในเวลาที่ไม่พร้อม เพียงเพื่อเอามาโชว์คนที่เราไม่ชอบ'

แต่การใช้เงินที่ฉลาดใช้ คือ การใช้เงินแบบเข้าใจ 'เอกลักษณ์' (Identity) ..วันนี้ลองสำรวจร้าน Brandname ดังๆ ส่วนมากเขาขายคนเอเชียนะ ..ในร้านมีแต่หัวดำ ..แต่เราแย่งกันซื้อจนลืมตั้งคำถามว่า ทำไมมีแต่หัวดำซื้อล่ะ ? 

สิ่งที่ต่างของสังคมฝรั่งคือ เขาเป็นสังคม เอกลักษณ์ คือ เน้นความ Uniqueness ของแต่ละคน

'เราไม่ได้มีค่าเพราะเรา มีเงินซื้ออะไร ..แต่เรามีค่าเพราะเรามีความโดดเด่น ที่เป็นประโยชน์จากสิ่งที่เราทำ งานที่เราทำ' 

...อันนี้ไม่ได้หมายความว่า เราห้ามซื้อของ Brandname ราคาแพง ...ไม่ใช่!! 'ซื้อได้ครับ 

แต่ต้องซื้อเพราะเราอยากได้จริงๆ ไม่ใช่ซื้อเพื่อโชว์คนอื่นไม่ให้น้อยหน้า 

...ต่างกันนะ 'ซื้อเพื่อตัวเราจริงๆ' กับ 'ซื้อเพื่อคนอื่น' !!

ถ้าเราแบ่ง Symbolic กับ Identity ออกจากกันจะเห็นได้เลยว่า ...การใช้เงินเพื่อตัวเอง กับ ใช้เงินเพื่ออวดคนอื่น มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

อันนี้เป็นหนึ่งใน มุมมองที่นักลงทุนควรมี ..เมื่อหาเงินเป็นแล้ว ก็ควรใช้เงินเป็นด้วยนั่นเอง !! -- นี่แหละ 'จ่ายเงินให้รวยขึ้น'

เริ่มลงทุนแบบง่ายๆ


มีหลายคนถามผมว่า อยากเริ่มลงทุนเป็น ..จะเริ่มยังไง ..ผมว่า 'ก็เริ่มเลย' อย่าเพิ่งไปตั้งเป้าว่าฉันจะรวยเท่านั้นเท่านี้ 

ให้นึกซะว่า วันนี้จะมา เรียนรู้การว่ายน้ำ ...จากนั้นก็พยายามเรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติไปพร้อมๆกัน

ไม่สำคัญว่าเงินมากเงินน้อย ..เงินน้อยยิ่งดี เหมือนว่ายน้ำ ถ้าเริ่มแล้ว ทำพริ้ว คงสำลักน้ำเยอะ ..เอาแบบเราควบคุมได้ 'เริ่มลงทุนแต่น้อยๆ หลัก พัน หลักหมื่น ..ช่วงแรกอย่าเยอะ'

เป้าหมายของการลงทุนเป็น ก็เหมือน 'ว่ายน้ำเป็น' ..เราทุกคนไม่จำเป็นต้องเป็นนักว่ายน้ำโอลิมปิค

เอาแค่ ตกน้ำแล้วไม่ตาย เอาตัวรอดได้ -- เรื่อง 'เงิน' ก็เช่นกัน ..เราเรียนลงทุนก็เพื่อเอาตัวรอดเรื่องเงินในโลกยุคนี้ 

(เหมือนง่ายนะ แต่ไม่ง่าย!! ..เรื่องเงิน 'วิธีการเป็นนักลงทุน' เป็นสิ่งเดียวที่มหาวิทยาลัยไม่สอน แต่สำคัญที่สุดในชีวิต อ่ะ!!)

'มีเงินใช้ บริหารเงินเป็น และ วางเงินทำงานได้' ..แค่นี้ชีวิตสบายกว่า คนที่ว่ายน้ำทางการเงินไม่เป็น 

ชีวิตเปลี่ยนจริงๆ ลองศึกษาการลงทุนจริงๆ แล้วคุณจะเข้าใจครับ 

(ในโลกการลงทุน ไม่ใช่ทุกคนจะต้องมานั่งเฝ้าหน้าจอแล้วลุ้นหุ้นขึ้นลงตลอดเวลา อันนั้นมันชีวิตเทรดเดอร์ ซึ่งอาจไม่เหมาะกับทุกคน 

..มันมีการลงทุนแบบ วางเงินทำงานด้วย อย่างเช่น ออมในหุ้น 'ซื้อหุ้นแล้วถือไปเลย ไม่ต้องขาย วางให้เงินมันโต ให้มันออกดอก ปันผล แล้วรอมันโต -- ภาษาวัยรุ่นคือ 'ทนรวย'

 ...เรื่องพวกนี้ ฟังดูง่าย แต่ปฏิบัติจริง ต้องมีความรู้ และเข้าใจทั้งวิธีการ รวมทั้งเข้าใจตัวเองซึ่งสำคัญที่สุด

 ...ลองเปิดใจศึกษา แล้วจะพบว่า โลกของนักลงทุน มันมากกว่าที่เราเคยคิด และมันสนุกที่เราได้ควมคุมชีวิตตัวเองครับ!!)

การเข้าใจ เงิน ในโลกยุคฟองสบู่


'ยุคนี้เขาจัดอันดับ คนรวยกันร้อยล้าน พันล้าน ทำไมมากมาย แต่หันกลับมามองตัวฉัน!! ..มันดูห่างไกลจากความเป็นจริงอย่างไรบ้าง ?'

หลายคนไม่ทราบว่า การจัดอันดับเศรษฐีส่วนใหญ่เขาไม่ได้สนเงินสด แต่เขาวัดที่ Asset เช่น ที่ดิน, อสังหา และ หุ้น ที่ถือครอง ..อันนี้เขาเรียก Net Worth 'ความมั่งคั่งสุทธิ'

จริงๆ การวัดค่าของคน จาก Net Worth มันไม่ได้สะท้อนความร่ำรวย หรือ ยากดีมีจน 

..มันเหมือนถ้าเราจะมองคนจากเงินที่เขามีอย่างเดียวอาจไม่ใช่ เช่น คนที่ถูกล็อตเตอรี่ หรือ ได้เงินก้อนจากมรดก / ได้เงินก้อนจากการพนัน ..ได้จากโชค ส่วนมาก มักรักษาเงินนั้นไว้ยาก 

วิธีการที่ถูกต้อง ควรมองเป็น 3 ส่วนดังนี้

'การดูความมั่นคงทางการเงิน เราวัดจาก 3 เสาแห่งความมั่งคั่ง (The Triangle of Wealth)' ดังนี้

1. Cash-Flow 'กระแสเงินสด' หลักๆ เราวัดจากเงินเดือน และความมั่นคงของงานที่ทำ (คนส่วนใหญ่จดจ่ออยู่เรื่องนี้อยู่เรื่องเดียว จนกลายเป็นทาสเงิน ทำงานหนักจนไม่มีเวลาให้ทั้งตัวเองและครอบครัว ..แทนที่ชีวิตจะดี กลับไม่ใช่)

2. 'Passive Income' อันนี้วัดความอิสระทางการเงินของเรา ..ถ้าใครมี Passive Income เหนือรายจ่ายขั้นต่ำ นี่ถือว่า 'Financial Freedom' ...ที่หลายๆคนเข้าใจว่ามี 10 ล้าน ร้อยล้าน หรือ พันล้าน มันคืออิสรภาพทางการเงิน ซึ่งไม่ใช่เลย ..เพราะเศรษฐีล้มละลายได้ถ้าบริหารธุรกิจพลาด ..แต่คนที่มี Passive Income เหนือ ค่าใช้จ่าย พวกนี้ไม่มีวันล้มละลาย มีแต่จะรวยขึ้น (ตรงนี้คนส่วนใหญ่ตั้งเป้าทางการเงินผิดทางอย่างแรง)

3. 'Asset' อันนี้เป็นของสะสมที่สะท้อนความมั่งคั่ง และ ภาพลักษณ์ ..เรื่อง Asset ขึ้นกับความสามารถในการตีราคาและการเข้าใจมูลค่าอย่างลึกซึ้งใน Asset ต่างๆ

ใช่!!! เราต้องเน้น 3 ด้านให้สมดุลย์ ...คนส่วนใหญ่สนใจด้านหนึ่ง และไม่เข้าใจด้านสอง (ไม่รู้จักการวางเงินให้ทำงาน) และ ปฏิเสธที่จะเรียนรู้เรื่อง Asset

สรุปแล้ว ถ้าใครให้ความสำคัญ ทั้ง 3 ด้าน ให้เหมาะกับตัวเอง ...ชีวิตด้านการเงินจะรุ่งโรจน์ครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การเลือกลูกค้าสำคัญสุดๆ กับธุรกิจเล็กๆ


'การเลือกลูกค้า ยิ่งสำคัญ โดยเฉพาะธุรกิจเล็กๆ และ Start-Up Business'

หลายคนพูดว่า ขอทำทุกอย่าง โดยไม่สนว่าใครจะจ้างก็ตาม ..หรือ ขายทุกคนที่ขวางหน้า ใครผ่านมาฉันต้องขายให้ได้ -- แนวคิดนี้อาจใช้ได้กับธุรกิจขนาดใหญ่ แต่ไม่เหมาะกับรายเล็ก

'ถ้าเราเลือกว่า ขายใครก็ได้' นั่นแปลว่า เราไม่ได้เลือกกลุ่มลูกค้าในดวงใจ ...ของที่จะขายแบบนี้ได้ต้องเป็นของที่มันขายได้ด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว เช่น สินค้ามี Brand , ..

แต่ธุรกิจเล็ก มันไม่ใช่เลย ..สำหรับธุรกิจเล็กๆ หรือ Start-Up เราขายของที่คนไม่รู้จัก หรือ บางครั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาต้องการสิ่งนี้

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด ของธุรกิจเล็กต้องทำคือ STP 'Segment - Targeting - Positioing'  ..ภาษาชาวบ้าน คือ เลือกกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนก่อนขาย แล้วทุ่มงบการสื่อสารไปที่กลุ่มเล็กกลุ่มที่เราเลือก -- เงินน้อย ต้องฝึก 'ต่อยไปที่เป้า' ..อย่าหว่านงบ คุณต้อง พุ่งไปที่จุดเดียว มิเช่นนั้นคุณจะกลายเป็นทำตลาดแบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

วันนี้หลายๆ ธุรกิจพลาด ทั้งที่มีคนเก่งๆมากมาย ..เขาแค่ลืมเลือกลูกค้าก็เท่านั้นเอง

'เลือกลูกค้า แล้วต่อยย้ำ ทุ่มงบ ทุ่มการสื่อสาร ไปที่กลุ่มเป้าหมาย' ...ยุคนี้เราต้องชัดเจนครับ !!

ยุคนี้ไม่มี Careerpath แล้วล่ะ


'ยุคนี้ไม่มี Career Path แล้วล่ะ!!' 

ใครคิดจะทำงานเพื่อตำแหน่งที่สูงขึ้น เงินเยอะ มั่นคง แบบสมัยก่อน ..ยุคนี้ไม่มีแล้วครับ !!

เดี๋ยวนี้ใครเริ่มทำงานตรงไหน ก็เกษียณตรงนั้นแหละ เริ่มถ่ายเอกสาร ตอนเกษียณก็ทำตรงนั้นเลย ..มันหมดยุคที่เริ่มจากวิ่งเอกสาร แล้วไต่เต้าเป็นผู้จัดการ ..ไม่มีอ่ะ !!

เพราะยุคนี้ ตำแหน่งบริหาร เขาซื้อตัวคนนอกหมด เอาคนจากไหนไม่รู้มาเป็นนายเรา ...ทางแก้ คือ เราเองต้องปรับตัว ก็คือ เลิกมอง Careerpath เปลี่ยนมามองโอกาสจาก รอบๆตัว ..จาก Skill ที่เรามี ..จากคนที่เรารู้จัก ..จากความรู้และความสามารถของเรา

โอกาสอย่ามองแค่ 'หน้าที่ตรงหน้า' แต่ให้มองว่า ด้วยความสามารถและประสบการณ์ที่เรามี สามารถทำอย่างอื่นได้หรือไม่ เช่น หน้าที่เราอาจเป็นพนักงานส่งเอกสาร ..แต่ความเชี่ยวชาญของเรา สามารถเปลี่ยนเป็นเจ้าของบริษัทจัดส่งก็เป็นได้ ...วิธีมองแบบนี้คือการมอง Career Landscape!!

การมอง Career Landscape ก็คือ กลับมา ทบทวนความเชี่ยวชาญของเราเพื่อ มองโอกาส อื่นๆ นอกจากหน้าที่

 ..เป็นวิธีการเติบโตที่โตจากเข้าใจตัวเองนั่นแหละ 

ลองมอง Career Landscape ของตัวคุณดูครับ ..ว่าจริงๆ คุณทำได้มากกว่า 'เก่งกว่า' งานที่ทำอยู่หรือไม่ ? 

แค่เปลี่ยน มุมมอง ก็เปลี่ยนชีวิตได้ครับ !!

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

งานเท่ากับ Passion


'แบบสำรวจ ว่า งานที่เราทำ มันใช่สำหรับเราหรือยัง : แบบทดสอบ Work = Passion' 

คนส่วนมาก ที่ยังไม่รวย หรือ ยังไม่ดัง อาจเป็นเพราะ work = pain 'งานที่ทำเป็นทุกข์ ..ก็เลยไม่สร้างผลงาน ..ทำงานแบบขอไปที ให้เสร็จๆ ทำรอวันหยุด -- นั่นแหละเลยยังไม่ดัง และ ยังไม่รวย'

ทางแก้ ให้เปลี่ยน Work ให้เป็น Passion ..ลองสำรวจดูซิว่า งานที่เราทำนี้ใช่ Passion หรือยัง ? ดังนี้

Checklist 7 ข้อ 'work = passion' เราได้กี่ข้อแล้ว ?

1. 'งานที่เราทำ มันดีจนใครๆก็ชม ..ใครๆก็อยากให้เราช่วย ..เราเจ๋งเป้งในงานนี้ คนอื่นต้องนึกถึงเราก่อนเมื่อพูดถึงงานแบบนี้' (People Love Your work)

2. 'งานที่เราทำ ต่อให้ไม่ได้เงิน ฉันก็ยังทำ เพราะ ใจมันรักงานนี้ ..ฉันทำงานนี้เพราะชอบทำ ไม่ใช่ทนทำ' (Not About Money)

3. 'งานที่เราทำไม่ใช่อาชีพยอดฮิต ..มองไปรอบๆ แทบไม่มีมนุษย์คนไหนทำงานแบบที่ฉันทำเลย (ไม่มีคู่แข่ง หรือ คนทำแข่งน้อย ว่างั้นเถอะ)' (Not a Recommend Job)

4. 'ฉันได้เครคิตในงานที่ฉันทำ ..ทุกงานมีชื่อว่าฉันเป็นคนสร้าง และรับผิดชอบ จะดีจะแย่ ฉันก็รับผลวิจารณ์ด้วยความเต็มใจ' (Take Credit)

5. 'งานฉันสร้างประโยชน์ อะไรบางอย่างให้อื่น' (Benefit to Others)

6. 'ฉันได้เงินดีเลยในงานที่ฉันทำ ..พูดง่ายๆ คือ มีคนอื่นเห็นค่าในงานของฉัน แล้วยอมจ่ายให้ในราคาที่คุ้มค่า' (Value to Others)

7. 'ฉันเลือกเวลาในการทำงานได้เอง เพราะงานฉันถูกวัดด้วยผลงาน ไม่ได้วัดที่เวลา' (Performance base valuation)

ตกลงเราผ่านกี่ข้อครับ ? ...ลองปรับใช้แล้วต่อยอดในงานที่เราทำ เพื่อเปลี่ยน 'work = pain' ให้กลายเป็น 'work = passion' ในที่สุดครับ

'งานในฝัน ไม่มีใครใส่พานมาให้เรา ..งานในฝัน เราต้องค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาเอง ใช้ความเชี่ยวชาญ ใช้ความรัก และ ใช้ความอดทน ใส่เข้าไปในงาน !!'

#จากหนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ #ภาววิทย์ กลิ่นประทุม 

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ