แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความเชื่อที่ 2 ของ The Stock Master


'ความเชื่อที่ 2 ของ The Stock Master'

การลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องยากเพราะต้องเข้าใจความผันผวนของราคาซึ่งถือเป็นเรื่องที่แม้เข้าใจ ก็อาจจะอดทนได้ยาก

แต่สิ่งที่เราเชื่อมาตลอดก็คือ ในความมืดก็ย่อมมีดวงดาว ..ในวิกฤตที่คนส่วนใหญ่กลัว ก็ย่อมมีโอกาสเสมอ

เราจัดโครงการ The Stock Master เป็นปีที่สี่ เพื่อที่จะฝึกฝีมือนักลงทุนรายย่อยให้รู้จริง กับสนามจริง โดยการเรียนการสอนที่ใช้เงินจริงๆ พร้อมการวัดผลผ่าน iTracker ใน Port ของนักลงทุนผู้เข้าแข่งขันทุกท่าน เพื่อวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อน และโอกาสให้กับนักลงทุนแต่ละคน

การแข่งครั้งนี้ อาจไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อชนะคนอื่น แต่เป้าหมายที่สำคัญกว่าคือการชนะใจตัวเอง มีความรู้ที่ถูกต้อง และ เป็นนักลงทุนที่อยู่รอดแล้วรวยจากตลาดหุ้นได้นั่นเอง

ยังมีเวลาครับ ผู้ที่สนใจ เข้าร่วมโครงการได้แล้ววันนี้ครับ คลิ๊ก www.bualuang.co.th/thestockmaster

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ความเชื่อที่ 1 ของ The Stock Master


'ความเชื่อที่ 1 ของ The Stock Master'

'เซียนหุ้น ก็เคยเป็น แมงเม่ามาก่อน' ...อันนี้ผมว่าสะกิตใจใครหลายๆคนที่เข้าตลาดหุ้นแล้วเสียหายพ่ายแพ้ เลิกเล่นไป 

คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า ตลาดหุ้นมีผู้ชนะเพียง 20% จาก 100 % แต่คนเหล่านั้น ก็เคยผิดพลาดล้มเหลวมาแล้วทุกคน ...แปลง่ายๆว่า คนที่ไม่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะรวยจากตลาดหุ้น แล้วลุกขึ้นมาสู้ใหม่จากความพ่ายแพ้ สุดท้ายก็จะเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ชนะนั่นเอง !!

และนี่คือ สุดเริ่มต้นของ สถาบัน The Stock Master ที่เราพัฒนาต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 ...โดยครั้งนี้เปิดเวทีกว้าง และ ครบเครื่องกว่าทุกครั้งเนื่องจาก เราเรียนผ่าน Application ที่ทันสมัยสุดๆในวงการหุ้น 'App Bualuang Connex' 

- ห้องเรียนสด Online ทุกทีกว่าสิบครั้ง
- เครื่องวัดฝีมือนักลงทุน iTracker เพื่อการเข้าใจตัวเอง ดูจุดแข็งจุดอ่อนในวิธีการลงทุนจากการวัดผล ซื้อขายเงินจริงตลอด 2 เดือน
- ฝึกใช้ Robot 'iAlgo' ช่วยเฝ้า Port ตลอดโครงการ
- เดินทางฝึกฝีมือ แลกเปลี่ยนความรู้ กับผู้ร่วมโครงการท่านอื่นๆ

ความเชื่อที่ 1 ในสองเดือน เราจะเปลี่ยน คนธรรมดาให้เข้าใจตลาดหุ้น ผ่านการเรียนจริง เงินจริง รู้กันจริงๆ

(ฮึม!! จะบอกว่า ทั้งโครงการนี้ มีค่าใช้จ่ายเพียง 2,000 บาท ..รู้แล้วสมัครด่วน แล้วเดินทางไปด้วยกัน เหล่าผู้กล้านักลงทุน The Stock Master)

บทเรียนการสร้างสิ่งที่ไม่เคยมี


'บทเรียนการสร้างสิ่งที่ไม่เคยมี'

หนึ่งในธุรกิจที่กำไรที่สุดในโลกยุคนี้ก็คือ ธุรกิจขายข้อมูล ...ในโลกของผู้ใช้ข้อมูลมากที่สุดก็คือ 'นักการเงิน' 

บริษัทที่ผมจะเล่าให้ฟังคือ Bloomberg เป็นบริษัทที่ขายข้อมูลให้ Trader ทั่วโลก ผ่าน Terminal ที่เก็บค่าใช้รายปีกว่าครึ่งล้านบาทต่อเครื่อง ต่อคน และที่เด็ดกว่านั้นคือ ไม่ว่าคุณจะซื้อกี่เครื่องก็จ่ายตามจำนวน ไม่มีส่วนลดพิเศษ

พูดง่ายๆ ว่า Bloomberg เป็นบริษัทขายข้อมูลแบบ Premium คล้ายๆ รถเบนซ์ หรือ นาฬิกา Rolex แต่ทั้งหมด คือ 'ข้อมูล'

สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นก็คือ ในโลกยุคนี้ ไม่จำเป็นที่สินค้าและบริการจะต้องเป็นสิ่งที่จับต้องได้ หรือ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้ว -- Michael Bloomberg เขาสร้างตัวจนเป็นมหาเศรษฐีจากการรวบรวมข้อมูล ที่ Trader อยากใช้ รวมมาไว้ใจ Terminal Bloomberg ของเขาแล้วก็คิดค่าบริการรายเดือน

ใช่!! ความสำเร็จเกิดจาก 
1. ทำสิ่งที่คนอยากได้ (ยิ่งไม่มีใครทำมาก่อน ยิ่งเป็นโอกาส)
2. ไม่ต้องสนใจว่ามีตลาดหรือไม่ ขอให้สิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย ทำให้ดีที่สุด แล้วสุดท้ายตลาดจะเกิดเอง
3. ของที่ดี ที่คนอยากใช้ แม้ราคาสูง ก็ไม่ได้แปลว่าความต้องการจะลดลง ..สิ่งที่สำคัญคือรู้ว่าใครคือลูกค้าเป้าหมาย
4. อย่าหยุดพัฒนาเพื่อไปสู่เป้าหมาย ทำให้ดีที่สุด อย่าหยุดเดิน

ยุคนี้ โลกเปลี่ยน ยิ่งเป็นโอกาสให้คนตัวเล็ก แต่ฝันใหญ่ ...ฝันอะไร ลองลงมือทำดูครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กลับมาอีกครั้งกับ The Stock Master ปีที่ 4


กลับมาอีกครั้งกับ The Stock Master ปีที่ 4 ..โครงการปั้นมือใหม่ให้เข้าตลาดหุ้นแบบเล่นจริง เงินจริง เรียนจริง ...ครั้งนี้ปีที่ 4 เราเปิดให้รายย่อย ที่เข้าร่วมโครงการสามารถใช้ Robot 'iAlgo' โดยไม่จำเป็นต้องมี Port ขั้นต่ำหนึ่งล้านบาท (เพียงสมัครโครงการ เปิดบัญชีบัวหลวง ชำระค่าสมัคร 2,000 บาท ใช้ได้เลย)

โครงการนี้เป็นการเรียน Online ทั้งหมด 10 ครั้ง พร้อมให้ผู้เรียนซื้อขายจริง วัดผล Online สดๆ ผ่าน 'iTracker' ของแต่ละคน เพื่อความเข้าใจจริง และปฏิบัติซื้อขายจริงในสิ่งที่เรียนตามแบบ The Stock Master 

ค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตร 2 เดือนเต็ม 'ตุลา - พฤศจิกายน' : เพียงท่านละ 2,000 บาท เรียน Online ที่ใดก็ได้ 10 ครั้ง 'เต็มหลักสูตร SM' ซึ่งสามารถดูซ้ำเนื้อหา และ สามารถใช้ Bualuang Connex App ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยนักลงทุนรายย่อยที่เราพัฒนาขึ้นมาพิเศษ (ซึ่งรวมถึงการใช้ Robot ด้วยตัวเองผ่าน App Connex พิเศษนี้ด้วย)

เริ่มลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ในลิงค์นี้ เข้าศึกษารายละเอียดได้ก่อนในนี้และสมัครได้ที่นี่ครับ www.bualuang.co.th/thestockmaster

ด่วน จำนวนจำกัด ใครสนใจรีบสมัครเลย !!

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

กระจกวิเศษจงบอกข้าเถิด


"กระจกวิเศษจงบอกข้าเถิด ...ตัวข้าต้องทำอย่างไรให้ดวงดีขึ้น !!"

หลายคนพยายามหาของวิเศษ ..หาสิ่งที่ทำให้เราชีวิตดีขึ้นแบบดีดนิ้ว .."เป๊าะ!! ชีวิตเจ้าเปลี่ยนแล้ว"

ไม่แปลกครับ เพราะ เราทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่อ่อนแอ แล้วก็พยายามหาที่พึ่ง หรือ ที่สิ่งที่จะช่วยให้เราผ่านเรื่องร้ายๆ ไปไวไว ...แต่สุดท้าย ผมว่า สิ่งที่จะพาเราผ่านวิกฤตหรือ สิ่งร้ายๆ ไปได้ ก็คือ "ตัวเราเอง"

ฟังดูเซ็งนะ ที่เราต้องปืนขึ้นมาจากเหวเอง แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ผมมีเรื่องของ "กระจกวิเศษ" ที่ผมใช้ในการส่องตัวเอง

ใช่ !! ทุกครั้งที่ผมเจอวิกฤต ผมจะเอา "กระจกวิเศษ" ส่องตัวผมเอง ...."ความล้มเหลว" มันเป็นผลลัพธ์จากสิ่งที่ผมทำมาก่อนหน้านี้ ดังนั้น กระจกวิเศษ ก็เอามาส่องว่า อะไรคือเหตุให้ผม มาเจอผลลัพธ์แบบนี้

ทุกครั้งที่ผมส่องไปที่เหตุ ผมก็พบว่า "ชีวิตเราที่ได้ผลลัพธ์แบบนี้ เพราะ เราเลือกทำอะไรบางอย่างที่ผิด ดังนั้น ผมก็จะใช้ปัจจุบัน ในการเริ่มเปลี่ยน เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนพฤติกรรม --นั่นแหละ ของวิเศษของผม"

ตัวเราคือ สิ่งวิเศษ ...ทุกอย่างเกิดจากเหตุและผล -- อยาเปลี่ยนชีวิต ใช้ตัวเราเปลี่ยนครับ

"อยากรวยขึ้น ใช้เงินให้น้อยลง เอาเงินเปลี่ยนเป็น Asset แล้วเราจะไม่ค่อยอยากใช้ ...แค่นี้เราก็ใช้เงินยากขึ้น แถม Asset ที่ถือ ก็มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ...นี่คือ "ผล" ที่ทำให้คนรวยยิ่งรวย และ คนจนยิ่งจน ...เพราะ "เหตุ" คือ คนรวยเก็บเงินใน Asset เลยไม่ค่อยอยากใช้ แถมยิ่งเก็บยิ่งรวย ...แต่คนจน เก็บเงินสด มูลค่าเงินมีแต่ลด แถมมีเงินสดก็ใช้ง่าย จะไปเก็บเงินได้อย่างไร --- เหตุและผล ชัดเจน"

กระจกวิเศษ ก็คือ การหา "เหตุ" และ "ผล" นั่นเองครับ

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2558

'หาหนังสือนำเที่ยวมาอ่านพลางๆ'


'หาหนังสือนำเที่ยวมาอ่านพลางๆ'

ช่วงนี้เพิ่งกลับจากเดินทาง ผมมาแวะหาหนังสืออ่าน ไปเจอหนังสือเล่มใหม่ของนิตยสารค่ายโปรด Monocle ..เป็น Travel Guide to London ก็เลยซื้อมา แต่

1. ผมไม่ได้จะไปเที่ยว London แล้วผมซื้อมาทำไม ? ...เออ !! แล้วผมจะซื้อมาอ่านทำไม เล่มละ 550 บาท ไม่ถูกเลยนะ 

2. เป็น Guide Book ที่มองไปในมุม Slow Life ผ่านมุมมองของนักธุรกิจที่ชอบเดินทาง  อย่างเจ้าของ Monocle มิสเตอร์ Tyler Brule ..มันเลย เหมือนการเล่าเรื่องผ่านมุมของ Tyler ว่า นักธุรกิจแบบเขา ดูอะไร , ทำอะไร , กินอะไร ...เออ 'แนวดี ..55'

3. ผมตามดูแนวทางการทำธุรกิจของ Monocle มาหลายปีแล้ว ..ผมเรียกวิธีการทำธุรกิจของเขาว่า 'ตามใจกรู' -- Tyler Brule เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่เกือบไปทิ้งชีวิตในช่วงที่เขาทำข่าวแบบจริงจัง จนเขาเลิกทำข่าวมาตั้งนิตยสารชื่อ Wallpaper ซึ่งดังเป็นพลุแตกในโลกของสถาปนิก , นักออกแบบ และ สายอาร์ต ...จากนั้นเขาก็ขาย Wallpaper ให้กับบริษัทใหญ่ไป แล้วตัวเองหันมาปั้นนิตยสารสำหรับ คนที่มองตัวเองเป็น Global Citizen ชื่อว่า Monocle

ถ้าใครดูการทำธุรกิจของ Monocle จะรู้สึกว่า 'โคตรติส' เพราะเขาตั้งนิตยสารในช่วงวิกฤตการเงินของโลก ..บ้าระห่ำประการที่หนึ่ง ..จากนั้นเขาก็แตกแขนง Monocle ไปทำร้าน กาแฟ ..ทำ Fashion ..ทำสถานีวิทยุ Online 24 ชม. ..ทำโฆษณา PR (บริษัทพวก Luxury , สายการบิน และ การท่องเที่ยว) ..บ้าระห่ำประการที่สอง !!

ล่าสุดเขาขายหุ้น Monocle บางส่วนให้ สื่อรายใหญ่ของญี่ปุ่น ด้วยตัวเลขที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยทีเดียว ...จุดนี้มันน่าจะเรียกว่า เพิ่งคุ้มในเชิงธุรกิจแล้วก็ยังคงต่อยอดสิ่งที่ตัวเองอยากทำต่อไป

ที่เล่ามาเพียงอยากจะบอกว่า การทำงานที่เริ่มจาก Passion และ ตัวเอง ..มันสามารถต่อยอดโอกาสธุรกิจไปพร้อมๆ กับความสนุก -- นั่นแหละ ที่ผมว่าเป็น 'แก่น' ของนักธุรกิจรุ่นใหม่




'จากสถานปฎิบัติธรรม สู่ห้องค้า'


'จากสถานปฎิบัติธรรม สู่ห้องค้า'

ช่วงวันแม่ ผมได้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมช่วงสั้นๆ ก็เลยเอาข้อคิดมาฝากกัน

ทุกปีน้องผม ดร.พลอย จะกลับมาเยี่ยมบ้านปีละครั้ง ..น้องผมก็ใช้โอกาสการมาเยี่ยมบ้านแต่ละครั้งมาฝึกวิปัสสนา ..ปีที่แล้วน้องผมมาบวชชี ส่วนปีนี้พ่อผมก็บวชพระ ..แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ ของแต่ละปีที่พักจากงานประจำที่ยุ่งเหยิง แต่ก็ได้ข้อคิดดีๆ กลับไปทุกครั้ง

ที่วัดพระศรีจอมทอง เป็นวัดหนึ่งที่มีพระและญาติโยมเก่งๆ ไปช่วงเข้าพรรษา ..ผมก็เลยได้คุยแลกเปลี่ยนกับผู้มีปัญญาเหล่านี้

มีพระหนุ่มรูปนึงที่ท่านสอบเปรียญธรรม  9 ประโยคได้ตั้งแต่ยังหนุ่ม ท่านมีอายุรุ่นๆ ผมเลย ..ท่านเล่าว่า วันนี้ท่านกำลังศึกษาปริญญาเอกทางโลกควบคู่ไปด้วย ..ผมเลยอยากถามคำถามที่ผมสงสัย ก็เลยถามท่านว่า 'คนธรรมดาอย่างผม วิปัสสนาไปเพื่ออะไร ในเมื่อเป้าหมายผมไม่ใช่นิพาน ?'

ท่านก็ตอบว่า การวิปัสสนา คือ การศึกษาจาก  'ข้างในตัวเรา ออกข้างนอก' ..ท่านบอกว่า สังเกตไหมว่า วิชาทางโลกทั้งหมดที่เราเรียนๆกัน คือ การศึกษา 'ข้างนอกทั้งหมด แล้วค่อยมาหาตัวเรา'

อ้าว!! แล้วมันต่างกันยังไงครับท่าน ?

'มนุษย์เราก็เลยทุกข์เยอะไง เพราะเราเอาความสุขไปผูกกับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น  วันนี้เรามองตัวเรา โดยที่เราให้คนอื่นเป็นคนตัดสิน จะเรียนก็เลือกเรียนสิ่งที่คนอื่นว่าดี  เรียนอาชีพที่น่าจะทำเงินมาก แต่ไม่เคยถามตัวเองว่าเราชอบสิ่งนั้นไหม  มันถูกจริตกับเราไหม คนส่วนใหญ่มักไม่สน ขอเลือกเงินมากๆก่อน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เงินมากตามที่เราหวังไว้  เพราะสิ่งที่ทำมันทุกข์ 

การวิปัสสนามันเป็น กุศโลบาย ที่ให้เราเรียนรู้ตัวเองผ่านการปฎิบัติ เหมือน สมมุติเราจะเล่นฟุตบอล แทนที่เราจะเริ่มจากศึกษาทฤษฎียากๆ เราก็มาเริ่มลองเล่นฟุตบอลจริงๆ แบบง่ายๆ ให้เรารู้ก่อนว่า ก่อนจะศึกษาในขั้นต่อไป เราชอบสิ่งนี้หรือเปล่า 

การฝึกวิปัสสนาพี่นี่จะมีพระพี่เลี้ยงหรือ แม่ชี ที่มีประสบการณ์คอยช่วยสอบอารมณ์ นี่ก็คือ โค๊ช ที่คอยดูมือใหม่ คอยชี้แนะ 

ลองดูเดี๋ยวนี้ คนมาวัดไม่ได้มาเรียนธรรมะ  เพราะอย่างแรก ไม่มีเวลา สอง คิดว่าน่าเบื่อ ..ส่วนใหญ่ก็เลยมาวัดแค่มาทำ 'พิธีกรรม' ไม่ได้มาหาปัญญา

ยกตัวอย่าง เราไปหาพระ ไปขอน้ำมนต์ ไปขอของวิเศษ เพราะคิดว่าสิ่งนี้มันจะช่วยให้เรารวยเร็ว พ้นทุกข์ แต่จริงๆ มันก็ช่วยบ้าง ในเชิงสัญลักษณ์ แต่มันไม่ใช่แก่น ..เพราะแก่นจริงๆ ของ ความสุข หรือ ความทุกข์  มันไม่ได้เกิดที่อื่น 

หลายคนคิดว่า ความทุกข์มันเกิดจากเราดวงไม่ดี คนอื่นจ้องทำร้ายเรา หรือ เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่กดดัน ..แต่แท้จริงแล้ว 'ตัวเรา' ต่างหากที่เป็นคนสร้างทุกข์และสุขจากใจเราเป็นผู้กำหนด

อย่างเราคิดโกรธคนอื่น แค้นคนอื่น ตัดสินคนอื่น ..กลายเป็นตัวเรานั่นแหละที่ทุกข์ ..คนอื่นเขาไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะ ความร้อน ความทุกข์นั่นมันเกิดที่ตัวเรา เกิดที่ใจเรา

ฮึม!! เข้าใจมากขึ้น ..Get ครับ

ดังนั้น การวิปัสสนาเบื้องต้น คือ การใช้จิตมาพิจารณาตัวเอง โดยเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น พิจารณาลมหายใจ พิจารณาสังขาร ความปวดเมื่อย ความหิว ความเจ็บ ว่าจริงๆ มันเกิดและดับของมันเองตลอดเวลา ..ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้

ผมก็บอกท่านว่า ดีจัง แต่ผมมีปัญหาคือ ไม่มีเวลา จะให้มาฝึกแบบนี้มันใช้เวลามาก 'คนธรรมดาที่ต้องทำงานประจำอย่างผม' ต้องแก้ยังไง ...คราวหน้ามาเล่าให้ฟังต่อครับ

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วิธีคิดชนะฟองสบู่ ..จัดไป หนังสือเสียง


'หนังสือเสียง เล่นหุ้นในตลาดฟองสบู่' Audio Book !!..ใครสนใจสั่งได้แล้วครับ แต่ละชุดมี 4 CD ..เนื้อหาตามนี้ครับ !! #สั่งซื้อหนังสือเสียง คลิ๊กที่นี่เลยครับ http://goo.gl/kZ7XZx

แนะนำหนังสือเสียงชุดใหม่ #เล่นหุ้นในตลาดฟองสบู่ (Extended Version)

คุณจะได้รู้หัวใจของวิธีการ “ลงทุนในตลาดฟองสบู่” 
**เนื้อหาพิเศษ ไม่ซ้ำกับในหนังสือ**

นี่คือ “ส่วนต่อขยาย”ของหนังสือ Bestseller “เล่นหุ้นในตลาดฟองสบู่” ของ 2 กูรูหุ้น “แพ้ท” ภาววิทย์ และ “หยง” ธำรงชัย สองนักลงทุนต่างสไตล์ คนหนึ่งเล่นสั้น อีกคนเล่นยาว แต่มีเป้าหมายเดียวกัน คือต้อง “ปิดประตูแพ้ เปิดประตูความร่ำรวย”

 วันนี้คุณจะเรียนรู้ประสบการณ์ของเขาทั้งสอง ในรูปแบบของ “การบรรยายสด (Live Seminar) ที่สนุก มันส์! แต่ไม่ทิ้งความลึกซึ้งในความคิด เพื่อให้คุณเท่าทันเกมการเงิน ในยุคฟองสบู่ ...ที่ถ้าคุณไม่รู้ ก็รวยยาก

#สั่งซื้อหนังสือเสียง คลิ๊กที่นี่เลยครับ

http://goo.gl/kZ7XZx

สารบัญ
CD 1
1.Introduction
2.ในสภาวะฟองสบู่เราจะลงทุนอย่างไร?
3.แกะรอยคนรวย เขารวยเพราะอะไร?
4.วิธีหาเงินจากตลาดหุ้นด้วยการ “เล่นเร็ว”
5.อะไรคือตัววัดว่าเรามีอิสรภาพที่แท้จริง
6.3 เคล็ดลับปิดประตูแพ้ เปิดประตูความร่ำรวยในตลาดทุน
7.ธุรกิจจะเดินหน้าอย่างไรในวันที่ Demand มากกว่า Supply

CD 2 
1. หลักฐานที่บ่งชี้ว่าเกิดสภาวะฟองสบู่ทั่วโลกแล้ว
2.กำไรเหนือกว่าเล่นหุ้น คือการสะสมอะไร?
3.วิธีการสร้างตัวเองจากศูนย์สู่ล้านแรก
4.เทคนิคการสร้างเงินร้อยล้านจากกลไกตลาดทุน
5.อยากมีพันล้าน ต้องเป็นมากกว่า Trader
6.ความแตกต่างของธุรกิจยุคก่อนกับธุรกิจยุคนี้

CD 3
1.ปิดประตูขาดทุน ต้องรู้จัก Smart Money
2.วงจร หนี้ ทุน Commodity เข้าใจก่อน ก็รวยก่อน
3.ทำไมรายย่อยจึงเจ๊ง ทั้งที่ฉลาดและมีเงิน
4.กลไกการเล่นหุ้นแบบเหาฉลาม
5.วิธีเข้าใจผู้ล่าในตลาดหุ้นไทย
6.วาง Portfolio อย่างไรให้ “หุ้นขึ้นก็รวย หุ้นลงยิ่งรวย”

CD 4
1.ถือสั้น VS ถือยาว แบบไหนกำไรกว่ากัน
2.เส้นทางของ “หยง” และวิธีหาลูกบ้าในตัวคุณ
3.10 เท่าที่จะทำให้คุณคิดนอกกรอบ
4.ทำไมจึงดูแค่สัญญาณซื้อ หรือ ขายอย่างเดียวไม่ได้
5.วิธีการมองหุ้นทุก 2 ปี และบทเรียนจาก Subprime
6.ศิลปะของการเลือกหุ้น ยังมีหุ้นถูกอยู่หรือไม่
7.รู้จักการลงทุนด้วย Robot
8.บทส่งท้ายจาก “แพ้ท” & “หยง” กับนิยามของคำว่า “งาน”

ทำสินค้าอย่างไรให้ถูกกว่ารายใหญ่


'ทำสินค้าอย่างไรให้ถูกกว่ารายใหญ่'

หลายคนเจอคำถามนี้ก็จะบอกว่า 'เป็นไปไม่ได้' เพราะรายใหญ่เขามี Economy of Scale  เขาผลิตได้มากกว่า ซื้อของปริมาณมากกว่า ย่อมซื้อได้ถูกกว่า ...สรุป ทำไม่ได้ ?

ครับ!! ถ้าคิดจะทำแบบเดียวกับรายใหญ่ ก็ย่อมต้นทุนแพงกว่าแน่นอน ดังนั้น เราต้องไม่ทำแบบที่รายใหญ่ทำ 

เรียนรู้จาก 'มดล้มยักษ์' เช่น Google , Amazon , Salesforce , Air Asia , ...

ใช่!! บริษัทเหล่านี้ เริ่มจาก ตัวเล็ก เริ่มจากโรงรถ แต่เขาทำธุรกิจไม่เหมือนรายใหญ่ ..ไม่ใช่แค่ไม่เหมือน แต่ไม่มีอะไรเหมือนเลยดีกว่า  

อย่าง Low Cost Airline เขาคิดค่าตั๋วถูกกว่า เพราะ เขามีต้นทุนที่ไม่เหมือนกับ Airline ทั่วไป

คำถามคือ แล้วธุรกิจเราจะต้องคิดให้หนัก แบบไหน? อย่างไร? .. หากเราอยากเป็น มดล้มยักษ์ คนต่อไป !!

แล้วอีกด้านล่ะ แพงกว่า ดีไหม


'แล้วอีกด้านล่ะ แพงกว่า ดีไหม'

ผมเคยเอาเรื่องของเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้จุดขายคือ ถูกกว่า IKEA ก็เลยแจ้งเกิด เพราะถูกกว่าคนที่ถูกเข้าไปอีก  ...เลยมีคำถามคาใจหลายๆคนว่า แล้วถ้า แพง เป็นจุดขายได้ไหม ?

ได้ครับ !! ..นี่คือแก่นวิธีคิดของคนญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ -- คนญี่ปุ่นทำอะไรเขาเน้นว่าต้องคุณภาพสุดยอด 'ไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพ'

ถ้าเป็นร้านก็มักไม่มีสาขา เจ้าของมักทำเอง ..แน่นอนราคาโคตรแพง ตามคุณภาพ ...

วันนี้ผมขึ้นนกแอร์ ก็อ่านนิตยสารบนเครื่อง มักจะเห็นโฆษณาของ ISOPTIK ร้านแว่นตา ของคนญี่ปุ่น 'อ.โบบิ' ที่ผมว่า วิธีคิด วิธีทำ เข้าตา Start-Up

จุดขาย คือ หนึ่ง 'คุณภาพ & ราคา' ..พูดได้ว่าเป็นร้านแว่นที่แพงที่สุดในโลก ..เลนส์ราคาตั้งแต่ หมื่น จนเป็นแสน ..ส่วนกรอบแว่น ราคาตั้งแต่ หมื่น จนสูงสุด 15 ล้าน !!

(เดี๋ยว !! อย่าเพิ่งตกใจ ก็เหมือน Patek นั่นแหละ ราคานาฟิกา หลักแสน จนเป็นหลายสิบล้าน แต่รุ่นที่ทำเงินให้บริษัทก็คือ ราคาหลักแสน ..แต่แน่นอน เขาได้ Stamp ภาพของความหรูหรา สุดยอด และ คุณภาพเรียบร้อย)

นั่นไง !! คุณสนใจแล้วซิ ...ใครๆก็อยากรู้ว่า แว่นแพง ขนาดนี้ดียังไง -- เขาได้สื่อ และ ความสนใจตามมา อันนี้ข้อสอง

สาม ผู้ใช้บอกต่อ ..อันนี้สุดยอดกลยุทธ์ เหมือน Hermes , Channel และ Starbucks ที่เปลี่ยนลูกค้าให้ช่วยโฆษณาสินค้าให้ ...ลูกค้าที่ภูมิใจในสินค้าย่อมบอกต่อ

เอาแค่ 3 ข้อ ยังไม่รวม กลยุทธ์การมี สาขาเดียว ในสถานที่หรูหรา แบบ Flagship Store ..หรูสุด มีที่เดียว ให้เป็น Landmark เพื่อ Stamp ภาพของ Premium Quality

นี่แหละ อีก Idea ของ Start-Up ที่เจ้าของอยากสร้าง Brand จากคุณภาพ จากความใส่ใจ และ ราคา




ถูกกว่า IKEA


'ถูกกว่า IKEA'

ทุกวันนี้เรามองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่ความต้องการตลาดยังไม่ได้รับการตอบสนอง 

ผมไปอ่านเจอธุรกิจ Furniture Start-Up ที่ขายเฟอร์นิเจอร์ Online ..โดยเน้นแข่งกับ IKEA ...เป็นกลุ่มคนหนุ่มร่วมกันผลิตเฟอร์นิเจอร์ประกอบเอง ส่งทางอินเทอร์เน็ต ชื่อว่า Greycork

จุดขายเขาคือ 

1. 'ถูกกว่า IKEA' ..พูดแค่นี้ สื่อก็วิ่งไปสัมภาษณ์แล้ว เพราะใครๆก็เข้าใจว่า IKEA ถูกสุดๆ ..อันนี้เขามาแนว 'ถูกกว่า'

2. 'ดีกว่า IKEA' เขาบอกว่า ของเขาทนกว่า ใช้ได้เป็นสิบๆปี แถมประกอบง่ายกว่า ...นั่นขี่คอ IKEA เข้าไปอีก

3. 'เขาบอกว่า - เขาของจริง !!' คือ เขาบอกว่า คนซื้อผ่าน Online อาจไม่เชื่อถือในสินค้า เขาจึงเปิดโรงงานให้คนไปเยี่ยม ..คือ ไปนอนที่โรงงานได้เลย โดยเกาะกระแส Airbnb สามารถจองที่พัก Online มานอนในโรงงาน แล้วมาพักแล้วดูการผลิตโต๊ะเก้าอี้คุณภาพได้เลย

ที่เล่ามา ความเจ๋ง คือ เขามีจุดขาย และ เขาสร้าง Viral ให้สื่อสนใจ และ ให้คนพูดต่อ ..นี่แหละ Start-Up ..ต้นทุนต่ำ / โอกาสขยายง่าย และ สร้างจุดสนใจ

 (คงโค่น IKEA ไม่ได้ แต่เขาก็สร้างจุดยืนเท่ห์ให้ตัวเองได้แล้ว จริงไหม ?)

ก็ 'แนวๆ' ดีครับ เลยเอา Idea ของ Greycork มาฝากกัน




วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

จดหมายก่อนจากลา


'จดหมายก่อนจากลา'

ภาษาบ้านๆ คือ จดหมายสั่งเสีย ..เป็นสิ่งที่น่าคิดมากๆ ว่าเขียนแล้วได้อะไร ..เพราะมันเปรียบเสมือนการพูดเมื่อเราจะจากไปแล้ว

แต่ถ้าคิดดีๆ ผมว่า มันทำให้เราได้ทบทวน ดังนี้

1. คุณจะขอบคุณใครบ้างที่พาคุณมาถึงจุดนี้ (ถ้าไม่มีแปลว่า คุณคบหาเพื่อนน้อยเกินไป ..ถ้าคิดได้ ลองเปิดใจสักนิด ..โลกนี้มีคนน่าคบอีกเยอะ แต่คุณต้องเริ่มทำกิจกรรมบางอย่างที่คุณสนใจ 'ชอบ' แล้วค่อยๆ หาเพื่อนจากสิ่งนั้น)

2. คุณได้ทิ้งมรดกอะไรบ้างให้คนอื่น (ถ้าไม่มี แปลว่า คุณเก็บแต่ขยะ ..ไม่ work ...ต้องรู้จักเก็บ Asset สิ่งที่มีมูลค่า ส่งต่อให้คนอื่นได้)

3. คุณได้ทำอะไรดีๆ ให้แก่คนอื่นบ้าง (ถ้าไม่มี ให้รีบทำครับ ..เพราะสุดท้ายสิ่งที่เราอยากทำเมื่อมีเงินแล้วคือ ทำดีครับ ...จริงๆ ค่อยๆทำไปด้วยเลย เพราะยิ่งทำ โอกาสชีวิตยิ่งมา ไม่มีเสียหรอกครับ ทำดี หวังดีต่อคนรอบข้าง)

ผมว่า 3 ข้อนี้ เขียนสั่งเสียปั๊บ รู้เลยว่า เราต้องทำอะไรต่อไป 

สรุปว่า อย่าเพิ่งจากไปไหน ทบทวนสามข้อนี้ก่อนแล้วค่อยๆปรับชีวิตให้สนุกขึ้น มันส์ขึ้น จากสามข้อนี้แหละ !!

ธุรกิจต่อยอด


'ธุรกิจต่อยอด'

วันนี้ผมเดินทางไปต่างจังหวัด ก็แวะเข้าห้องน้ำและซื้อกาแฟ ...ผมบอกคนขับว่า 'พี่แวะร้าน ปตท. ให้ผมหน่อย จะเข้าห้องน้ำ และซื้อกาแฟ'

ก็มานั่งนึกนะ ทำไมต้อง ปตท. ทั้งๆที่มีปั๊มเยอะแยะ 

ก็สรุปว่า 'มันลงตัว'

ผมเองเดินทางบ่อย ทั้งต่างประเทศและในประเทศ ..บอกตรงๆว่า ปั๊มน้ำมันที่ผมว่าสุดยอดที่สุดในโลกน่าจะเป็นประเทศไทย ..เอาง่ายๆ ห้องน้ำสะอาดและดีกว่าปั๊มญี่ปุ่นอีก แถมปั๊มใหญ่ และมีร้านครบ ตั้งแต่สะดวกซื้อ ยันร้านกาแฟ

ยุคนี้จะทำอะไรผมว่าต้องสุดๆ ดังนี้

1. มีจุดขาย ..อย่าง ปตท. เรารู้แน่ส้วมสะอาด มีเซเว่น และมีกาแฟอเมซอน 

2. ขนาดได้ ..ถ้าเล็กไปก็ไม่สะดวก เพราะเวลาแวะปั๊มเราตัองการความเร็ว ครบ สะดวก

3. น่าคบ ..ยุคนี้ต้องมี Brand เพราะเรามักเลือกซื้อของที่เราคุ้นเคย

4. จบในตัว ..ถ้าตอบโจทย์คนแวะปั๊มได้ครบ เขาก็ไม่อยากไปที่อื่น

ผมว่าทั้ง 4 ข้อนี้สามารถมาปรับใช้กับธุรกิจอื่นๆ ได้ดีทีเดียวครับ

แถมข้อ 5 ถ้าทำได้จะยิ่งดี 'คืนกำไรให้ลูกค้า และ พนักงาน' 

...เชื่อผมซิว่าธุรกิจยุคใหม่ เราอาจไม่จำเป็นต้องกำไรสูงสุด แต่ลูกค้าและพนักงานต้องรักเราที่สุด นั่นแหละ คิดแนวใหม่ -- น่าคิดนะครับว่า การให้ ทั้งลูกค้าและพนักงาน ควรให้อะไร ? 


วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ธรรมชาติสร้างสิ่งตรงข้ามเรามาทำไม


"ธรรมชาติสร้างสิ่งตรงข้ามเรามาทำไม"

เด็กๆ ผมไม่เคยเข้าใจเรื่องนี้ ...โลกผมสมัยก่อน ไม่ดำ ก็ขาว ..ไม่ขาว ก็ดำ ...ถ้ามีคนถูก อีกคนต้องผิด ...ถ้าผมถูก คุณต้องผิด ...ถ้าผมผิด แปลว่าคุณถูก -- เดี๋ยวนี้มามองย้อนไป "ความคิดเรา มันโคตรเด็กน้อย" ..เห็นตัวเองเลยว่า สมัยก่อนผมชอบ ตัดสินคนอื่นโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง

จริงๆ แล้ววันนี้คนส่วนใหญ่ก็ยังคงตัดสินคนอื่นโดยเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ...ถ้าใครคิดไม่เหมือนฉัน แปลว่า คนนั้นผิด ..คนนั้นไม่ดี ..หรือ แม้กระทั่งนั่นคนเลว เพราะ คิดต่างจากฉัน

ช่วงหลังๆ ผมเดินทางมากขึ้น พอเจอคนที่พื้นฐานแตกต่างหลากหลาย เลยเข้าใจเลยว่า สาเหตที่ทุกคนคิดและทำไม่เหมือนกัน เพราะ เขาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ...และสิ่งแวดล้อมเหล่านี้แหละที่ส่งผลต่อการตีความในเรื่องต่างๆ และ สุดท้ายก็คือ ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ทำงาน และ ความสัมพันธ์

สิ่งที่น่าคิด คือ ทำไมถึงมีสิ่งตรงข้ามเสมอ ...ถ้าเราจน แล้วทำไมมีคนรวย ...หรือ ถ้าเรารวย ทำไมมีคนจน ...แล้วที่น่าคิดต่อ คือ คนจน คิดอย่างไร ? ..แล้วต่างกับ คนรวย คิดอย่างไร ? -- ใครก็ตามที่เข้าใจคนอีกด้าน ก็มักจะได้เปรียบ

...คนจนที่เข้าใจคนรวย ว่าคิดอย่างไร สุดท้ายคนจนคนนี้ก็จะเป็นคนรวยในที่สุด

...ส่วนคนรวย (ลูกคนรวย) ที่เกิดมาแล้วรวย โดยไม่เข้าใจคนจน ..สุดท้าย คนนี้ก็จะจนลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายอาจกลายเป็นคนจน

..ส่วนคนรวย ที่เข้าใจคนจน ...พวกนี้จะยิ่งรวย และ รวยไปเรื่อยๆ ..ไม่มีทางจน

จุดสำคัญ คือ "การเข้าใจสิ่งตรงข้าม" ...เหมือนธรรมดา แต่ลึกล้ำ ไม่ธรรมดา !!

"อย่าใจแคบ" ...ถ้าเราไม่เก่ง พยายามเข้าใจคนเก่ง ว่าคิดอย่างไร ...สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นคนเก่งในที่สุด !!

คุณคิดอย่างไร กับงานที่คนส่วนใหญ่ทำแล้วล้มเหลว


"คุณคิดอย่างไร กับงานที่คนส่วนใหญ่ทำแล้วล้มเหลว"

ถ้าเป็นคนส่วนใหญ่ ก็จะบอกว่า "ไม่อยากทำเพราะ เห็นๆ แล้วว่า มันทำไม่ได้ ...ใครๆ ก็ล้มเหลว ...ไม่มีทางทำได้" ...อันนี้คือ คำตอบของคนส่วนใหญ่

แล้วคนส่วนน้อยคิดอย่างไร ?

จะมีคนส่วนน้อยมาก ที่มองปัญหาตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ ...คนเหล่านี้พอเจอสิ่งที่คนส่วนใหญ่บอกว่าทำไม่ได้ ..มันยิ่งอยากทำ ...เช่น

- ฝรั่งไม่กินข้าว ...ยังไงฝรั่งก็กินขนมปังเป็นหลัก ...ไม่มีทางหลอกที่ฝรั่งจะเปลี่ยนมากินข้าวเป็นอาหารหลัก ...แต่คนส่วนน้อยก็จะคิดว่า จะทำอย่างไร ให้ฝรั่งกินข้าวเป็นอาหารหลัก ...แจกหม้อหุงข้าว ในโรงเรียน , สอนเด็กทำอาหารในโรงเรียน ,

... คุณไม่คิดเหรอว่า แต่ก่อน คนไทยก็ไม่ใส่เสื้อ ..แล้วทำไมเดี๋ยวนี้เราใส่เสื้อ

แต่ก่อนคนไทย ก็ไม่ขับรถ ...ทำไมเดี๋ยวนี้ขับรถ

แต่ก่อนคนไทยก็ไม่รู้จักอาหารญี่ปุ่น เดี๋ยวนี้อาหารญี่ปุ่นเป็นอาหารประจำชาติของครอบครัว ...เจอกันฟูจินะ ...555

คุณจะทำให้คนซื้อวุ้น ขวดละเป็นร้อย ทีละเป็นกระเช้า จ่ายเป็นพัน เพื่อให้คนเยี่ยมไข้ และ ส่งเป็นของขวัญและการอวยพร ...บริษัทรังนก เขาทำได้น่ะ

อย่าบอกว่า สิ่งที่คุณจะทำเป็นไปไม่ได้!!

ทุกอย่างเป็นไปได้ ...คุณไม่พยายามหาวิธี ยอมรับซะเถอะ ...ไม่สู้ไง ....
 ....งานคุณดีได้กว่านี้ครับเชื่อผม คุณยังไม่ได้ตั้งใจคิด เพราะ มัวแต่ทำไปเรื่อยๆ

คิด ๆ ๆ ๆ 



อยากอยู่เมืองนอก ...ดีไหมอ่ะ


"อยากอยู่เมืองนอก ...ดีไหมอ่ะ"

ผมเป็นคนนึงที่อยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก ..ก็เริ่มจากไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS แล้วก็ไปเรียน ไปทำงาน เลยใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศค่อนข้างเยอะ -- ถามว่าได้อะไร ?

ผมว่า ฝรั่งจริงๆ ไม่ได้วิเศษกว่าเรา หรือ ฉลาดกว่าเรา แบบที่คนส่วนใหญ่คิด ...แต่สิ่งที่ทำให้ฝรั่งดูเก่งกว่า น่าจะเป็น "ระบบ" ซึ่งก็คือ "วัฒนธรรมและสภาพแวดล้อม" Culture & Environment ที่ทำให้ฝรั่งเขาได้เปรียบกว่าคนไทยพอเริ่มทำงาน

ที่ผมบอกอย่างนั้น เพราะ ใครๆ ก็รู้ว่า เวลาเรียนเด็กเอเชียมักเรียนเก่งกว่าฝรั่ง แต่พอทำงานฝรั่งจะแซง ...จริงๆ สมัยก่อนผมคิดหนักเลยนะ ...ตอนที่ผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ผมก็คิดตลอดว่า ..เอ๊ะ!! เราก็เรียนเก่งกว่าเขา ทำไมสุดท้ายเราสู้เขาไม่ได้

หลักๆนะ ยุคนี้ พ่อแม่รุ่นใหม่ต้องเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ "การเรียน" ไม่ได้ชี้วัดความสำเร็จ ...เพราะต้องยอมรับว่า โลกาภิวัฒนน์ หรือ Globalize มันเปลี่ยนให้ประเทศเราเจริญพอๆ กับฝรั่งเรียบร้อยทางวัตถุ ดังนั้น การใช้ความรู้ เรื่องการบริหาร การใช้เครื่องมือ ในระบบการเรียน มันเลยไม่ได้ตอบโจทย์ความสำเร็จยุคนี้ ที่ต้องการ ความรู้ที่ลึกกว่านั้น

"ความรู้ที่ลึกกว่า" ..สิ่งนั้นก็คือ "การเข้าใจกระบวนการคิด Thinking Process" ..ยกตัวอย่าง ถ้าเราเรียนแบบเดิม ก็คือ เราเอาความรู้ที่อาจารย์เขาคัดสรรมาให้นักเรียน ..หน้าที่นักเรียนคือ ท่องจำไปอย่างเดียว ...แต่การเรียนแบบเข้าใจ "กระบวนการคิด" มันคือ การตั้งคำถามตั้งแต่ ความรู้ที่อาจารย์เอามาสอนเลยว่า
 1. เรียนไปทำไม ? (ถามอันนี้รู้เลยว่า สิ่งที่สอนมันตกยุคไปหรือยัง ..เพราะ ความรู้หลายๆอย่างวันนี้ใช้ไม่ได้แล้ว)
2. อาจารย์เขาคิดอย่างไร กับสิ่งที่สอน ...คิดได้ไง ? (อาจารย์เขาเข้าใจสิ่งที่สอน หรือ เขาท่องจำมาสอน ...คนทำจริง กับ คนท่องจำ มันต่างกันตรงที่ การตอบคำถาม และ การรู้ที่มาของสิ่งที่เรียน)

สองคำถามนี้ มันทำให้เรา อ่านหนังสือ หรือ เรียน ลึกเข้าไปอีกชั้น ...เรียนลึกกว่าคนทั่วไปว่างั้น

ใช่!! ลองฝึก อ่านหนังสือ และ เรียน โดย ไม่ท่องทำ แต่หา "วิธีคิด"หา Thinking Process ของคนสอน ...นี่จะทำให้เราเก่งขึ้น ...บางทีอาจจะเก่งกว่าคนสอนในที่สุด

มันดูกวนๆนะ ตอนเริ่ม ..แต่มันมันส์ครับ ...สนุกที่ได้มองต่าง !!


ใช้ชีวิตแบบเจ้าป่า


'ใช้ชีวิตแบบเจ้าป่า'

สมัยเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย ถ้าให้เลือกว่าอยากเป็นอะไรในป่า ส่วนใหญ่เลือกสิงโต ..ถามว่าทำไม ? .. เพราะอยากเป็นเจ้าป่า

ไม่ค่อยมีใครอยากเป็นเต่านะ ..555 -- ทั้งๆที่เต่าอายุยืนที่สุดในป่า 

ใช่!! มันไม่เท่ห์ ..มันต้องดูแบบมีพลัง ดุดัน เป็นใหญ่

ว่าแล้วผมก็ลองไปดูว่า จริงๆ ชีวิตเจ้าป่าอย่างสิงโตมันเป็นยังไง ..ก็พบว่า สิงโตจริงๆ อายุสั้นมาก พอๆกับสุนัขเลย เพราะตัวผู้เฉลี่ยตายประมาณ 12 ปี ส่วนตัวเมียตายประมาณ 16 ปี ...แล้วที่ตัวผู้โดยเฉลี่ยตายเร็วกว่าตัวเมียเพราะโดนฆาตกรรม !!

ใช่ 'ตัวผู้มักตายเพราะบาดเจ็บจากการต่อสู้ ..พอสิงโตยิ่งแก่ ร่างกายก็อ่อนแอ ..สุดท้ายก็บาดเจ็บตาย' -- ผมเห็นชีวิตเจ้าป่าแล้วรู้สึกเหนื่อยแทน คือ ต้องสู้ทั้งชีวิต ทั้งสู้กับสิงโตกันเองเพื่อชิงความยิ่งใหญ่ ก็ต้องสู้เพื่อหาเหยื่อ ...คิดดูซิ นึกภาพให้คนแก่ วิ่งหาเหยื่อแบบคนหนุ่ม มันจะไหวหรือ 

ต่างกับคนเราที่ยังมีทางออก คนหนุ่มสาวเขามีพลัง ทำงานหนักได้ ... คนสูงอายุมีประสบการณ์และใช้สมอง ต้องทำงานให้ฉลาด ใช้กำลังให้น้อย เครื่องทุ่นแรงให้มาก

ที่ยกตัวอย่างชีวิตเจ้าป่าขึ้นมาว่า จริงๆ แล้ว เราโชคดีกว่าสิงโต เพราะชีวิตแบบสิงโตมันเหมือนนักสู้ที่หักไม่ยอมงอ ..แก่ๆ จะให้กินผักกินหญ้าก็ใช่ที่ ..แถมพลิกแพลงไม่ได้ สิงโต สู้ตอนหนุ่มแบบไหน ตอนแก่ก็สู้แบบนั้น ก็เลยแพ้สิงโตหนุ่มไง

ผมว่า มนุษย์เราโชคดีกว่าเจ้าป่า ตรงที่เราสามารถพลิกแพลง หาจุดดีจุดแข็ง ในทุกช่วงอายุ ..คือ เรามีดีทุกคน ขอให้รู้ว่า จุดยืนที่เราได้เปรียบคืออะไร มันชนะไปกว่าครึ่งแล้วครับ

Work Smart , Think a bit harder ..จัดไป!!


วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รุ่นพี่สอนรุ่นน้องทำธุรกิจส่วนตัว


'รุ่นพี่สอนรุ่นน้องทำธุรกิจส่วนตัว'

เดี๋ยวนี้อาชีพยอดฮิตของการคนรุ่นใหม่คือ อยากมีธุรกิจส่วนตัว 

แต่สิ่งที่ได้เห็นได้ยินอย่างหนาหู ก็คือ เจ๊งกันเยอะมาก ..หลายๆคนเอาเงินเก็บมาทิ้ง เอาเงินที่บ้านมาเสีย เอาเงินกู้มาลง -- จะบอกว่า นี่เรื่องปกติ ของคนทำธุรกิจครับ ..คนที่เราเห็นเขาสำเร็จวันนี้ ชี้ได้เลยว่า เคยล้มกันมาหนักๆ ทั้งนั้น

'ทำธุรกิจ ก็เหมือน เล่นกีฬา คือ ต้องเล่นเอง ไม่ใช่อยากเล่นบอล แต่จ้างคนมาเล่น หรือ อยากว่ายน้ำ แต่จ้างคนมาว่ายให้'

1. ข้อที่หนึ่งครับ ..'เจ้าของต้องเริ่มลงเอง' ..ไม่เว้นแม่แต่ซื้อแฟรนไชส์ ..ฟันธงครับ ยุคนี้ทุกธุรกิจในช่วงแรกถ้าเจ้าของไม่ทำเอง เจ๊งทุกราย 

(ใครคิดจะเปิดธุรกิจแบบไม่ทำเอง กะจ้างคนอื่นทำ ..อย่าทำเลยครับ เสียเวลา เสียเงิน -- ถ้าเป็นพนักงานประจำ อยากทำธุรกิจ ต้องทำอะไรที่พึ่งตัวเอง เช่น ธุรกิจ Onlne ..สรุป คุณต้องเริ่มทำเอง ไม่งั้นอย่าเสียเวลา)

2. ถามคำถามตรงๆ ..คือ

2.1 'เรามี Know-How อะไรที่เราโดดเด่น หรือ คนอื่นไม่มี ?(ไม่มีครับ เห็นคนอื่นทำแล้วรวย ฉันน่าจะรวยได้บ้าง) 

2.2'เรามี Know-Who อะไรที่โดดเด่น หรือ คนอื่นไม่มี ? (ผมรู้จักทุกคนที่จะช่วยให้ผมทำสิ่งนี้สำเร็จ ผมทำโครงการนี้ได้แน่ ..ผมอยู่วงการนี้มาสิบปี ผมรู้จักทุกคน) หรือ จริงๆ คุณแค่เดิน งงๆ กระโดดเข้ามาทำสิ่งนี้เพราะเห็นคนอื่นทำแล้วรวย

2.3 'เรามีพ่อรวย' (พ่อเรารวยมาก และพร้อมจะเอาเงินมาให้เราเอาไปเปิดธุรกิจที่เราไม่มีความรู้ ..เอาเงินไปจ้างคนอื่นมาทำ เพราะเราขี้เกียจทำ) 

ลองถาม 3 คำถามนี้ดู ก็รู้แล้วว่า อนาคตธุรกิจที่คุณทำ หรือ จะทำ จะรุ่งหรือร่วง !!

3. 'ไม่ต้องเสียใจ ถ้าคุณทำผิดทุกข้อ' ..ผมบอกเลยว่า พวกที่ทำธุรกิจเก่งๆ เขาผ่านเรื่องที่ผมเล่ามาด้วย เลือด ..แผลกลางหลัง ..เพื่อหักหลัง ..พนักงานโกง ..คู่แข่งเล่นสกปรก

รู้ไหมทำไม เขาผ่านไปได้ ? 

'ก็เขาลุกขึ้นมาใหม่ เรียนรู้จากข้อผิดพลาด แค่นั้นเอง' 

กฏเหล็กที่ต้องระวัง คือ 'อย่าเป็นหนี้' (คนที่สร้างหนี้ได้ ต้องเชี่ยวชาญ ต้องมืออาชีพเท่านั้น ..มือใหม่ห้ามเป็นหนี้ครับ ..กฏเหล็กนักธุรกิจมือใหม่!!) 

ธุรกิจ เหมือน กีฬา เริ่มจาก หาความรู้ ..ลงเล่นเบาๆ แบบมือสมัครเล่น(ห้ามกู้) ..พอได้แผล แปลว่า มาถูกทาง ...เรียนรู้ เดินต่อ ...คนเก่งจะเริ่มรู้จัก จำกัดความล้มเหลว ..ผมเรียกว่า วิชาปิดประตูแพ้ 

คนเก่ง ก็เจ๊ง ก็ล้ม เจ๊งธุรกิจ ติดหุ้น เหมือนมือสมัครเล่น ..แต่เขาจำกัดความเสี่ยง กระจายความเสี่ยง ปิดประตูแพ้ตั้งแต่เริ่ม จึงสามารถล้มเบาๆ เรียนรู้ เดินต่อไปเรื่อยๆ -- นั่นแหละที่คุณต้องฝึกฝน 


เศรษฐกิจชาวบ้าน เรื่องดอกเบี้ย


'เศรษฐกิจชาวบ้าน เรื่องดอกเบี้ย'

คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วทุกสรรพสิ่งในโลกเศรษฐกิจล้วนมี 'รอบ' Cycle และวางอยู่ภายใต้กฏไตรลักษณ์ ก็คือ 'เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป'

กฏนี้สามารถใช้อ่าน 'รอบ' ของ ที่ดิน , ทอง ,  หุ้น และ ดอกเบี้ย !!

'ดอกเบี้ย' คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่า มันเกี่ยวกับชีวิตคนธรรมดาๆ อย่างไร -- เกี่ยวดังนี้ครับ

1. เวลาดอกเบี้ยสูง คนจะกู้น้อยลง ..สมัยดอกเบี้ยสูงๆ ลองนึกดูซิครับว่า ใครจะยอมจ่ายดอกเบี้ยซื้อบ้าน ซื้อคอนโด (คนกู้น้อย ก็แปลว่า ความต้องการ Demand น้อย ..ราคาจะลง หรือ ราคาไม่ไปไหน)

2. เวลาดอกเบี้ยต่ำ (ปัจจุบัน) ..ทุกคนเป็นหนี้ ตั้งแต่ บริษัทใหญ่ๆ จนถึงคนทั่วไป ..ทุกคนซื้อ Asset หมด ..นี่แหละยุค 'ฟองสบู่'

ลองดูกราฟด้านบนจะเห็น 'รอบ' ของดอกเบี้ย

ใช่!! ดอกเบี้ยสูง สุดท้ายก็ไปต่ำ ..ดอกเบี้ยต่ำ ในที่สุดก็ไปสูง 

ที่ยกเรื่องดอกเบี้ยมาคุย เพราะอยากชี้ให้เห็นว่า ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ มีดี-มีแย่ / มีขึ้น-มีลง ...คนที่ประสบความสำเร็จก็คือ คนเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจ Cycle และ เข้าใจ Demand-Supply ซึ่งกำหนดราคาของทุกสิ่ง

'สรุป อยากซื้อของถูก ก็แค่ซื้อเวลาที่คนอื่นขาย -- แปลว่า Demand น้อย ..Supply เท่าเดิม ราคาจึงลดลง ...ทุกปัจจัยจะสะท้อนออกมาในราคา และราคาก็อยู่ภายใต้ Cycle' 

...มีหลายๆคน ถามว่า ทำไม ผมชอบลงทุนในเวลาที่ทุกอย่างดูแย่ (แต่เวลาดีๆ ผมกลับอยากขายทำกำไร) ..ตอบตรงๆเลย เพราะผมเข้าใจกฏไตรลักษณ์นั่นเอง

ลองปรับใช้กับวิธีการทำธุรกิจและการลงทุนของคุณดู ..ผมว่ามันใช้ได้ดีทีเดียว !!

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

รวยๆ จนๆ มาๆ ไปๆ

 
"ข้อคิดนึง น่าสนใจมาก คือ คนจนถ้าใช้ชีวิตแบบคนรวย จะไม่มีทางรวย ...ส่วนคนรวย ถ้าใช้ชีวิตแบบคนรวย ก็อาจจนได้ เพราะ เดี๋ยวนี้ กระเป๋า ใบละแสน ..ใบละล้าน ...ฮึม!! มันน่าคิด"
 
พอเอาเรื่องนี้มาดูในตลาดหุ้น เราก็พบว่า มันมีวิธีเล่นหุ้น แบบคนรวย ..เล่นแบบคนชั้นกลาง -- มันแตกต่างกันจริงๆ
 
คุณว่าคนรวย เขาเล่นหุ้นยังไง (อันนี้ไม่นับรวม พวกปั่นหุ้นนะ หรือ พวกเจ้ามือหุ้นนะ) ..เราจะพบว่า
1. คนรวยในตลาดหุ้น มักซื้อหุ้นแล้วถือยาวมาก ก็ซื้อหุ้นแล้วถือเป็นเจ้าของเลยแหละ
2. คนรวยมักซื้อหุ้นพื้นฐานดี และมองปันผล ..วางเงินทำงานเป็นหลัก (ไม่ค่อยซื้อหุ้นปั่น)
 
แล้วที่น่าสนใจคือ พอมาพิจารณา Port ของคนที่ซื้อหุ้นแนวนี้ มักจะรวย เพราะ มองแต่ปันผล ก็เลยไม่ได้ขายหุ้น ...แล้วหุ้นดีในตลาดในระยะยาวๆ มันขึ้นเป็น 10 เท่า หรือ 100 เท่า มากมาย ก็เลยเหมือนได้ สองเด้ง -- คนส่วนใหญ่มักบอกว่าคนรวยเพราะเขาโชคดี แต่ผมว่าไม่นะ เพราะ เขามีวิธีคิด วิธีลงทุน ที่มีแนวโน้มที่จะทำให้โชคดีมากกว่าก็เท่านั้นเอง "โชคดี เขาสร้างเอง ..วางแผนโชคดีน่ะ"
 
 
ส่วนเล่นหุ้นแบบคนชั้นกลาง ก็จะ
1. ซื้อหุ้นปั่น หุ้นกระแส หุ้นรวยไว (สุดท้ายติดดอยอ่ะ) ...เขาซื้อประหนึ่งว่า เขาน่าจะโชคดีแบบคนรวย แต่วิธีการมันผิด ..เลือกหุ้นก็ผิดประเภท ..แนวทาง ก็ตรงข้าม
2. คนชั้นกลางมักมองว่า ตัวเองเงินน้อย ...ก็เลยซื้อขายให้เร็วที่สุด ..ก็เลยได้ๆ เสียๆ ..สุดท้ายพลาดโอกาสถือหุ้นดี 10 เด้ง 100 เด้ง ...


สรุปครับ ..มันไม่สำคัญหรอกว่า คุณจะเริ่มที่เงินเท่าไหร่ ..ถ้าเงินนั้นมันโต 10 เท่า 100 เท่า ...ได้เงินปันผล ..โตตลอด ...รู้จักทนรวย -- มันก็รวยทุกคนแหละครับ

ที่คนส่วนใหญ่พลาด ก็คือ "วิธีคิด"

ลองคิดกันดูครับ เรื่องนี้ แปลกแต่จริง !!

วิชา Stop Profit และ Let Loss Run


'ถ้ามุ่งเป้าระยะสั้น ก็จะหลุดเป้าระยะยาว'

ประเด็นนี้ผมว่า เป็นปัญหาใหญ่ที่คนรุ่นใหม่เผชิญ

เพราะยุคนี้ เราต้องการรวยเร็ว ..เลื่อนตำแหน่งเร็ว ..เงินเดือนสูงเร็วๆ ..เล่นหุ้นเอากำไรเร็วๆ 

ผมโยนคำถามนึง ให้กลุ่มคนมาเข้าสัมมนาหุ้นว่า "ถ้าให้คุณเลือก ระหว่าง 
1. สร้าง Port การลงทุนที่ ให้ปันผลคุณเดือนละ 1 หมื่นบาททุกเดือนไปเรื่อยๆ
กับ 2. ได้กำไร 1 ล้านบาท ทันที ...คุณจะเลือกอะไร?" 

(ทั้งสองอย่างนี้จริงๆ คล้ายๆ กัน เพราะ Port ออมหุ้นระยะยาวที่ลงทุนอย่างถูกต้อง มักให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 10 % ต่อปีไปเรื่อยๆ เหมือนน้ำซึมบ่อทราย)

สิ่งที่น่าแปลกใจคือ คนส่วนใหญ่เลือก 1 ล้านบาททันที ...'ก็มันเยอะดีไง' -- เอาก่อนเลย ไม่ดียังไง ?

เฉลยก็คือ แบบแรก คือสร้าง Port ออมหุ้นที่สร้าง เงินปันผล ที่เป็น Passive Income เลี้ยงเรา ..ใครเลือกข้อนี้ คุณคือ คนส่วนน้อยที่วางแผนสร้างอิสรภาพทางการเงินจริงๆ ..แต่วิธีการสร้าง Port แบบนี้มันน่าเบื่อ ดูเหมือนช้า -- คนส่วนใหญ่จึงเลือกแบบที่สอง 

แบบที่สอง คือ เข้ามาซื้อหุ้นตามกระแส เลือกหุ้นร้อนแรง(หุ้นปั่น) เพื่อจะได้เงินเร็วทันที ...แต่ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ที่เลือกแบบนี้ มักลงเอยด้วยการเล่นหุ้น แบบ 'Stop Profit and Let Loss Run' ..คือ ประมาณว่าอยากเข้ามาทำเงินเร็วๆจากตลาดหุ้น ซื้อหุ้นร้อนแรง แล้วไม่คิดว่าเราจะเป็นคนโชคร้าย ..พวกนี้มักรีบขายหุ้นที่กำลังขึ้น ขายแล้วหุ้นไปต่อ เพราะกลัวจะไม่ได้กำไร กลายเป็นอยากรวยเร็ว ก็เลยรีบขายหุ้น Stop Profit ตัวเอง ..แต่พอเวลาซื้อหุ้นผิดแล้วขาดทุน ก็ทนถือ Let Loss Run (แบบนี้เล่นยังไงก็เจ๊งครับ เพราะหุ้นดี จะไม่เคยถือได้นาน พอขึ้นก็รีบขาย แต่หุ้นห่วย ขาดทุนได้เท่าไหร่เท่ากัน กลับเก็บไว้เต็ม Port)

ลองสำรวจแนวทางของเราจริงๆ ซิว่า 'เรากำลังหลงประเด็นอะไรบางอย่างรึเปล่า' -- ในตลาดหุ้นก็เหมือนสนามแข่งที่ทุกคนชุลมุนรีบร้อน มุ่งแต่อยากทำเงินเร็ว จนลืมคิดว่า เรากำลังหลงทาง !!





วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ทำเรื่องยากให้มันง่าย


'ทำเรื่องยากให้มันง่าย'

นี่คือ แก่นความสำเร็จของยุคนี้เลย

ลองคิดดูซิว่า ทำไม Apple ถึงประสบความสำเร็จ ..ก็เพราะทำเรื่องยากให้มันง่าย

ทำไมนักเขียนบางคนถึงสำเร็จ ..ก็เพราะเขียนเรื่องยากให้มันง่าย

ทำไมนักพูดบางคนถึงสำเร็จ ..ก็เพราะพูดเรื่องยากให้มันง่าย

ทุกธุรกิจถ้าอยากสำเร็จ ก็เลยต้องทำเรื่องยากให้มันง่าย 

วันนี้สินค้าเราอาจยังขายไม่ดี คนไม่ใช้ เพราะมันยากไปหรือเปล่า ?

...ง่าย เพราะเราแคร์คนรับ เราแคร์คนใช้ -- ความสำเร็จ นั่นคือรางวัลของความใส่ใจ และแคร์ผู้รับ 

...ลองดูครับ ไม่ว่าคุณทำอะไร ทำให้มันง่าย !!

ใส่ใจ จึงได้ใจ ถึงเล็กแต่ยิ่งใหญ่


เมื่อวานผมเดินสายไปพูดให้พนักงานโรงแรมโอเรียนทัลฟัง ..'เรื่องการลงทุน แบบมนุษย์เงินเดือน'

 ...มีพนักงานทุกระดับมาฟังหมด ตั้งแต่พนักงานต้อนรับ พนักงานในครัว พนักงานบริการ ไปจนผู้บริหาร 

ผมเข้าใจเลยว่า การสร้างการบริการที่ดี มันต้องมาจากการดูแลใส่ใจพนักงานทุกคน ทุกระดับให้ดีก่อน ...ที่นี่เขาเน้นเรื่องการพัฒนาและดูแลคน ...'คนมีความสุข ภูมิใจในองค์กร และงานที่ทำ ก็จะสะท้อนสิ่งนั้นสู่ผู้รับบริการในที่สุด'

ผู้บริหารเล่าให้ฟังว่า ธุรกิจบริการทุกคนสำคัญมาก โดยเฉพาะพนักงานที่ต้องสัมผัสกับลูกค้า เพราะเขาเป็นทุกอย่างของการส่งมอบคุณค่า และรู้จักลูกค้าดีที่สุด 

ผมว่าการใส่ใจเรื่องเล็กน้อย ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม จริงๆ มันก็คือ หนึ่งในหัวใจสู่ความสำเร็จ 'ใส่ใจเข้าไปในสิ่งที่ทำ ส่งมอบสิ่งที่ดีแม้มันจะดูเล็กน้อย'

 -- อะไรที่ใส่หัวใจเข้าไป มันไม่เล็กน้อยหรอกครับ ..ใส่ใจก็จะได้ใจ มันยิ่งใหญ่ครับ !!

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ปัญหาของยุคนี้ไม่ใช่ขาดเงิน


'ปัญหาของยุคนี้ไม่ใช่ขาดเงิน'

หลายคนคิดว่า สิ่งที่ยากในการสร้างธุรกิจยุคนี้คือขาดเงิน แต่จริงไม่ใช่ 

สิ่งที่ยากจริงๆ ยุคนี้คือ 'ขาดคน' ...เอ๊ะ!! ใช่เหรอ เพราะคนอยากทำงานเยอะแยะ แล้วมันขาดตรงไหน

ที่ว่า ขาดคน คือ ขาดคนที่ไม่ทำงานเพื่อเงิน 

'คำถามคือ ถ้าไม่ทำงานเพื่อเงิน แล้วจะทำงานเพื่ออะไร' ...จริงๆ เรื่องนี้เหมือนเส้นผมบังภูเขา ผมเจอคนรุ่นใหม่เก่งๆเยอะ แต่เขาหาโอกาสไม่ได้ เพราะ เวลาเขาคิดธุรกิจอะไรก็ตามเขาเริ่มจากเอาเงินเป็นโจทย์ว่าทำแล้วจะได้เท่าไหร่

สังเกตไหมว่า ธุรกิจวันนี้สามารถเริ่มได้ด้วยเงินน้อย แต่ปัญหาก็คือ ธุรกิจเหล่านี้มันเหมือนไม่ใช่ธุรกิจ ..เหมือนทำเงินไม่ได้ ..คิดดีๆนะ อะไรที่เป็นธุรกิจที่ดูแล้วทำเงินได้มาก มันจะโดนบริษัทใหญ่ๆ ที่คนพร้อม ความรู้พร้อม เงินพร้อม เขาทำไปหมดแล้ว ..ทำให้โอกาสเหล่านี้มันไม่ใช่โอกาสของรายย่อย หรือ คนตัวเล็ก

ดังนั้น คนตัวเล็กคิดทำธุรกิจต้องมองผ่ายเงินไปก่อน มองไปที่ประโยชน์และการแก้ปัญหาของสิ่งที่จะทำ 

นี่คือสิ่งที่ยากที่สุดของธุรกิจ Start-Up เพราะส่วนใหญ่โอกาสของ Start-Up มันดูเหมือนไม่ทำเงิน เช่น ใครจะคิดว่าธุรกิจเป็นศูนย์กลางให้คนเอาบ้านตัวเองแบ่งเช่าอย่าง Airbnb มันจะโตได้ หรือ แม้แต่ Facebook เอง ตอนเริ่มก็เป็นแค่เพจระบายอารมณ์ส่วนตัว จะกลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญทางธุรกิจได้

ดังนั้น ลองมองใหม่ครับ ...โอกาสมันอยู่ในจุดที่องค์กรใหญ่คิดว่าเรื่องเด็กเล่น ไม่น่าทำเงิน 

การเริ่มคว้าโอกาส คือ การมองใกล้ๆตัวเรานี่แหละครับ ...พอตั้งไข่ Idea เป็นที่ยอมรับ เดี๋ยวจะมีนักลงทุนขนเงินมาร่วมกับคุณเอง

วันอังคารที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2558

วิธีคิดนักธุรกิจรุ่นใหม่


'วิธีคิดนักธุรกิจรุ่นใหม่' ยังไงอ่ะ

1. คิดเว่อร์ๆ ...คนรุ่นใหม่ คิดใหญ่เกินตัวมาก เพราะเห็นแล้วว่ายุคนี้มีคนที่ทำจากศูนย์เป็นพันล้านได้มากมาย ..ถ้างั้น ฉันก็น่าจะทำได้ !!

2. ไม่มีเงินเลยต้องแปลกใหม่ ..คนรุ่นใหม่ใช้ตังค์เยอะครับ ทำให้เงินเก็บน้อย -- ซึ่งดีนะ เพราะยุคนี้เงินน้อยก็เลยเหลือแต่ธุรกิจต้นทุนต่ำ อย่าง ออนไลน์ หรือ อะไรที่เกี่ยวกับสิ่งใหม่ๆ เช่น ใช้เครือข่าย , ใช้ Referral 

3. แบ่งกันรวย ..คนยุคนี้เข้าใจเหมือนกันว่า แบ่งกันรวย มันมีโอกาสรวยง่ายกว่า ..คนรุ่นใหม่จึงเน้นการสร้าง Network ให้มากที่สุด

4. ยืดหยุ่น ..จุดนี้ใกล้กับไร้เป้าหมายนิดเดียว เพียงแต่เป้าหมายชัดเจน แต่ยืดหยุ่นในวิธีการเดินไป 

5. สร้าง Platform ...แต่ก่อนคนจะคุยเรื่องธุรกิจ แต่คนยุคใหม่จะไม่สนธุรกิจ แต่สนการสร้าง Platform ..คือ มองตัวเองเป็นตลาด / เป็นเวที / เป็นศูนย์กลาง / เป็นจุดเชื่อมต่อ

ลองสำรวจธุรกิจคุณซิ ว่ามีความรุ่นใหม่ แค่ไหนในสายเลือดแล้ว

'คิดใหญ่เว่อร์ๆ(เปลี่ยนโลก) ..แปลกใหม่(เงินน้อย ต้องแตกต่าง) ..แบ่งกันรวย(ช่วยแชร์ความเสี่ยง) ..ยืดหยุ่น(ล้มลุกเรียน แล้วเดินต่อ) ..สร้าง Platform' 

จัดเลยซิ !!

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ทำอยู่เดินถูกทาง


'เราจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่ทำอยู่เดินถูกทางแล้ว?'

ผมว่านี่เป็นคำถามสำคัญที่คนทำธุรกิจต้องเจอ

ทุกการเดินทางใช้เวลานานมาก โดยเฉพาะการเริ่มและสร้างธุรกิจ 

สิ่งที่จะตอบว่า 'เราเดินมาถูกทางแล้วก็คือ'

1. สิ่งที่เราทำอยู่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นไหม (ถ้าใช่แปลว่า เรามีลูกค้า มีตลาด)

2. สิ่งที่เราทำอยู่ มีความหมายต่อตัวเราหรือไม่ (ถ้าใช่แปลว่า เรามีเป้าหมายชัดเจน เหลือเพียงความอดทนเดินสู่ความสำเร็จ)

3. สิ่งที่เราทำอยู่ มีคนที่มีเป้าหมายเหมือนกันร่วมเดินหรือไม่ (ถ้าใช่ แปลว่า โอกาสสำเร็จเราสูงขึ้น เพราะธุรกิจต้องการผู้ร่วมเดินทาง ..หุ้นส่วน / ลูกน้อง / นักลงทุน)

ถ้ามี 3 ข้อนี้ ...เดินต่อเถอะครับ ..บางครั้งเราแค่ต้องผ่านจุดทดสอบใจ เท่านั้นเอง




วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2558

คนรุ่นใหม่เงินเดือนหมื่นห้า จะรวยยังไง


'คนรุ่นใหม่เงินเดือนหมื่นห้า จะรวยยังไง'

คนรุ่นใหม่บอกเลยว่า ยุคนี้รวยยาก ถ้าไม่วางแผนนี่จบเลย ไม่มีทาง ...เพราะอะไร

ไม่ใช่เพราะ 15,000 บาท ..จริงๆ ไม่เกี่ยว สังเกตไหมว่า คนยิ่งเงินเดือนเยอะส่วนใหญ่ชีวิตสบาย แต่ไม่รวย ..เพราะเงินมากมันทำให้เรามองรายจ่ายที่ใหญ่ขึ้น เพื่อให้ชีวิตสบาย 

สรุปก็เลย ผ่อนบ้านหลังใหญ่ ผ่อนรถหรู มี Gadgets หรูหรา ไฮโซครบ ไม่น้อยหน้าใคร แต่เงินเก็บไม่มี

ยุคเงินหายาก มันสอนเราดังนี้

1. ไม่มีเศรษฐีคนไหนรวยจากรายได้ ..ส่วนใหญ่รวยจากการเก็บ Asset แล้วราคามันขึ้น เช่น ที่ดิน , หุ้น , อสังหา , ธุรกิจ , ทอง , ของสะสม 

2. คนส่วนใหญ่ไม่รวยเพราะยุคนี้สอนให้ทุกคนตั้งแค่เป้าระยะสั้น ..แต่ความจริงเป้าหมายระยะยาวต่างหากที่ทำให้เรารวย 

3. การหวังรายได้จากทางเดียวไม่มีทางสร้างอิสรภาพทางการเงิน ต้องหาวิธีสร้างรายได้แหล่งที่ 2/3/4 (ที่หลายคนยังมีรายได้ทางเดียว ไม่ใช่เขาไม่เก่ง แต่ หนึ่ง ยังไม่เปิดใจเรียนรู้ สอง ขี้เกียจเกินไป ...ถ้ายังมองไม่ออกไปเรียนจากเด็ก เดี๋ยวนี้เด็กยังไม่ทันจบปริญญาเขาเริ่มหาเงินได้แล้ว ลองเปิดใจดูซิว่าพวกเขาทำอย่างไร)

สรุป ถอยหลังสองก้าว ทดลองตั้งเป้าชีวิตระยะยาว เรียนจากเด็ก และ ขยันเพิ่มอีกนิดครับ


วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ผู้จัดการได้เงิน ผู้นำได้ใจ เอาไงดี


'ผู้จัดการได้เงิน ผู้นำได้ใจ เอาไงดี ?'

ถ้าถามเด็กสมัยนี้ 'เอาเงินซิครับ ..อย่าพูดเรื่องใจ -- ผม ใจ ใจ อยู่แล้ว !!'

ฟังคำตอบ แล้วต้องกลับมานั่งคิดว่า มันต้องการสื่ออะไรฟระ !!

ยุคนี้ใครเป็นผู้จัดการมักได้เงินเดือนสูง ..ก็ไม่แปลกเพราะผู้จัดการคือ คนที่ทำหน้าที่ดูให้แน่ใจว่าธุรกิจยังคงทำเงินต่อไป ดังนั้น ผู้จัดการก็เสมือน โปรแกรมที่สั่งงานคอมพิวเตอร์ให้ทำงาน ...อ้าว!! แล้ว 'ผู้นำ' มีประโยชน์อะไร ?

จริงๆ ทุกที่ ทุกบริษัท มีผู้นำอยู่ เขาคือ คนที่คนอื่นๆฟัง และเชื่อ โดยสมัครใจ ไม่ใช่ตามตำแหน่ง ...บางครั้งก็อาจมีที่ ผู้จัดการที่เป็นผู้นำด้วย (แต่น้อยมาก)

เทียบง่ายๆ ผู้จัดการคือ คนที่ทำตามกฏเป๊ะ วัดผลเป็นตัวเลขชัดเจน(อันนี้ได้เงินตรงๆ) แต่ผู้นำคือ คนที่ยืดหยุ่นภายใต้กฏ วัดผลจากความพึงพอใจของคน ซึ่งวัดผลยาก ..เราจึงเห็นชัดๆ เลยว่าในอดีต มีทั้งผู้นำที่รวย และ จน (ผู้นำที่จนก็เยอะ)

แต่ยุคนี้เปลี่ยนไป ..มันเป็นยุคที่ 'ผู้นำ' โชคดี เพราะโลกยุคนี้ให้รางวัลแก่ Trust ..คนจ่ายเงินเพราะ Trust ..เดี๋ยวนี้ลูกจ้างสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ง่าย ใช้เวลาน้อย ใช้ระบบอัตโนมัติ ทำเงินได้แม้ไม่มีเรา 

ดังนั้น ความสำเร็จของคนในยุคนี้คือ การฝึกความเป็นผู้นำในตัวคุณ คือ การสร้าง Trust ในจุดที่คุณยืน

1. พยายามเชี่ยวชาญในงานที่ตัวเองทำ'มีความรู้ลึกในงานที่ทำ' จากนั้นเพิ่มความรู้ด้านกว้างเข้าไป 

2. ช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานให้มาก ..อาสาทำในโครงการใหม่ๆ ..พาตัวเองไปในงานใหม่ๆ โดยไม่ต้องสนว่าคุณจะได้อะไร เพราะสิ่งที่ได้แน่ๆคือ ความรู้ใหม่และโอกาสใหม่ ที่สำคัญสุดๆ

เริ่มง่ายๆ จากสองข้อนี้ ก็คือ การสร้างผู้นำมือใหม่แล้วครับ ...ผู้นำ คือ ผู้ให้ , ผู้สอน , ผู้ช่วยเหลือ -- คนจะรวยยุคนี้ต้องเริ่มแบบนี้แหละครับ





ฝรั่งกับคนไทยใครเก่งกว่ากัน


"ฝรั่งกับคนไทยใครเก่งกว่ากัน ?"

ผมถามคำถามนี้ตั้งแต่เด็กๆ ละ ...ผมมักกลัวฝรั่ง เพราะ มองว่าฝรั่งตัวใหญ่ แถมเก่งด้วย ...จนวันนี้ผมสอบติด AFS ได้เป็น นักเรียนแลกเปลี่ยน ไปออสเตรเลีย ...พูดง่ายๆ ว่าจะได้ไปอยู่กับ ครอบครัวฝรั่งเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม

ตอนนั้นผมอยู่ ม.5 ก็เลยไปเรียน Year 11 ...จากที่ผมอ่อนเลขที่เมืองไทย พอไปเรียนที่ออสเตรเลียผมกลายเป็น Top ห้อง เลข ...งง เลยว่า เฮ้ย!! ไรเนี่ย ...แต่วิชาอื่นก็ธรรมดานะ เพราะ เรื่องภาษามันเป็นอุปสรรคเบื้องต้น

นั่นแหละ ผมถึงมานั่งตั้งคำถามใหม่ว่า "เฮ้ย!! ฝรั่งมันก็ไม่ได้เรียนหนักกว่าเรา ...เรียนเบากว่า กิจกรรมก็เยอะ ...เขาสนับสนุนให้เด็กทุกคนเล่นกีฬา และ ก็จะมี Sport Day ที่เลือกกีฬาแล้วก็ไปเข้าชมรม เรียกได้ว่า เรียนกับเล่น เขาถือเป็นเรื่องที่สำคัญพอๆ กัน ...ส่วนเรื่องเรียนพิเศษ ติวเตอร์ แบบที่เมืองไทยเราติวกันเอาเป็นเอาตาย ...ฝรั่งเขาไม่มีเลย ...เด็กไทยโดยเฉพาะเด็กกรุงเทพ จะใช้เวลาบนถนน วันนึงเกือบ 4 ชั่วโมง รถติดเช้าเย็น ...เพื่อไปโรงเรียนที่ไกลบ้าน

แต่ที่นุ่น ผมเดินไปโรงเรียน ประมาณ 10 กว่านาที ออกกำลังกายเช้าเย็น ...ช่วงนั้นเลิกเรียนผมก็แบกถุงกอล์ฟเข้าสนามกอล์ฟ ตีกอล์ฟทุกวัน ลากถุงเอง ไม่มีแค๊ดดี้ ...ผมทำแบบนี้จนกลับเมืองไทย ...พ่อถามผม "มรึงไปเรียน หรือ ไปตีกอล์ฟวะเนี่ย ?" -- คือ ประมาณว่า ช่วงนั้น เราฝึกทุกวัน พอกลับเมืองไทย นี่ตีแบบโปร์เลย

ประเด็นที่ผมตั้งคำถาม คือ "ตกลงฝรั่งเก่งกว่าเราหรือเปล่า" ..ผมว่า ไม่ใช่ ..เพียงแต่ระบบมันส่งเสริมให้คนเขามีคุณภาพ ...สิ่งที่เราลืมไป คือ คนไทยเราคิดว่า การเรียนให้เก่งคือ ทุกสิ่ง ...การได้เรียนในมหาวิทยาลัยดัง ก็คือ ทุกสิ่ง ...ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ แทบไม่อยู่ในหัวของฝรั่งเลย

ในออสเตรเลีย เขาจะมี TAFE และ ก็มีระบบ Apprenticeship คือ On the Job Learning ...ประมาณว่า ถ้าเด็กอยากมีอาชีพอะไร รัฐบาลก็จะให้เงินสนับสนุน กับธุรกิจนั้นๆ ให้รับเด็กฝึกงาน เป็น วิศวะ , ช่าง , เบอเกอรี่ , เชฟ , นักการเงิน , อสังหา ...เอาง่ายๆ ว่า ทุกอาชีพเขาเท่าเทียม รายได้มันไม่ได้แตกต่าง ขอให้เก่งและชอบ รวยได้หมด ...เด็กฝรั่งจะเน้นการฝึกงานจริง ...แต่เด็กไทยจะเรียนแต่ทฤษฎี และมีอาชีพที่แข่งกันไม่มีอัน ..สรุปง่ายๆ ว่า ประเทศเราจัดเรื่อง Demand & Supply ของอาชีพไม่ดี กระจุกตัว ..คนเก่งจึงไม่กระจาย เลยการเป็นอาชีพได้แบ่งชนชั้นของคนเรียบร้อย

อีกเรื่อง คือ ฝรั่งให้ความสำคัญกับทุกอาชีพ แม้กระทั่ง กรรมกร เขาแบ่งเป็น ช่าง ในแบบต่างๆ แล้วทุกช่าง มีการเรียน การสอบ การลงทะเบียน เพื่อแน่ใจว่า แต่ละคนคือ มืออาชีพ ..เป็นช่างไม้ เป็นช่างประปา เป็นคนขับรถยก , เป็นช่างไฟฟ้า ...ทุกคนมืออาชีพหมด เพราะ ต้องมี License ...ไม่เหมือนบ้านเรา เอาใครก็ได้มาทำ ไฟดูดก็ให้มันตายไป ...เอาคนใหม่มาดูดอีก ...555 -- การลงทะเบียนทุกอาชีพ ก็ทำให้รู้ว่า ประเทศเขาขาดคนทำอะไร ...บ้านเราขากปั๊บ ก็ไปเอาคนต่างด้าว มาทำเพราะถูก ..มันคนละความคิดเลย

ฝรั่งเขาเน้นคุณภาพ "ทุกอาชีพต้องเรียนรู้จริงๆในเรื่องนั้นๆ" / เน้นความภูมิใจในอาชีพ "ทุกอาชีพต้องมี License ถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ..เก่งในสิ่งที่ทำ" / เน้นความรับผิดชอบ "งานทุกงาน ต้องรับผิดชอบ ถ้าทำไม่ดี โดนฟ้อง ค่าปรับแพง หรือ ติดคุกได้ ...กฏหมายเขาแรง คอรับชั่นไม่ได้"

เรื่องสุดท้ายผมว่า สำคัญสุด เขาสอนให้ทุกคนเป็นนักกีฬา ...ดังนั้น ฝรั่งเขาจะรู้ว่า ชีวิตมีแพ้ชนะตลอดเวลา ..มีภูมิคุ้มกันต่อการแข่งขัน และ เข้าใจเรื่องแพ้ชนะ ...

ทั้งหมด ไม่ต้องรอให้ผู้มีอำนาจมาเปลี่ยนให้ประเทศไทย ...ผมว่า เริ่มจากตัวเราแต่ละคน ...ปรับตัวเองให้ 1. รู้ให้จริงในสิ่งที่ทำ 2. ภูมิใจในอาชีพตัวเอง 3. มีความเป็นมืออาชีพรับผิดชอบทุกผลที่ทำ 4. ล้มได้ แพ้ได้ มีน้ำใจนักกีฬา และ เรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหมือนนักกีฬา

คนไทยเก่งครับ ....จัดไป !!

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ