แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

'เล่นหุ้น'อย่าตามแห่ แล้วเราจะดีเอง


"การที่จะรวยจากการเป็นนักลงทุน มันมากกว่า การมาซื้อๆขายๆหุ้น 

...ลองสังเกตดูนักลงทุนที่รวย ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนระยะสั้นหรือนักลงทุนระยะยาว เขาจะมีสิ่งนึงที่ลึกซึ้งเหมือนๆกัน นั่นก็คือ วิธีคิด (Mindset)

ใช่!! ผมกำลังจะบอกคุณว่า เวลาจะรีบตักน้ำ(โกยเงินเพื่อรวยเร็ว) ลองสำรวจขันหรือภาชนะตักน้ำก่อนว่ามีรูรั้วแค่ไหน" 

..หลายคนเคยฟังสัมมนาหุ้นกับผม มักจะบอกว่าพี่แพ้ท มักเน้นย้ำเรื่อง Mindset มากที่สุด ในขณะที่คนส่วนใหญ่วิ่งไปตักน้ำแบบไม่ลืมหูลืมตา แล้วพบว่า ยิ่งตักยิ่งไม่ได้อะไรเพราะขันรั้ว และไม่มีที่เก็บน้ำ ..'โคตรเสียเวลา!!'

ตลาดหุ้นแบบนี้เป็นเวลาให้คุณได้ทบทวนสิ่งที่คุณทำมา ลองมองตัวเองให้ชัดขึ้น หาจุดรั้วของวิธีคิดที่ผ่านมาของเรา แล้วแก้ไขซะ ..แล้วคุณจะรวยในที่สุด รวยจริงๆรวยยาวๆ เพราะคุณมีปัญญา ไม่บ้าบอ บ้าจี้ตามแห่ เหมือนคนอื่นๆ 

ทำเหมือนเดิม แต่หวังผลลัพธ์ดีขึ้น ...งง ?

มีรุ่นน้องหลายคนมาปรึกษาผมว่า "เขาอยากสำเร็จเร็ว ...อยากรุ่งว่างั้น แต่ทำไมเขาทำงานหนักแต่ไม่รุ่งสักที ..ชักท้อ !!"

ผมถามน้องเขาว่า จะเอา "คำปลอบใจ" หรือจะเอา "ยาแรง"

เขาบอกงั้นขอคำปลอบใจก่อน
"ก็ต้องพยายามต่อไป ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น"

โอเค ก็พอไหวนะ งั้นขอ "ยาแรง" ครับพี่

ได้!! "ก็เอ็ง ทำเหมือนคนส่วนใหญ่ที่คิดว่า 'การทำอะไรเหมือนเดิม จะทำให้ผลลัพธ์แตกต่าง' (ตลกมาก ทำงานเหมือนเดิม Routine แล้วคิดจะให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไป ให้ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้เงินเยอะ มันจะเป็นไปได้ยังไง.. ตลก!!)
...ถามจริงๆ น้องเคยทำอะไรที่ออกจาก Comfort Zone ของตัวเองไหม ? ...เคยเรียนอะไรใหม่ๆ หลังจากเรียนจบไหม ? ..และ เคยทำอะไรแตกต่างจากคนอื่นๆไหม ? ...ใช่!! ไม่เคย ก็เลยได้ผลลัพธ์เหมือนคนอื่น --- เอางี้ เอาใหม่ ลองทำอะไรที่เราไม่เคยทำ หรือ ลองทำอะไรที่มันอยู่นอก Comfort Zone แล้วเราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ...นั่นคือ Step ที่หนึ่งของคนที่ต้องการจะก้าวหน้า

...ลองดูดิ!!"

อย่าล้มเลิกตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทาง ...ตลกเด็ก !!


"ทำไมคนส่วนใหญ่ ถึงชอบพูดว่า ก็คุณประสบความสำเร็จแล้ว ก็เอามาเล่าได้ซิ ...เขาลืมไปหรือเปล่าว่า ผมเองหรือทุกๆคน ก็ล้วนผ่านช่วงที่ล้มเหลว และ ผ่านวิกฤตระหว่างทางทั้งนั้น

ใช่!! คนเดี๋ยวนี้ลืมไปว่า เราผ่านยุคโบราณสมัยฮ่องเต้ไปนานแล้ว ที่คนที่ทำงานพลาด 'เอาไปประหาร' ..เดี๋ยวนี้คนยิ่งล้มยิ่งเก่งครับ

วิชายุคใหม่ที่เขาสอนกันก็คือ ล้มอย่างไรให้เจ็บน้อยและได้วิชา และ วิชาการลุกเร็วหลังล้ม !!

ล้มเหลวไม่เห็นน่ากลัวเลย ...แต่ล้มเลิกซิน่ากลัว เพราะ คุณยอมแพ้

 -- แต่ห่วยที่สุด คือ คนที่ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัวล้ม เพราะ ไอ้นี่ล้มเลิกตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทางเลย ..555"

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558

'จ่าย' เพื่อตัวเอง คือ หลักคิดสำคัญของผู้ประสบความสำเร็จ


'ไม่ดีเพื่อเปลี่ยนชีวิต' , 'เป็นหนี้เพื่อเปลี่ยนชีวิต' , 'จ่ายเพื่อเปลี่ยนชีวิต' -- เคยแปลกใจไหมครับ ที่ความสำเร็จมักก่อตัวบนเส้นทางที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึง !!

คนส่วนใหญ่ 'เก็บ' เงินเพื่อรวย จึงไม่รวย ..เพราะความรวยและความสำเร็จมันเกิดจากการ 'จ่าย' ไม่ใช่ 'เก็บ'

เศรษฐี 'จ่าย' เงินลงทุน(จ่ายเวลาลงทุน : Give Before Take) เพื่อให้การลงทุนเลี้ยงอนาคตของเขา

"คนเราให้คุณค่าเฉพาะสิ่งที่เราจ่าย เราเรียนรู้ในสิ่งที่เราจ่าย และเราเติบโตกับสิ่งที่เราจ่าย"

นอกจาก 'จ่าย'(เงินและเวลาชีวิต) ให้คนอื่นรวย(ซื้อกระเป๋า ซื้อรถ ซื้อของหรูหรา) ...เราเคยจ่ายอะไรบ้างให้ตัวเราเองจริงๆ

-- การจ่ายเงินเพื่อพัฒนาความรู้และความคิด  เป็นสิ่งมีค่าที่สุดในชีวิตที่เราทุกคนไม่ควรมองข้าม !! 

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม : นักลงทุน / นักคิด / นักเขียน



เมื่อโอกาสมาถึง คุณต้องกล้าคว้ามัน


"ทำไมมีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นในโลกที่ประสบความสำเร็จ 

..ใช่!! ก็เพราะโอกาสที่เปลี่ยนชีวิต มักมาให้เราตัดสินใจในเวลาที่เราไม่พร้อมนั่นเอง -- 'ความกล้า+ความบ้าบิ่น' จึงเป็นปัจจัยสำคัญ ของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของแต่ละคน" 

..แล้ววันนึงเมื่อโอกาสมาถึงคุณ คุณเลือกอะไรครับ ?

'ภาววิทย์ กลิ่นประทุม' : นักลงทุน/นักเขียน และ นักคิด

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

6 วันที่ฉันเปลี่ยนเม่า Launchpad สอง จ๊า


"หกวันที่ฉันเปลี่ยนเม่า!!!!" --- ทำไมต้อง Investor Launchpad !! ...

นี่คือ รุ่นที่ 2 ของ "Launchpad" ซึ่งเป็นคอร์สปั้นมือใหม่ แบบ Intensive ที่สุด ซึ่งใช้เวลาท่านเพียง 6 วัน สอนมือใหม่(หรือ มือเก่าก็ได้ ที่อยากเปลี่ยนชีวิตการลงทุนใหม่) เริ่มตั้งแต่ติดตั้งเครื่องมือ ตั้งแต่ เครื่องมือ Trade ,ดูพื้นฐาน , ดูกราฟ , iTracker ติดตั้งเครื่องวัดผล "เหมือนสมุดพกในการลงทุน ที่วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน ของท่าน จากการเทรดจริงๆ" ..รวมทั้งเครื่องมือขั้นสูงอย่าง iAlgo ที่ให้ท่าน ใช้และตั้ง Robot ให้ช่วย เฝ้าตลาดแทนท่าน 

ในส่วนของความรู้ทั้ง 6 วัน ของ "Investor Launchpad รุ่น 2" เราไปจัดที่ "ภูเก๊ต" เพื่อบรรยากาศของ "Trading Camp" ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเทรดไปกับอาจารย์ (และนี่คือ "เงินจริง" เปิด พอร์ตแล้วลองซื้อขายจริงๆ รวมทั้งวัดผล ..และทำไปด้วยกัน -- นี่แหละเสน่ห์ของ Launchpad Trading Camp")

เป้าหมายของคอร์ส LaunchPad ก็คือ "Knowledge-Network-Wealth" เพราะ นอกจากความรู้เข้มข้นทั้ง การเล่นยาวและเล่นสั้น ซึ่งสอนโดย ผม และ หยง แล้ว ...เราเน้นเรื่องการสร้าง Network เพราะ "คนเรียนทั้ง 70 ท่าน ก็คือ ผู้ที่เอาจริงกับการศึกษาและเปลี่ยนชีวิตการลงทุนเหมือนๆ กับท่าน" ..ใช่!! ได้เพื่อนจริงๆ ในการลงทุน ที่ไม่ใช่เพื่อนใน Line ที่มั่วไปมา หลอกกันไปมา ...แต่นี่คือ เพื่อนนักลงทุนจริงๆ ที่เรียนจากสำนัก Launchpad เหมือนกัน ไปช่วยกันเดินทางสู่ Wealth อย่างมีปัญญานั่นเอง

คอร์ส The Investor Launchpad รุ่น 2 ตอน "Trading Camp Phuket" รับคนจากทุกจังหวัด (คนที่อยู่จังหวัดอื่นๆ จะเดินทางไป ให้ติดต่อกับทีมงานตามเบอร์ที่ให้ ซึ่งที่พัก เรามี Rate พิเศษ ที่ดิวทางโรงแรมไว้ให้ครับ) ...งานนี้คงไม่ต้องแต่งเสื้อขาวห่มขาว เพื่อเปลี่ยนชีวิต แต่เราไปเปลี่ยนชีวิตด้วยการตั้งใจไปเรียนจริงเทรดเงินจริงด้วยกัน ทั้ง 6 วัน ...'ใช่!! 6 วันที่ฉันเปลี่ยนเม่า' ..."เปลี่ยนวิธีคิด และ วิธีลงทุน ทั้งหมด ทั้งสั้นและยาว"

 ...คุ้มแน่นอน ขอการันตี โรงเรียนภาววิทย์ !!
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัคร รวมทั้งคุยกับทีมงาน คลิ๊กที่นี่ครับ
http://www.bualuang.co.th/investmentst…/specialistclassroom/

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2558

เปิดแล้วครับ !! : The Investor Launchpad รุ่น 2 'รับด่วน'!!

กลับมาตามคำเรียกร้อง กับคอร์สปั้นมือใหม่ให้เข้าใจหุ้นที่ครบเครื่องที่สุด "The Investor Launchpad รุ่นที่ 2" : ซึ่งเป็นการรวมตัวของ แพ้ท "เล่นยาว" กับ หยง "เล่นสั้น" กับ หลักทรัพย์บัวหลวง ที่จัดเครื่องมือการลงทุนที่เหมาะกับรายย่อยแบบครบเครื่อง ทั้งเครื่องมืออ่านงบ และกราฟหุ้น รวมทั้ง iTracker "เครื่องวัดฝีมือการลงทุน" และ iAlgo "Robot ที่รายย่อยบังคับหุ่นยนต์ได้เอง"

ครั้งนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศยกทีมไปจัดกันที่ "ภูเก็ต" โดย จัดเวลาเรียนแบบเข้มข้น Intensive ใน 2 สัปดาห์ เป็นบรรยากาศของ "Investor & Trading Camp"(เรียนจริง และเทรดจริง กับโค๊ช แพ้ทและหยง) : ซึ่งเราจะเรียนกัน 6 วันเต็มที่ภูเก็ต คือวันที่ 22,23,24,25 พฤษภาคม (สัปดาห์ที่หนึ่ง) และ 30,31 พฤษภาคม (สัปดาห์ที่สอง)

สัปดาห์แรก คือ วันที่ 22,23,24,25 แบ่งเนื้อหาคือเริ่มตั้งแต่ วันศุกร์ที่ 22 เราจะแจกอาวุธและติดตั้งเครื่องมือการลงทุนที่จำเป็น ตั้งแต่เครื่องมือการเทรด อ่านงบ และอ่านกราฟหุ้น รวมทั้งการสอนวิธีใช้ iTracker และ iAlgo ..วันนี้จะปูพื้นฐานการใช้เครื่องมือตั้งแต่เริ่มต้นจนใช้งานเป็น โดย เริ่มการเปิดค่าย เปิด Camp โดย ผม และ หยง รวมทั้งทีม กูรูบัวหลวง ที่มาช่วยกันอย่างคับคั่ง

ในวันที่ 23,24 จะเป็นการปูพื้นฐานในเรื่องของการ เข้าใจ "การเล่นยาว โดย ภาววิทย์ : เริ่มตั้งแต่การแกะงบ การเลือกหุ้น การเข้าใจรอบใหญ่ของตลาด, รอบของอุตสาหกรรม และรอบของหุ้นรายตัว" 

วันที่ 25 เป็นการสรุปรวม "การเล่นยาว" และ ปูพื้นฐาน "การเล่นสั้น" ซึ่งวันนี้จะเปิดโอกาสให้ผู้เรียน Trading with Coach ในการซื้อ-ขาย หุ้นในวันที่ตลาดเปิดไปพร้อม อาจารย์ หยง (คอร์สนี้เราให้ผู้เรียนเปิดพอร์ตใช้เงินจริงๆ ไม่มีการใช้พอร์ตจำลอง ซึ่งการซื้อขายของผู้เรียนจะถูกวัดผลจริงด้วย iTracker)

ในระหว่างสัปดาห์ ให้ผู้เรียนกลับไปเทรดหุ้นเอง และ คุยกันผ่านห้อง Webboard Group "Launchpad" และ Session Online "Webminar" ตามวันเวลาที่นัดกัน

สัปดาห์ที่สองวันที่ 30,31 เรามาเจอกันอีกครั้งที่ "ภูเก็ต" ในรูปแบบ Trading Camp โดย "แพ้ท และ หยง" ..ในสัปดาห์ที่สอง จะเจาะลึกในเรื่องของการเล่นหุ้น แบบเข้มข้นตลอด 2 วันเต็ม

หลังจาก 2 สัปดาห์ เราจะยังมี Online Brushup Class และ การ Follow up ผ่าน Webboard Group "Launchpad"

ก็เนื้อหา หลักสูตรสั้นยาว เข้มข้น ตะลุยภูเก็ต Trading & Investing Camp คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ 

..ค่าใช้จ่ายคือ 29,500 บาท ต่อท่าน (ค่าใช้จ่ายนี้รวมค่าเรียน ค่าเอกสารและเครื่องมือรวมทั้งสถานที่เรียน แต่ไม่รวมการเดินทาง และ ที่พัก) 

รับสมัครเพียง 70 ที่นั่ง "เราจำกัดสิทธิการจองที่เรียนแบบ First in First Serve ผู้ที่สมัครและชำระค่าเรียนเรียบร้อยจะได้สิทธิก่อนครับ" : ผู้ที่สนใจ คลิ๊กจองได้ที่ http://www.bualuang.co.th/investmentstation/specialistclassroom/  ส่วนถ้าต้องการคุยกับเจ้าหน้าที่โทรได้ที่เบอร์ 076-355-171 




วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

งานที่เปลี่ยนชีวิตเราคืองาน Part-time ไม่ใช่งาน Full-time



คุณเห็นด้วยไหมครับว่า "งานที่เปลี่ยนชีวิตคนๆนึงไปแบบสุดๆ ก็คือ งาน Part-time ของเขา ..ไม่ใช่งาน Full-time"

งาน Full-time เป็นงานที่ทุกคนต้องมี คือ งานที่ทำๆ ไปเพื่อให้ไม่อดตาย ได้เงินเดือน ...และส่วนมากงาน Full-time โดยเฉพาะงานแรกที่ทำ มักจะเป็นงานใช้แรงงาน ที่เราไม่ชอบ ไม่สนุก ..ก็คล้ายๆ สมัยเรียนนั่นแหละ เวลาเรียน Full-time ทุกคนต้องไปโรงเรียน นั่งเรียนตั้งแต่เช้าจดเย็น โคตรเบื่อ แต่มันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำ ก็เหมือนงาน Full-time เป๊ะ !!

 ...แต่เวลาที่ทำให้เด็กคนนึง เก่งกว่าเด็กอีกคนนึง ก็คือ นอกเวลาเรียน ..เวลาที่เด็กส่วนใหญ่ไปเล่น ไปพักผ่อน ...ก็มีเด็กบางคนที่เอาเวลา Part-time ไปอ่านหนังสือ ไปเรียนพิเศษ -- เวลานี้แหละที่ทำให้เด็กคนนั้นสอบติดมหาวิทยาลัยดีๆ ..เรียนเก่ง

กลับมาที่ทำงาน ...คนส่วนใหญ่ คิดว่า พอทำงาน จะเจองานในฝันตั้งแต่งานแรกที่ทำ ...ฝันโคตรๆ

เพราะ "งานแรก" ของทุกคน ..ผมฟันธง ถ้าคุณไม่ใช่ลูกของประธานบริษัท งานแรกคุณ คือ งานกระจอก งานห่วยแตก ..แต่มันต้องทำ ..ทนทำๆไป ..คนส่วนใหญ่ๆ ก็ทนทำจริงๆ แล้วทนแบบนี้ชั่วชีวิต ..พวกนี้ พอวันหยุดจะดี๊ต๊า เพราะ งานมันน่าเบื่อ ก็ทำเพื่อรอวันหยุดจะได้พัก จะได้ Shopping แก้เครียด -- เออ!! แบบนี้ จะเจริญได้ไง? ..นี่แหละคนส่วนใหญ่ ทำงานแบบขอไปที ทนๆทำไป เพื่อที่รอให้ถึงวันหยุด รอวันพักผ่อน จะได้ครายเครียด แล้วก็กลับมาทำงานห่วยๆ เหมือนเดิม ...นี่คือ วงจรของคนส่วนใหญ่กว่า 80% ที่ทำงานแล้วไม่สำเร็จ ไม่รุ่ง ไม่รวย

 ทางแก้ คือ ใช้เวลา Part-time ของคุณนั่นแหละ ไปหางานที่เราชอบ ...หลายคนนึกว่า การหาตัวเอง คือ เปลี่ยนงานประจำบ่อยๆ บ้าแล้ว ..มันเหมือนเด็กที่เปลี่ยนโรงเรียนบ่อยๆ มันไม่ใช่ประเด็น

...ไอ้ที่เปลี่ยนบ่อยๆ คือนอกเวลาเรียนที่เอามาค้นหาความตัวเอง ค้นหาความถนัด ต่างหาก -- อย่างเด็กเก่งกีฬา ก็เอาเวลานั้นมาซ้อมกีฬา เด็กเก่งดนตรี ก็เอาเวลาPart-time มาฝึกดนตรี ตามที่ตัวเองรักและทำได้ดี ...เราเอาเวลา Part-time นั่นแหละ ลองหางานที่เหมาะกับเราแล้วเราชอบมันจริงๆ

สุดท้าย เมื่อเจองานที่ชอบ ที่ใช่ ...ก็เปลี่ยนงาน Part-time นั่นแหละ ให้เปลี่ยนงานประจำใหม่ ที่คุณทำแล้วดี ทำแล้วชอบ

"คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนน่ะ เพราะ เขาตั้งใจ เพียรพยายาม จนหาเจองานที่ใช่ ...จากนั้นชีวิตก็จะเปลี่ยน เพราะ งาน คือ สนุก ...แบบ Playing get Money -- เล่นเป็นเงิน!!"

ครับ !! เวลาที่เปลี่ยนชีวิตคน ...คือ เวลา Part-time ...ก่อนจะใช้มันพักผ่อน หรือ เที่ยวแบบสุดเหวี่ยง ลองเอาเวลานั้น มาค้นหาตัวเอง ค้นหางานที่ใช่ก่อน แล้วชีวิตคุณจะเปลี่ยนจริงๆ

แนะนำหนังสือเล่มนี้ไปอ่านเพิ่มเติม "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" (มันดีๆจริงๆ เพราะ ผมเขียนเอง ฮ่า ฮ่า)  ...ฉีกกรอบความคิดเดิม เพื่อชีวิตที่ประสบความสำเร็จในจุดยืนที่เราเลือกเอง ..จัดไป




 

เส้นผมบังภูเขา ในเรื่องความสำเร็จ

คุณสังเกตไหมว่า ปัจจุบัน โลกมันเปลี่ยนไปอย่างมากในเรื่องความสำเร็จ ... เดี๋ยวนี้ ถ้าใครสำเร็จตอนเด็ก เรียนเก่ง ..ตอนโต อาจจะสำเร็จยาก -- เพราะ อะไร ?

เพราะ ในปัจจุบัน การวัดความสำเร็จตอนโต ตอนทำงาน มันเปลี่ยนไป ...เดิมทีคนเก่งในที่ทำงาน คือ ทำงานตามที่หัวหน้าสั่ง ...แต่เดี๋ยวนี้ การทำงานตามหัวหน้าสั่งเป็นแค่สิ่งที่ต้องทำเบื้องต้น ..ส่วนความสำเร็จในที่ทำงานในปัจจุบัน เกิดจาก "คุณกล้าคิดนอกกรอบแค่ไหน / คุณกล้าแบบ Steve Jobs ไหม เช่น ถ้าคุณเป็น Apple คุณกล้าออกสินค้าอย่าง iPhone มาฆ่า iPod ที่ขายดีสุดๆ ไหม ? ...อย่างน้อย Nokia ก็ไม่กล้า ..การที่คุณไม่ฆ่าสินค้าที่ตกยุค คนอื่นจะฆ่าคุณแทน ...นี่คือโลกปัจจุบันครับ"

ตอนเด็กวัดผลจากท่องจำและทำตาม ใครในกรอบได้ดีที่สุด คุณคือเด็กเก่ง ที่จะประสบความสำเร็จในวัยเด็ก

พอเข้าสู่วัยทำงาน เขาจะเปลี่ยนการวัดผลความสำเร็จเป็นตรงข้าม ..คนที่ทำงานเก่ง คือ คนที่คิดนอกกรอบได้เหนือคู่แข่งธุรกิจ

ตลกดีนะ !! ตอนเรียน วัดผลอย่างนึง ...พอทำงาน วัดผลตรงข้าม -- "มึนติ๊บครับพี่น้อง!!"

โอเค !! ทางแก้ จัดนี่ไป "หนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" ...วิธีคิด และ วิธีทำ นอกกรอบ แตกต่าง แหกกฏ ...จัดไปกระแทกสมอง แล้วคุณจะรู้ว่า การคิดนอกกรอบมันฝึกกันได้ครับ

จัดไป !!

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

เงินเดือนล้าน สร้างอย่างไร ...ฝอยเปล่า ?


คุณเคยเจอคนเงินเดือนล้านไหมครับ ...?

รู้สึกอย่างไรต่อคนที่ได้เงินเดือนล้าน

ความรู้สึกที่หนึ่ง .."ฝอยรึเปล่า ? ..ไม่จริงมั้ง"

 -- จะบอกว่า คนไทยที่ได้เงินเดือนเกินล้านมีเยอะแยะ เขาก็เดินสวนคุณไปมานี่แหละ ..เขาคือ คนธรรมดาๆ เหมือนคุณและผมครับ

ความรู้สึกที่สอง .."ไอ้คนนี้ ต้องบ้านรวยมาก่อนแน่ๆ เลย"

 -- จะบอกว่า ไม่จำเป็นครับ ที่คนเงินเดือนล้านจะต้องนามสกุลดัง บ้านรวย ..คนเงินเดือนล้านจำนวนมาก เริ่มจากไม่มีอะไรเลย อย่างน้อย สิ่งที่เหมือนๆ กันของคนเหล่านี้ คือ เขาสามารถทำเงินให้บริษัทที่เขาอยู่ เกินล้าน ..หลายล้าน เขาถึงได้เงินเดือนล้านไง ..ถ้าย้อนถามว่า ทำไมเรายังเงินเดือนไม่เท่าไหร่ ก็เพราะว่า เรายังทำเงินให้บริษัทไม่เท่าไหร่นั่นเอง ..ฮึม!! มัวแต่ นั่งเล่น Facebook จิบกาแฟ นินทาเจ้านาย ..เงินเดือนคนแบบนี้ 15,000 บาท ยังแพงไปสำหรับบริษัทที่ต้องจ่ายรึเปล่า ?

ความรู้สึกที่สาม .."ผมเรียนไม่เก่ง เรียนก็ไม่ได้สูง ไม่มีทางเลยที่ผมจะทำเงินเดือนหนึ่งล้าน "

-- คุณมองไปรอบๆตัวซิ วันนี้ใบปริญญาไม่ได้วัดอะไร สถาบันที่จบก็แทบไม่ได้เป็นตัวกำหนดความสำเร็จเหมือนในอดีต ...แต่ก่อนชัดๆ คือ คนที่จบมหาวิทยาลัยดัง ก็การันตีความสำเร็จ ...แต่ยุคนี้คนที่ทำเรื่องเล่นๆ เหมือนไร้สาระ ประสบความสำเร็จมากกว่า เช่น ทำ Facebook , ทำ Alibaba , ทำร้านขนม , เป็นดารา , ทำละคร , สร้างเกมโชว์ , ทำเดี่ยว ตลกแต่รวย -- ใช่!! วันนี้ดูดีๆ ทำเรื่องไร้สาระ หาเงินได้ง่ายกว่ามีสาระ ...เดี๋ยวนี้ Young Rich หรือ เศรษฐีรุ่นใหม่ แทบไม่มีใครพูดเลยว่า เขาสำเร็จเพราะเป็นเด็กเรียน ...อย่างเถ้าแก่น้อย เขาคือเด็กติดเกมที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจพันล้าน ...ใช่ !! เรียนไม่เก่ง เรียนไม่สูง ก็สร้างเงินเดือนล้านได้ และ ยุคนี้คุณมีโอกาสมากกว่ายุคที่แล้ว !!

ความรู้สึกที่สี่ .."คุณรู้สึกไหมว่า คนงานพม่าที่บ้านคุณ คุยโทรศัพท์ตลอดเวลา"

เฮ้ย บ้าไปแล้ว คนงานพม่า ไม่เคยห่างโทรศัพท์เลย ...คุยโทรศัพท์เสมือนว่า เขาไม่เคยวางโทรศัพท์เลย ...ถ้าผมต้องไปทำธุรกิจที่พม่า ผมจะทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์ ..หรือ ถ้าทำโรงพยาบาล ผมจะเตรียมรักษาหู และ รอรักษามะเร็งหูของพนักงานพม่า !!!

เอาเถอะ "ข้อสี่" ไม่ค่อยเกี่ยวนะ ...แต่คุณคิดเหมือนผมไหมว่า "ทำไมพนักงานพม่า ไม่เคยวางโทรศัพท์มือถือเลย ?" ....บ้าไปแล้ว -- Amazing Myanmar !!!!!!!

ฮ่า ฮ่า ..ฝึกคิด "แหกกฏ" แล้วการหาเงินคุณจะ แหกกฏเช่นกัน ...เงินจะมาแบบ สะพัด ทะลัก ..."สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" ....คิดแบบแหกกฏ ...ลองดู ...แจ๋วมาก ...ผมลองแล้ว ...อิ อิ

ข้อสอบวัดผลที่ดีที่สุดในโลก ...จัดซิ


"การคิดต่าง หรือ คิดแหกกฏ ฟังดูเป็นเรื่องง่ายๆ แต่นี่แหละ เคล็ดลับสู่ความสำเร็จในหน้าที่การงาน และคือ หลักสำเร็จในธุรกิจ ..ธุรกิจเล็กล้มยักษ์ก็อาศัยการคิดต่าง คิดแหกกฏนี่แหละ!!"

คำถามคือ คิดต่าง จะเริ่มอย่างไร ..ในสังคมไทยที่สอนแต่ "ท่องจำ ทำตาม" ...ยากไหม ?

คุณจำได้ไหมครับ ข้อสอบวัดผล เด็กตั้งแต่เด็กจนโต ของประเทศไทย คือ ข้อสอบทดสอบความจำ ทั้งหมด !!

หลักการเรียนของเรา คือ ให้นักเรียนไปท่องหนังสือ จากนั้นก็มาสอบ โดยวัดผลจากว่า ท่องจำได้เก่งแค่ไหน ...ใครจำได้แม่น ก็เกรดดี ได้ A ..คนเหล่านี้ พอมาเจอชีวิตทำงานจริง แป๊ค เหวอ ..ไปไม่ถูก

เพราะชีวิตการทำงานจริงๆ ไม่เคยวัดผลงาน เราจาก การท่องจำ ...

สมมุติ วันนี้คุณอยู่บริษัทแห่งนึง ..หัวหน้าก็จะให้เราคิดหาวิธีทำให้ยอดขายสินค้าโตขึ้น ให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น ...นี่แหละ คำถามจริง ...

ใช่!! โจทย์ในการทำงานจริงๆ คือ Open Book เจ้านายไม่สนหรอกว่า คุณจะไปเอาจากตำราที่ไหน เหมือนเข้าห้องสอบ แบบเอาตำราเข้าห้องสอบได้ ...และเจ้านายก็ไม่สนว่า คุณจะไปลอกข้อสอบใคร ...คือ เราจะไปถามจากใครให้มาช่วยก็ได้ ...หัวหน้าสนอย่างเดียวว่า เราตอบโจทย์ที่เขาต้องการได้ เช่น ให้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้น แค่นั้นแหละ

...จริงๆ โจทย์การสอบ ที่ดีที่สุด คือ ให้นักเรียนเอาข้อสอบไปทำที่บ้านแล้วค่อยเอามาส่ง (ถ้าเรียนและสอบแบบนี้ นักเรียนก็จะเก่ง และ มีความรู้ที่ตรงกับบริษัทและชีวิตจริงๆ) ...นี่แหละ ข้อสอบ ที่เหมือน ข้อสอบจริงๆ เวลาทำงาน

ลองดูครับ ...ฝึกจากจุดเล็กๆ การฝึกคิดในสิ่งที่คนอื่นไม่คิด ...มองในจุดที่คนอื่นไม่มอง ...นี่คือ หลักคิดของ "ล้านแรกต้องแหกกฏ"

ถ้าการสร้างล้านแรกของคุณเกิดจากการแหกกฏ ...คุณจะหาล้านต่อๆไปได้ไม่ยาก ...แต่ถ้าล้านแรกของคุณมาจาก ทำตามคนอื่น ทำงานหนัก ทนๆไป ...ล้านต่อๆไป ก็ยากเหมือนๆ เดิม

แหกกฏ หาเงินล้าน ...นี่แหละ การสร้างตัวที่เริ่มจากวิธีคิดจริงๆ !!

ให้หาเงินจาก "ความคิด" มากขึ้นเรื่อยๆ และ ลดการหาเงินจาก "แรงงาน" ให้น้อยลงเรื่อยๆ ...นี่แหละเคล็ดลับ เศรษฐีเลยครับ

"สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" ....จัดไป !!

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

ปูพื้นฐานมือใหม่สู่ตลาดหุ้น "มือใหม่เข้าใจหุ้น"


"ในตลาดหุ้น อย่าเสียเวลาหาทางลัดเลยครับ เสียเวลา เสียเงิน เสียรู้ โดนหลอก!! ..มาศึกษาจริงๆ ถึงกลไกการขึ้นลง และ วิธีการเอาตัวรอด จนถึงการสร้าง Port เพื่อเติบโตจริงๆ ในระยะยาว!!"

"คอร์สมือใหม่เข้าใจหุ้น เรียน ส.-อา.ที่ 25-26 เม.ย.นี้" : (คอร์สนี้ผมสอนเองทั้งหมดครับ เรียน 2 วันเต็ม เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเข้าใจกลไกของตลาดหุ้นแบบกระชับเข้าใจง่าย หรือ สำหรับมือเก่าที่อยากเปลี่ยนวิธีคิดและเรียนเทคนิคการลงทุน)

..ใช้การสอนโดยการยกตัวอย่างจริงในตลาด เน้นการปฏิบัติจริง และ วิเคราะห์ภาวะปัจจุบัน
เนื้อหาทั้ง 2 วัน แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ

1. สอนเรื่อง Mindset ของการลงทุนอย่างถูกต้อง ทั้งระยะสั้น และ ระยะยาว ..พื้นฐานเศรษฐกิจและ ความสัมพันธ์กับการขึ้นลงของราคาหุ้น

2. สอนอ่านงบการเงิน Fundamental Analysis ..เพื่อวิเคราะห์ว่าหุ้นถูกหรือแพง โดยการแกะจากงบการเงิน (เข้าใจง่าย ไม่ต้องมีพื้นฐานการเงินก็เข้าใจได้)

3. สอนการอ่านกราฟเบื้องต้น Technical Analysis ..เพื่อเข้าใจการขึ้นลงของราคา ซึ่งวิ่งเป็น "รอบ"

การเข้าใจใน 3 เรื่องประกอบกัน ระหว่าง Mindset + Fundamental + Technical จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าใจตลาด และ หาโอกาสในการทำกำไรตามแนวทางของตัวเองได้ในที่สุด

คอร์สนี้เรียน 2 วันเต็ม ..ผมสอนเองทั้งหมด ..รายละเอียดค่าใช้จ่ายสามารถดูและคลิ๊กจองได้ที่นี่ครับ
http://www.stock2morrow.com/course/seminar_courses_list.php?id=1

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2558

ผู้หญิง กับ ผู้ชาย ใครเก่งกว่ากัน ?





... Dare Dream Do !!


...ไปเจอหนังสือเล่มนึง ที่เชียร์ผู้หญิงให้สู้ ...เพราะ วันนี้สังคมกดผู้หญิงเอาไว้ว่า ไม่สามารถเก่งเท่าผู้ชาย

... ผมว่าไม่จริง ...วันนี้ประเทศไทยมีผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารมากกว่าผู้ชายเสียอีก ..วันนี้ผู้หญิงเรียนสูงกว่าผู้ชาย จบปริญญามากกว่า สูงกว่า และ พร้อมทำงานหนักกว่า

สิ่งที่ผู้หญิงเก่งกว่าผู้ชาย คือ "ความอดทน&ความสม่ำเสมอ"-- นี่คือ คุณสมบัติที่บริษัทต้องการจากผู้บริหาร

...แต่สิ่งที่ผู้หญิงขาดคือ "Dare" ความกล้า แค่นั้นแหละ
การเปลี่ยนตัวเองจากสิ่งที่เป็น คือ

หนึ่ง Dare "กล้าออกจากกล่อง ออกจาก Comfort Zone"

สอง "Dream" คือ ฝันเพื่อสร้างเป้าหมาย ...สิ่งทีีมีพลังมากที่สุดในโลก คือ "ความฝัน" เพราะ ความฝันทำให้คนมีเป้าหมาย

สาม "Do" ลงมือทำ ...

โอกาสและเวทีคือสิ่งที่เรานั่งรอ หรือ ต้องสร้างเอง ?


โปรเจ็คเปลี่ยน !! ..."เปลี่ยนอะไร เปลี่ยนทำไม?" ...ผมเขียนหนังสือกับ ดร.ต้อง อันนี้เป็นเล่มที่ 3 มาถึงเรื่อง "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" -- ทำให้ผู้อ่านเกิดคำถามมากมายว่า "Why?" 

ใช่!! "Why?" นั่นแหละ คือ "เป้าหมาย" ..คนเก่งมีเต็มประเทศ แต่สังเกตไหมครับว่า ทำไมคนเก่งเหล่านี้ถึงไม่มีเวที หรือไม่ได้รับโอกาสในการให้แสดงฝีมือ ?

ตอบง่ายๆ ก็คือ "คนเก่งเหล่านี้ นั่งรอโอกาส รอให้โอกาสและเวที มาประเคนตรงหน้า ..ซึ่งรอเท่าไหร่ โอกาสและเวทีก็ไม่เคยมา ..บางคนนั่งก้มหน้าทำงานแล้วหวังว่าวันนึงผู้ใหญ่หรือหัวหน้าต้องเห็นความสามารถของฉัน ..แต่แล้ววันนึง ก็มีนายใหม่ที่ถูกจ้างมาจากที่อื่นมานั่งในตำแหน่งที่เราหวังไว้" ...อ้าว!! ทำไมล่ะ ...Why ?

ก็อย่างที่บอกแหละครับ ..โอกาสและเวที ไม่ใช่การนั่งรอให้มันมาหา ...ตรงกันข้าม เราต่างหากที่ต้องสร้างสะพานแล้วเดินเข้าไปหามัน -- นี่คือ ความแตกต่าง !!

ผมเชื่อว่า "โอกาสและเวที" เราต้องสร้างขึ้นมาเอง ...หนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ คือ วิธีคิดและวิธีการ ไปถึงจุดนั้นด้วยตัวเราเอง

ใช่!! ที่คุณมาถึง จุดที่คุณยืนวันนี้ ไม่ใช่ดวง ไม่ใช่โชคช่วย แต่เป็นเพราะคุณนั่นแหละ ที่พาตัวเองมาอยู่ในจุดที่คุณยืน -- อย่าหยุดครับ ...คนเล็กๆ นี่แหละเปลี่ยนบริษัท เปลี่ยนอุตสาหกรรม เปลี่ยนประเทศ และเปลี่ยนโลก 

...ผมจะเดินไปกับคุณ !!!! 

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2558

ฝึกพูดที่ไหน ดีที่สุด ?

หนึ่งใน Skill ที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้นำคือ "การพูด"

ใช่!! ถ้าอยากเป็นผู้นำ คุณต้องพูดเป็น !! ...คำว่าพูดเป็น ก็คือ สามารถสื่อสารสิ่งที่คุณต้องการนำเสนอให้ออกมาให้ง่าย ...ตรงๆ คือ "คุณต้องพูด แล้วโดน คนฟัง ..จบ"

การพูด เป็นเรื่องยากมาก เพราะ แทบไม่มีที่ให้คุณฝึกเลย

เอาตัวอย่างจริง คือ ผมเอง ...ตั้งแต่เด็ก ผมเป็นคนขี้อาย ผมเครียดและประหม่าทุกครั้งที่ต้องไปพูดหน้าห้อง ..อย่าว่าแต่จะไป หน้าชั้นเลย แค่พูดในห้องประชุมเล็กๆ ผมยังตื่นเต้นเลย ...

คุณเชื่อไหมว่า เพิ่งไม่กี่ปีมานี่ ผมเพิ่งมาฝึกการพูดต่อหน้าสาธารณะก็หลังจากที่ผมเขียนหนังสือเล่มแรกในชีวิต คือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet" ..นั่นแหละ ที่ผมต้องขึ้นเวที

บอกตรงๆ ครั้งแรก ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ..จากนั้น ผมก็เครียดทุกครั้งที่ขึ้นเวที ..."คนใกล้ตัวจะรู้ว่า ผมมักจะขอกาแฟหลายๆ แก้ว หรือ ซัดกระทิงแดงก่อนขึ้นเวที..เครียด ๆ" ...ผมต้องใช้วิธีนี้เป็นปีนะครับ กว่าผมจะเริ่มคุ้นเคยกับเวที

ใช่!! วันนี้ผมไม่กลัวแล้ว ..วันนี้ใครให้ไมค์ผม อาจต้องคิดหนัก เพราะผมจับไมค์แล้วไม่วาง ..วันนี้คนเป็นพันผมก็พูดได้ ไม่มีปัญหา ...แต่บอกตรงๆ ว่า เรื่องการพูดสำหรับผม ไม่มีพรสวรรค์ ..ผมพรแสวงล้วนๆ ..ฝึก ๆ ๆ ๆ ๆ  ๆ ๆ ๆ ๆ ...นั่นแหละ เคล็ดลับ คือ ไม่มีเคล็ดลับ ...ฝึกอย่างเดียว ...ขึ้นมันทุกเวที ที่คนเชิญ และ นั่นคือ การฝึกของผม

มีคำถามนึงน่าสนใจ คือ ฝึกพูดที่ไหนดีที่สุด ? ...คือ จะถามว่า เวทีไหนโหดสุด ..บอกเลย พูดให้นักศึกษาฟัง ...นั่นแหละโหดสุด ..แต่ถ้าผ่านได้ คุณจะเก่ง !!

ใช่!! ทุกทีที่ ถูกเกณฑ์มาฟัง ...มันยากที่จะทำให้เขาสนใจ ...แต่ถ้าคุณทำได้ -- สุดยอด

ลองดูซิครับ ... "ไม่เชื่อลองไปดู อาจารย์ที่เขาพูดมันส์ๆ ...ผมเชื่อว่า เขาก็จะบอกคุณเหมือนที่ผมบอกบอก"

จริงๆ การเลือกเวที ..ก็เป็นหนึ่งใน Key Success Factor ของการ พูดนะ ....เพราะ ผู้พูดที่ดี ต้องได้ผู้ฟังที่ดีด้วย -- เออ!! แล้วคุณทราบไหมว่า "เคล็ดลับการเลือกผู้ฟังที่ดี ต้องทำยังไง ?"

"เก็บเงินครับ" ....จริง ๆ ..ผมพูดจริงๆ  

...ก็คนที่เขาจ่ายเงินมาฟังคุณ ...นั่นแหละ โคตรตั้งใจฟังเลย ...ผมว่านั่นแหละสุดยอดผู้ฟังที่ดี ..."ลองเก็บเงินคนฟังซิ แล้วคุณจะพบว่า กลุ่มคนฟังเปลี่ยน ...คุณภาพมาก" (ใช่!! กรูจ่ายตังค์มาฟัง ...ต้องคุ้มไง อิ อิ)


ผมเอา Idea ใหม่ๆ มาจากไหน ?


มีน้องๆ หลายคน ถามผมว่า "พี่แพ้ทไปเอา Idea มาจากไหน เขียนหนังสือเป็นสิบๆเล่ม และ ก็หลากหลาย ..ไปหาข้อมูลจากไหน ?"

อันนี้แชร์เลยว่า "ข้อมูลทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ ก็อยู่รอบๆ ตัวเรานี่แหละ เพียงแต่ เราตั้งคำถามเป็นหรือเปล่า ?"

ใช่ !! หัวใจของการเรียนรู้สิ่งรอบๆ ตัว คือ "การหัดตั้งคำถาม" ...ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ ผมเป็นคนช่างสงสัย ...ทำไมเป็นอย่างนี้ ? ...ทำไมคนนี้คิดแบบนี้ ? ...ทำไมเขาทำในสิ่งนี้ ?

ครับ !! การตั้งคำถามที่ดี คือ การตั้งต้นจากคำว่า "Why" "ทำไม" ....เพราะ การถามว่า ทำไม มันคือ การถามคือ หา "เหตุและผล" ของสิ่งต่างๆ

เช่น ผมถามว่า ทำไมธุรกิจถึงอยู่ไม่เกิน 3 Generation แล้วมักเจ๊ง ? ...นี่ไง ผมก็ต้องหาคำตอบแล้วว่า ทำไมถึงเจ๊ง ..ก็จะได้คำตอบที่คนส่วนใหญ่ไม่ถาม

คนส่วนใหญ่มักตั้งคำถามไม่ดี ก็เลยไม่เรียนรู้อะไรเลย เช่น คนมักถามว่าอะไร ...นี่อะไร ..นั่นอะไร ... พวกนี้เป็นคำถามที่ไม่ต้องคิด รอแค่คำตอบอย่างเดียว พูดง่ายๆ รอคนอื่นเอาข้อมูลมาให้ โดยที่เราไม่ต้องใช้สมองคิดเลย

ยกตัวอย่าง "เอ๊ะ!! นั่นเขามุงอะไรกันนี่" ...อ๋อ นั่นไงรถชนกัน คนนั้นนอนขาขาดอยู่ ...โอวว ..ไม่ !! -- ประมาณนี้แหละ คือ อยากรู้เรื่องคนอื่น แล้วอะไรที่เอามาคุยต่อยิ่งชอบ ..Inside เรื่องคนอื่น , ดราม่า , น้ำเน่า ...พวกที่ไม่ต้องใช้สมอง แล้วมันสนุกปากที่เล่าต่อ -- ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นการตั้งคำตอบให้เราฉลาดขึ้น

เสียเวลา !!!

ลองไปใช้ดูครับ ...ลองฝึกตั้งคำถามกับสิ่งใกล้ๆ ตัว แล้วฝึกตอบด้วยตัวเอง ..คุณจะพบว่า อยู่ดีๆ ก็เก่งขึ้น ทุกๆ วัน ...นั่นแหละ เปลี่ยนคนรอบตัวเป็นอาจารย์ แล้วเรียนรู้ทุกวัน !!

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2558

ทุกความยิ่งใหญ่ เริ่มจากก้าวแรก ..ที่เรากล้าที่จะทำ "Dare to Do"

ทุกความยิ่งใหญ่ เริ่มจากก้าวแรก ..ที่เรากล้าที่จะทำ "Dare to Do"

เคล็ดลับที่ทำให้ผมเดินมาอยู่ในจุดที่ผมยืน ก็คงเป็น "ความกล้า บวกความบ้า" ...การกล้าที่จะเดินออกจาก Comfort Zone เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำ เพราะ ทั้งชีวิตเราเรียนเพื่อที่จะอยู่ในกรอบ เรียนท่องจำ ทำตาม แล้วอยู่ๆ พอในธุรกิจและชีวิตจริง มันกลับตัดสินคนที่ประสบความสำเร็จ จากคนที่กล้าออกนอกกรอบ

ใช่!! ..."ความกล้า" มหาศาล คือ สิ่งที่นักธุรกิจ นักสู้ชีวิต ต้องมี ....

"ผมไม่ได้บอกว่าวันนี้ผมสำเร็จ เพียงแต่ผมได้ทำงานที่ผมชอบ และ ผมสร้างมันขึ้นมาเอง ...แค่มีความสุขในสิ่งที่ทำแล้วได้เงินจากสิ่งนั้น ผมว่า มันคือ ความสำเร็จเล็กๆ ที่จะพาเราไปสู่การเดินทางที่ใหญ่ขึ้น -- รักในสิ่งทำ และทำเพื่ออธิบายตัวเรา!!"



คนที่เลือกงานทำตรง "จริต" จะทำได้ดี ได้ยาว และมีโอกาสสำเร็จสูง


ในหนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ ...มีอยู่บทนึงที่พูดถึง การหาตัวตนของเราให้เหมาะกับงาน ...ซึ่งก็คือ การรู้ว่า "จริตการทำงาน" ของตัวเราคือสีอะไร

-- คนที่เลือกงานทำตรง "จริต" จะทำได้ดี ได้ยาว และมีโอกาสสำเร็จสูง

ใน Birkman Method จะแบ่งคนเป็น 4 ประเภทตาม "จริต" งานที่เราถนัด ดังนี้

- คนสีเหลือง คือ คนละเอียด ชอบตัวเลข เหมาะกับทำงานบริหาร ทำงาน Routine ได้ ..เติบโตเป็นหลงจู๊ได้

- คนสีเขียว คือ นักการตลาด นักการทูต ชอบเจาะแจ๊ะ เก่งคน ..เหมาะกับ ทำงานประสานคน ..เติบโตเป็นนักขายและนักการตลาดที่เก่งได้

- คนสีแดง คือ นักลุย เหมาะกับการเป็นผู้ประกอบการ คนพวกนี้ต้อง Learning By Doing ฉันต้องลงมือทำ ...เติบโตเป็นเจ้าของกิจการ สู้แล้วรวย

- คนสีน้ำเงิน คือ พวกนักคิด นักวางแผน ชอบงานกุนซือ ชอบสอนและถ่ายทอด ..เติบโตเป็นผู้นำ / ผู้บริหารระดับสูง หรือ อาจารย์ได้

ใช่แล้ว !! คนที่เลือก "งาน" ได้ตรงกับ "จริต" ของตัวเอง จะทำสิ่งนั้นได้ยาว เพราะ เราชอบลักษณะงานดังกล่าว ..ทำได้ยาวและชอบ มันจะเกิด Passion สุดท้ายก็มีโอกาสสำเร็จสูงนั่นเอง

ลองดูซิครับ ตัวคุณเอง เป็นคนสีอะไร ...แล้วดูซิว่า วันนี้คุณทำงานตรงกับ "จริต" จริงๆ ของคุณเองหรือยัง ?

ลองดูครับ --- ตรงป๊ะ ??


ทำไมบริษัท "สมองไหล" โดนซื้อตัว ?


ถ้าคิดในกรอบ เราก็จะมองว่า "บริษัทสมองไหล เพราะ คนเดี๋ยวนี้ มองแต่เงิน เห็นแก่ตัว ...ไม่เอาไหน ?" ...เฮ้ย!! ถามจริงๆ มองแบบนี้ มันทำให้บริษัทหยุดสมองไหลหรือเปล่า ...เปล่าเลย แถมมุมมองแบบนี้ ยิ่งทำให้ยิ่งแย่เข้าไปอีก !!

มามอง แบบ "แหกกฏ" บ้าง ...

การที่สมองไหล หรือ บริษัทโดนคู่แข่งซื้อตัว ให้เงินเดือนมากกว่า ให้อะไรมากกว่า ...ก็แปลว่า "เขาไม่พอใจที่เดิม"

 ...คำถามแรก ก่อน ที่เขาจะโดนซื้อตัว ผมเชื่อว่า คนๆนั้น คือ พนักงานที่เก่ง ที่เขารู้สึกว่า "เขาทำงานหนัก" แต่พอสิ้นปี เขาได้เงิน ได้โบนัส เท่าๆ กับคนที่ไม่ทำงาน ...อันนี้คือ เคส Classic ของบริษัทแบบไทยๆ เลย คือ คนเก่ง คนไม่เก่ง คนขยัน คนขี้เกียจ ทุกคนได้ผลตอบแทนเท่ากัน ...ถามหน่อย มันแฟร์ไหม? -- ใช่ ถ้าทำเท่าไหร่ได้เงินเท่ากัน มันก็คือ คุณเอาใจคนขี้เกียจ เพราะ คนขี้เกียจก็จะบอกว่า ดีแล้ว กรูขี้เกียจ ให้ไอ้พวกขยัน(แต่โง่) ทำงาน เพราะ เดี๋ยวปลายปี ก็ได้โบนัสเท่ากัน !!

คิดง่ายๆ.. แบบนี้คือ การสนับสนุนให้ทุกคนขี้เกียจ ...แล้วก็เป็นการบอกโดยนัยว่า คนเก่ง มรึงควรไปที่อื่น ...ไม่แปลก ที่พอมีบริษัทอื่น มาเสนอโอกาสงานที่ให้คนเก่งได้แสดงฝีมือ และ ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสม เขาก็ยินดีที่จะไปที่ใหม่ --ตกลง "สมองไหล" เพราะใคร ?

ก็เพราะบริษัทเดิม ไม่ให้ความเป็นธรรมกับคนขยันไง !!

... เหมือน ระบบ คอมมิวนิสต์ น่ะ ...ทุกคนทำเท่าไหร่ก็ได้เท่ากัน ..สรุป มันก็เลยล่มสลาย เหมือน โซเวียด ...ใช่!! วันนี้เข้าสู่ยุคทุนนิยม แต่บริษัทไทยส่วนใหญ่ ยังคิดแบบ คอมมิวนิสต์ ...ก็ "สมองไหล" เลยเป็นเรื่องปกติ

-- มาสู่ทางแก้บ้าง ? ...ถ้าคิดในกรอบ ก็คือ "บริษัทดวงไม่ดี 'สมองไหล' เดี๋ยวไปเอาหมดดู หรือ หมอฮวงจุ้ย มาแก้จะได้ ไม่สมองไหล ... หมอดู ก็เอาตุ๊กตา มาตั้งให้หน้าบริษัท แล้ว บอกให้ย้ายเสาต้นนี้ออกไป ...หมอดูก็ขอค่าดู 10 ล้าน ...แล้วหมอดูก็เดินจากไป ...โดย คิดในใจว่า "ไอ้ควายเอ้ย !! หาสิบล้านโคตรง่าย..55"

ถ้าคิดนอกกรอบ ก็ต้อง มาดูว่าปัญหา อยู่ตรงที่ คนทำงานหนัก ได้ผลตอบแทน ไม่แฟร์ ก็ต้องหา ระบบวัดผลมาใหม่ ...ให้โบนัสตามผลงาน ...สร้างให้เกิดความยุติธรรมนั่นเอง

สุดท้ายคนเก่งอาจได้โบนัส 100 เดือน ในขณะที่คนไม่ขยันอาจไม่ได้โบนัสเลย ...เขาก็จะรู้ตัวเองว่า ต้องปรับปรุงตัวเอง หรือ คนไม่เก่งก็จะได้รู้ตัวว่า เขาอาจไม่เหมาะกับงานนี้ แล้วก็ให้โอกาสเขาได้ออกไปหางานที่เหมาะ ไม่ต้องนั่งทนทำงานที่ไม่ชอบและไม่เก่งต่อไป

...สุดท้ายในบริษัทก็จะเหลือแต่คนเก่ง ที่เหมาะกับงานที่เขาทำนั่นเอง

"ผมว่า การคิดแหกกฏ ก็คือ กล้าคิดนอกกรอบเดิมๆ แต่วางอยู่บนหลักการที่สมเหตุ สมผลนั่นเอง"

ใช่!! สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ ....!!!

ทำไมอาชีพนักเขียน ต้องไส้แห้ง !!


วันนี้คุณสงสัยไหมว่า "ใครอ่านหนังสือ ?" ..สถิติ คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ ..ถึงอ่านก็หาอ่านฟรี เพราะ คนไทยส่วนใหญ่มองว่า การซื้อหนังสือเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น 

ดังนั้น ตลาดหนังสือในอดีต ก็คือ ตลาดที่คนไม่อ่านหนังสือ และเต็มไปด้วยคนไม่ยอมจ่ายเงินซื้อ 

ไงครับ !! สรุปข้อมูลได้แบบนี้ ก็ฟันธงได้เลยว่า อาชีพนักเขียนคือ "อาชีพไส้แห้ง"

ดังนั้น ถ้าคุณไปถามคนส่วนใหญ่ เขาก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "นักเขียนไส้แห้ง" ..ถ้าคุณมีลูกหลาน คุณก็คงไม่อยากให้ลูกหลานคุณทำอาชีพนี้ เพราะ ทุกคนบอกว่า นักเขียนไส้แห้ง 

ก็นี่แหละ ความคิดในกรอบ ที่คนส่วนใหญ่คิดตามๆ กัน คิดเหมือนกัน มองเหมือนกัน ...แต่ลองมองอีกด้านซิครับ คุณเคยเห็น "นักเขียนไส้เปียกไหม?" ...ใช่ "ใส้เปียก" อิ อิ ก็ไอ้นักเขียน ที่เขียนแล้วรวย เขียนแล้วรุ่ง ..."ลองคิดซิครับว่า นักเขียนไส้เปียก เขามีวิธีคิดอย่างไร" 

มาเรามาเปิดคำภีร์ "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" กัน ...

หนึ่ง ถ้าคิดในกรอบ จะมองว่า อาชีพนักเขียน ไม่มีโอกาส ...แต่ถ้าคิดแหกกฏ จะพบว่า ตลาดนี้ ไม่ใช่ Red Ocean เพราะคนส่วนใหญ่ไม่อยากเข้ามา เพราะ มองว่า อาชีพนี้จน -- "ดังนั้น คู่แข่งน้อย แสดงว่า โคตรๆ แห่งโอกาส"

สอง ลองมองซิว่า รายได้ของนักเขียนมาจากอะไร ..ซึ่งถ้ามองก็จะพบว่า รายได้นักเขียนของเมืองไทย มาจากค่าขายหนังสือ ซึ่งน้อย ..ถ้าเข้ามาเพื่อตรงนี้ แปลว่า มองในกรอบ ...แต่ถ้าคิดแหกกฏ ก็ต้อง ตั้งโจทย์ว่า "นักเขียน" สามารถมีรายได้ทางอื่นนอกจากแค่ค่าขายหนังสือ หรือ ไม่ -- ตอบให้ ..วันนี้รายได้นักเขียน อาจมาจากการจัดสัมมนา , นักเขียน สามารถช่วยบริษัททำโฆษณา หาลูกค้า Online , นักเขียนสามารถทำตลาดให้บริษัทใน Social Network . นักเขียนสามารถ Package ข้อมูลขาย เรียก Info-Preneur , นักเขียนสามารถทำงานที่ปรึกษา ถ้าเรามีความรู้จริงในเรื่องที่เขียน -- พูดง่ายๆ นักเขียน คือ คนที่เก่งในเรื่องของ "การสื่อสาร" ถ้ามองตัวเองแค่ขายหนังสือ คุณก็จะตันในการหารายได้ แต่ถ้าเรามองตัวเองว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน การสื่อสาร ..คราวนี้โอกาสเปิดกว้าง หาเงินได้ไม่จำกัด ขอให้เก่งในการสื่อสาร และ เลือกเรื่องที่เราถนัด 

สาม ถ้าคิดในกรอบ นักเขียนก็จะมองว่า งานเขียนของเขาต้องขายผ่านร้านหนังสือเท่านั้น ซึ่งร้านหนังสือก็คล้ายๆ 7-11 ที่หักค่าวาง จากยอดขายประมาณเกือบครึ่ง โดยไม่สนว่าจะขายได้หรือไม่ และ ก็ไม่สนว่าต้นทุนหนังสือจะเท่าไหร่ ...ดังนั้น ถ้าคิดว่า งานเขียน ต้องขายเฉพาะร้านหนังสือก็คือ คิดในกรอบ ...แต่ถ้าคิดแหกกฏ เราก็มองซิว่า วันนี้งานเขียน ขายที่ไหนได้บ้าง เช่น ขาย Online ..ผ่านใครได้บ้าง เช่น Oakbee ..ขายให้ลูกค้าโดยตรง ผ่าน Internet ไม่ต้องพิมพ์ หรือ พิมพ์ On-Demand ที่หายอดจองแล้วค่อยพิมพ์ แล้วก็ขายได้กำไรเต็มๆ ขายน้อย แต่ขายได้แพง ...ก็สรุปได้กำไรเท่าเดิม แต่เหนื่อยน้อยลง และ ไม่ต้องมี Stock สินค้า ที่เป็นเงินจม 

สี่ ไม่มีเงิน ..อันนี้คิดในกรอบ ก็ไม่ทำ เพราะ ไม่มีเงิน ...ถ้าคิดนอกกรอบ วันนี้มี Crown-Funding คือ ระดมทุนก่อน แล้วเราค่อยทำสินค้า ...บอกตรงๆ ทุกสินค้าและบริการ วันนี้ ขอให้คุณมีไอเดีย คุณหาเงินทุนได้ก่อน ...บนสมมุติฐานว่า ไอเดียคุณต้องได้เรื่อง ...ไม่ใช่มาคิดแบบง่ายๆ เช่น เปิดร้านขายของ ขายใครก็ได้ ..หรือ เปิดร้านขายขนม ขายคนที่อยากกินขนมของฉัน ...ถ้าคิดในกรอบแบบนี้ ไม่มีใครให้เงินคุณหรอก เพราะ คุณยังตอบไม่ได้เลยว่า "ลูกค้าคุณคือใคร ..."

โอเค !! ไปอ่าน หนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ ....แล้วคุณจะรู้ว่า ที่เรายังไม่สำเร็จ เพราะ "ความรู้คุณไม่พอ" และ "คุณคิดในกรอบ" 

...ต้องคิดนอกกรอบ แล้ว หาความรู้ให้พอ -- ความสำเร็จต้องสร้าง ไม่ใช่นั่งรอ ...เพราะ รอ ชาติหน้าก็ไม่สำเร็จ 

จริงๆ นะ

คนดวงไม่ดี ที่ประสบความสำเร็จ !!


"สิ่งที่ยากสำหรับ การทำงาน และ ทำธุรกิจในยุคนี้ คือ การปรับตัวให้ได้ในการเปลี่ยนแปลง"

คุณมองไปรอบๆ ตัวจะเห็นธุรกิจส่วนใหญ่ที่ขายสินค้าแย่ลง เงินลดลง คนรายได้ต่ำลง ...แต่ถ้ามองให้ดี ในขณะที่คนส่วนใหญ่และธุรกิจส่วนใหญ่แย่ลง ..แต่มีบางธุรกิจดีขึ้น รวยขึ้น ขายของได้มากขึ้น ...และก็มีบางคนที่รุ่งในหน้าที่การงาน ได้เงินเดือนมากขึ้น โบนัสมากขึ้น

อ๋อ!! สงสัย ทั้งสองคนทำบุญชาติที่แล้วมาไม่เท่ากัน ...ครับ นี่คือ วิธีการตอบของคนส่วนใหญ่ -- ถ้าไม่ดี แปลว่า "ดวงไม่ดี" ก็ไม่ต้องแก้อะไร อยู่ไปเรื่อยๆ รอดวงดี ...แต่ถ้าดี ก็จะบอกว่า ฝีมือ ฉันเก่ง สมควรแล้ว

"ตื่นสักที !!" ...ความจริง ทุกอย่างในโลกนี้ เราเป็นคนกำหนด ..วิธีแก้ที่ถูกต้อง คือ หาเหตุผล เช่น ถ้าธุรกิจไม่ดี ลองพิจารณาซิว่า สินค้าเราตกยุคไปแล้วหรือเปล่า เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับบริษัท Kodak หรือ ร้านอัดรูป ...ถ้ามันยกยุค ก็ต้องไม่ดันทุรัง ..ต้องคิดให้ออกว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร โดยหยุดมอง Career Path ที่มันตัน ...แล้วมองไปรอบๆ ตัว หา Career Landscape คือ มองให้ออก ด้วยความสามารถของเราวันนี้ ด้วย Skill และ ความเชี่ยวชาญที่ตัวเรามีวันนี้ ทำอะไรอย่างอื่นได้หรือไม่ ...แล้วค่อยๆ เริ่มสิ่งนั้นจาก Part-time พัฒนาความเชี่ยวชาญให้สุดท้าย กลายเป็น งานใหม่ ที่เรารัก

นี่แหละ แนวคิดเริ่มต้นของ หนังสือ "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ"

คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน ไม่มีฟลุ๊คครับ เขาเดินมาจุดนั้นด้วยตัวเอง!!! ...แล้วคุณล่ะ พร้อมที่จะสร้างทางเดินสู่เป้าหมายด้วยตัวเองหรือยัง ?

..."การแหกกฏ ก็คือ การกล้าคิดออกจากกรอบ คิดออกจาก Comfort Zone เพื่อหาจุดที่ดีที่สุดในจุดที่ยืนของเราเองจริงๆ"

Do or Die !!!

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

"ผมจะเริ่มทำธุรกิจอะไรดีครับพี่" ...นี่คือ คำถามหรือ


"ผมจะเริ่มทำธุรกิจอะไรดีครับพี่" ...นี่คือ คำถามหรือ ?

ใช่!! นี่แหละครับ คำถามของคนส่วนใหญ่ที่อยากเริ่มธุรกิจ ...บอกเลยว่า ผิดทางแล้ว !!

ถ้าเป็นสมัยก่อน การถามแบบนี้เป็นเรื่องปกติ เพราะ ทำอะไร ขยันๆ หน่อย เดี๋ยวก็ทำธุรกิจได้แล้ว ...อาศัยลูกบ้า กับ ลูกอึดรวมกัน ก็มีโอกาสปั้นธุรกิจ

แต่ถ้าถามว่ายุคนี้ ผมว่า ไม่น่าจะรอด

โอเค !! ในแนวคิดแบบ "ล้านแรกต้องแหกกฏ" คือ การเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ โดยการตั้งคำถามจาก Inside-out ไม่ใช่คิดแบบ Outside-in แบบคนส่วนใหญ่

พูดง่ายๆ คนส่วนใหญ่ จะพยายามหาโอกาสจากภายนอกก่อน จะดูว่าธุรกิจเขาฮิตอะไร แล้วค่อยเริ่มธุรกิจ เช่น ถ้าคนฮิตขายกาแฟก็อยากขายกาแฟ ..เขาฮิตติดแก๊สก็จะทำธุรกิจแก๊สบ้าง ..เขาฮิตขายหินนำโชคก็จะมาเริ่มขายหินบ้าง ..เขาฮิตทำบูติกโฮเทลก็อยากทำบ้าง ...เขาฮิตดทำสปาก็แห่ทำ ..เดี๋ยวก่อนนะ การคิดตามกระแสหรือคิดตามคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ปัญหาคือ คู่แข่งมันเยอะ มันเป็นธุรกิจ Red-Ocean -- คิดง่ายๆ ทำอะไรที่คู่แข่งเยอะ โอกาสรอดก็ยาก ไม่ต้องคิดถึงขั้นรวยเลย

จะเห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่ ติดกับดัก ในการทำธุรกิจอยู่ตรงนี้ เพราะ ชอบตามกระแส ...บอกตรงๆ คนที่ รวยจากธุรกิจกระแส คือ "ผู้นำกระแส" ซึ่งแน่นอนไม่ใช่คุณ

"ไม่ใช่คุณชัวร์ !!..จริงป่ะ ?"

 ...คนนำกระแส เขาทำคนแรกๆ พวกนี้เป็น Trend Setter ทำก่อน สร้างกระแส แล้วคนอื่น ก็จะแห่ทำตาม

คำถามคือ คุณเคยคิดไหมว่า "คนนำกระแส เขาคิดอย่างไร และ เขาเริ่มอย่างไร"

ง่ายๆ เขาแหกกฏ ...เอาว่าจะแหกอย่างไร ไปอ่าน "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ"

อ่านเสร็จลองวางแผน แล้วลุย -- คุณจะพบคำตอบว่า สาเหตที่คนส่วนใหญ่ทำธุรกิจไม่รุ่ง เพราะ "วิธีคิดมัน Me-too คือ มันตามกระแส"

ต้องเปลี่ยน ....ต้องแหกกฏ ครับ ....จัดไป  !!!

วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

อะไรคือ Career Landscape


คำนึงที่ค่อนข้างฟังแล้วแปลกหูใน "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" ก็คือคำว่า Career Landscape ...มันคืออะไร ?

คนส่วนใหญ่จะคุ้นชินกับคำว่า Career Path ซึ่งก็คือ ตำแหน่งที่เราไต้เต้าในองค์กร และ หน่วยงาน ที่เราทำงาน 

ผมกำลังจะบอกว่า คุณสังเกตไหมว่า โลกยุคนี้ Career Path มันตัน !! ..วันนี้มันแทบไม่มีโอกาสที่เหลือให้คนรุ่นใหม่  เพราะ องค์กร และ หน่วยงาน เต็มไปด้วยคนที่อยู่ใน Career Path แย่งตำแหน่งกัน ...แถมคนสมัยนี้ มี Profile ดีขึ้น เก่งขึ้น แต่ "ตำแหน่ง" มีจำกัด ...

ทางแก้ตามวิธีของ "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" ก็คือ หาโอกาสจาก Career Landscape แทน ...ซึ่งก็คือ การถอยมามอง "ความสามารถและความชอบที่แท้จริงของตัวเอง" ว่าเราเก่งในเรื่องอะไรและอยากทำอะไรจริงๆ 

ยกตัวอย่าง เราเป็นทหาร แต่เราเก่งในเรื่องการจัดการคน ...เราก็สามารถหาโอกาสในการจัดการคน จากหน่วยงานอื่น ธุรกิจอื่น ที่ต้องการ "การจัดการคน" ...ถูกต้อง !! แทนที่จะมองในจุดเดียว แล้วพบว่าโอกาสของตัวเราในจุดที่เรายืนมันตัน ...เราสามารถมอง Landscape หาโอกาสรอบๆ ...บางทีมันมีจุดที่ดีกว่าให้เรายืน หรือ เราก็สามารถทำอาชีพเสริมในเรื่องที่เราถนัด

ลองหาคำตอบของ Career Landscape จาก "หนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ"

...คนเก่ง ยุคนี้ อาจไม่พอ ...ต้องเก่ง แล้วมองโอกาสเป็นด้วย ....

ลองดูครับ !! 

คำว่าเกษียณไม่ได้มีอยู่จริงๆ



คนส่วนใหญ่คิดว่าเกษียณแล้วจะได้สบาย แต่ในความเป็นจริง ..เกษียณ คือ การหยุดอธิบายตัวตนผ่านสิ่งที่ทำ ..เงินหยุดเข้ามา ..คนอื่นๆ มองไม่เห็นค่า และ พบว่า หาเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ 

1. คนเดี๋ยวนี้เกษียณแล้วซวย ไม่ใช่รวย เพราะเงินบำนาญหลังเกษียณไม่มีแล้ว แถมดอกเบี้ยเงินฝากก็แทบไม่มีแล้ว -- (ต้องรวยวันนี้เลย ผ่านสิ่งที่เรารัก)

2. "ตายช้า" ตายช้าลง ต้องเตรียมเงินมากขึ้น ซึ่งเตรียมเท่าไหร่ไม่เคยพอ -- (สร้างเครื่องผลิตเงินก็ตอบโจทย์แล้ว เช่น ออมใน Asset หรือ ออมในหุ้น)

3. "ผลลัพธ์ของงานทั้งชีวิต สร้างให้คนอื่น" ผลงานที่ทำทั้งชีวิตไม่ได้เป็นของเรา มันตกเป็นของคนรุ่นต่อไป -- (ออกแบบให้ผลงานเป็นของเราซิ? ..คิดดีๆ)

4. "รู้สึกไร้ค่าหลังเกษียณ" เพราะคนที่หยุดทำงานก็คือหยุดอธิบายตัวตน ทำให้รู้สึกตัวเองไม่สำคัญอีกต่อไป -- (คนสุดยอดในทุกสายอาชีพไม่เคยอยากเกษียณ ..เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยคิดว่าเขาทำงาน เขาทำในสิ่งที่เขารัก)

5. "เวลาพักผ่อนไม่ได้มีค่าอย่างที่เคยคิด"  เมื่อทุกวันคือวันหยุด ก็แปลว่าวันหยุดมันไม่มีค่าอีกต่อไป -- (คนทำสิ่งที่รัก มันแทบไม่เหนื่อยนะ)

ใช่!! อย่ารอให้เกษียณแล้วถึงจะรู้ว่า สิ่งที่คิดและทำมาชั่วชีวิต มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ 

ลองเข้าใจนิยามของ "งาน" ใหม่ ว่าคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อเงิน แต่เราเกิดมาสร้างประโยชน์ให้คนอื่นผ่านสิ่งที่เป็นตัวตนของเรา  นี่คือ นิยามของคนที่มีคุณค่า 

..คำว่า "เกษียณ" ไม่ได้มีอยู่จริง สำหรับคนที่ได้ทำงานที่เขารักและมีประโยชน์ต่อคนอื่น 

การกำหนดเป้าหมายที่ถูกต้อง จะ "โดน" ทั้งเรื่องเงิน และ ความสุข 

วันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558

กว่าจะมี ล้าน แรก (ร้านแรก)

เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม "ล้านแรก" ยากที่สุด ถ้าทำได้ล้านต่อๆ ไปจะง่าย

คนพูดนี้ลืมเรื่อง "เงินเฟ้อ" ครับ ..เดี๋ยวนี้ตัวเลขนั้นด้วยเงินเฟ้อปัจจุบัน คือ "10 ล้านครับ" ..ใช่!! 10 ล้านแรก ไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้ สิบล้านต่อๆ ไปจะเข้ามาเอง -- อันนี้เรื่องจริง ประสบการณ์ตรง !!

เพราะการทำเงิน มันขึ้นกับ "งาน" นี่แหละที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึง !!

ผมเองเคยทำเงินล้านตั้งแต่เริ่มธุรกิจตัวเองหลังจากเรียนจบใหม่ๆ แต่หลังจากผ่านวิกฤต ทำธุรกิจตัวเองล้ม ต้องถอยมาเป็นลูกจ้าง ..ผมมองเงินเดือน แล้วก็ถอนใจว่า "เมื่อไหร่ผมจะยืนได้อีกครั้ง" เงินเดือนไม่มีทางทำให้รวยได้ แล้วจะทำอย่างไร ?

วิธีคิด และ วิธีการ ผ่านสนามจริง สู่การสร้างเงินล้าน และต่อๆ มา ที่เริ่มจากตัวเองจริง จากลูกจ้างจริงๆ ที่วันนี้หวนกลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจอีกครั้ง ...ผมพบว่า มีลูกจ้างสายพันธุ์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในทุกองค์กร ..คนเหล่านี้คือ Change Agent ที่มาพร้อมการเปลี่ยนแปลง

ครับ ลูกจ้างที่ เงินเดือนสูง / เวลาอิสระ มีอยู่จริง ..เพราะเขาไม่ได้ทำงานตาม Career Path แต่ทำงานตาม Career Landscape ที่ทำให้เขาเห็นโอกาสในการสร้างธุรกิจส่วนตัวไปพร้อมๆกับงานประจำ

พบคำตอบ ลูกจ้างสายพันธ์ใหม่ ในหนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ !!!

สิบล้านแรก ...และสิบล้านต่อๆไป สร้าง ..จัด!!

เครื่องมือช่วยหาตัวเอง


"เครื่องมือช่วยหาตัวเอง" เป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่สนใจมาก เพราะอย่างที่เล่าให้ฟังคือ วันนี้งานวิจัยเรื่องศักยภาพของคนชี้ว่า คนรุ่นใหม่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องความเก่ง 

เดี๋ยวนี้คนเก่งเยอะ แต่สิ่งที่คนรุ่นใหม่ขาดคือ "ความชัดเจน และการเลือกงานที่เหมาะกับตัวเอง" ...ซึ่งจุดนี้คือปัจจัยสำคัญสู่ความเป็น "ผู้นำ" ในสิ่งที่ทำ ..ดังนั้น "ความชัดเจนกับการรู้จักตัวเอง" จึงเป็นเสมือน Key Success ของอาชีพเลยก็ว่าได้

"แล้วเครื่องช่วยค้นหาตัวเอง มีไหม?"

"มีครับ"

ในหนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ เรานำเสนอเครื่องมือ Birkman Test ซึ่งแบ่งมนุษย์ตาม "จริต" เป็น 4 สี คือ แดง / เหลือง / เขียว / น้ำเงิน

ซึ่งเครื่องมือนี้เองจะช่วยให้เรารู้จัก "จริต" และ นิสัยของเราจริงๆ ว่าเราจะรักงานประเภทไหน ..ทำงานแบบไหนได้นาน และ สามารถทำงานอะไรแบบที่เราไม่รู้สึกว่าทำงาน

ใช่ !! เราแต่ละคนไม่เหมือนกัน ..คน 25% ของโลกทำงานประจำไม่ได้ ..คน 25% ของโลก เรียนไม่เก่ง ต้องเรียนผ่านการลงมือทำเท่านั้น แต่เขาคือนักสู้ ..คน 25% ของโลก ต้องชอบคนสอนถึงจะเรียนได้ดี และ ทำทุกอย่างผ่านความสัมพันธ์ -- "คนเราไม่ได้สร้างมาเหมือนกัน" -- การรู้จักตัวเอง จะช่วยให้การเดินทางสู่ความสำเร็จง่ายขึ้น สนุกขึ้น

ลองอ่านกันดูครับ "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" 

วันเสาร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2558

คุณได้อะไรบ้าง จาก แหกกฏ ?


ปัญหาโลกแตก -- ตกลง "ให้ทำในสิ่งที่รัก" หรือ "ให้รักในสิ่งที่ทำ" ดีกว่ากัน ..ถ้าเราสามารถเลือกได้นะ ?

...แล้วคุณว่า จริงๆ คนเราเลือกได้หรือเปล่าว่าต้องทำอะไร รักอะไร ?

ใช่!! "หนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ"

คือ การตีแตกประเด็นของ "งาน" สำหรับคนรุ่นใหม่ ...ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง ...การจ้างงานหรือทำงานจนเกษียณในองค์กรเดียวแบบ Life-time Employment มันจบไปแล้ว ...ยุคที่นายจ้าง พยายามกดค่าแรงให้ต่ำที่สุด ตัดเงินพัฒนาพนักงานเพราะรู้ว่า พนักงานทำไม่กี่ปีก็ย้ายไปบริษัทอื่น ...ยุคที่ลูกจ้าง เปลี่ยนงานทุกๆ 4 ปี เพราะ หาตัวเองไม่เจอว่า ชอบอะไร ..ยุคที่เด็กจบปริญญาบอกว่า ไม่รู้ว่าสาขาที่เรียนมา เขาชอบหรือเปล่า !! ..ทุกงานที่ทำไม่โดน !! ...ยุคที่ "เงินเดือน" เสี่ยงที่สุด เพราะ เงินเดือนหยุดเข้ามาเมื่อเรา ป่วย แก่ หรือ เกษียณ ซึ่งตรงข้ามกับหนี้ เพราะ หนี้ไม่เคยหยุด แม้เรา ป่วย แก่ หรือ เกษียณ หนี้ก็ไม่เคยหยุด !! ...ยุคที่คำว่า เกษียณ หมดอายุ เพราะ ยุคนี้เกษียณแล้วไม่ตาย ต้องอยู่อีกนาน มันคือ ยุคที่ทุกคนสลด เพราะ เงินหมดก่อนตายแน่ๆ ..เอาไงดี ? ...ยุคนี้เจ้าของโรงงานซวยหนัก เพราะ สินค้าขายไม่ได้แต่ค่าแรงขึ้น การเป็นลูกเถ้าแก่ ต้องเอาเท้าก่ายหน้าฝาก "ค่าจ้างขั้นต่ำขึ้น แต่สินค้าเพิ่มราคาไม่ได้" ...ลูกจ้างก็โดนบีบให้ออก เพราะเจ้าของเอาเครื่องจักรมาแทน ..ยุคนี้งานประจำเสี่ยงมากๆ ...ส่วนงานไม่ประจำ Freelance หรือ Part-time เสี่ยงหนักกว่าเดิม
"คุณคิดว่า คนรุ่นใหม่ ที่เกิดมาในโลกที่โหดเช่นนี้ จะหาที่ยืนในสังคมได้อย่างไร ?"

หนังสือเล่มนี้ มีคำตอบ ทุกคำถาม

..."ใครอ่านแล้ว ลองมาแชร์ซิครับว่า คุณได้อะไร แล้วคุณจะแบ่งปันอะไรคนอื่น เพื่อสร้างเวทีแห่งโอกาสให้กับตัวเอง"

"สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" ....

จะลุกขึ้น หนังจากล้มเหลว อย่างไร (โคตรยาก)


(เอามาแชร์ให้อ่านครับ)
อยากรู้ช่วงชีวิตที่ดิ่งสุดๆ ของคุณแพท ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าจะโดนหักหลัง โดนหลอก หรือเจ๊งหุ้น อยากรู้ว่าผ่านมาได้ไงและคิดแบบไหนบางทีเราเห็นแต่ภาพความสำเร็จ แต่พอได้รู้ว่าหลังเต็มไปด้วยแผลนี่ล่ะ อยากรู้ว่าเค้ารักษายังไง ?

(ตอบ)

เรื่องนี้ยาว ชีวิตผมผ่านวิกฤตยาวเป็นหางว่าว ...สิ่งที่ผมได้เรียนรู้มี 2 อย่างคือ

1. ทำอย่างไรจึงจะล้มครั้งต่อไป แบบเจ็บน้อยและลุกเร็ว (ใช่!! ผมเตรียมล้มครั้งต่อไปไว้แล้ว ..ไม่มีมานั่งโลกสวย)

2.ทุกครั้งที่ล้ม (ครั้งต่อไป) ผมเตรียมเรียนสิ่งใหม่ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็น และนั่นคือ โอกาสครั้งใหม่ในชีวิตที่จะเข้ามา หลังจากที่ล้ม

.....แค่นั้นเอง ถ้ามองแบบนี้ เจ๊งก็ลุกได้ และ เก่งขึ้น รวยขึ้น ทุกๆครั้งที่ล้ม ..ไปเรื่อยๆ

(ตอบต่ออีกหน่อย)
คนที่คิดแบบนี้ได้ คุณต้องนิยามคำว่างานใหม่ คือ งานต้องไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่ "งานต้องคือการอธิบายตัวตน" ...ใช่!! คุณอ่านตรงนี้อาจจะ งง ๆ ในสิ่งที่ผมพูด ...ลองหาหนังสือ "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" มาอ่าน แล้วมันจะอธิบายสิ่งที่ผมพูดอย่างชัดเจน

"จัดไป!!"

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ