แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

ปรึกษาอยากเริ่มธุรกิจ

วันนี้มีน้องคนนึงมาถามว่าอยากเริ่มธุรกิจ ไม่มีไอเดีย ไม่มีเงิน จะเริ่มยังไง ?

"ไปเลย !! ไปซื้อหนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฎ ...อันนี้คำภีร์สร้างธุรกิจจากศูนย์ !!"

น้องมันสงสัยว่า จากศูนย์มันสร้างได้จริงเหรอ เพราะคนเขียนก็บ้านมีเงินอยู่แล้ว ?

"ไอ้นี่!!" ..มันหนู จำไม จริงๆ -- เอาเถอะ ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง อย่าเพิ่งเถียง อย่าเพิ่งหาข้อโต้แย้ง 

..อย่างแรก ให้หยุดหาข้ออ้าง หยุดหาข้อจำกัด -- เราจะได้กล้าเริ่ม!!  เช่น บ้านผมไม่รวย , ยังไม่มีเงิน , เรียนไม่สูง เพราะทั้งคนบ้านจน ไม่มีปริญญา หรือ แม้แต่เด็กกำพร้าก็สร้างธุรกิจใหญ่ได้จากศูนย์มากมาย ..หนึ่ง หยุดหาข้ออ้าง !!

..ข้อสอง หาความรู้มาใส่หัว ..หยุดดูทีวี ..แล้วไปหาหนังสือมาเติมแรงบันดาลใจ และ ไอเดีย -- ในที่นี้น้องอยากเริ่มธุรกิจ ไปลองหาหนังสือพี่มาอ่าน "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" ..เล่มนี้สอนการหาโอกาสที่มองจากตัวเรา Inside Out แล้วค่อย Outside in ..ปัญหาหลักของคนเดี๋ยวนี้ดันเรียนตาม Pattern ตำราฝรั่ง มอง Outside in สุดท้ายลืมไปว่า ธุรกิจที่ทำไม่ได้ชอบเลย ..อันนี้เริ่มก็ผิดทางแล้ว

..ข้อสาม ก้าวออกจาก Comfort Zone อาทิตย์ละ 1 เรื่อง ให้ทำสิ่งที่ไม่เคยกล้าทำ เช่น พูดในที่สาธารณะ , วิ่งตอนเช้า , นั่งสมาธิ (ทำเรื่องท่ีตรงข้ามกับสิ่งที่เคยๆทำ) -- อันนี้คือสิ่งแรกที่ต้องทำหากเราต้องการคิดนอกกรอบ "แหกกฎ" 

ถ้าเราลองสิ่งที่เราไม่เคยกล้าทำ เราจะเจอ 2 อย่าง คือ 

หนึ่ง เจออีกมุมคิดใหม่ที่เราไม่เคยมอง นั่นแหละโอกาส "คิดนอกกรอบ ของตัวเรา" 

สอง เราจะขจัด "Fear" อุปสรรคขวางความสำเร็จ และเราจะเปลี่ยน "จุดอ่อน" เป็น "จุดแข็ง"

หลายคนอาจไม่รู้ว่า ก่อนที่ผมจะมาเป็นนักสอน นักพูด ที่เจนเวที ..ผมเคยกลัวการพูดต่อหน้าสาธารณะ -- และจริงๆ ผมเพิ่งกล้าขึ้นเวทีตอนที่เริ่มเป็นนักเขียน แล้วขึ้นพูดงานเปิดตัวหนังสือเมื่อ 6 ปีที่แล้วเองนะ

ต้องขอบคุณ การกล้า "แหกกฏ" ที่ผมกล้าขึ้นเวที ..นี่แหละ จุดเริ่มเล็กๆ ที่เปลี่ยนชีวิตผม และอาจช่วยเปลี่ยนชีวิตอีกหลายๆ คน

ใช่!! ลองดู .."ออกจาก Comfort Zone ซะ!!"

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2558

ธุรกิจขายไม่ดี ...ต้อง แหกกฏ !!


"ยุคนี้ หากินยากขึ้น ขายของยากขึ้น ...สาเหตหลักๆ มาจาก พฤติกรรมการบริโภคสินค้าของคนเปลี่ยน !!"

ถ้าถาม Nokia เขาจะตอบว่า "ของขายไม่ดี ขนาดผลิตโทรศัพท์ให้ดี และ ราคาถูก คนยังไม่ซื้อเลย"

ถ้าถาม Apple เขาจะตอบว่า "ขายโคตรดีเลย iPhone ตั้งราคาก็โคตรแพงเลย แต่คนก็ยังแย่งกันซื้อ ...ถ้าถาม Steve Jobs เขาก็คงบอกว่า สินค้าผมมันดีไง มันโดนใจลูกค้า เขาก็ซื้อ"

ถ้าถาม Starbucks เขาจะตอบว่า "ขายดีมาก ลูกค้ารอคิวเหมือนกรูแจกฟรี ..ส่วนกาแฟ ถูกๆ แก้วละ 40 บาท ร้านข้างๆ ว่าง ..."

ใช่!! ยุคนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ...ต้องเข้าใจเขา ..."เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ เอาตำราการตลาดมาคุย เพราะ ใช้ไม่ได้แล้วอ่ะ!!"

ยุคนี้ คิดนอกกรอบ ไม่พอ ...ต้อง "แหกกฏ"

นี่เลย ...น่าจะเริ่มทยอย วางแวงตามร้านหนังสือ เร็วๆนี้ ...หนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ -- คำภีร์การคิดนอกกรอบ ที่จะพาคุณไปนั่งกลางใจลูกค้า ...หาโอกาส ..หาจุดยืนของสินค้าและบริการคุณ ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ และ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของคน

จัดหนัก ทั้งวิธีคิด วิธีทำ ...และ ตัวอย่าง ...จัดไป !!

-- ตรงๆ แรงๆ กระชับ และ ขวานผ่าซาก สไตล์ภาววิทย์เขียน !!

"สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ"

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

"ความฝัน กับ ความจริง" ของคุณ ..ห่างไกลกันแค่ไหน

ทำไมคนส่วนใหญ่ เกลียดเช้าวันจันทร์ .."ก็เพราะเขาไม่มีความสุขกับงานที่ทำไง"

ทำไมคนส่วนใหญ่ อยากรวยเร็วๆ ..."ก็เพราะเขาไม่อยากทำงานที่ไม่ชอบ ที่ทำอยู่นั่นไง"

ทำไมคนส่วนใหญ่ ชอบไปเที่ยว ชอบพักผ่อน ..."ก็เพราะเขาอยากจะหยุดพัก จากงานของตัวเองที่ไม่ชอบไง"

คุณเคย แปลกใจไหมว่า ทำไม คนที่เป็นเศรษฐี หรือ คนที่ประสบความสำเร็จมากๆ ...อย่าง ศิลปินดัง , นักเขียนดัง , นักสร้างภาพยนต์ชื่อดัง . นักธุรกิจชื่อดัง , ดาราชื่อดัง , นักวาดรูปชื่อดัง , นักถ่ายภาพชื่อดัง ...คนเหล่านี้เขาไม่เคยอยากหยุดจากงานที่ทำ ไม่เคยอยากเกษียณ ..แถมเขาอยากทำงานที่เขาทำชั่วชีวิตของเขา -- ใช่!! ก็เพราะ "งาน" คือ ชีวิตของเขาไง  ...มันคือ สิ่งที่เขาทำแล้วเขามีความสุข ...มันคือ สิ่งที่เขาทำแล้วได้อธิบายตัวตนของเขา ..."Your Identity"

"คนเหล่านี้ เขาสนุกกับงานที่เขาทำ มากกว่า การไปเที่ยวหรือการพักผ่อน ที่แสนจะวุ่นวาย แย่งกันเดินทาง (รถติดหลายๆ ชั่วโมง) แย่งโรงแรม (ราคาแพงพิเศษในช่วงวันหยุด)  แย่งร้านอาหาร (รอคิวเป็นชั่วโมงเหมือนแจกฟรี) ...เพราะ ผู้คน ชื่นชมในผลงานของเขา -- เขาจึงมีความสุขจากงานที่ทำ มีความภูมิใจในผลงานที่สร้าง และ เขาได้สัมผัสถึงคุณค่าในตัวเองจากงานของเขา"

นี่แหละ ความแตกต่างระหว่าง "งานในฝัน กับ งานจริงๆ ของคุณ" ....มันต่างกันตรง คนที่ประสบความสำเร็จ เขาสร้างงานในฝัน ให้กับตัวเองเขา ...เฮ้ย!! จริงๆ มันไม่มีใครเอางานในฝันมาประเคนให้คนที่ไม่พยายามหรอก ...คนเหล่านี้ใช้เวลา มุ่งมั่น และ มีเป้าหมายที่ชัดเจน ...นั่นแหละ เขาถึง สามารถสร้าง งานที่เขารัก ให้เป็นดั่งงานในฝัน

ผมเข้าใจว่า คุณกำลังมีคำถาม มากมายว่า วิธีการ "How-to" ในการสร้าง "งานในฝัน" มันทำอย่างไร

"งานในฝัน" เราเองเท่านั้น ที่จะสร้างเอง ...ไม่มีฟลุ๊ค ไม่เกี่ยวกับโชค แต่มันคือ "ความรู้" และ การวางแผนแบบเป็นขั้นตอน สู่การสร้างงานในฝัน ที่ประสบความสำเร็จ ดีที่สุดในจุดที่ยืน ในแบบของเราเอง

นี่แหละ หนังสือ "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" ...ต้องคิดเป็น ต้องคิดต่าง และ เป็นผู้นำในสิ่งที่ทำ ...หนังสือเล่มนี้ คือ คำภีร์ที่จะร่วมเดินทางหางานที่รัก และ รวย ในจุดที่ดีที่สุด ในแบบของคุณเอง

โคตรท้าทาย !! ใช่ !! เพราะ สร้างล้านแรกด้วยตัวเอง มันต้องกล้าแหกกฏ !!!

ลองเปิดหนังสือเล่มนี้ดู !!! -- โคตรแนว ขอบอก ...555

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

แหกกฏซะ !!

ถ้าการทำงานหนักทำให้รวย ..ทาสคงรวยที่สุด

ถ้าเงินเดือนทำให้เรามั่นคง ..คนส่วนใหญ่คงไม่เกษียณแล้วซวยเช่นนี้

ถ้าใบปริญญาทำให้การันตีความสำเร็จ ..ทำไมงานตำแหน่งเงินเดือนแสนเงินเดือนล้านจึงไม่ได้ใช้ใบปริญญาสมัคร

ถ้าทำตามคนส่วนใหญ่แล้วรวย ..ทำไมคนส่วนใหญ่จน

ทุกอาชีพมีทั้งคนรวยและจน ..แต่ผู้นำในทุกอาชีพรวยทุกคน -- แล้วทำอย่างไรจึงเป็นผู้นำล่ะ?

ผู้นำ คือ คนที่นำ ไม่ใช่คนที่ทำตาม ..ผู้นำคือ คนที่เขียนกฏใหม่ ไม่ใช่นักทำตามกฏ ...กฏต่างๆ สร้างไว้ให้ผู้ตามได้ปฎิบัติ แต่สำหรับผู้นำ คุณต้องเขียนกฏใหม่เอง

ใช่!! การเป็นผู้นำไม่ง่าย เพราะ มันคือ การ แหกกฏ -- การก้าวผ่านกฏและข้อจำกัดเดิมๆ บนโจทย์ของการแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้ผู้ตาม

"ผู้นำ = นักแหกกฏ"

หนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ คือ คำภีร์ สู่การเป็นผู้นำ ทางความคิด และ การลงมือทำ อย่างมีขั้นตอน 

จัดหนัก แรงจริง ..จัดไป!!


สร้างล้านแรกต้องแหกกฎ

"สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" เพราะเมื่อกล้าแหกกฏ จะทำให้ได้ล้านต่อๆไป ง่ายกว่าเดินตามกฏ ..?

เคยคิดไหมว่า การหาเงินล้านแรกมันจะนำมาซึ่งล้านถัดๆไป ...หากเราหาเงินโดยทำงานอยู่ในกรอบเดิมๆ ก็คงยากที่เราจะหาเงินเพิ่มเป็นสิบล้าน ร้อยล้าน หรือ พันล้าน

หนังสือเล่มนี้ไม่ได้สร้างให้คุณโลภ แต่มุ่งเปลี่ยนวิธีคิดของคุณให้เข้าใจว่ากลไกความสำเร็จของคนรุ่นใหม่ ต้องมองข้ามเงิน แล้วเลือกงานที่อธิบายตัวตน ..จากนั้น ล้านแรกที่เราหาจากตัวเองด้วยการเข้าใจวิธีแหกกฎ วิธีคิดนอกกรอบ

คุณจะเห็นโอกาส และต่อยอดได้ ..คนส่วนใหญ่ที่บ่นว่าทำงานแล้วมองไม่เห็นโอกาส ไม่เห็นอนาคต เพราะเขาถูกกรอบ ความรู้ กรอบความกลัว กรอบ Ego กดทับจินตนาการ

หนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฎ จะชี้ทางสู่การสร้างโอกาสในยุคนี้ ยุคที่ เงินเดือนคือสิ่งที่มั่นคงน้อยสุด , ใบปริญญาสร้างแค่ชนชั้นกลาง แต่การก้าวผ่านใบปริญญาคือคำตอบสู่คนรวย คนเงินเดือนสูง , คำว่าเกษียณหมดอายุ , คำว่า Career Path ถูกแทนด้วย Career Landscape , คำว่าโอกาสอยู่ในวิกฤต ...ยุคนี้ "การแหกกฏ แบบสร้างสรรค์ คือ คำตอบ"

หนังสือเล่มนี้จะร่วมแหกกฏ ไปกับคุณ ...ลองอ่านดู จัดหนัก ของจริง !!!

ล้านแรกสร้างให้ได้ เดี๋ยวล้านต่อๆไปจะตามมาเอง !!

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558

ชีวิตคนชั้นกลางมุ่งที่หาเงิน ชีวิตคนรวยมุ่งที่แหกกฏ


"ชีวิตคนชั้นกลางมุ่งที่หาเงิน ชีวิตคนรวยมุ่งที่แหกกฏ" ...คุณลองสังเกตซิ คนทั่วๆไป ตั้งแต่ระดับล่าง ชนชั้นกลาง พนักงาน Office ทุกคน จะมีชีวิตวนเวียนอยู่กับการ "หาเงิน แล้วก็ใช้เงิน"

คนชั้นกลางดูแต่ "ทีวี" ซึ่งดูดวิญญาณ เพราะ ทีวีอยู่ได้ด้วยโฆษณา ดังนั้น คนดูทีวีจะถูกสอนให้เป็น Consumer ..เป็นผู้บริโภค ..ใช่!! คนดูทีวี จะมีแต่คิดเรื่องใช้จ่าย คิดเรื่องน้ำเน่า เพราะ มีแต่เรื่องดราม่าไร้สาระจิตตก ..ยิ่งจิตตก ยิ่ง Shopping คลายเครียด ...ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่มีทางเป็นคนรวยได้เลย เพราะ ทั้งชีวิต ก็คุยแต่เรื่อง ใช้นุ่น ซื้อนี่ ซื้อเฟอร์บี้  ซื้อหุ้นปั่น ซื้อหวยล็อค ซื้อจตุคาม ซื้อตุ๊กตาไบลค์  ซื้อหินนำโชค ...ซื้อทุกอย่างที่ตามกระแส ซึ่งของเราเหล่านี้ ขยะทั้งนั้น !! "ขยะ"

..."ลองคิดดูดีๆนะครับ ทุกครั้งที่เราทำอะไรตามกระแส มันเหมือนเราถูกหลอกให้ทำอะไรโง่ๆ ... อุปทานหมู่ ซึ่งคนไทยมีนิสัยแบบนี้เป๊ะ ..ทำให้เราถูกหลอกง่าย ไม่มีจุดยืน -- ก็สรุปว่าเลยไม่รวยไง !!" ..ก็มึงโดนหลอกไง !!!

ชีวิตชนชั้นกลาง หมกมุ่นอยู่กับ ดราม่า ..ดังนั้น หาเงินเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางพอ ...เพราะ ความอยากใช้เงินมันมีอยู่เต็มสมอง .."ขนาดหาเงินยังเอาสินค้ามาสมมุติเลย เช่น วันนี้ฉันหาเงินได้กระเป๋า Louis หนึ่งใบ ...วันนี้เสียเงินเท่านาฬิกา Rolex ..แปลง่ายๆ ว่า Mindset เขาคือ Consumer เหยื่อของระบบทุนนิยมเรียบร้อย ...ใช่!! คนเหล่านี้หาเงินเท่าไหร่ ก็จ่ายให้บริษัทใหญ่ๆหมด เพราะ เขาคือ นักบริโภค ที่ถูกสอนด้วย ทีวี ที่เขาชอบเสพ ดราม่า ..ขนาดดูข่าว ยังดูแต่ ดราม่าเลย"

ตรงกันข้าม "คนรวย" เขาชอบ "อ่านหนังสือ" ..ไปลองดูคนรวยเก่งๆ ทั่วโลก เป็นหนอนหนังสือทั้งนั้น ..หนังสือ มันกระตุ้นให้คุณลุกขึ้นมาทำอะไร ...การทำอะไร ก็คือ การทำเงินนั่นเอง ...ดังนั้น หนังสือ จะกระตุ้นให้คุณเป็น Producer นักสร้าง ไม่ใช่ Consumer ...

คนเหล่านี้ จะคุยแต่เรื่อง ฉันจะทำอะไรดี ..ฉันจะสร้างธุรกิจอะไรดี ..ฉันจะไปเรียนอะไรดี ..ฉันจะพัฒนาตัวเองอย่างไร ..ฉันอยากรู้เรื่องนี้อย่างจริงจัง ...พูดง่ายๆ ชีวิตของ "คนรวย และ คนที่กำลังจะรวย" เขาจะมี Mindset ของการ "เรียนรู้ , สร้าง และ  ทำ" ..

ลองสังเกตอีกอย่างไหมครับว่า คนทั่วไป คือ คนที่ใช้ทั้งชีวิตอยู่ในกรอบ ..เรียนหนังสือ ไปทำงาน มีครอบครัว ..ทำงาน ..เกษียณ ...แล้วก็ตายไป เป็นอีกหนึ่งชีวิตธรรมดา

ส่วนคนรวย "มันมักจะบ้านิดๆ ..ทำอะไรนอกกรอบนิดๆ"

..ตอนเรียนอาจจะไม่ค่อยเก่ง เพราะ มองว่าโรงเรียนสอนให้คนเหมือนกัน คือ สอนคนเป็นลูกจ้าง  สอนให้คิดในกรอบ "ท่องจำ ทำตาม"

...เขาอาจไม่ค่อยชอบอ่าน Textbook ตำราเรียน เพราะ รู้ว่าคนเขียนฝรั่ง มันต้องหลอกให้เราคิดในกรอบ ..ความรู้ที่มันเขียนเป็นตำรา แปลว่า หนึ่ง มันล้าสมัยไปแล้ว สอง มันหลอกเราให้ทำตามฝรั่ง (อเมริกามันถึงรู้ว่าเราคิดยังไง ..เวลาเศรษฐกิจเราพัง มันให้เราลดค่าเงิน ..แต่พอเศรษฐกิจมันพัง มันฉีกตำรา เศรษฐศาสตร์ แล้วมันพิมพ์เงินแทน -- ตกลงมันหลอกเรานี่หว่า ..ไอ้กัน!!) ...

..เขาอาจ ไม่ทำอะไรเหมือนชาวบ้าน ..ไม่คิดว่า Career Path เป็นสิ่งที่ดี ..เขาจึงมอง Career Landscape แล้ว หาโอกาสในทุกจุดที่ยืน ..ลูกน้อง ถ้ามองไปรอบๆ จะเห็นโอกาสมากกว่า Career Path ..คนเหล่านี้ชอบมองแตกต่าง

..เขาอาจรู้ว่า คำว่า "เกษียณ" หมดอายุแล้ว ..."เกษียณแล้วจะสบาย ..โกหกทั้งเพ ..ถ้าจะสบายวันนี้เราต้องสบายแล้ว ..ตอนเกษียณเดี๋ยวนี้ ซวยต่างหาก เงินก็ไม่มี ..คุณค่าตัวเราก็ลดลง ..จิตก็ตก ..คนก็ไม่เห็นหัวเรา" ..คนที่เลือกได้ เขาเลือกเปลี่ยนงาน ให้สนุก แล้วไม่มีคำว่าเกษียณ เพราะ งานคือ ส่วนนึงของชีวิต ...งานสนุก จะทำได้ดี ..ยิ่งทำยิ่งรวย ..."คำว่า เกษียณ เอาไว้หลอกคนชั้นกลาง !!"

..เขาอาจรู้ว่า ความมั่นคง ไม่ใช่การทำงานรับเงินเดือน -- เรื่อง "ลูกจ้าง" กับ "ผู้ประกอบการ" เป็นประเด็นหลอก  ...ประเด็นจริง คือ การเข้าใจใหม่ ระหว่าง "ขายเวลาแลกเงิน" กับ "ขายผลงานแลกเงิน" 

...โลกนี้ไม่มี ความฟลุ๊ค ไม่มีความโชคดี ...มีแต่ "ฝีมือ" กรู เท่านั้น ที่กำหนดชีวิตกรูเอง ....ไม่มีเทพเจ้า ..ไม่มีหินศักดิ์สิทธ์ ...มีแต่ตัวกรู .... คุณเคารพตัวคุณเพียงพอหรือยัง ...คุณพัฒนาความรู้ให้ตัวคุณเพียงพอหรือยัง ...อย่าให้สังคมหลอกคุณ

ผมเขียนหนังสือ เล่มนี้  ...เป็นการพิสูจน์ว่า ไม่ใช่ ดวง ที่ทำให้คนสำเร็จ ...แต่เป็นตัวกรู เว้ย ..ที่กำหนดความสำเร็จของตัวเอง ....จัดหนักเนื้อหา สาระ แบบเป็นระบบ วิธีคิด วิธีทำ ...เอาไปเลย ...เอาไปเปลี่ยนชีวิตตัวเอง

"เงินล้านแรก หาให้ได้ก่อน ...แล้ว ร้อยล้าน พันล้านมันถึงตามมาเอง"

"สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ"



วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

อยากรวยมากๆ ทำไง ??

ช่วงนี้ผมเดินสายตามมหาวิทยาลัยบ่อย เลยสัมผัสแนวคิดเด็กรุ่นใหม่มากขึ้น ...มีน้องคนนึงเดินมาถามผม "พี่ผมอยากรวยมากๆ ทำไงครับ?"

ผมก็นึกว่า "เออ !! มันถามตรงดีว่ะ เด็กสมัยนี้"

ผมก็ถามต่อว่า แล้วน้องคิดว่า คนที่จะรวยมากๆ ต้องมีคุณสมบัติอย่างไรล่ะ ?

น้องมันตอบว่า "ต้องเก่งมากๆ เหรอครับ ..ก็ผมเลยมาถามพี่นี่ไง"

เฮ้ย ไม่ใช่ !! คนเก่งมากมายไม่รวย ..ความเก่งไม่ใช่คำตอบ .. แต่คำตอบของการรวย ..เอาเริ่มจากรวยก่อน คือ "น้องต้องแตกต่าง ..ที่พี่บอกว่าแตกต่างคือ มีจุดยืน และ เป็นผู้นำในสิ่งที่ทำ"

คิดง่ายๆ "ผู้นำ" ไม่ว่าจะอยู่อาชีพไหน หากน้องขึ้นชื่อว่าผู้นำ ..รวยชัวร์ !!

ประเด็นต่อมา คือ "ถ้าอยากรวยมาก" ...ก็น้องนำมากๆ ...ใช่ !! โคตรตรงประเด็น

ลองไปดูคนที่รวยมากๆ ก็คือ คนที่นำคนมากๆ เอาตั้งแต่พระเลย ..พระที่นำคนมา "ธรรมกาย" รวยป่ะ ?

นั่นแหละ ..คำถามกลับมาที่คนเดี๋ยวนี้ ไม่ได้โง่ และ ไม่อยากตามใครง่ายๆ ...การเป็นผู้นำ จึงชัดเจนในตัวเอง สร้างผลงานที่จับต้องได้
กล้าที่จะเดินในทางที่แตกต่าง จนเป็นตำนานนั่นแหละ ทำได้ไหมล่ะ

คนรวยมากๆ เป็น "ตำนาน" ทุกคนแหละ ...ประเด็นมันข้ามเงิน เหนือเงิน .. แต่คนรุ่นใหม่ สนใจแค่เงินเร็วๆ ..งานที่ทำ เลยไม่มีผลงาน
"มันกระจอกเกินไป บอกตรงๆ"

สร้างประโยชน์ให้คนอื่น ..แก้ปัญหาให้คนเยอะๆ ...นั่นคือ สุดยอดแห่งการสร้างเวทีโอกาส

ไปลองเริ่มสักอย่างซิ ...เดี๋ยวถ้าพี่เริ่มได้ยินตำนานเรื่องของน้อง แปลว่า น้องใกล้จะรวยมากๆ ละ ...ไม่ได้ตลกนะ -- ของจริงว่ะ !!

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2558

การขยายส่วนแบ่งตลาดยุคใหม่

มีน้องๆ ที่ทำธุรกิจมาถามผมว่า "จะขยายส่วนแบ่งตลาดอย่างไร เพราะทุกวันนี้ทำมาหากินยากมาก ยิ่งภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ ลูกค้ายิ่งหาย!!"

ผมบอกน้องเขาไปว่า "เดี๋ยวนะ !! เมื่อกี้ที่บอกว่าอยากขยายส่วนแบ่งตลาด ..คำพูดนี้เหมือนเอามาจากตำราบริหารธุรกิจอะไรสักเล่ม (ที่มันน่าจะล้าสมัยไปแล้ว)"

จริงๆ แล้ว โลกยุคนี้ เราไม่จำเป็นต้องแย่งลูกค้าจากใคร ..ที่ดีที่สุดคือ สร้างลูกค้าขึ้นมาใหม่เลย อันนี้แหละ เหมาะกับคนรุ่นใหม่ 

เพราะ ถ้าเราไปแย่งลูกค้ามาจากคนอื่น สุดท้ายคนอื่นก็ต้องแย่งกลับ ..ยิ่งคนไทยชอบของถูกของฟรี -- ในที่สุดตายทั้งคู่ ..คือ คุณและคู่แข่ง ตัดราคา ลดแลกแจกแถม จนตายกันทั้งคู่แหละ

หลักคิดใหม่คือ "สอนคนให้เป็นลูกค้าคุณ" อันนี้แหละยั่งยืน 

อย่างมีคนถามผมว่า ทำไมหลักทรัพย์บัวหลวงไม่ตัดราคา ลดค่าคอมแข่งแบบโบรกเกอร์รายอื่นๆ ...ผมบอกว่า เราจะทำแบบนั้นเพื่ออะไร ?

สิ่งที่เราทำคือ เราสอนให้คนลงทุนเป็น แล้วสอนวิธีให้เขาสร้างความมั่งคั่งระยะยาว "สอนวิธีรวยจริงๆ" (ให้ความรู้ที่ดี ถึงคิดเงิน ลูกค้ายังยอมจ่ายเลย แถมส่งลูกหลานมาเรียนอีก)

 ..ที่อื่นเน้นกำไรค่าคอม เราเน้นขยายฐาน ..คนอื่นสร้างห้องค้า เราสร้างโรงเรียนหุ้น ..คนอื่นลดค่าคอม เราสร้างเครื่องมือที่ดี ที่แตกต่าง ..ใช่!! การแข่งขันที่ดีที่สุดคือ ไม่แข่ง  แต่เราสร้างลูกค้า -- ตอบโจทย์ และแก้ปัญหาเรื่องการเงินให้เขา

นั่นแหละ หาจุดที่เราถนัด แล้วดีที่สุดในจุดที่เรายืน !!



วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำไมคนไทยสร้าง Brand ไม่เป็น ภาค 2

ยกตัวอย่าง การสร้าง Brand ขั้นเทพไปแล้ว คือ ราคาโคตรแพง ขายแบบดูถูกลูกค้า แล้วก็ไม่ต้องผลิตล่วงหน้า เพราะของยิ่งขาด คนยิ่งอยากได้ ..เอาล่ะ เรามาดูซิว่า คนไทย ขาดคุณสมบัติอะไรจึงสร้าง Brand แบบ Hermes ไม่ได้

1. คนไทยไม่มี Identity ..คนที่จะสร้าง Brand หรือเป็น Brand ต้องมี "จุดยืนชัด" "ตัวตนชัด" อย่างเมืองไทย ถ้า Brand บุคคลก็พอจะเห็นบ้างก็เช่น อ.เฉลิมชัย หรือ ถ้าสถาบันก็อย่าง "ธรรมกาย" ...แต่ปัญหาของคนไทย คือ พ่อแม่เลี้ยงให้ลูกตัวเล็ก อย่าเถียง อย่าแสดงความคิดเห็น สรุป "อย่ามีจุดยืน ครูหรือผู้ใหญ่ สอนอะไรก็ให้ ท่องจำและทำตามนะ"

2. คนไทยไม่มีจุดยืนให้ผู้แพ้ .."ฉันว่าแล้ว .." คนไทยชอบเหยียบซ้ำคนแพ้ และยกยอผู้ชนะโดยไม่สนว่า ผู้ชนะจะใช้วิธีสกปรกหรือชั่วช้าแค่ไหนก็ตาม ..ถ้ารวยแปลว่าดี "ตลกไหม"

3. เมืองไทย เงินคือพระเจ้า ต่อให้โง่แค่ไหนก็ตาม ถ้าขับรถหรู ใช้ของหรู จะดูผู้ดีทันที ..

"โง่ดีแท้ !! -- ทางแก้มีดังนี้"

1. สร้างจุดยืนของตัวเอง ..เราทุกคนเกิดมาไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นที่เราต้องเดินตามแบบใคร หรือ ทำเหมือนใคร ..เราสามารถดีที่สุดในจุดที่ยืน !!

2. ความสำเร็จไม่ได้แปลว่า คนอื่นต้องมายกย่อง แค่เรามีความสุขในสิ่งที่ทำ และยิ่งสิ่งนั้นแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้คนอื่นได้ด้วย ยิ่งดีเลิศ !!

3. การคิดต่างและทำไม่เหมือนใคร ไม่ใช่ตัวประหลาด แต่มันแปลว่า คุณกำลังเดินในสายผู้กล้า ผู้สร้างตำนาน และ คนที่จะยิ่งใหญ่

เป็นอย่าง ดูไบ ..เป็นอย่าง อ.เฉลิมชัย ..เป็นอย่าง Steve Jobs

เอาเลย !!

ทำไมคนไทยสร้าง Brand ไม่เป็น


ทำไมคนไทยสร้าง Brand ไม่เป็น ...??

คุณลองไปดูประเทศที่เจริญเขาจะมี Brand ระดับโลก ..เช่น Hermes 

เรามาดูซิว่า Hermes ที่หลายๆ คนต้องก้มลงกราบ เขามีวิธีคิดอย่างไร ?

ยี่ห้อ Hermes เขาไม่ผลิต Mass ทุกชิ้น Handmade ซึ่งก็ไม่ต่างจากสินค้า OTOP ของบ้านเราที่ผมการันตีว่า Handmade ชัวร์ๆ แล้ว Original ด้วย เพราะคุณป้าแก่ๆ ชาวบ้านทำกับมือจากแหล่งกำเนิดเลย

คือพูดง่ายๆ ว่า หนังจรเข้ Hermes ยังไม่ Original เหมือน OTOP เพราะ หนังจรเข้จอง Hermes เขาเลี้ยงที่สมุทรปราการ ไม่ใช่ฟาร์มในยุโรปอย่างที่หลายคนเข้าใจ

เรื่องราคาไม่ต้องพูดถึง "มหาโคตรๆๆ แพง"

อีกอย่างที่เด็ด คือ ลูกค้าไม่มีเงินและไม่รวยเขาไม่ขาย ..ใช่!! เหมือนที่ อ.เฉลิมชัย บอก คือ พวกคนรวยยังไงก็ไม่มีมาร้อนเงินเร่ขายให้ราคาตก ดังนั้น เลือกขายให้คนเหล่านี้จะทำให้สินค้าราคามีแต่ขึ้น

อีกอย่างคือ ลูกค้าเหล่านี้ดูแลกระเป๋าอย่างดี เอากระเป๋าไปสปา ..เวลาฝนตกก็เอาตัวบัง ..แล้วถ้าเด็ดกว่านั้น Hermes ควรจะทำหลักสูตร วิธีการดูกระเป๋าว่าแท้ ดูยังไง และสอนวิธีการดูแลหนัง !! 

ที่เด็ดกว่านั้น คือ "ไม่สอนฟรี ..ลูกค้าต้องจ่ายเงินเรียน"

การขาย จ้างพนักงานที่กวนตีนนิดๆ สอนให้มันดูถูกลูกค้า แล้วทำสินค้าให้ของหมด 

ดังนั้น Brand เหล่านี้ไม่มีต้นทุนจม ไม่มีต้นทุน Stock สินค้า และ ไม่มีสินค้าตกยุค เพราะ ผลิตหลังจากลูกค้ามารอคิว

ที่เล่ามาคือ The Art of New Generation Branding !!! 

กระเป๋า Hermes คิดได้ ..อ.เฉลิมชัย ก็คิดได้ แล้วทำไม นักการตลาดคิดไม่ได้วะ

ถ้าไปถาม Hermes เรื่อง "Product/ Price /Place /Promotion ..โอ้ย !! ล้าสมัยแล้วไอ้หนู" !!!!

ลูกค้าต้องจ่ายเงินเพื่อรู้จักและดูแลสินค้าเรา ..ราคาแพงนรกแตก ..ไม่เคยต้อง Stock ของ.. ไม่เคยต้องโฆษณา เพราะลูกค้ารักมากกว่าตัวเขาเองอีก "เอาตัวบัง เวลาฝนตก"

ถามจริงๆ เราเรียนรู้อะไรจาก Branding ขั้นเทพเหล่านี้บ้าง ?

ดูไบ กับ อ.เฉลิมชัย กินกันไม่ลง

"ดูไบ กับ อ.เฉลิมชัย ..ผมว่ากินกันไม่ลง"

ดูไบ เปลี่ยนที่ดินทะเลทรายให้เป็นทองคำ โดยการสร้าง Landmark แล้วก็สร้าง Infrastructure มารองรับ ความเจริญ จากนั้น ขายที่ดินให้นักพัฒนาที่รวย ..จากนั้น ดูไบ ก็รุ่งเรือง "เปลี่ยนขยะ เป็นทอง ...โคตรฉลาด"

อ.เฉลิมชัย เลือกวัดเก่าๆ ชื่อว่าวัดร่องขุ่น สร้างงานศิลปะอลังการระดับโลกใส่เข้าไป ทำวัดร่องขุ่นให้กลายเป็น Landmark คราวนี้นักท่องเที่ยวก็มาจากทุกมุมโลก ..เปลี่ยรพื้นที่ชุมชนรอบๆวัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นทอง.. อาจารย์เลือกขายงานศิลปะให้คนรวย เพราะรู้ว่ายังไงคนรวยก็จะไม่ขายงานแกในราคาถูก ดังนั้น ภาพเขียนและงานศิลปะของอาจารย์มีแต่จะราคาขึ้น -- ด้วยความเข้าใจในสิ่งที่ดูไบเข้าใจ ..เข้าใจเหมือนที่ Hermes เข้าใจ ..ทำให้ อ.เฉลิมชัย เป็นศิลปินไม่กี่คนในโลกที่ผลงานมีราคาแพงตั้งแต่ตัวเองยังมีชีวิต

ผมว่ารัฐบาลไทย น่าศึกษา การสร้าง Landmark และการบริหาร Asset ให้ราคาสูงขึ้น รวมทั้งเรียนการ Branding จาก อ.เฉลิมชัย นะ ....ประเทศไทยจะได้รวยขึ้น !!

ดูไบ ไปไกลนอกโลก

หลายครั้งผมพยายามคิดว่า "อะไรคือการคิดนอกกรอบ" ...ไม่เห็นหรือว่า อ่านหนังสือหรือฟังสัมมนาที่ไหน เขาก็จะบอกให้เรา "คิดนอกกรอบซิ!!"

ก็ถูกนะ !! แต่ เคยถามไหมว่า "คิดยังไงวะนอกกรอบ" ...

วันนึงผมเปิดมาดูสารคดีของ ดูไบ ..เขาเล่าว่าไม่กี่สิบปีก่อน ดูไบ ยังเป็นเมืองประมงเล็กๆ จนๆ ทะเลทรายไม่มีอะไรเลย ..ก็มีน้ำมันที่ใกล้จะหมด แล้วก็มีเรือประมงกับทะเลทราย

ผมมานั่งนึกว่า ผู้นำเขาใช้อะไรคิดน่ะ ที่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนที่ดินทะเลทรายที่เดิมไร้ค่า ให้กลายเป็นทอง (ที่ดินสมัยก่อนของดูไบ ไม่มีค่าเลย เป็นแค่ทะเลทราย ไม่มีน้ำ ไม่มีความเจริญ แต่วันนี้ทุกตารางนิ้วของดูไบ แพงกว่าทอง)

ถ้าจะตั้งชื่อเรื่องดูไบ ผมจะให้ชื่อว่า "ตำนานการเปลี่ยนขยะเป็นทอง : เปลี่ยนที่ดินทะเลทรายไร้ค่า ให้แพงกว่าทอง"

เฮ้ย !! ผมนึกถึง ทุ่งกุราร้องไห้ของฮีสาน หรือ ที่ดินแห้งแล้งในภาคอีสานที่ปลูกอะไรไม่ได้ ผมว่ามันยังแห้งแล้งไม่เท่าดูไบ น่าจะยกให้ ชิคอัลมัคตุ้ม (นายกดูไบ) ให้เขาเปลี่ยนเป็นทองให้

พูดเล่น ผมประชด จริงๆ เราทำเองก็ได้ แค่เรียนรู้จากดูไบก็จบแล้ว ...หลักการ "เปลี่ยนขยะเป็นทอง"

ความสำเร็จของดูไบ ก็คือ "คิดนอกกรอบ" ก็คือ ทำในสิ่งที่คนคิดว่าเป็นไม่ได้ เช่น สร้างโรงแรมที่หรูที่สุดในโลกกลางทะเลทราย ..สร้างทะเลสาบ และ สนามกอล์ฟกลางทะเลทราย ..เอาขยะมาถมทะเลสร้างโลกจำลอง แล้วขายให้เศรษฐีในราคาโคตรแพง -- แก่นของดูไบ ก็คือ Mission Impossible : Out Of The Box ..ซึ่งจริงๆ ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย เพราะเทคโนโลยี การปลูกพืชกลางทะเลทราย ระบบน้ำหยด อิสราเอลคิดได้เป็นชาติแล้ว ..หรือ เปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด บริษัทคนไทยวันนี้ทำได้สบาย 

พูดง่ายๆ ดูไบแค่ กล้าเอาเทคโนโลยีเหล่านี้มารวมกัน เปลี่ยนทะเลทรายกลายเป็น Landmark ..แค่นี้ก็ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก มาจ่ายเงินให้ดูไบ

แค่คิดนอกกรอบเท่านั้นแหละที่ประเทศไทยต้องการ ...เมืองไทยเราก็มี Landmark แต่เราไม่ศึกษากัน ก็วัดร่องขุ่นไง ..คราวหน้าจะมาคุยกันว่า ดูไบ กับ อ.เฉลิมชัย ก็คิดไม่ต่างกัน !!



ปัญหาของทายาทธุรกิจ

คุณรู้ไหมว่า ผมได้เรียนรู้อะไรในการเป็นโค๊ซ ให้ทายาทธุรกิจของบัวหลวง ในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา

หลายคนคงนึกว่า "ผมเป็นอาจารย์" แล้วจะได้ความรู้อะไรจาก "นักเรียน"

จริงๆ คุณทราบไหมว่า ทุกครั้งที่อาจารย์สอน ..อาจารย์ก็เรียนไปด้วย แต่เป็นการเรียน ที่อยู่คนละจุดกับนักเรียน ...หลายครั้งที่ผมเรียกนักเรียนขึ้นมาบนเวที แล้วถามว่า

"ตอนนั้งที่เก้าอี้แล้วฟังผม ...เทียบกับเวลานี้ น้องขึ้นมาจับไมค์บนเวที แล้วมีสายตาอีกเป็นร้อยๆ คู่ ที่จ้องมองน้องด้วยความตั้งใจ ...ความรู้สึกมันแตกต่างกันอย่างไร ?"

"โอ้โห!! มันตื่นเต้นมากครับพี่" (ส่วนใหญ่คนที่ผมเรียกขึ้นมาบนเวที โดยเฉพาะเวทีที่ใหญ่ คนนั้นจะตื่นเต้นและค่อนข้างสั่น)

คุณรู้ไหมว่า ผมทำแบบนั้นเพื่ออะไร ?

(ภาววิทย์ มันทำแบบนั้น ทำไมวะ ...มันย่างสด คนฟังชัดๆ)

จริงๆ ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดเลย ...สาเหตที่ผมทำแบบนั้น คือ ผมอยากท้าทายการเรียนรู้ของคนไทย อยากท้าทายสิ่งที่นักเรียนเคยเรียนๆ กันมา

ผมเองตั้งแต่เด็กจนโต เป็นคนที่กลัวเวทีเป็นชีวิตจิตใจ ..ในห้องเรียนผมไม่เคยกล้ายกมือถามอาจารย์เลย ..เรื่องพูดหน้าชั้นไม่ต้องถาม โคตรกลัว เกลียดสุดๆ -- คุณรู้แบบนี้คงแปลกใจว่า ทำไมวันนี้ผมกล้าพูดกับคนเป็นพันๆ คน ..เดี๋ยวนี้ คนจะให้ไมค์ผม ต้องคิดหนัก เพราะกลัวผมไม่คืนไมค์ ...555

โอเค ที่ผมเล่าเรื่องนี้ เพราะ อยากจะแชร์ความรู้สึกของ "ทายาทธุรกิจ" ที่วันนี้ได้รับกิจการมาจากพ่อแม่ ..ซึ่งสิ่งที่เขากลัวเหมือนๆ กัน ก็คือ "เขากลัวว่าจะทำธุรกิจพ่อแม่พัง" ...แต่รู้หรือไม่ว่า "ยิ่งกลัว ยิ่งพัง" ...ทายาทธุรกิจที่รับกิจการด้วยความกลัว มันเหมือนการันตีความเจ๊ง ของกิจการพ่อแม่แบบ 100% ...คุณคิดดูนะ ...พวกทายาทธุรกิจที่กลัว เขาจะไม่กล้าคิดนอกกรอบ ไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ...ยิ่งโลกปัจจุบันที่เข้าสู่ยุค Nokia Effect ที่ต้องการวิธีคิดนอกกรอบ ยิ่งทำให้ธุรกิจเขาไม่สามารถปรับตัว ทำสิ่งเดิมๆ และ รอวันเจ๊งแบบ Nokia นั่นเอง

ทางแก้ คือ อะไร ?

ทางแก้ง่ายมาก "ขึ้นมาบนเวทีซิ" ...ที่ผมเรียก นักเรียนขึ้นมา เพราะ ต้องการให้เขา ลุกออกมาจาก Comfort Zone ให้มาเรียนรู้ว่า "การกล้าที่จะออกมาจากจุดที่เราคิดว่าปลอดภัย มันไม่ได้ยาก แถมมันเปิดโลกทัศน์ให้เราเห็นอะไรที่เราไม่เคยเห็น"

คนที่เก่ง ก็คือ คนที่ลุกออกมาจาก Comfort Zone ของตัวเองตลอดเวลา ...ทำให้เขามีความกล้า รู้กว้าง รู้ลึก เข้าใจโลก

นี่แหละปัญหา ทายาทธุรกิจ "ยิ่งกลัว ยิ่งแย่"

..."จงกล้า!!" ...มา ไอ้น้อง ขึ้นมายืนบนเวทีกับพี่ !!

โอกาสผมเริ่มที่นี่เองแหละ

คนส่วนใหญ่มักคิดว่า คนที่จะรวย ต้องมีบ้านรวย ต้องมีนามสกุลดัง ต้องหน้าดี ต้องการศึกษาสูง ต้อง... ๆ ๆ ๆ ...คือ ผมบอกเลย คนเหล่านี้ มีแต่คำว่า "ต้องนุ่น ต้องนี่" เพราะ คนเหล่านี้จริงๆ เขาแค่ต้องการหา "ข้ออ้าง" ที่จะไม่ให้ตัวเอง ต้องเหนื่อยเพื่อที่จะประสบความสำเร็จก็แค่นั้นเอง

ใช่!! การประสบความสำเร็จในอะไรสักเรื่อง มันต้องเหนื่อยครับ ...ไม่มีหรอกครับ อยู่ดีๆ หัวหน้าจะเดินมาแล้ว "อ้าว!! ผมจะแต่งตั้ง คนโง่ และ ขี้เกียจ แต่เผอิญพ่อคุณรวย ให้มานั่งตำแหน่ง CEO ...เพราะ ถ้าทำเช่นนั้น บริษัทที่แม้จะก่อตั้งโดยพ่อของคนนั้น ก็คงเจ๊งในอีกไม่นาน"

เรามักจะหมั่นไส้ คนรวยบางคน ที่ประสบความสำเร็จแบบค้างฟ้า คือ มันไม่เจ๊งสักที ไม่เห็นเหมือนคน    ถูกล็อดเตอรี่เลยที่ ส่วนใหญ่กลับไปจนเหมือนเดิม ...ไอ้พวกคนรวยเหล่านี้ ทำไมมันไม่ยอมกลับไปจนสักทีน้าา ...รอดูอยู่

รอเท่าไหร่ ..คนรวยเหล่านี้ ยิ่งรวยขึ้น ประสบความสำเร็จขึ้น ....แปลกไหม?

ดาราบางคนเป็นเด็กเส้น ผู้ใหญ่ดันทุกทาง พยายามปั้น ...แต่มันดังได้แป๊บเดียว แล้วก็วูบ ...ต่างกับดาราบางคนที่ ดังแล้วดังอีก ..ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

หรือ นักร้องบางคน ออกเทปแล้ว ก็ดังแล้วดังอีก ดังเรื่อยๆ ...

"คุณว่าคนเหล่านี้ ที่ประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า ..ประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ดังขึ้นเรื่อยๆ ..รวยขึ้นเรื่อยๆ -- เขามีอะไรที่เหมือนกัน ?" ..และมันต่างจาก คนที่ถูกหวย อย่างไร ?

ใช่ !! Self-Made Process ไง ...ขั้นตอนการสร้างตัว ด้วยตัวเอง ...

"ผมจะเล่าให้ฟัง" -- เรื่องนี้ผมได้เรียนรู้กับตัวเอง ...สมัยเด็กผมนึกว่า บ้านผมมีเงิน คงจะช่วยให้ผมประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ..ความคิดนี้ ทำให้ช่วงชีวิตในวัยเด็กผมโคตรชิว จนมาวันนึงที่ผมได้ใบปริญญาเกียรตินิยมมาจากธรรมศาสตร์ ...ผมก็รู้สึก ฮึกเหิม ว่า "ตัวผมนี่แน่ !! ...เดี๋ยวจะโชว์ให้โลกนี้เห็นว่า กรูนี่แน่ !!"

ผมจัดแจง แพ๊คกระเป๋า เดินทางไปออสเตรเลีย ...เพื่อผจญโลกกว้าง

จากนั้น อีก 4 ปี ผมล้มไม่เป็นท่า เงินทางบ้านที่ขอไปเป็นทุนเปิดร้านอาหารและขยายออกไปถึง 5 สาขา รวมทั้งโรงงานกระจกที่ผมหมายมั่นจะปั้น Innovation สู่อุตสาหกรรมกระจก ...เละไม่เป็นท่า !! ..วิกฤตเศรษฐกิจ ..ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้า ทั้งธุรกิจและชีวิตส่วนตัว !!

วันนั้นผมได้รู้จักคำนึง แบบรู้จักจริงๆ คือ "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" ..มันเป็นเยี่ยงนี้เอง

ก็คงไม่ต่างกับหลายๆ คนที่เจอมรสุมชีวิตในแบบเดียวกับผม ที่พอถึงวันนั้น ...คุณจะยอมจำนน ต่อ ชะตาชีวิต หรือ คุณจะสู้ต่อ?

ผมว่า คนที่ประสบความสำเร็จ หรือ คนเก่ง ที่อยู่ยาว อยู่นาน ...ก็มีจุดเริ่มต้นคล้ายๆ กัน คือ จุดที่ผมพูดถึงนั่นแหละ !!

จุดต่ำสุด !!!  ...ที่คุณได้รู้จัก "ตัวเอง" ...จุดที่คุณรู้ว่า "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" มันคืออะไรจริงๆ ...จุดที่ EGO ของคุณ ไม่หลงเหลืออีกแล้ว ...จุดที่คนที่รอสมน้ำหน้าคุณ เขามองความล้มเหลวของคุณด้วยความสะใจ

...จุดนั้นแหละ ที่ "โอกาส" ผมเริ่มขึ้น

โหดนะชีวิต ...แต่ความสำเร็จ เริ่มจากจุดล้มเหลวนั่นแหละ

 ใครเจอแล้ว แปลว่า คุณมาถูกทางแล้วล่ะ !! ...เหลือแค่ ปาดน้ำตาออกไป ลุกขึ้นมา ...แล้วมึงก็สู้อีกครั้งซิ !!

โลกนี้ไม่มีใครช่วยเราหรอก ...มีแต่มึง เท่านั้น ที่กำหนดชีวิตของมึงเอง

มึงต้องสู้ !!



กลัวไม่สำเร็จ ทำไงอ่ะ


"กลัวไม่สำเร็จ ทำไงอ่ะ !!"

อันนี้เป็นคำพูดของนักศึกษารุ่นใหม่ ..ที่เก่งรอบด้าน เกิดมาในยุคเครือข่าย Connected World ..มีข้อมูลและความรู้ครบครัน และฟรีจาก Internet และ ก็กลัวไม่สำเร็จ "ทำไงอ่ะ!!"

ครับ!! ช่วงนี้หลายๆ มหาวิทยาลัย เชิญผมไปพูดให้นักศึกษาเขาฟัง ปีนี้เริ่มเดินสายตั้งแต่ เกษตร ..ไปมช. ..มา มข. ...คือ เท่าที่ซาวน์เสียงน้องๆ จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "หนูกลัวไม่สำเร็จอ่ะพี่ ช่วยแนะนำพวกหนูหน่อย!!"

"พี่เข้าใจ ..เพราะ พี่ก็เคยมีความรู็สึกแบบนั้นไม่ต่างกัน" ...มา !! มาหาวิธีแก้ไข

ก่อนอื่น ต้องเข้าใจก่อนว่า การกลัวไม่สำเร็จจะส่งผลดังนี้

1. เมื่อเรากลัวไม่สำเร็จ เราจะพยายามหา Know How วิธีการสำเร็จ หนึ่ง สอง สาม ซึ่งเป็นวิธีการท่องจำ และ ทำตาม คนที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งการันตีว่า "มันใช้ไม่ได้กับเรา" ...เฮ้ย!! จริงๆ ...น้องไม่เห็นหรือว่า Bill Gates มีคนเดียว ..Mark Zuckerberg ก็มีคนเดียว ... Steve Jobs ก็มีคนเดียว ...อ.เฉลิมชัย ก็มีคนเดียว ...อยากให้รู้เอาไว้ว่า ความสำเร็จคนอื่นมันเป็นแค่แรงบันดาลใจ แต่ความสำเร็จของเรา เราต้องหาเส้นทางของเราเอง

2. เมื่อกลัวไม่สำเร็จ จะไม่กล้าคิดนอกกรอบ ...เลยต้องหาอะไรในกรอบเพิ่มขึ้น เช่น เรียนปริญญาอีกใบ เพื่อที่จะได้แน่ใจว่า เราสามารถคิดในกรอบ ท่องจำ ทำตาม องค์ความรู้เดิมๆ ที่การันตีว่า มีคนรู้เยอะแล้ว มีคนทำมากแล้ว ..ซึ่งการันตีว่า ความรู้เหล่านี้เรียนมาเพื่อเป็นลูกจ้าง เรียนมาเป็นลูกน้อง ...ไม่คิดหรือว่า ถ้าความรู้นี้ทำให้เราสำเร็จได้ ไอ้คนสอนควรจะโคตรๆๆๆ สำเร็จแล้วดิ ???

โอเค !! เครียดอ่ะดิ เพราะ ผมรู้ว่า น้องๆ กำลังเดินสายนั้น นั่นแหละ ...สายที่คิดเหมือนคนอื่น ทำเหมือนคนอื่น  แล้วหวังว่า ผลลัพธ์จะแตกต่าง -- "มโนโคตร ๆ"

ถ้าเราคิดเหมือนคนอื่น เรียนเหมือนคนอื่น ทำเหมือนคนอื่น ก็จะได้ผลลัพธ์คือ เหมือนคนอื่นไง !! ... จน / แป๊ก / ไม่รุ่ง / ไม่ดัง / ไม่รวย / ไม่มีโอกาส / ไม่มีความแตกต่าง / เป็นอีกคนธรรมดา ที่บอกว่าโลกนี้ไม่มีโอกาส ไม่มีจุดยืนให้ฉัน

ฮึม!! ก็เพราะฉันไม่เคยหาจุดยืนให้ตัวเองไงล่ะ ...

ทางแก้ คือ "เลิกกลัวไม่สำเร็จ" ...ถ้าก้าวผ่านความกลัวไม่ได้ ก็ไม่กล้าทำนอกกรอบ ...

"กระโดดออกจากกรอบ ที่สร้างจากความกลัวของคุณซะ"

ลองดูซิ ...เริ่มจากสักอย่างเล็กๆ

เริ่มทำอะไรเล็กๆ ที่คิดว่า เราไม่น่าจะทำได้

 ... ออกจากกล่อง !! -- ไป !!!

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

เรื่องของ หัวหมา กับ หางราชสีห์


"ทำไมคนเก่ง ยิ่งขยันกว่าคนไม่เก่ง" ... "ทำไมคนรวย ยิ่งทำงานหนักกว่าคนจน"

"ทำไมนักกีฬาที่เป็นแชมป์ ซ้อมหนักกว่านักกีฬาทั่วไป" ..."ทำไมมืออาชีพ ยิ่งฝึกหนักกว่าคนทั่วไป"

ใช่!! มันเหมือน คนได้เปรียบ ยิ่งพยายามสร้างความได้เปรียบของตัวเองให้มากขึ้น ...นี่เป็นเหตุผลที่เราเห็น คนสองคน ที่จริงๆ แล้วความสามารถไม่ได้แตกต่างกันมากตอนเริ่มต้น ..แต่พอคนนึงสามารถแซงอีกคนได้ เขาก็จะพยายามหนักขึ้น เพื่อให้สุดท้ายเขาชนะอีกคนอย่างขาดลอย

เรื่องนี้แปลกมาก แต่มันเป็นความจริง ...ลองสังเกตซิครับ ว่า "มนุษย์ทุกคนไม่มีใครโง่ ..ถ้าเรารู้ว่าเราไม่มีโอกาสชนะ เราจะยิ่งขี้เกียจ ...แต่ถ้าเรารู้ว่าเรามีโอกาสชนะ เราจะยิ่งขยันเข้าไปอีก"

ดังนั้น อยากเก่ง ...ต้องเริ่มจากการ ทดลองแข่งในสนามเล็กๆ ก่อน

ค่อยๆ เริ่มจากชัยชนะเล็กๆ ในสนามเล็กๆ จากนั้นเราจะมีความมั่นใจเพื่อก้าวต่อไปในสนามที่ใหญ่ขึ้น ..ใหญ่ขึ้น และ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

เหมือนเด็กนักเรียนที่เรียนอ่อน เพราะ เขาไม่คิดว่า เขาจะชนะเพื่อนที่เก่งกว่าได้ ..แต่วันใดก็ตามที่เด็กคนนั้นได้มีโอกาสแก้ตัวในสนามใหม่ ที่เขามองว่า เขาไม่ด้อยกว่าเพื่อนคนอื่น ...วันนั้นคือ วันที่เขาจะกล้าเก่ง (ใช่!! กล้าที่จะเก่ง) -- กล้าปลดศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่

"การเป็นหัวหมา บางครั้งอาจจะดีกว่าการเป็นหางราชสีห์ !!"

ผมว่าโลกนี้มีจุดยืนให้กับทุกคน ...แต่คุณต้องกล้าที่จะเริ่ม จริงไหม ?

ดังข้ามคืน ดับข้ามคืน ..รวยข้ามคืน จนข้ามคืน !!

ทุกวันนี้การทำธุรกิจมันยากขึ้นเรื่อยๆ ...ถ้าสังเกตให้ดี ทุกอย่างมาไว ไปไว มากๆ
หลายสินค้า ดังชั่วข้ามคืน จากนั้น ก็ดับชั่วข้ามคืน

หลายคนอาจจะเห็นร้านอาหาร ร้านขนม ที่สร้างความฮือฮา ในเวลารวดเร็จ แล้วก็หายไป !!

"เจ๊งครับ !!" ...แปลกใจไหมครับว่า ทำไมหลายๆ ธุรกิจ ดังและดับรวดเร็ว ...คุณทราบไหมว่าเพราะอะไร ?

เรื่องที่ผมพูดเป็นทั้ง "โอกาส และ กับดัก" ในเวลาเดียวกัน ...เพราะ การดังชั่วข้ามคืน สำเร็จชั่วข้ามคืน เป็นสิ่งที่คนยุคนี้ต้องการมากที่สุด ...แต่ !!

แต่เขาลืมไปว่า "ดังชั่วข้ามคืน รวยชั่วข้ามคืน สำเร็จชั่วข้ามคืน" มันมีต้นทุน คือ "แล้วคุณจะรักษามันอย่างไร ?" ...ส่วนมากก็รักษา ความสำเร็จไว้ไม่ได้ กลายเป็นตกอับ เจ๊ง และ หายไป

ทางแก้ คือ การเข้าใจความเสี่ยงที่ตามมาพร้อมความสำเร็จ

ยกตัวอย่าง ถ้าโรงงานผลิตสินค้าดังชั่วข้ามคืน จะมีปัญหาเรื่องพยายามเร่งการผลิต สุดท้ายมันวิ่งมาถึงจุดที่ ผลิตเยอะมาก แต่สุดท้าย ความต้องการลูกค้าหายไปทันที ...สินค้าที่สร้างเป็นแค่แฟชั่น -- ในที่สุดโรงงานก็เต็มไปด้วย Stock ที่ขายไม่ได้ และ ล้มละลายในเวลาต่อมา

- ดาราที่ดังชั่วข้ามคืน ไม่สามารถ Manage ความยั่งยืน เพราะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ที่ดังเพราะอะไร ?

- คนที่ได้หุ้นเด็ด แล้วรวยชั่วข้ามคืน สุดท้ายก็กลับมาหาหุ้นเด็ดตัวต่อไป แล้วก็เจ๊งในที่สุด ...แปลกไหม ?

ครับ !! ฝากโจทย์นี้ให้ทุกคนได้คิด ...คำตอบนี้จริงๆ เป็นเรื่องของเส้นผมบังภูเขา ..การรักษาความสำเร็จให้ยั่งยืน มีขั้นตอนดังนี้

1. เข้าใจที่มาของความสำเร็จ ...ต้องตอบให้ได้ว่า เรามายืนในจุดนี้ เพราะอะไร ...ให้ทำต่อไป
2. การเตรียมพบกับ อุปสรรคที่กำลังเข้ามา ...เพราะ ทุกเส้นทางมีบททดสอบ
3. ไม่ยึดติดความสำเร็จเดิม ...ปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่สำเร็จเร็ว คือ อยู่กับความกลัว และ นั่นคือกรงขังให้ไม่สามารถไปต่อ
4. ไม่พยายามปรับตัวเองสู่การมุ่งทำในสิ่งที่รัก ...อันนี้คือ การเปลี่ยน นิยามใหม่ ของงานที่ทำ เพื่อให้เรามีความสุข และ ทำสิ่งที่รัก เพื่อสร้างความสำเร็จในระยะยาว

ยากไหม ? ...ถ้าง่าย ก็ไม่ท้าทายซิ

...สู้ต่อไป !!

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558

เรื่องนี้ คนรวย ไม่บอกคุณ

เรื่อง "ภาษี" เป็นเรื่องนึงที่เศรษฐีสอนลูกเขา แต่ไม่สอนลูกคุณ 

ไม่แฟร์ !!

ฮึม!! โลกนี้มีอะไรแฟร์ครับหากไม่ขวนขวาย -- แต่ไม่เป็นไร ผมบอกคุณเอง

เรื่องภาษีส่วนใหญ่ทุกประเทศ รวมถึงไทยด้วย ออกแบบมาเก็บคนจน ดังนั้น เราต้องรู้สิ่งที่เกิดขึ้น

อย่างภาษีหลักๆ ภาษีเงินได้ เก็บจากรายได้ แต่คุณก็รู้ว่าคนรวยเขาไม่ได้ ได้รายได้จากเงินเดือน (เจ้าของกิจการส่วนใหญ่ จ่ายเงินเดือนตัวเองต่ำกว่าลูกจ้าง หรือผู้บริหาร เพราะจ่ายเยอะก็เสียภาษีซิ ..โง่ตาย!!) 

เจ้าของบริษัท หรือ คนรวย ในโลก -- ไม่มีใครรวยจากรายได้ Income ..ส่วนใหญ่รวยจาก Asset ทั้งนั้น

ใช่!! คนรวยเขาเปลี่ยนเงินเขาเป็น Asset แล้วถือแทน ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งขึ้น ..แล้วถ้าเจ้าของเข้าใจ Money Game ก็เปลี่ยน Asset เป็น "เครื่องผลิตเงิน" แล้วเอาเข้า IPO ในตลาดหุ้น ...คราวนี้ขายบริษัทก็ไม่ถือเป็นเงินได้ ไม่ต้องจ่ายภาษี เพราะ เจ้าของบริษัทในตลาดหุ้น ในทางกฎหมายเขาก็คือ "รายย่อย"

"นักลงทุนรายย่อย" กำไรจากหุ้นไม่ต้องเสียภาษี ..แต่คนใช้ประโยชน์และเข้าใจตรงนี้มีแต่คนรวย ..รายย่อยแค่เป็นเม่าซื้อๆขายๆไปวันๆ .. ในขณะที่เศรษฐีเล่มเกมใหญ่ ใช้เกมนี้ดันราคาภาพใหญ่ สิบปีสิบเด้ง !! 

ค่อยๆ ศึกษา Money Game แล้ววันนึง คุณก็จะเป็น รายใหญ่ได้ ..เริ่มที่ความรู้ อย่าไปคิดว่า เป็นเกมคนรวย -- เพราะจริงๆ คนรวยก็คือ คนที่หาความได้เปรียบจากความรู้

 (คนรวยน่ะ ก็เคยเป็นคนจนมาก่อน หรือ ไม่ก็พ่อแม่เขาจนมาก่อน)

ก็คนส่วนใหญ่ดันไม่รู้ไง และ ก็ไม่อยากรู้  ...อย่ามาบ่นว่าทำไมฉันไม่รวย

"ขอโทษนะขอพูดแรงหน่อย -- ก็มึงโง่ไง" ..แล้วโง่แล้วก็ไม่รู้จักหาความรู้ ..ศึกษาซิครับ เปลี่ยนชีวิตตัวเองซิครับ ไม่มีอัศวันม้าขาวมาช่วยหากเราไม่ช่วยตัวเอง

มาเรียนกับเราซิ !! ...มารู้จักหุ้น รู้จัก Asset รู้จัก Money Game

"ของฟรีไม่มีในโลก ของง่ายๆก็คือของห่วย -- 'คนรวยเขาตอบได้ว่าจ่ายเงินอย่างไรให้รวยขึ้น และ ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ'

 ..คุณต้องมีสติ แล้วเลือกสิ่งที่ดีให้ตัวเอง" 

...ขอให้สู้ ขวนขวาย แล้วคุณก็จะสร้างตัวด้วยตัวเองได้ !!

มืออาชีพ เริ่มจากมือสมัครเล่น

หลายคนอยากเก่ง อยากเป็นมืออาชีพ!! ...

ทำไงล่ะ ?

ง่ายมาก ก็เริ่มจากเป็นมือสมัครเล่นซิ ..ปัจจุบัน Information Age เป็นยุคที่ Learning by Doing ทำง่ายมาก เพราะ เวทีและห้องสมุด ในการเรียนรู้คือ Internet

มีคนถามว่า ผมเป็นนักเขียนที่เขียนใน Topic ที่หลากหลาย เอาความรู้มาจากไหน ? ..โอโห !! จะบอกว่า Internet น่ะเยอะมาก แต่คนส่วนใหญ่ใช้ไม่เป็น !!

วิธีการเรียนจาก Internet คือ "การอ่านบทความแล้วเอามาเขียนใหม่ในคำพูดของเราเอง" 

-- สิ่งที่สำคัญคือ "การเขียนใหม่ด้วยภาษาเราเอง นี่แหละ บททดสอบว่า เราเข้าใจสิ่งที่อ่าน เข้าใจที่เรียนจริงๆ รึเปล่า"

ใช่!! ยุค Sharing Economy คนคิดผิดว่าแค่แชร์แล้วเราจะดี ..ผิดเลย (แค่กดแชร์ มันไม่ได้เรียนอะไรเลย) 

..คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดในยุค Sharing Economy คือ คนที่แชร์ด้วยคำพูดและภาษาที่เขาเข้าใจ -- นี่คือ จุดกำเนิดของหลัก "ยิ่งให้ ยิ่งได้"

เราเรียนรู้เพราะเรา แชร์ความรู้ ด้วยความเข้าใจของเรา ..เขียนใหม่ด้วยคำพูดง่ายๆ ที่เราเข้าใจ

นี่แหละ การสร้างองค์ความรู้ใหม่ เพราะจริงๆ ในโลกนี้ไม่มีอะไรใหม่ เพียงแต่บางอย่างมันยังไม่มีใครถ่ายทอดได้ง่ายพอที่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจได้ 

ยกตัวอย่าง ..ผมเองก็ไม่ได้สร้างอะไรใหม่ เพียงแต่ผมทำเรื่องการลงทุนที่เข้าใจยากให้คนมากมายเข้าใจได้ ผมก็เลยได้รับการยอมรับด้านหุ้น ด้านการลงทุน

ลองดูซิครับ ...เริ่มจากเป็นนักเขียนสมัครเล่นแบบผม ..ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเก่งเอง มืออาชีพเอง ..โอกาสวิ่งเข้ามาเอง -- นี่มันเคล็ดลับความสำเร็จของกลยุทธ์ ยิ่งให้ ยิ่งได้ ในยุค Sharing Economy เลยนะ 

..ทันสมัยโคตรๆ 

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

คุณว่าวันนี้เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี ..ตอบยังไง คุณได้แบบนั้น โคตรแปลก

ช่วงนี้หลายๆ นิตยสารมาสัมภาษณ์ผม อยากรู้ว่า ผมมองเศรษฐกิจอย่างไร จะได้เอาข้อมูลไปต่อยอด ขายมุมมอง ทิศทาง ต่อไป

จริงๆ เรื่องนี้แปลก "คุณมองไปรอบๆตัวซิ บางคนทำเงินมากขึ้น แต่บางคนทำเงินน้อยลง" 

...ถ้าคุณไปถามคนที่ทำเงินน้อยลง หรือ ถามบริษัทที่รายได้ลดลง เขาก็จะบอกว่าเศรษฐกิจแย่ ไม่มีอนาคต เขาจะลดค่าใช้จ่าย ลงทุนน้อย และ หลังจากนั้น คนๆนั้น หรือ บริษัทนั้นจะแย่ลงไปเรื่อยๆ กลายเป็นบริษัท Nokia คือ เจ๊งในที่สุด

..ถ้าไปถามคนหรือบริษัทที่ทำเงินได้มากขึ้น ขายดีขึ้น เขาก็จะบอกว่า เศรษฐกิจดีจะตาย ..บริษัทเหล่านี้จะลงทุนเพิ่ม จ้างคนเก่งเพิ่ม ออกสินค้าที่โดนใจตลาดเพิ่ม -- หลังจากนั้นบริษัทนี้ก็จะดีขึ้นไปอีก คล้ายๆ Apple ..สินค้าโคตรแพง แต่คนแย่งกันซื้อในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ 

-- ถ้าไปถาม Apple ตรงๆ เขาก็คงจะตอบแบบกวนๆว่า "บริษัทผมมันอยู่คนละมิติกับบริษัทคุณ ..คนละลีกส์ ไอ้น้อง!!"

ความแตกต่าง คือ ในทุกๆสภาวะ คนนึงจะเห็นวิกฤต "นี่คือ คนจะจน" ..อีกคนนึงจะเห็นโอกาส "นี่คือ คนจะรวย"

หลังจากที่ผมเข้าใจวิธีคิดอันนี้ ตัวผมเองทำรายได้เพิ่มทุกปี ทำสิ่งใหม่ๆ ทุกปี ลงทุนในตัวเอง อ่านหนังสือ เข้าสัมมนามากขึ้นทุกปี ..

แปลกไหม !! มันไม่ได้อยู่ที่เศรษฐกิจ แต่มันอยู่ที่ตัวเราต่างหาก

"ที่คุณยังไม่เห็น เพราะคุณปิด Mindset ไม่กล้ามอง ..ขั้นแรกของการไปสู่ สิ่งที่ผมพูดก็คือ ความกล้า!!"

คุณกล้าไหม ? ...กล้าอะไร -- กล้าเดินไป SE-ED แล้วหาหนังสือดีๆมาอ่าน ..กล้าจ่ายเงินในสัมมนาที่ดีๆ 

ยกตัวอย่างหน่อย ..ฮึม!! ที่ผมจัดไง แพงแต่ดี ผม Premium ..ฮ่า ฮ่า -- ก็ว่ากันไป ตามนั้น !!

คุณคิดว่า ของฟรี มีในโลกไหม ?

"ถ้าคุณตอบว่า ของฟรี มีในโลก ..คุณคิดแบบคนจน"

"ถ้าคุณตอบว่า ของฟรี ไม่มีในโลก ..คุณคิดแบบคนรวย"

เพราะอะไร ?

เพราะมนุษย์มีเวลาในโลกไม่แตกต่าง ความสามารถของคนเราก็ไม่แตกต่างกันมาก ..แต่ที่แตกต่างแบบโคตรๆ คือ "มุมมอง หรือ ฝรั่งเรียกว่า Mindset"

คนที่คิดว่าของฟรีมีในโลกจะ ใช้เวลาและชีวิตของเขามองหา "ของฟรี" พยายามหาของถูก ของแถม ของลดราคา ซึ่งของที่ว่ามาส่วนมากคือ "ขยะ" เพราะทุกอย่างที่พูดมามันเป็นแรงจูงใจให้เรายอมซื้อของที่ไม่ได้ดีจริง 

"ขยะ ล่อซื้อขยะ" 

อยากได้ของแถม ได้แต่ขยะ -- หาแต่ของฟรี เสียเวลาหาขยะ -- ชอบหาความรู้ฟรีๆ ได้แต่ความรู้ขยะ หรือ ชวนคุณซื้อแชร์ลูกโซ่ ขยะ !! -- อ่านหนังสือแตก อ่านเอกสารแจก โฆษณาขายของทั้งนั้น ..ขยะ!!

ถ้าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ลองหาสิ่งที่ดีต่อชีวิตจริงๆ อย่าหาของฟรี มันมีแต่ขยะ ..ให้เลือกใช้เงินซื้อสิ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น

เศรษฐีไม่เคยคิดเรื่องเก็บเงินอย่างไรให้รวย แต่เขาอยู่ในโลกของ "ใช้เงินอย่างไรให้รวยขึ้น"

จ่ายให้รวย ...นี่คือ จุดเริ่ม Mindset ของคนที่กำลังจะรวยและเป็นเศรษฐีคนต่อไป

ซื้อลงทุนคอนโดแต่ราคาไม่ขึ้น

วันนี้หลายๆ คนพยายามเป็นนักลงทุน แต่ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ศึกษาจริงจัง ก็โดดเข้าไปเลย

อย่างคอนโดวันนี้หลายๆ คนกะว่าซื้อๆไว้ลงทุน เพราะตอนนี้กู้ง่าย ..ประมาณว่าซื้อๆไว้ก่อน เดี๋ยวค่อยปล่อยเช่า

แต่เอาเข้าจริง ปล่อยเช่าไม่ได้ ต้องส่งทั้งเงินกู้  จ่ายค่าส่วนกลางเอง แถมราคาก็ไม่ขึ้น ...ปัญหานี้คุ้นๆไหม -- นี่คือปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่อยากลงทุนคอนโดแบบซื้อตามกระแส ซื้อตามอารมณ์ 

ผมจะบอกว่าวันนี้ยังมีคอนโดบางทำเล ที่ราคาขึ้นต่อเนื่อง ปล่อยเช่าง่าย ...แต่ไม่ใช่คอนโดที่คนส่วนใหญ่ซื้อ ..แปลกไหม?

ใช่!! เหมือน ตลาดหุ้นเลย ..คนส่วนใหญ่ซื้อแต่หุ้นปั่น ทั้งที่หุ้นดีมีมากมายแต่ไม่เลือก

ผมอยากเตือนให้คนที่กำลังจะลงทุนว่า ศึกษาดีหรือยัง ? 

ลองตอบคำถามนี้ สำหรับคอนโด

1. คุณซื้อเพื่ออะไร ? -- อันนี้จะรู้ว่าเราจะเอาเงินที่ซื้อจากอะไร (Source of Capital)
2. เดินทางสะดวกไหม ใกล้อะไร ? -- อันนี้จะตอบว่ามีคนเช่าไหม (Cash-flow From Investment)
3. ทำเลที่ซื้อ มีจำนวนจำกัดไหม ? -- อันนี้จะตอบว่าอนาคตราคาจะขึ้นไหม (Capital Gain Potential)

ลองวางแผนคิด แล้วชีวิตจะเปลี่ยนครับ

กาแฟเซเว่น เกมนี้โหดมันส์ฮา

 
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกระฉูด สวนทางรายได้ของคนระดับกลางและล่าง ที่วันนี้ทำมาหากินฝืดเคือง

"เมื่อรายได้ฝืด กลยุทธ์ราคา ก็จะถูกงัดมาใช้กับทุกธุรกิจ ..คนได้เปรียบใน Price War ก็คือ รายใหญ่ เพราะสายป่านยาวกว่า"

วิธีการใช้สงครามราคาของรายใหญ่วันนี้คือ ถูกและดี ..จบไหม? แล้วคุณจะแข่งยังไง ถ้าคู่แข่ง ขายของถูกและดี แถมเงินหนา ..ถ้าจะให้โหดกว่านั้น ซื้อกาแฟ ลุ้นรับ รถเบนซ์ ก็จะเข้ากับนิสัยคนไทยมาก

ผมว่าการต่อสู้ เราต้องเรียนรู้จาก The Begining of Starbucks ศึกษาจุดกำเนิดร้านกาแฟ Starbucks ตอนสมัยเป็นร้านกาแฟเล็กๆในซีแอตเติล

ใช่!! ทุกธุรกิจใหญ่ เคยเล็กมาก่อน แต่คนส่วนใหญ่ไม่เคยศึกษาว่าเขาสร้างจากเล็กไปใหญ่อย่างไร ?

7-11 กำลังเข้าสู่ธุรกิจกาแฟ เขาเริ่มจากกาแฟชุมชน ตามสูตรป่าล้อมเมืองในอดีต ..คุณว่ารายเล็กจะอยู่ยังไง ?

ถ้าผมขายกาแฟวันนี้ ผมต้องกลับมาที่ "จุดยืน" ตกลงคุณมีอะไรบ้าง 

สมมุติ กาแฟผมปลูกเอง หรือ ปลูกโดยชาวบ้านที่เป็นหมู่บ้านกาแฟ มีความเขี่ยวชาญในกาแฟสายพันธ์ใหม่ ผมคั่วกาแฟเอง..การชงทำแบบดั้งเดิมแท้ๆของคอกาแฟจริงๆ ..หมู่บ้านแห่งนี้ สร้างคนชง กาแฟที่เชี่ยวชาญและรักในการทำกาแฟอย่างมาก .."ผมกำลังจะสร้างเรื่องราวขึ้นมา!"

รายเล็กจะไม่ชนะรายใหญ่ในเรื่องราคา แต่เราสู้ได้ในความพิถีพิถัน Passion ความใส่ใจในสิ่งที่ทำ ..เรื่องราวของเราคือตำนาน "กาแฟฉันดีที่สุด ด้วยคนชงที่ใส่ใจที่สุด และ โคตร Premium" 

เรื่องที่ผมเล่าคือ จุดกำเนิดของ Starbucks กาแฟที่โคตรแพง ...เขาสร้างจาก Passion ในกาแฟ และ จุดยืนที่ชัดเจน

เราควรเรียนรู้การเปลี่ยน Passion เป็น Brand ระดับโลก -- นี่คือสิ่งที่คนตัวเล็กต้องศึกษา!!

อยากรวยพันล้านกันบ้างไหม ?


วันนี้กระแสนึงที่ "แรงรวยเร็ว" ก็คือ พวก IT แต่ยุคนี้ต่างจาก Bubble Dot com รอบก่อนตรงที่วันนี้ บริษัท IT เหล่านี้สร้างรายได้จริง แถมโตเร็ว และ เข้ามาแย่งเม็ดเงินจากหลายๆ อุตสาหกรรม ..ทำให้นักลงทุนยอมจ่ายเงินลงทุนในธุรกิจเหล่านี้แพงมาก

ถ้าในตลาดเราจะดูว่านักลงทุนให้ค่าธุรกิจอะไรแพง ให้ดูที่ P/E คือ ดูว่านักลงทุนยอมซื้อกี่เท่าของกำไร ..วันนี้หลายๆ บริษัท นักลงทุนยอมซื้อเป็นร้อยเท่า คือ P/E 100 *

แปลว่า "สมมุติธุรกิจนี้กำไร 100 ล้านต่อปี นักลงทุนยอมจ่ายที่ 10,000 ล้าน ..พูดง่ายๆ ว่าถ้าบริษัทนั้นๆ รายได้ไม่โต แล้วได้แค่ กำไร 100 ล้านทุกปี ..ก็จะใช้เวลา 100 ปี ที่นักลงทุนจะได้ทุนคืน"

ใช่!! วันนี้โลกของเรากำลังเข้าสู่ภาวะ เงินฝืดในคนจน แต่เงินเฟ้อในคนรวยและนักลงทุน ..เป็นภาวะที่คนมองธุรกิจขาด จะรวยแบบกระโดด และคนพลาดก็เจ๊งได้ง่ายๆ 

ผมว่าจากจุดนี้ไป เราจะต้องสู้กันใน สงครามเศรษฐกิจฟองสบู่ -- The Art of Bubble  !!

ผมกับหยง "ทีม Freedom Trader ที่จุดกระแสเทรดเดอร์รุ่นใหม่เมื่อหลายปีก่อน" กำลังซุ่มเขียนหนังสือเล่มนึง ที่พูดในเรื่องนี้ ..ผมว่ายุคนี้วิกฤตคือโอกาสของคนที่ Self-Made และเปิดใจเรียนรู้

แล้วผมจะแชร์มุมมองเรื่อยๆในภาวะแบบนี้ การเอาตัวให้รอดในภาวะ Bubble คือ ต้องศึกษา งบการเงินให้เข้าใจว่าหุ้นไหนถูกแพง ..แล้วเอาเทคนิคมาหาจังหวะ -- นั่นแหละความเร็วและความมันส์ แบบสุดโหดในตลาดเวลานี้ !!

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

ทำไมเราไม่ถูกสอนให้คิด

ผมมักจะชอบคิดอะไรแปลกๆ ถามอะไรแปลกๆ

 .."คุณสงสัยไหมว่า ทำไมเด็กไทยมักจะไม่ถูกสอนให้คิด แต่มักจะให้เรียนแบบ ท่องจำ&ทำตาม"

"ก็เพราะมันง่ายกว่าครับ" ..ถ้าอยากรู้ว่าเด็กคนนี้โตขึ้นจะเป็นคนคิดเก่งไหม ต้องดูการฝึกตั้งคำถามของเขา

คนที่มักตั้งคำตอบว่า นี่อะไร นั่นอะไร อยากรู้อยากเห็น คือถาม What ? ..อะไร ขอฉันดูหน่อย ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่ต้องคิดต่อยอด

ลองเปลี่ยนคำถาม ให้ถาม Why? กับทุกสิ่งที่อยู่รอบๆตัว เช่น ทำไมเราติดหุ้น ? แล้วลองตอบดู ..นี่แหละ ฝึกคิดให้เรา "คิดเป็น"

ฝึกดู มันช่วยเปลี่ยนทั้งชีวิตเราได้เลยครับ

การพัฒนาตัวเองสำคัญยังไงในยุคนี้

ผมว่า คนรุ่นใหม่วันนี้ถือว่าโชคดีที่เกิดมาในยุคนี้
เพราะ ถ้าคุณเกิดก่อนหน้านี้ "คนจน แทบจะไม่สามารถ ยกระดับตัวเองเป็นคนรวยได้เลย"

ลองนึกภาพสมัยก่อน ที่มีแค่ "คนชั้นสูง" (เจ้านาย) และ ก็มี "คนชั้นล่าง" ... คนชั้นล่างก็ทำงานเป็นแรงงาน เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ และก็จ่ายภาษีบนที่ดินที่ตัวเองทำมาหากิน -- คนชั้นสูง ก็เก็บค่าที่ "รวย และ โคตรชิว!!"

ใช่!! ในยุคนั้น ไม่ต้องทะเยอทะยาน เพราะ โอกาสไม่มีให้คนจน !!

แต่ยุคนี้เปลี่ยนไป ...โลกเปิดโอกาสให้คนมีความสามารถ ขึ้นมาเป็นคนชั้นสูงได้

วันนี้ร้องเพลงขึ้นคลิ๊ป YouTube อาจดังขึ้นมาเป็นดาราชั่วข้ามคืน หรือ เขียน Facebook แล้วคนชอบ อาจดังขึ้นมาเป็น ภาววิทย์ บ้าง..55 -- จะบอกว่า ยุคนี้ทุกคนมีโอกาสไง เพียงแต่ต้องลุกขึ้นมาทำไง

สิ่งสำคัญที่สุดในยุคนี้ คือ "การพัฒนาตัวเอง" ...การเรียนในระบบ ผมว่ามันช่วยให้เราเปลี่ยนสถานะ จากคนจน เป็นคนชั้นกลาง แต่การเรียนในระบบไม่ได้ให้ความรู้ที่ให้เราเป็นเศรษฐี

ความรู้ที่ให้เราเปลี่ยนจาก "คนชั้นกลาง" เป็น "เศรษฐี" ก็คือ Street Smart Knowledge ...ความรู้ จากประสบการณ์จริง บนโลกจริงๆ ในปัจจุบัน -- จะเห็นว่า วันนี้มี คอร์สอบรม สัมมนา หนังสือ เพื่อพัฒนาตัวเอง มากมาย เกิดขึ้นเยอะมากๆ ...นั่นแหละ ตัวสะท้อนให้เห็นช่องว่างในการศึกษาที่มันยังเปิดอยู่

การมีความทะเยอทะยานที่จะยกฐานะตัวเอง เป็นส่วนหนึ่ง ...แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ "ความรู้"

คุณอ่านหนังสือ และ เรียนจากประสบการณ์จริง เพียงพอหรือยัง ?

...อย่าท้อ ผมว่า ยุคนี้ว่ายาก แต่มันก็เปิดโอกาสให้ทุกคนยกฐานะตัวเองได้ ถ้าเราเอาจริง !!!

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

Low Profile High Profit โบราณไปป่ะ

วันนี้ไปเจอหนังสือเล่มนึง ที่ผมว่า เขียนได้ In-trend มากๆ ..มันเป็นแนวคิดสำหรับ คนรุ่นใหม่ที่อยาก Self-made "คนรุ่นใหม่ที่สร้างตัวด้วยตัวเอง" ต้องหยุดฟัง

ตัวผมเองอยู่ในโลกของ Self-Develop People คือ พวกมนุษย์ที่ชอบพัฒนาตัวเองเป็นชีวิตจิตใจ ..ผมมักจะพยายามค้นหาว่า คนรุ่นใหม่ต้องคิดและทำอย่างไรจึงจะมีที่ยืนในสังคม 

เคยคุยกับผู้ใหญ่หลายท่าน เขาบอกว่า "ภาววิทย์ คุณมัน High Profile ไปรึเปล่า ระวังโดนสอยนะ เพราะสังคมไทยเขาชอบคน Low Profile ..ก็คนไทยมีนิสัยชอบนินทา ขี้อิจฉา ใครได้ดีกว่าฉัน ตานี่ร้อยเลย อิจฉา!!"

พออ่านหนังสือเล่มนี้ถึงบางอ้อเลย ..ใช่!! มัน Confirm สิ่งที่ผมคิดว่า ยุคนี้ ชื่อเสียงนั่นแหละหาเงิน และดึงดูดโอกาส -- เราอยู่ในยุคที่ใครๆก็เก่ง ดังนั้น เก่งเงียบๆมันไปไม่ได้ไกล ..แต่สิ่งสำคัญคือ การรักษา Reputation ชื่อเสียงเราดีๆ เพราะ มันเป็น Asset ของคนรุ่นใหม่ที่สำคัญที่สุด

ถ้ามองให้ดี โลกเราวันนี้มันเป็นยุคที่ คนเราสามารถ Self-made ได้ง่ายที่สุด ยกระดับตัวเองได้เร็วที่สุด เพียงมีความรู้ถูกต้อง และ ชัดเจน มุ่งมั่น ก็สำเร็จได้ไม่ยาก

ก็อยากให้กำลังใจชาว Self-made ว่า อ่านหนังสือให้เยอะ พัฒนาตัวเองให้มาก แล้วจงเชื่อว่าสิ่งนี้ต้องสร้างก่อนเงิน ..เมื่อเรียนรู้แล้วขอให้แบ่งปัน แชร์สิ่งนั้นให้เพื่อนๆ เราได้รู้บ้าง

ใช่!! ยุคนี้ คนที่ได้รับโอกาส คือ คนที่แชร์โอกาสให้คนอื่น นั่นก็คือ การมอบสิ่งดีๆ ให้วิธีคิดของคนอื่นดีขึ้น

"ผู้ให้" ได้เปรียบสุดๆ อย่าหยุดที่จะแบ่งปันครับ

ใจกว้างเลย รวยสุด สำเร็จสุด 

..แปลกนะ ที่ยุคนี้คนดี ได้ดีกว่าคนเลว ..สุดๆ เลย

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2558

ตลาดหุ้นไม่ได้วัดความสำเร็จจากเงิน

คนส่วนใหญ่ยังคงมองภาพตลาดหุ้นในมุมแคบๆ ว่าเป็น บ่อนที่ถูกกฏหมาย

ถามหน่อย ถ้าตลาดเป็นบ่อน คุณก็ควรจะต้องซื้อขายเร็วๆ ถึงจะรวย แต่สถิติจริงของคนรวยหุ้นกลับตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะคนที่รวยมากๆ จากตลาดหุ้นกลับเป็น เจ้าของหุ้นที่รวยเป็นร้อยๆเด้งจากการถือหุ้นของตัวเอง

หลายคนมักจะบอกว่าก็ผมไม่ใช่เจ้าของนี่ ถึงจะทนถือได้ แล้วรวยเป็นร้อยๆเท่าจากการถือเฉยๆ

ตลกนะ!! จริงๆ ใครๆก็รวยเป็นร้อยๆเท่า หากคุณทนรวยแบบเจ้าของ ..ความสำเร็จมันอยู่ที่วิธิคิด

"คิดแบบเจ้าของหุ้นซิ แล้วคุณก็จะรวยเป็นร้อยๆเท่าเหมือนเจ้าของ" ..ไม่ต้องรวยเท่าเจ้าของเหล่านั้นหรอก เอาแค่เรารวยเป็นร้อยเท่าจากเงินเรา ก็รวยพอแล้ว !!

วิธีคิด ..ไม่ใช่เงิน 

แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีคิด ..เงินจะวิ่งเข้ามาเอง !!

ความยุติธรรมในโลกนี้


คุณว่าความยุติธรรมบนโลกนี้อยู่ที่ไหน คนรวยยิ่งรวยขึ้น โอกาสมากมาย แต่คนจนกลับยิ่งจน และไม่มีโอกาส !!

ครับ!! ผมก็เคยคิดแบบนั้น ..ช่วงที่ผมทำธุรกิจร้านอาหารในต่างประเทศ ผมก็อิจฉาคนทำธุรกิจอื่นๆ เพราะร้านอาหารไม่มีวันหยุด วันที่คนอื่นหยุดเรายิ่งต้องเปิดเพราะร้านจะยุ่ง อย่างเทศกาลต่างๆ ที่คนส่วนใหญ่เขาอยู่กันแบบครอบครัว ผมกลับต้องทำงาน ..แถมต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะค่าเช่าขึ้นทุกปี ข้าวของเนื้อผักราคาขึ้นตลอด จะขึ้นราคาก็ไม่ได้เพราะคู่แข่งเยอะ แข่งกันลดราคา เฉือนเนื้อตัวเองแย่งลูกค้ากัน

ใช่!! "เวลานั้น ผมว่า โลกมันไม่แฟร์เลย ผมทำงานหนักกว่าคนอื่นๆ แต่ผมกลับไม่รวย"

คุณรู้ไหมว่า วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมแต่ก่อนผมไม่สำเร็จ ทั้งๆที่ขยันและมุ่งมั่น ...ใช่!! ผมดันทำธุรกิจที่มัน Me-too เหมือนคนอื่น ..Red Ocean ใครๆ ก็เปิดแข่งง่ายๆ ไม่มีความได้เปรียบ -- ธุรกิจแบบนี้ขยันเท่าไหร่ก็ไม่รวยครับ --- "ผมด่าตัวเองเลยว่า ไอ้ที่เอ๊งยังไม่สำเร็จทั้งๆที่ขยัน ไม่ใช่เพราะดวงไม่ดี แต่มึงแม่งโง่ไง เสือกไปทำธุรกิจเหมือนคนอื่น"

หลังจากที่ผมล้มเหลวธุรกิจในครั้งนั้น ผมสัญญากับตัวเองเลยว่า ผมต้องติสแตก ผมต้องแตกต่าง ผมต้องมีจุดยืนของตัวเองที่ผมเลือกเอง และ ผมต้องเป็น"ผู้นำ"ในสิ่งที่ผมเลือกทำ

นี่แหละจุดกำเนิดของ คำว่า "ดีที่สุดในจุดที่ยืน"

คนโชคดี มีโอกาส ก็คือคนที่เป็นตัวของตัวเอง เลือกงานที่เหมาะกับเราจริงๆ ไม่ตามใคร ไม่เอาเงินเป็นที่ตั้ง เอาที่ Passion และอธิบายความเป็นตัวตนเรา

สุดท้ายเงินตามมาเอง ..."วันนี้ผมโคตรโชคดี เพราะผมเลือกงานที่อธิบายความเป็นตัวตน ยิ่งทำยิ่งชัดเจนในจุดยืน ยิ่งทำยิ่งเป็น ผู้นำ!!"

ภาววิทย์ คือ "ครูในตลาดหุ้น" ..ผู้ที่อยากเปลี่ยนชีวิตคนให้ดีขึ้น รวยขึ้น สำเร็จขึ้น  -- นั่นแหละภารกิจของผม 

"เป็นครู!!"

"อยากเริ่มคิดต่าง คิดสร้างสรรค์" มันต้องเริ่มอย่างไร

เมื่อวานรายการ EconbiZ วิทยุ 96.5 ที่ผมจัดกับคุณ จิระ ทุกวันศุกร์สี่โมงเย็น ..มีน้องๆ นักศึกษามาเยี่ยมดูงาน

พี่จิระ เลยให้น้องๆ มา On-Air สดๆ คุย กับภาววิทย์

น้องๆ ถามว่า "หนูอยากมีความคิดสร้างสรรค์ อยากคิดนอกกรอบ ..มันต้องเริ่มอย่างไร"

ภาววิทย์ : "ยากโคตรน้อง !! ..เพราะ ตั้งแต่เรียนมา เราถูกสอนให้ ท่องจำและทำตาม ตลอดชีวิต ..การจะคิดนอกกรอบจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเด็กไทย

ทางแก้ คือ

ให้ดูว่าเราอยากทำอะไร ...เช่น ถ้าอยากเป็นลูกจ้าง ให้ไปลองทำธุรกิจส่วนตัวหรือลองทำงานไม่ประจำสักพักกอ่นจะไปเป็นลูกจ้าง หรือ อยากทำธุรกิจส่วนตัว ให้ลองไปเป็นลูกจ้างก่อน แล้วค่อยออกไปธุรกิจส่วนตัวหลังจากนั้น -- พูดง่ายๆ คือ ขั้นแรกของความคิดนอกกรอบ ก็การกระโดดออกจาก Comfort Zone นั่นเอง"

ลองดู

วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีการมีความสุขแบบง่ายๆ จริงๆ


"วันนี้คนรุ่นใหม่ไม่มีความสุข เพราะอะไรรู้ไหม ? ..ก็เพราะคนส่วนใหญ่เอาความสุขไปฝากไว้กับคนอื่น ไปผูกกับคนอื่น

คนเหล่านี้คิดว่าทำเพื่อคนอื่น แต่จริงๆไม่ใช่ คุณคือ "ภาระ"
ของคนที่คุณเอาความสุขไปผูก และ คุณก็คือ"แรงกดดัน"ของคนที่คุณเอาความสุขไปผูก

นั่นแหละ คุณถึงไม่เคยมีความสุข เพราะ จริงๆคุณทำตัวเป็นทั้ง "ภาระและความกดดัน" ของคนที่คุณคิดว่าคุณรักเขา"

โคตรแปลก !! ..โลกนี้ คิดดีๆ ซิ

แก้จนให้ชาวนา ทำอย่างไร ?


ถ้าจะแก้ปัญหาชาวนา และชาวไร่ ไม่ให้จน ...ไม่ใช่ไปประกันราคา หรือ ไปจำนำราคา (ผิดทุกรัฐบาล)

 ..แต่ต้องให้การศึกษาเขาเรื่อง Demand & Supply

"ข้าว และ ยางพารา" ที่ราคาถูก เพราะ Supply ผลผลิต มันมากกว่า Demand ความต้องการ ...ยิ่งไปประกันราคา หรือ จำนำราคา คนยิ่งผลิตเพิ่ม Supply ราคาก็ยิ่งลง ...บ้า!! ไปเรียน เศรษฐศาสตร์ใหม่เถอะ !!!

การแก้ปัญหาคือ สอนเรื่อง Demand & Supply ให้ชาวบ้านรู้เรื่อง (หลักการเบื้องต้น : อะไรผลิตมาก แต่คนต้องการน้อย ยิ่งทำยิ่งจน / ต้องทำสิ่งที่คนต้องมากๆ แต่มีคนปลูกน้อยๆ อันนี้ยิ่งปลูกยิ่งรวย)

...ส่วนอยากจะให้สินค้าอะไรดี ไปเพิ่ม Demand ซิ ...โจทย์คือ ทำอย่างไร ให้คนกินข้าวเพิ่ม ...ทำอย่างไร จะใช้ยางเพิ่ม

ต้องมาช่วยกันคิดว่า จะแปรรูป ข้าวเป็นอะไร ให้ได้ Value Added ให้ขายได้ราคา ..เก็บได้นานๆ ไม่ใช่แบบปัจจุบัน เกี่ยวข้าวเสร็จต้องขายเลย ถ้าไม่ขายเน่า โรงสีก็กดราคา -- ยุคนี้ใครมี ไซโล ก็รวย
 ..โดยกดราคาเพราะชาวนาไม่มีที่เก็บ

ถ้าแบบนี้ทำไมให้ชาวนารวมตัวเป็นบริษัท ให้กู้สร้างที่เก็บ ให้กู้ซื้อเครื่องจักรแปลรูป ...เอาข้าวไปทำเป็นสินค้าที่ราคาแพง ...เอาข้าวไปทำ Corn Flake ซิ ฝรั่งจะได้กิน มีประโยชน์กว่า

โอกาสเยอะแยะ ...หากเราคิดจะช่วยคนจนจริงๆ 

"ผู้มีอำนาจ เขาอยากช่วยชาวนา ชาวไร่ กันจริงหรือเปล่า เรื่องนี้น่าถาม" ?

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2558

คอร์สหุ้นที่ผมสอน ...สอนเอง ..ดียังไง ?

http://www.stock2morrow.com/course/courses_list.php?id=1

คอร์สหุ้นที่ผมสอน ...สอนเอง ..ดียังไง ?  : ดีเพราะ ผมไม่สอนให้ท่องจำ แต่สอนให้ "คิด"  และ หาจุดยืนให้ตัวเองให้ได้ ในตลาดที่โหดที่สุด ในเรื่องเงิน ก็คือตลาดหุ้น !! (ครั้งสุดท้ายที่เราได้คิด ก็คือ โรงเรียนอนุบาล เพราะ หลังจากอนุบาล ระบบโรงเรียน และ มหาวิทยาลัย สอนเราให้ ท่องจำและทำตามทั้งหมด)

..ความรู้จริงและวิธีคิดที่สอนในคอร์สนี้ ก็คือ สิ่งที่กลั่นออกมาจากประสบการณ์จริง ที่อาจารย์อยากจะให้ลูกศิษย์ !!

สำรองที่นั่งเดือน มีนา และ เมษา ได้แล้วครับ !! -- คอร์ส "Basic of Investment (Stock Market) : B01- B02" สอนโดย ผมเอง ทั้งหมด

ปูพื้นฐานการลงทุนในหุ้น วิธีการเอาตัวรอด เข้าใจตลาด เข้าใจตัวเอง และ เข้าใจคู่แข่ง -- กองทุน รายย่อย รายใหญ่ สถาบัน และ ฝรั่ง "รู้เขารู้เรา ในตลาดหุ้น"

คอร์สนี้เหมาะสำหรับมือใหม่ หรือ มือเก่าที่เจ๊งแล้วอยากเปลี่ยนตัวเอง ..ที่ต้องการปูพื้นฐาน ตั้งแต่ Mindset ให้เข้าใจว่าทำอย่างไรไม่เจ๊ง ทำอย่างไรให้ดีที่สุดในจุดที่ยืนในตลาด รวยให้ได้ด้วยตัวเอง ..ฝึกอ่านงบการเงินเบื้องต้น ให้เข้าใจ Fundamental ..จากนั้นฝึกการใช้กราฟหุ้นให้เข้าใจจังหวะในการซื้อขายที่ดี Technical Analysis

คอร์สนี้ผมสอน 2 วันเต็ม ปูความรู้จาก Basic จนใช้งานจริง ทั้งการลงทุนระยะยาวและระยะสั้น ..ถ้าใครสนใจก็เข้ามาดูรายละเอียดวันเวลาที่จัดและค่าใช้จ่ายของคอร์สครับ

 ..ครั้งหน้าเหลือ 40 ที่นั่ง วันที่ 21-22 มีนาคม ในจะเรียนคอร์สนี้รีบคลิ๊กสำรองที่นั่งครับ ..ส่วนเดือนเมษา ยังมีที่ว่าง วันที่ 25-26 เมษา ก็สำรองที่นั่งล่วงหน้าได้เช่นกัน

คลิ๊กดูรายละเอียด และ จอง ที่นี่ครับ
http://www.stock2morrow.com/course/courses_list.php?id=1

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558

เปลี่ยนเกมการแข่งขันให้เราได้เปรียบซิ

"ใครว่าเป็นนักธุรกิจยาก ..หากเทียบนักกีฬา เกมธุรกิจเล่นง่ายกว่าเยอะ -- เล่นแล้วรวยอีก!!" 

..คิดดูนะ ถ้าเราเล่นกีฬาอะไรก็ตาม ก็ต้องเล่นตามกฏ เล่นเกมเดียวกับคนอื่น ..โคตรยาก

 -- ให้นั่งคิดว่า ทำอย่างไรจะเก่งกว่าคนอื่นในเกมการแข่งขันเหมือนกัน ..เซ็งอ่ะ บอกตรงๆ เราไม่ใช่ Superman จะได้เก่งกว่าคนอื่นทุกอย่าง 

...แต่สำหรับนักธุรกิจแล้ว การจะชนะธุรกิจอื่นๆ ก็เปลี่ยนกติกาดิ ให้คนอื่นมาเล่นในเกมของเรากติกาของเรา ชิวกว่าไหม เช่น คนอื่นพยายามลดต้นทุน ขายของให้ถูก แต่เราอาจจะทำตรงข้าม คือ ทำสินค้าเราด้วยวัสดุที่ดีที่สุด และขายแพงสุดๆ

 ...หรือ คนอื่นๆ อาจขายสินค้าแบบเอาใจลูกค้าสุดๆ แต่กระเป๋า Hermes ขายแจ๋วกว่านั้น ขายโดยดูถูกลูกค้า ด้วยวิธีนี้โดนใจคนเอเชีย แต่ฝรั่งเขาไม่ชอบ

 ..ใช่!! สร้างเกม สร้างกติกาเอง แค่นี้ก็ได้เปรียบแล้ว 

..ไม่ต้องคิดแข่งใครหรอก คิดแบบดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน เท่ห์กว่า !!

#คิดแบบภาววิทย์ : หนังสือ คิดแบบภาววิทย์ กระตุกต่อมคิด ตีลังกาคิด และ หาโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ที่กล้าคิด ...จัด !!

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ