แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หุ้นลงเพราะข่าวร้าย ทำไมไม่น่ากลัว

หลายคนสงสัยว่า ตลาดหุ้นผันผวนสุดๆ ทำไมนักลงทุนระยะยาวถึงแทบไม่เคยดูราคาหุ้นขึ้นลงรายวันเลย ?

"บ้าหรือ เงินแกว่งขึ้นลงเป็น แสน เป็นล้าน ทำไมดูเฉยๆ"

ที่เขาดูเฉยๆ เพราะเขามองหุ้นในคนละ มิติกับคุณไง 

คนส่วนใหญ่อาจมองหุ้นใน มิติของ "ราคา" แล้วมองการขึ้นลงเป็นความรวยหรือจนที่ขึ้นๆลงๆตลอดเวลา

แต่คนที่มอง มิติของ"มูลค่า" บางครั้งเขามองแค่ปันผล และพยายามซื้อหุ้นนั้นในข่าวร้าย จากนั้นก็พยายามถือให้นานที่สุด -- ภาวะแบบนี้ในมุมของเจ้าของธุรกิจ อย่าง เจ้าสัวเจริญ เจ้าสัวธนินท์ ก็คือ "การทนรวย"

คุณไม่คิดเหรอว่า เวลาหุ้นลงในข่าวร้าย ..มันแปลว่าคนส่วนใหญ่แย่งกันขาย ราคาจึงลงแรง ..แปลอีกอย่างว่า มีกลุ่มคนอีกกลุ่มที่รอรับซื้อหุ้นจากคนเหล่านี้ ..ที่น่าสนใจกว่านั้น คือคนเหล่านี้มักเป็นรายใหญ่ !!

ครับ!! หุ้นลงในข่าวร้าย บางครั้งอาจเป็นโอกาสเพราะในวิกฤตมีบางคนที่เห็นโอกาส ..แต่ถ้าหุ้นลงในข่าวดี อันนี้แหละน่ากลัวจริง

เพราะมันมีบางคนพยายามหลอกคนส่วนใหญ่ โดยอาศัยข่าวดีหลอกให้คนส่วนใหญ่รับซื้อหุ้น!!

ทำไมเซียนหุ้น ไม่เคยถามรายย่อยว่าซื้อหุ้นอะไรดี

ทำไมเซียนหุ้น ไม่เคยถามรายย่อยว่าซื้อหุ้นอะไรดี ? ...เคยสงสัยไหมครับ

หลายคนอาจจะพูดว่า "ปัดโถ่ ก็เขาเป็นเซียนไง" ...แต่จริงๆไม่ใช่ -- คุณไม่คิดหรือว่า ไม่มีใครรู้อะไรมากกว่าคนอื่นในทุกๆเรื่อง

 คือมันต้องมีบางเรื่องที่เรารู้มากกว่าคนอื่นมากกว่าหนึ่งเรื่องเสมอ

ใช่!! การทำงานหรือทำบริษัท เราถึงต้องการทีมที่มีคนเก่งด้านต่างๆมาร่วมมือกัน

แปลกไหมล่ะ แล้วทำไมพอเป็นเรื่องหุ้น ทุกคนอยากจะมีผู้นำล่ะ !! ..คือ ทุกคนอยากจะเป็นผู้ตาม อยากถาม อยากหาหุ้นเด็ด

ก็อย่างที่บอก "ผู้นำ" ในทุกๆ อาชีพ รวมถึงตลาดหุ้น เขารวยทุกคน

"โจทย์ที่ผมอยากจะ ท้าทายความคิดคุณคือ คุณจะพัฒนาตัวเองเป็นผู้นำในตลาดหุ้นอย่างไร ? ..นั่นแหละเคล็ดลับเซียนหุ้น"

คนเหล่านี้ ไม่ได้ถูกทุกครั้ง มีได้ มีเสีย ...เขามีอะไรดีคุณตอบผมได้ไหม ?

ใครตอบได้ ผมขอต้อนรับ คุณเป็นเซียนหุ้นคนต่อไป !!!

ทำไมเศรษฐีพันล้าน มักเป็นนักอ่านตัวยง

เคยสังเกตไหมว่า ทำไมเวลาเราดูสัมภาษณ์ เศรษฐีพันล้าน หรือ คนที่สร้างตัวเอง ..เขาจะมีความคิดที่ไม่ธรรมดา 

คุณว่าคนเหล่านี้เขา เก่ง ก่อนจะมีพันล้าน หรือ เขามีพันแล้วจึงเก่ง ?

ใช่!! ตลกมาก ..คนส่วนใหญ่ไม่สนว่าตัวเองต้อง "เก่งก่อนมีพันล้าน" จึงพยายามจะมีพันล้านตั้งแต่ยังไม่เก่ง ..สรุปก็เลยไม่มีทางมีพันล้าน!!

คือ ผมจะบอกว่า คุณต้องแยก "ความเพ้อฝัน" ออกจาก "ความจริง" ..คุณไม่มีทางมีอะไรได้ นอกเสียว่า คุณพร้อมที่จะมี

"เมื่อไหร่เราถึงจะพร้อมเป็นคนรวย ?" ..

ใช่!! เราจะพร้อมก็ต่อเมื่อ

1. Mindset เราพร้อม 2. ความรู้เราพร้อม

สิ่งที่จะทำให้เรามีความพร้อม 2 อย่างนี้ ก็ต้องมาจากการฝึกฝน โดยการอ่านหนังสือ เพราะหนังสือ จะชี้แนะเป้าหมาย รวมทั้งให้วิธีการ

"คุณจะพร้อมรวย ก็ต่อเมื่อคุณตอบโจทย์ทั้งสองข้อนั่นเอง"

ความโชคดีจริงๆ มันพัฒนาได้จากการฝึกฝน ..คิดดีๆซิ !!

ผมเองพยายามอ่านหนังสือวันละเล่ม(แบบจับใจความ) ถ้าวันไหนไม่ได้อ่านผมจะคุยกับคน -- เป้าหมายคือ ทุกวันผมต้องมีความรู้ใหม่ๆอย่างน้อย 1 เรื่อง 

..แล้วคุณล่ะอ่านวันละกี่เล่ม เรียนรู้สิ่งใหม่ๆวันละกี่เรื่อง ?

คนรุ่นใหม่ ทำอะไรก็ไม่ง่าย

วันนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงของคนรุ่นใหม่ คือ "วิธีคิด" ..หลายคนพูดว่า ลุยไปเลยเดี๋ยวค่อยว่ากัน

จริงๆ เรื่องการลุยเลย มันไม่ได้ใช้ได้กับทุกคน แต่มันเหมาะกับคนที่มีความเป็น "ผู้นำ" เท่านั้น ..ทำไมน่ะหรือ ? -- ก็มีแต่เฉพาะผู้ที่มีความคิดแบบผู้นำเท่านั้น ที่จะสามารถเติบโตจากข้อผิดพลาด

ผู้ตามส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาด เลยล้มแล้วเข็ดขยาด ..เพราะเขาไม่คิดว่าความผิดพลาดเป็นของเขา ..คนเหล่านี้มักชี้นิ้วความผิดพลาดไปที่คนอื่น โดยหารู้ไม่ว่า คิดที่รับความผิดพลาด ก็คือ คนที่จะได้รับ "ความรู้แบบของจริง" ในเรื่องนั้นๆ

นี่แหละที่เราจะเห็นว่า "ผู้นำ" มันเกิดจากวิกฤต เกิดจากข้อผิดพลาด

ครั้งหน้าถ้าคุณ "ล้ม" ลองรับผิดชอบแบบ "ผู้นำ" แล้วลุกขึ้นยืนหลังจากนั้น ..คุณก็จะพบว่าสิ่งที่คุณเคยกลัวก่อนหน้านั้นมันเรื่องเด็กๆ

ฝึกดูซิครับ ..การเริ่มต้นแบบผู้นำ ไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิด !!

คนรุ่นใหม่สำคัญนะ คุณเข้าใจเขาหรือเปล่า ?

เด็กรุ่นใหม่เอาใจยาก ..ทำงานไม่ทน ..มองแต่งานง่ายๆ ..จะเอาแต่เงินเดือนสูง ๆ

ฮ่า ฮ่า ..สงสัยคนรุ่นใหม่เขาไปเรียนจาก Bill Gates ที่พูดว่า "ผมชอบให้คนขี้เกียจ ทำงานที่ยาก เพราะ คนขี้เกียจจะหาวิธีทำงานยากให้ง่ายที่สุด"

ผมมองต่างจากคนส่วนใหญ่ เพราะ ผมเองก็ถือว่าตัวเองเป็นคนรุ่นใหม่ Gen Y (แม้อายุผมจะเลยไปนิดก็ตาม ..55)

เดี๋ยวนี้ปัญหาหลักคือ ช่องว่าง Generation ที่มันวางอยู่คนละ "Mindset"

คุณทราบไหมว่า ทำไมคนเดี๋ยวนี้ คิดแบบนี้ คือ "ชอบทำงานง่าย/ เงินเยอะ /ไม่มองงานประจำเป็นความมั่นคง/ พยายามหา Passive Income ให้ตัวเอง ที่มาจากการลงทุน/ชอบมีอิสระ/..." -- ที่คนรุ่นใหม่คิดแบบนี้ เพราะ เขาเรียนรู้จากคนรุ่นก่อนว่า

บางคนทำงานหนักจนเกษียณ ทำงานที่ไม่ชอบทั้งชีวิต แต่สุดท้ายพอเกษียณกลับไม่เหลืออะไร ในขณะที่เจ้าของธุรกิจรวย

ใช่!! สิ่งที่ผมกำลังบอกคือ คนรุ่นใหม่เขาคิดต่าง และ ถ้าคนรุ่นก่อนไม่สามารถเข้าใจคนรุ่นใหม่ คุณก็จะไม่สามารถเอาเขามาเป็นลูกน้อง ไม่สามารถเอาคนรุ่นใหม่มาซื้อสินค้าคุณ ...สุดท้ายคุณก็จะเป็น Nokia ...เป็น Kodak  ..เป็นบริษัทที่เคยใหญ่

บริษัทหรือธุรกิจที่จะมีอนาคต คุณต้องทำธุรกิจกับคนรุ่นใหม่ ไม่ใช่ทำธุรกิจกับคนเกษียณ

ธุรกิจที่ทำกับคนรุ่นใหม่ Silicon Valley ไง ...Bill Gates , Mark Zuckerberg , Larry Pages , Elon Musk ...

การเข้าใจคนรุ่นใหม่ คือ ต้องเข้าใจความคิดและความต้องการของเขา ...ถ้าคุณเข้าใจ Mindset เขา คุณก็จะเข้าใจว่า จริงๆ คนรุ่นใหม่เขามีดีในแบบที่เรายังไม่เห็น

ทุกยุคทุกสมัย พ่อแม่มักจะมองว่า ลูกตัวเอง แหกคอก นอกลู่นอกทาง -- ผู้ใหญ่ทุกยุค มักมองวัยรุ่นว่าไม่เอาไหน ...แต่สุดท้ายวัยรุ่นเหล่านั้นก็โตเป็นผู้ใหญ่ แล้วโลกก็พัฒนาไปเรื่อยๆ (ผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพทุกคนก็เคยเป็นวัยรุ่นที่เคยถูกมองว่าคิดต่าง นอกคอก ไม่เอาไหนมาก่อน)

ในจุดอ่อน ของคนรุ่นใหม่ มีจุดแข็งอยู่ ...คุณเห็นหรือไม่ เพราะ นั่นแหละ โอกาส !!

วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เปลี่ยนองค์กรอย่างไร ในตำแหน่งกระจอกอย่างเรา

"ถ้าฉันเป็นนายก(เป็น CEO / เป็นผู้นำองค์กร) ฉันจะทำ ..ทำนุ่น ..ทำนี่ (พวกนี้พอเป็นจริงก็ทำอะไรไม่ได้.. คุณว่าทำไม)"

สาเหตุที่คนเหล่านี้ พอได้ตำแหน่งจริงๆ แล้วทำไม่ได้อย่างที่พูดเพราะ เขาเอาแต่พูด แต่ไม่เคยทำ .."จะทำนุ่น จะเปลี่ยนนั้น ..ถ้าเป็นนุ่น เป็นนี่" คือ มันมีข้อต่อรองเสมอ 

เฮ้ย!! มันง่ายมากถ้าคุณมีข้อต่อรอง ยกตัวอย่าง ถ้าให้เงินผมและให้ลูกน้องเก่งๆ ผมจะเปลี่ยน Nokia ให้ดู ..บอกตรงๆ ถ้ามีเงินและลูกน้องเก่งๆ ใครก็ทำได้ เปลี่ยนได้ จ้างใครก็ได้ ไม่เห็นต้องจ้างคุณ..จริงป่ะ ?

ถ้าเราเป็น "ผู้นำ" ที่แท้จริง มันต้องเริ่มเปลี่ยนองค์กรเลย ไม่ต้องมีตำแหน่ง ไม่ต้องมีข้ออ้าง ..อย่าเอาแต่ "ถ้า" ให้ ทำเลย

ทำไง ??

คุณดูดีๆนะ คนอย่าง เนลสัน แมนเดอลา หรือ มหาตมะ คานที ..เขาเป็นเป็นผู้นำตั้งแต่เขายังไม่มีตำแหน่ง ..เขาเริ่มทำตั้งแต่เขายังไม่มีอะไร ...ใช่!! "ผู้นำ" มันต้องเป็น ตั้งแต่ยังไม่มีตำแหน่ง -- เขาถึงได้ตำแหน่งในที่สุดไง !!

ผู้นำ ชั้นล่าง "Lead"(นำ) , ผู้นำชั้นสูง "Inspire" (บันดาลใจ) ...เริ่มสร้างแรงบันดาลใจเล็กๆ ให้ตัวเอง ให้คนรอบข้างทุกๆวัน ให้เราและเขามีพลังที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง

นี่แหละการเริ่มเป็นผู้นำ ..วันนี้เลย 

ทำเลย !! 

เมื่อไหร่เราจะเป็นผู้นำ เป็นหัวหน้า ซะที

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การเป็นผู้นำ คือ รอตำแหน่ง ..ทุกคนจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อเลื่อนตำแหน่ง  

จริงๆ แล้วหลายคนที่มีตำแหน่งใหญ่ๆ ไม่ได้มีความเป็นผู้นำเลย เพียงแต่เขาได้ใส่หัวโขนนั่งในตำแหน่งนั้นๆ เท่านั้น ..พอคนเหล่านี้ออกจากตำแหน่ง ก็ไม่มีใครสนใจเขาอีก "เหี่ยวเลย!!" (ซื้อตำแหน่ง สินบนตำแหน่ง มักเป็นแบบนี้)

แต่ถ้าจะเป็น "ผู้นำ" จริงๆ จากฝีมือเรา ไม่ต้องรอให้ได้ตำแหน่ง เราต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้นำวันนี้เลย

"เฮ้ย!! ผมไม่มีลูกน้องสักคน จะนำใครล่ะ?"

เคยได้ยินชื่อ "The Leader with no Title " ไหม..แค่ชื่อก็โคตรเท่ห์ละ 

ใช่!! ผู้นำ เริ่มจาก "นำตัวเอง" ก่อน... มองไปรอบๆตัวซิครับ สังคมเดี๋ยวนี้มีแต่คนเก่งที่เป็นผู้ตาม ..เรียนตามเพื่อน ..เที่ยวตามคำแนะนำ ..เลือกคณะยอดฮิต ..ซื้อหุ้นตามแห่ 

-- เก่ง แต่ทำไม เอาตัวไม่รอด !! ..ก็เพราะฝึกแต่เป็นผู้ตาม ...เปลี่ยนซะวันนี้เลย

ลองเริ่มฝึกเป็นผู้นำ จากการเริ่มนำตัวเอง

ตอบคำถาม "เราเก่งอะไร และ อยากทำอะไรจริงๆ" ..คำถามนี้แฝงอยู่ในโรงเรียน แฝงอยู่ในที่ทำงาน ..ปัญหาคือ ทุกที่มีจุดดีที่สุดในจุดที่ยืน แต่เราไม่เลือก เราเอาแต่ตาม !!

เมื่อคนนำตัวเองได้ ..คนอื่นจะเริ่มอยากตามคุณ นี่แหละ ผู้นำที่กำลังเกิดขึ้น ..The IDOL on the Making !!



วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"สินค้า" ที่ทำมาขายทุกคน จะขายไม่ได้เลย


"สินค้า" ที่ทำมาขายทุกคน จะขายไม่ได้เลย !!

...อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดของคนส่วนใหญ่ อย่างแรง !!

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การทำสินค้าที่ดี คือ การผลิตสินค้าที่คนส่วนใหญ่ต้องการ .."ทำสินค้าที่ทุกคนต้องใช้ ดีไหม?"

รถเบนซ์ ไม่ได้ทำมาขายทุกคน ..ถามหน่อยว่าใครอยากได้บ้าง ?

Starbucks ไม่ได้ผลิตกาแฟถูกๆ มาขายทุกคน ..ถามหน่อย ใครอยากกินบ้าง ?

กระเป๋า Hermes แพงโคตรๆ ไม่ได้ทำมาขายทุกคน "มีเงิน ยังซื้อบางรุ่นไม่ได้" ...ถามหน่อยใครอยากได้บ้าง ?

IPhone โทรศัพท์บ้าอะไร โคตรแพง ..ถามหน่อยใครอยากได้บ้าง ?

หนังสือแจกงานศพ  แจกฟรี  ..ถามหน่อยมีใครเปิดอ่านบ้าง ?

สินค้าที่ผลิตมาขายทุกคน ไม่มีใครอยากได้หลอก ..ยิ่งทำ ยิ่งจน !!

สินค้าที่ผลิตมาขายเฉพาะคนที่พิเศษ ขายคนไม่ธรรมดา ราคาแพงสัดๆ แพงแบบไร้สติ ..ใครๆ ก็อยากได้

เข้าใจหรือยังครับ !!

Updates!! : The Investor Launchpad


Updates ความเข้มข้นของ "The Investor Launchpad รุ่น 1"

 ...ฮึม!! ถึงวันนี้ ยังเข้าหุ้นกันน้อย เพราะ หุ้นถูกเราไม่ซื้อ  ..เพราะถ้าจะซื้อแล้ววิ่งเลย ต้องเกาะหุ้นแพงที่กำลังระเบิดขึ้น !!

วันนี้ Launchpad รุ่น 1 กำลังฝึก "สร้างเขื่อน" ..ใช่!! การลาก Trendline หรือ สร้างเขื่อน เป็นเครื่องมือสำคัญในการเทรดเร็ว ...เพราะเขื่อนแตกเมื่อไหร่ เราก็จะรู้ว่า หุ้นตัวไหนไป และ ไปในทิศทางไหน 

ถ้าเข้าใจ "เจ้ามือ" จะรู้ด้วยว่า ระยะสั้น ควรไปเท่าไหร่ ?

ถ้าเราศึกษาเพิ่ม รู้รอบ รู้จังหวะ -- ความเสี่ยงจึงลดลง ..เข้าสู่สภาวะ "ทนรวย" : The Investor Launchpad !!

การเริ่มต้นใช้ชีวิตแบบผู้นำ


"การเริ่มต้นใช้ชีวิตแบบผู้นำ เริ่มยังไง?" 

..ใครๆ ก็รู้ว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำ รวยทุกคน แต่ปัญหาคือ ไม่รู้จะเริ่มเป็นผู้นำจากตรงไหนดี

ผมมีเคล็ดลับดีๆ 3 ข้อ จะแชร์ คือ

1. "ให้มั่นใจในตัวเอง" ..อันนี้ฝรั่งเขามีมากกว่าคนไทย เพราะเขาสอนแต่เด็กให้กล้าพูดกล้าถาม ทำให้ค่าเฉลี่ยฝรั่งจะมีความมั่นใจมากกว่าเรา ..มั่นใจ คือ หลักการเริ่มต้นของผู้นำ ..ใช่!! ฝึกให้เราดูเป็นคน "มั่นใจ"

2. "ชัดเจน" ..บางครั้งเราถูกสอนให้กลัวผิด จนกลัวขึ้นสมอง ..ผู้นำจริงๆ เขาก็ทำผิดบ่อยๆ แต่ที่ลูกน้องมั่นใจเขาเพราะเขาชัดเจน ..ถึงผิดก็ช่วยกันแก้ แค่นั้น ..ฝึกให้ "ชัดเจน"

3. "รับผิด" ..ผู้นำบางครั้งอาจไม่ต้องเก่งมากหรือฉลาดมาก ..แต่ผู้นำคือคนกล้า คนรับผิดชอบ ..ใช่!! "ผมผิดเอง (รับผิด-เรียนรู้-แก้ไข)"

เริ่มฝึกเลย "วิถีผู้นำ" ..มั่นใจ ชัดเจน รับผิดชอบ -- คนเหล่านี้ถึงมีบริวาร มีคนเก่งอยากทำงานให้

"ผู้นำ!!"

ฝรั่งไม่ได้ฉลาดกว่าเรา จริงๆนะ


"รุ่นน้องหลายๆคน เป็นโรคกลัวฝรั่ง คือ เจอฝรั่งแล้วกลัว เพราะคิดว่าฝรั่งฉลาดกว่าคนไทย" 

..เอาจริงๆ นะ ผมจะบอกเคล็ดลับอะไรให้ ..คนเก่งจริงๆ ของแต่ละประเทศ เขาจะอยู่ในประเทศตัวเอง (เจ้าของ/ผู้บริหารสูงสุด/ผู้นำสูงสุด)

พวกฝรั่งที่เขาถูกส่งมา คือ พวกลูกน้อง(มือรอง) หรือ พวกเด็กๆที่ส่งออกมาหาประสบการณ์ หรือ พวกที่หาโอกาสในประเทศตัวเองไม่ได้แล้วมาเสี่ยงหาโอกาสในต่างประเทศแทน

ครับ!! อย่าไปกลัวฝรั่ง ...เราน่ะเก่งกว่า "สอนมวยมัน" ..555

วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"คุณรู้หรือยัง" ..ถ้ารู้แล้ว เตรียมโง่เลย !!


"เราเรียนเพื่อเรียน"

..ผมไม่ได้เขียนผิด คนเก่งเขาเรียนเพื่อเรียน แต่คนโง่คือคนที่ "เรียนเพื่อรู้"
..พวกนี้พอรู้ปั๊บ ก็พูดแต่ "ผมรู้แล้ว / ฉันรู้แล้ว" ...ใช่!! "รู้แล้ว" เป็นคำพูดของคนโง่ไง

..แรง!! แต่จริง !!

(ยิ่งใครตอบ "รู้แล้ว" ดังแค่ไหน ...โชว์โง่ ชัดสุดๆ ...ฮ่า ฮ่า -- ตลกเหน็บนะเนี่ย ...ในวงการตลกเขาเรียกว่า ตลกถาด คือ เอาถาดตีหัวแล้วให้คนขำ ...เจ็บแต่ขำ...555)

รู้แล้ว !!!!!!

การหาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย !!

วันนี้ใครบ้างไม่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ ?

ครับ !! ฝันของคนสมัยนี้ คือ มีธุรกิจส่วนตัว

แต่ผมฟันธงเลยว่า คนเหล่านี้ 80-90% ไปไหนไม่รอด ...ไม่ได้แช่ง แต่เพราะ เขาตั้งโจทย์การทำธุรกิจผิดแบบสุดๆ ..ผิดทางโคตรๆ

ประการแรก เราถูกสอนทั้งชีวิตให้ "ท่องจำและทำตาม" จากระบบการศึกษา ...ถามหน่อย คุณเรียนมาอย่างนี้ทั้งชีวิต ให้คิดในกรอบ คุณจะคิดนอกกรอบได้อย่างไร ...ดังนั้น การเริ่มเปิดธุรกิจของคนเหล่านี้จะเป็นธุรกิจที่เหมือนกัน ..เป็น Red Ocean !!

..ธุรกิจแบบ ร้านอาหาร ร้านขนม ร้านกาแฟ ..ขายของ .. คิดเหมือนกันหมด ...บอกตรงๆ นะ ถ้าคุณทำธุรกิจที่เป็น Red Ocean ที่คู่แข่งมากมาย ใครๆ ก็ทำได้ บอกได้เลยว่า รวยยาก !! ...ขยันให้ตายก็ไม่รวย ...ไม่ใช่เพราะโชคไม่ดีนะ แต่เพราะ ดันทำธุรกิจที่เหมือนคนอื่น มันก็ไม่รวยดิ ..ตัดราคา แย่งลูกค้า  ..ซวยครับ !!

ก่อนจะไป ประการที่สอง ..ผมว่า มาเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ก่อน

 ลองเปลี่ยนโจทย์ จากการคิดแค่ "หาสินค้า" มามองเรื่อง "หาลูกค้า" ก่อนดีไหม

คุณลองคิดดูซิ ..วันนี้คนส่วนใหญ่พูดว่าอยากทำธุรกิจ ก็มองแต่ หาสินค้ามาขาย ผลิตสินค้ามาขาย ..แต่พอผมถามว่า "ขายใคร" ...เขากลับตอบไม่ได้ ...ผมก็เลยฟันธงไปเลยว่า "สินค้าคุณไม่ได้เรื่อง ..เพราะ ขายไม่ได้"

ถูกต้อง !! ก่อนจะหาสินค้า ...ให้หาลูกค้าก่อน ... "ขายใคร ทำไมเขาต้องซื้อ ?"

นี่แหละ เปลี่ยนโจทย์ แค่นี้ ก็จะช่วยให้วิธีคิด ทำธุรกิจคุณเหนือชั้นกว่าคนส่วนใหญ่

 ลองไปทำการบ้านดูครับ

อย่าเพิ่งหาสินค้า ...หาลูกค้าก่อน

"ขายใคร และ ทำไมเขาต้องซื้อ ?" ...ตอบข้อนี้ได้ คุณกำลังจะเป็น เจ้าของธุรกิจที่เริ่มจากสมอง

ฉลาด !! ..เท่ห์โคตรๆ


แก้วน้ำที่ว่างเปล่า !!


ถ้าถามว่า "แก้วน้ำที่มีน้ำเต็ม กับ แก้วน้ำที่ว่างเปล่า" มันแตกต่างกันอย่างไร ?

วันนี้ผมเจอคนส่วนใหม่มากมาย ที่เก่งรอบด้าน เรียนสูง และ ความรู้กว้าง แต่หางานทำไม่ได้ ...คุณว่า อะไรคือปัญหา ?

ถ้าเราสังเกตให้ดี จะรู้สึกเลยว่า วันนี้ชีวิตคนรุ่นใหม่ ต้องเรียนรู้อะไรมากมาย ในหลายๆเรื่อง ที่ในอดีตไม่เคยต้องให้ความสำคัญเลย ...ยกตัวอย่าง ทุกวันนี้เกือบทุกคนต้องเรียนวิธีการขับรถ , ต้องเรียนรู้ การใช้ Computer , ต้องสามารถพิมพ์ดีดเป็นตั้งแต่เด็ก , ภาษาอังกฤษต้องพูดได้ หากต้องการงานเงินเดือนสูง , ต้องมีปริญญาอย่างน้อยก็โท , ต้องลงทุนเป็น ...เยอะไหมอ่ะ ?

คิดดูซิ ยิ่งโลกพัฒนาก้าวหน้าไปแค่ไหน ..มนุษย์ก็เหนื่อยเท่านั้น ..มันบังคับให้เราต้องเรียนรู้ การใช้เครื่องมือ เครื่องอำนวยความสะดวก ที่เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน

ถ้าใครตามไม่ทัน ..บทลงโทษ ก็คือ คนๆนั้น จะล้าหลัง ทั้งเงินเดือน และ โอกาสในชีวิต

จริงๆ มันไม่แปลกหรอกครับ ถ้าเราอยากใช้ชีวิตที่เรียบง่าย โดยการทิ้งชีวิตเมือง แล้วกลับไปเป็นชาวไร่ ชาวนา แล้วใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ...เพราะ ว่าทุกคนเลือกได้ ...เราสามารถเลือกให้ชีวิตง่าย หรือ ชีวิตยาก ..เราต่างเลือกเองทั้งนั้น

ใช่!! สุดท้าย ทุกคนก็เลือกชีวิตยาก เพราะ มันสะดวกสบายกว่า , สะอาดกว่า  ...แต่แน่นอน สิ่งที่ตามมาก็คือ "ความยุ่งยากในการเรียนรู้"

สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำ คนรุ่นใหม่ ก็คือ การพัฒนาความรู้ จริงๆ มันไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิด ...เพียงแค่เราทำตัวเป็น "แก้วน้ำที่ว่าง" เราก็จะสามารถเรียนรู้ และ พัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ

นั่นแหละเคล็ดลับของคนเก่ง ...เขาเรียนทุกอย่างเพื่อจะทิ้ง ไม่ใช่เรียนเพื่อเก็บ ไม่ใช่เรียนเพื่อจำ ...แต่เรียนเพื่อจะทิ้งมัน ..เหมือนกับ แก้วน้ำ เราเติมน้ำ เพิ่มความรู้ ..แต่สุดท้าย เราต้องทำให้แก้วว่าง เพื่อจะสามารถเติมความรู้ใหม่เข้าไปได้

"เราเรียนเพื่อจะทิ้ง ...ไม่ใช่เรียนเพื่อรู้ (คนที่เฝ้าแต่พูดว่า "ผมรู้แล้ว" ก็คือ คนโง่ ที่น้ำเต็มแก้ว)  ..เราเรียนเพื่อเข้าวิธีการหาความรู้ และ ต่อยอดด้วยตัวเอง"

"แก้วน้ำที่ว่างเปล่า" คือ คนฉลาด !!


โลกนี้มีอะไรฟรี ...คนฉลาดเลยซื้อแต่ของแพง !!

เรื่องการลงทุน หลายๆคนบอกมันเป็น Common Sense คือ ใช้ความรู้สึก แล้ว ไปพัฒนาที่ดวง และ ไสยศาสตร์ ..."ไร้สาระจริงๆ"

วันนี้ผมพลิกไปดู ราคาคอนโดกลางเมืองวันนี้ ราคาขึ้นไปเกิน 200,000 บาท ต่อ ตร.ม. ... "คุณเคยคิดไหมว่า ใครจะโง่จ่ายเงินแพงๆ ซื้อคอนโดที่แพงขนาดนั้น ...คุณว่าใคร?"

วันนี้เราเดินผ่านร้านกาแฟ Starbucks คนต่อคิว ยาวเหยียด ..เคยถามไหมว่า ทำไมต้องจ่ายเงินแพงขนาดนั้น เพื่อซื้อกาแฟ ?

บางคนเสียเงินแพงๆ เพื่อเข้าสัมมนา หรือ เรียนพิเศษ ...เขาจ่ายไปเพื่ออะไร ?

คำถามนึงที่ผม ถามคนฟังตลอดคือ ในโลกนี้มีอะไรฟรีบ้าง ?

ใช่ !! โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี ... การที่ใครทำอะไรให้เราฟรี มันต้องมีอะไรแอบแฝง ..อาจจะไม่เสมอไป แต่บอกได้ว่า ส่วนใหญ่มันเป็นอย่างนั้น ..จริงไหม ?

แต่ที่แปลกกว่านั้น คือ "ทุกคนก็ยังชอบของฟรี ..พยายามหาของฟรี ของลดราคา ..แล้วที่เด็ดก็คือ หากเราสามารถซื้อของลดราคาได้ถูกกว่าคนอื่น ยิ่งรู้สึกดี !!"

โอเค ..ผมขอตอบคำถามแรก คือ ทำไมคนรวยยอมจ่ายเงินแพงๆ เพื่อ ค่าเรียนลูก / ค่าบ้าน / ค่าคอนโด / ค่า Sport Club ก็เพราะ เขาวิเคราห์แล้วว่า จ่ายแล้วคุ้ม ...คนทั่วไปจะมองการจ่ายเงินเป็นเพียงการเสียเงิน จึงพยายามประหยัด แต่คนรวย เขามองจ่ายเงินทุกครั้งว่า เป็น "การลงทุน" ก็เลยทำให้คนรวยและคนจนใช้เงินต่างกันมาก

ถูกต้อง !! "คนรวยเขามีหลักการคือ 'จ่ายเงินให้รวยขึ้น' เพราะ การจ่ายเงิน คือ การลงทุน" ...แต่ "คนจน เขารู้จักแต่ 'เก็บเงินอย่างไรให้รวย' ดังนั้น ทุกครั้งที่จ่ายเงิน แม้ว่าจะประหยัดแค่ไหน มันก็เป็นการใช้เงินที่ศูนย์เปล่า"

"การจ่ายเงินให้รวยขึ้น" คือ การมองเรื่องการจ่ายเงินเป็นการลงทุน อะไรสักอย่าง ..เช่น ถ้าเรายอมซื้อคอนโดแพงๆ ก็เพื่อ ลงทุนที่จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ..และ การเปลี่ยนสภาพแวดล้อมก็คือ การเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนโอกาส ..เขาจ่ายเงินเพื่อซื้อโอกาสนั่นเอง

วันนี้นักการตลาด เริ่มเข้าใจเรื่อง การตั้ง Pricing ...ว่าคือ หนึ่งใน Key Success Factor ในการดึงดูดและเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

"ถ้ากาแฟ Starbucks แก้วละ 10 บาท คงไม่มีคนกินขนาดนี้ ...ถ้ากระเป๋า Hermes ราคาไม่กี่พัน ผู้หญิงคงไม่แย่งกันซื้อ .."

นั่นแหละ "โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี" ..ก่อนที่เราจะ ใช้อะไรฟรี หรือ แย่งกันซื้อของถูก ของลดราคา ให้คิดให้ดีว่า ..คนขายเขามีวัตถุประสงค์อะไร ...เพราะ ถ้าไม่ระวัง สุดท้ายเราอาจตกเป็นเหยื่อ


"คนฉลาด เขาชอบซื้อของแพง" ..ไม่ใช่เพราะเขาโง่ แต่เขารู้ว่า เมื่อเขาจ่ายซื้อของแพง แล้วเขาได้มากกว่า สินค้า

...แปลกดี โลกนี้ ...น่าศึกษา ..น่าค้นหา

เพราะ ความรู้ส่วนใหญ่ที่เราเชื่อตามๆ กันมา มันคือ ความเชื่อที่ทำให้เราจนลง ..ไม่ประสบความสำเร็จ

ต้องเปลี่ยน "ความเชื่อ" นั้นให้ได้ครับ !!

วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ผมทำงานให้ฟรี ไม่เอาเงินเดือนครับ !!

"คุณเคยเจอเด็กคนนี้ไหม ..เขาเดินสมัครงานที่บริษัทเล็กๆแห่งนึง เขาบอกบริษัทเล็กๆ แห่งนั้นว่า ..ผมจะทำงานให้คุณฟรี ..บริษัทไม่ต้องจ่ายเงินให้ผมเลย !!"

บริษัทเล็กๆ นั้นถามว่า "มึงบ้าหรือไอ้หนู!!"

เด็กคนนั้นบอกว่า เขาชอบสิ่งที่บริษัทนี้ทำมาก มันเป็นสิ่งที่เขาอยากจะทำจริงๆ คือ แบบว่า "มันเป็นงานที่เด็กคนนี้อยากจะทำ แม้ทำฟรีก็ยอม" ..เขาต้องการเรียนรู้ในสิ่งนี้นั่นแหละ ..เขาจึงบอกบริษัทไปว่า "บริษัทกำไรเมื่อไหร่ค่อยจ่ายผมก็ได้ ...ผมแค่อยากจะทำงานนี้ก็เท่านั้นเอง"

ครับ!! หลายๆคน อ่านที่ผมเล่า คงสงสัยว่า "ไอ้งานที่ว่านั่นคืองานอะไร ...งานที่เด็กคนนึงยอมทำโดยไม่เอาเงิน เพราะ ชอบงานนั้นจริงๆ ...มันมีงานแบบนี้ด้วยหรือ ?"

มีครับ!! เยอะแยะ แล้วที่สำคัญ คือ งานแบบนี้แต่ละคนมองไม่เหมือนกัน เพราะ แต่ละคนชอบในสิ่งที่แตกต่างกัน

เรื่องที่ผมเล่ามันคือ "การเข้าใจตัวเอง และ การตั้งเป้าหมาย" ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กสมัยนี้ ไม่รู้เรื่องเลย

คุณดูซิ คนสมัยนี้ เก่งๆ ทั้งนั้น เรียนสูง จบนอก ..แต่คนสมัยนี้ ถ้าถามว่า คุณชอบอะไร ..เขาตอบไม่ได้ ..และ ถ้าถามต่อว่า เป้าหมายของชีวิตเขาคืออะไร เขาก็ตอบไม่ได้ ..เพราะ โลกทุกวันนี้มันไม่มีที่ยืนให้คนผิดพลาด ..คนเก่งเดี๋ยวนี้ จึงไม่กล้าที่จะเลือกว่า "จะทำอะไร และ มุ่งมั่นไปทางไหน -- กลัวผิดไง จริงป่ะ !!"

...ปัญหาคือ

หนึ่ง ไม่เข้าใจตัวเอง สอง ใช้ชีวิตแบบไม่มีเป้ามหาย ...ก็สรุป "ไม่มีอนาคต !! จบ ...ไม่ว่าเก่งแค่ไหน ก็ไปไหนไม่ไกล เพราะ ไม่รู้ว่าจะไปไหนนั่นเอง ...ตลกไหมครับ ...สิ่งนี้เขาเรียกว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด คือ สิ่งนี้แหละ !!"

แก้ข้อหนึ่ง ให้หาคำตอบให้ได้ว่า เราชอบอะไรที่เราทำได้ดี ..เลือกซะ !!

แก้ข้อสอง ไปทำงานในสิ่งที่เราเลือก แล้วตั้งเป้าเป็น "ความรู้" อย่าตั้งเป้าแค่ "เงิน"(เงินน้อยไม่สำคัญ เอาความรู้ก่อน ..คนที่อยากได้เงินทันที เร็วๆ มีแต่พนักงานกระจอกเท่านั้นแหละ พนักงานระดับล่าง ...พนักงานระดับสูง หรือ คนรวย เขารอได้ ...ได้เงินเร็ว งานจะกระจอก ...ถ้าจะเอาเงินก้อนใหญ่ ต้องรอได้!!)

คนที่บอกว่าทำงานฟรีก็ได้ ไม่ใช่เพราะเขาพ่อรวย ..แต่เขารู้ว่า ขั้นแรก เขาต้องเรียนรู้งานเป็นเป้าหมาย เงินนั้นเป็นสิ่งที่ได้รับเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้น แต่เป้าหมายคือ "ความรู้"

และสุดท้าย "ความรู้" นั่นแหละ เปลี่ยนชีวิต สร้างเงิน(เยอะ)

 ...อยากจะตักน้ำเยอะๆ คุณมีขันหรือยัง ...คุณรู้เปล่าว่า คนส่วนใหญ่ไม่เคยสร้างภาชนะตักน้ำ ..เอามือนั้นแหละตัก ..มันก็ได้น้ำน้อย ก็เป็นคนจนซิ ..แต่คนรวยน่ะ เขาสร้างขันน้ำก่อน แล้วตักทีละเยอะๆ ...นี่แหละ สร้างความรู้ก่อน !!

ลองดูครับ รีบเข้าใจตัวเอง แล้ว ตั้งเป้าหมายให้เร็ว

จัด !!

วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"10 เรื่อง รู้งี้ก่อนเรียนจบ" (สิ่งที่น้องๆ ต้องรู้ก่อนจบปริญญา)

10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ...

1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจบแล้วก็เอาใส่กรอบรูป ตั้งโชว์สวยๆ โดยหารู้ไม่ว่า "มันหมดอายุไปแล้ว !!" ...ลองสังเกตให้ดีว่า ความรู้ที่เราเรียนมามันทันสมัยไม่นาน คือ ประมาณว่าจบแล้วต้องรีบหางานทำ เพราะ ถ้าทิ้งไว้ เราตามโลกไม่ทัน ..ยิ่งปัจจุบัน Internet ทำให้การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจทั่วโลก เต็มไปด้วยโอกาส (แต่โอกาสในที่นี้ คือ วิกฤตของคนส่วนใหญ่ ซึ่งนี่จะเป็นข้อต่อๆไปที่ เราต้องร้องว่า "รู้งี้") ..เอาเป็นว่า ถ้าไม่อยากให้ใบปริญญาหมดอายุ ต้องรู้จัก หมั่นเติมความรู้ หาหนังสือมาอ่าน หัดพัฒนาตัวเองโดยการเข้าสัมมนา ฟังคนอื่น หาความรู้ใหม่ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับใบปริญญาก็ได้ แค่นี้ใบปริญญาของเราก็จะไม่หมดอายุ

2.  "ใบปริญญาเป็นเพียงแค่บัตรผ่านประตูในชีวิตจริงเท่านั้น"  ...ใช่แล้ว!! ในชีวิตจริง เขาวัดคนที่ผลงาน รายได้ที่เราทำให้บริษัท รายจ่ายที่เราลดให้บริษัทด้วยความรู้หรือ Technology เช่น การเอา Internet มาช่วยลดการทำงาน ช่วยการบริการ และ ช่วยการติดต่อลูกค้า เพิ่มโอกาสการขาย อะไรก็ว่าไป ...ดังนั้น ใบปริญญามีประโยชน์แค่ตอนสมัครงาน แต่หลังจากที่เราได้งานแล้ว เขาไม่สนแล้วว่าเราจบอะไรมา นั่นแหละ "วัดฝีมือจริง" ...แล้วตำแหน่งยิ่งสูง เขายิ่งไม่ถามว่า จบอะไรมา เพราะ นั่นมันคำถามไว้รับสมัครงานชั้นล่าง (งานแรงงาน) ...งานระดับสูง เงินเดือนล้าน เขาถามว่า "คุณทำอะไรสำเร็จมาบ้าง แล้วคุณจะสร้างโอกาส สร้างเงินให้กับบริษัทเราอย่างไร" -- ถ้าตอบได้ ตำแหน่งคุณน่ะ เงินเดือนล้าน !!

3. "คนรวยทุกคนเป็นคนเก่ง แต่คนเก่งทุกคนไม่ได้รวย" ..จงเลือกว่า คุณอยากเป็น "คนเก่งที่รวย" หรือ "คนเก่งที่จน" ...ให้รู้ไว้ว่า คนเก่งที่จน มันเกิดจากคนนั้นคิดว่าตัวเองเก่ง จึงไม่เคยฟังใคร ไม่เคยเรียนรู้จากใคร ..คนเหล่านี้ทำงานกับใครไม่ได้ เพราะ ถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่ คิดว่าตัวเองเก่ง ไม่เคยฟังคำท้วงติงจากใคร ...เวลาคนเหล่านี้ทำงานผิดพลาด เขาจะพยายามโยนความผิดให้คนอื่น ด้วยสมองอันแกมโกงของเขา -- "คนเก่งที่รวย" คนเหล่านี้ รักการอ่าน ชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ..ชอบแก้ปัญหา ชอบงานที่คนอื่นไม่กล้าทำ เพราะ ทุกครั้งที่เราทำงานที่ยากและคนอื่นไม่กล้าทำ เราจะเห็นโอกาสที่ไม่มีใครเคยเห็น ..เวลาคนเหล่านี้ทำงานพลาด เขาจะโทษตัวเอง แล้วเรียนรู้จากความผิดพลาด เพื่อให้ตัวเขาฉลาดขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้น ...ยิ่งล้มเลย ยิ่งเก่ง ...คนเหล่านี้ ไม่เคยกลัวความล้มเหลว ...อะไรง่ายๆ ไปให้คนอื่นทำ แต่ถ้ายากๆ "ให้กู" เพราะ กูคือ คนเก่งที่จะรวย !!

4. "จ่ายเงินให้ตัวเอง ก่อนจ่ายเงินให้คนอื่น" ...คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่า ทั้งชีวิตเราจ่ายเงินให้รัฐบาลเป็นค่าภาษีก่อนที่เราจะได้เงินเดือน พนักงาน office ธรรมดา ถ้าเอาภาษีทั้งชีวิตมารวม มันเกินล้าน แปลว่า คนเหล่านี้จ่ายเงินให้รัฐบาลเป็นล้านบาท แต่ทั้งชีวิตไม่เคยจับเงินล้าน ..เพราะ รายได้เท่าไหร่ รายจ่ายมากกว่าเสมอ ...ทางแก้คือ "จ่ายเงินให้ตัวเองก่อน" คือ ดึงออกเริ่มจาก 10% ของเงินเดือน เพื่อเก็บไว้ลงทุน ก่อนใช้จ่ายเสมอ (แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นเป็น 20% 30% 40% ตามเงินเดือนที่สูงขึ้น) ...เพราะอะไรรู้ไหม เพราะ การใช้จ่าย มันคือ การจ่ายเงินให้คนอื่น ..ลองดูสิ่งที่เราซื้อมาซิ มันดีใจตอนซื้อ สุดท้ายของเหล่านั้นก็กลายเป็นขยะ ...ของเป็นขยะ บ้านเราก็คือ "ถังขยะ" ใบใหญ่ ...ทำงานหนัก จ่ายเงินซื้อขยะ โคตรแย่ ...เริ่มจ่ายเงินให้ตัวเอง แบ่งมาเริ่มลงทุน เพราะ "การลงทุน" จะสร้างเครื่องผลิตเงินที่เลี้ยงเราจนตาย ..ไม่ใช่ขยะที่คุณซื้อมา !!

5. "จงเลือกก่อนเลยว่า จะเป็น คนเงินเดือนสูง หรือ คนเงินเดือนน้อย" ..ถ้าอยากเป็นคนเงินเดือนน้อย ก็เริ่มหางานง่ายๆ งานที่ใครๆก็ทำได้ งานสบาย แล้วจงหาหัวหน้ามาสั่งงานเรา ..แต่ถ้าอยากได้เงินเดือนเยอะ ต้องหางานยากๆ งานที่ไม่มีใครอยากทำ แล้วเป็นงานที่มีหัวหน้า แต่หัวหน้าต้องถามเราว่า ต้องทำอะไร ทำอย่างไร เพราะ งานนั้นอาจไม่มีมาก่อนในองค์กร เป็นสิ่งใหม่ที่เขาต้องความเห็นจากเรา หรือ เป็นสิ่งยากที่อยากได้คนรับผิดชอบ

6. "งานที่มี Career Path เป็นงานห่วย" ..วันนี้ใครๆ ก็รู้ว่า ผู้บริหารองค์กรปัจจุบัน อายุไม่ได้มาก เขายังต้องอยู่ตรงนั้นอีกนาน "รักษาเก้าอี้" ดังนั้น งานที่เปิดให้คนรุ่นใหม่คือ งานกระจอก งานแรงงาน ที่สุดท้ายใช้เครื่องจักรทำดีกว่า เขาหลอกโดยเอาคำว่า Career Path หรือ ตำแหน่งให้เราไต่ขึ้นไป แต่หารู้ไม่ว่า ข้างบนเป็นทางตัน เพราะ ผู้บริหารระดับสูง เดี๋ยวนี้ซื้อตัวคนมีประสบการณ์ง่ายกว่า ...ดังนั้น งานที่ดีในองค์กร คือ งานที่ไม่มี Career Path เพราะ แสดงว่า หน่วยงานนี้ เป็นสิ่งใหม่ ไม่เคยมีมาก่อน นี่แหละ ได้ทั้งความรู้ และ โอกาสที่แท้จริง

7. "อย่าทำงานเพื่อเงินเดือน ให้ทำงานเพื่อความรู้"  ..ถ้าตั้งเป้าเป็นเงินจะได้เงินเดือนน้อย ..และไม่มีอนาคต แต่ถ้าตั้งเป้าเป็นความรู้ เราจะเห็นโอกาสใหม่ๆ เพราะ เราเปิดใจที่จะเรียนรู้ ...แล้วคุณจะรู้ว่า แท้จริงแล้ว โอกาสหรือ Innovation มันล้วนเกิดในองค์กร เพียงแต่ผู้บริหารเขาไม่ใส่ใจ ...ถึงได้มี Steve Jobs ให้เราเห็น ...ต้องเข้าถ้ำเสือ ต้องเป็นลูกน้อง เพื่อเข้าไปเรียนรู้และหาโอกาสในองค์กร

8. "ให้ฝึกเป็นผู้นำ อย่าฝึกเป็นผู้ตาม" ...ในโลกมีคนสองประเภทเท่านั้น คือ หนึ่ง ผู้นำ สอง ผู้ตาม ...ผู้นำ รวยกว่า ไม่ต้องฉลาดก็ได้ แต่ต้องรู้วิธีการนำ ..ผู้ตาม ส่วนใหญ่เป็นคนเก่ง เพียงแต่ไม่รู้วิธีการนำ จึงฝึกแต่เป็นผู้ตาม รอแต่คำสั่ง รอแต่หัวหน้า ...การฝึกเป็นผู้นำ คือ ฝึกนำ ...อะไรที่เราคิดว่าดี เราทำ แล้วถ้ามันดี เดี๋ยวคนอื่นตามเอง จุดเล็กๆ นี้ก็คือ วิถีผู้นำ ...ต้องฝึก ต้องนำ อย่าเอาแต่ทำตาม

9. "ลงทุนให้เป็น" ..เริ่มจาก "วางเงินให้ทำงานให้เป็น" ให้ศึกษาเรื่องออมในหุ้น ออมใน Asset ...สร้างเครื่องผลิตเงิน สร้างให้มันโตเรื่อยๆ แล้ววันนึงเราจะมีอิสรภาพทางการเงินจากสิ่งนี้ ..คนที่ลงทุนเป็น เขามีอิสรภาพทางการเงินก่อนเกษียณเสมอ ...ไม่ใช่เกษียณแล้วจะสบาย มันต้องสบายก่อนเกษียณต่างหาก

10. "อย่าหยุดฝัน" เพราะ ความฝันทำให้เรามีเป้าหมาย ..คนมีเป้าหมายคือ คนที่มีอนาคต ...สังเกตง่ายๆ ว่าเมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มหยุดคุยเรื่องความฝัน แล้วนั่งคุยแต่เรื่องอดีต เราก็กำลังจะเป็นคนที่หมดอนาคต กลายเป็นคนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ คุยแต่เรื่องอดีต ชอบแต่เรื่องน้ำเน่า ...ถ้าอยากมีอนาคต คุยกับคนที่ชอบคุยเรื่องอนาคต อ่านหนังสือที่กระตุ้นให้เรามองเห็นอนาคต ..ทำในสิ่งที่ท้าทาย ...เมื่อใดก็ตามที่งานเรามั่นคง เราเองนั่นแหละที่กำลังจะเป็นอดีต

อย่าหยุดฝัน ...ล้มแล้วลุก ...ยิ่งล้ม ยิ่งเก่ง ...อะไรง่ายๆ ให้คนอื่นทำ ...อะไรยากๆ ให้ "กู"

The Investor Launchpad รุ่น 1 ...เริ่มแล้ว !!


เสาร์นี้เริ่มเรียนแล้ว!! -- ยินดีต้อนรับผู้กล้าทั้ง 70 คน ที่สมัครเรียบร้อยแล้ว สู่โครงการ The Investor Launchpad รุ่น 1 : "ถ้าพูดภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่ารุ่นหนูทดลอง"

แต่เดี๋ยว!!  -- การกล้าที่จะเดินเข้าไปถนนที่มืดและขรุขระแบบการเรียนครั้งนี้ ใช่ว่าจะซวยเสมอไป เพราะถนนที่ไม่มีคนเดิน มันมีทั้งอันตรายที่รอเรา รวมทั้งขุมทรัพย์บางอย่างที่ตกอยู่ระหว่างทางเช่นกัน -- "ถนนทางขรุขระ"

สิ่งที่เราจะให้ 70 ท่านนี้ได้สัมผัส คือ "เทรดจริง ซื้อขายจริง ร่วมกับอาจารย์" เริ่มจากการโชว์ Stop Loss เป็นการบ้าน เพื่อสอนให้รู้ว่า "เพื่อนที่ดีที่สุดในตลาดหุ้น คือ Stop Loss ..เพราะความเสี่ยงเป็นเรื่องเดียวที่เซียนหุ้นเขาควบคุมได้ นอกนั้น มโน แล้ว"

การ Stop Loss สามารถทำได้ซับซ้อนกว่าแค่กำหนดจุดซื้อจุดขาย แต่ขออุบเป็นการบ้านให้นักสู้ทั้ง 70 ท่านนี้ เอาไปเล่าให้เพื่อนๆนักลงทุนคนอื่นได้ฟัง ผ่าน Facebook ของเขา

สิ่งที่เป็น Highlights ของโครงการคือ "คุณต้องเทรดเป็น และเข้าใจความเสี่ยง" ซึ่งมันจะโชว์ใน iTracker ของแต่ละท่าน 

"ความผิดพลาดที่เราจำกัดความเสี่ยง จะเป็นครูช่วยสอนของผมและหยง ตลอดโครงการ The Investor Launchpad ทั้ง 1 เดือนนี้"

รอฟัง ข่าวดีบ้าง ข่าวร้ายบ้าง และ การแชร์ประสบการณ์การเข้าป่า SET ของนักลงทุนทั้ง 70 ท่านนี้กัน

"ของจริง" ย่อมเผ็ด มันส์ ..รอติดตามกันครับ !! 



วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

มีเงินเท่าไหร่ จึงถือว่าคุณรวย ?

มีเงินเท่าไหร่ จึงถือว่าคุณรวย ? ...คำถามนี้คนส่วนใหญ่ตอบผิด เลยติดวังวนคนจน ...ใช่!! ใครตอบคำถามนี้ผิด ชาตินี้ก็รวยยาก

โอเค !! ก่อนเฉลย คุณลองตอบก่อน ว่า "คุณต้องมีเงินเท่าไหร่ จึงถือว่าคุณรวย ?"

มาดูกัน คนส่วนใหญ่ จะเดาตัวเลขขึ้นมา บางคนบอก 10 ล้าน ..บางคนบอก 100 ล้าน ... "ผมก็มักจะสวนกลับไปว่า 100 ล้านน่ะ รวยใช่ ..แต่หน้าอย่างคุณมีปัญหาได้ 100 ล้านหรือ ?"

"โอวว !! แรง" ...แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะ ปัญหาของคนส่วนใหญ่ที่ไปไม่ถึงฝัน ไม่รวยสักที เพราะ มัวแต่ วนอยู่กับตัวเลข ที่มันไม่มีอยู่จริง ..จะ 10 ล้าน 100 ล้าน มันก็ไม่ใช่ประเด็นเลย เพราะ ในความจริงแล้ว การที่ใครสักคนจะรวย มันขึ้นกับว่า เขาผู้นั้นสามารถสร้าง "เครื่องผลิตเงิน" ต่างหาก

คนส่วนใหญ่ใช้ตัวเองเป็นเครื่องผลิตเงิน คือ "ทำงานแลกเงิน ..ปัญหาคือ คนเหล่านี้พอหยุดทำงาน เงินก็หยุดเข้า ..ชีวิตเหมือนขันน้ำที่ก้นขันรั่ว ...คือ เมื่อไหร่ที่เขาหยุดทำงาน ซวยทันที เพราะ เงินจะค่อยๆหมด"

คนรวยจริงๆ ต้อง ตั้งเป้าเป็น Passive Income หรือ เงินที่ไหลเข้ามาโดยไม่ต้องทำงาน ...ซึ่งเงินนี้ เกิดจากการลงทุนใน Asset หรือ สินทรัพย์ที่ สร้างปันผลให้อย่างต่อเนื่อง เช่น หุ้นปันผล , อสังหาให้เช่า ...เมื่อคุณมี Passive Income มากกว่า "รายจ่าย" ..นั้นแหละ จุดเริ่มความรวยของคุณ

เพราะ หลังจากที่เรามีรายได้ มากกว่า รายจ่าย ..เราก็สามารถหยุดเป็นลูกจ้าง ...หยุดงานที่ไม่ชอบ ..เลือกงานได้มากขึ้น ...ใช่!! เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้แหละ -- คนรวยเพราะ เขาได้เลือกทำงานที่ชอบ เขาเลยทำได้ดี ยิ่งทำงานที่ชอบ ยิ่งเก่ง ยิ่งมีความสุข และ นั่นแหละ คือ ประเภทของคนที่ทำเงินได้เยอะ "เพราะชอบงานที่ทำ"

ดังนั้น เป้าหมายหลัก มันไม่ใช่การได้เงิน แต่เป้าคือ การได้ "รายได้โดยเราไม่ต้องทำงาน"

ครับ!! คนรวยตั้งเป้า 2 ชั้น คือ

ชั้นที่ 1 เขาพยายามสร้าง Passive Income ให้มากกว่า รายจ่ายเบื้องต้น (ผ่านขั้นนี้ คุณเตรียมเป็นคนรวยได้เลย)
ชั้นที่ 2 ทำไปเรื่อยๆ ..ทนรวยไปเรื่อยๆ

แค่นั้นเองครับ !! ...แค่ตั้งเป้าและวางลำดับให้ถูก มันง่ายกว่ากันเยอะ

อยากอ่าน เรื่อง การสร้าง เครื่องผลิตเงิน เพิ่ม ..ไปดูหนังสือเล่มนี้ครับ "ออมในหุ้น"

"จำนวนเงินไม่สำคัญ ที่สำคัญคือวิธีการ ..อย่าให้ความเชื่อผิดๆ ของการหาเงินของคนส่วนใหญ่ขวางคุณไม่ให้รวย ...ใครๆ ก็สร้างเครื่องผลิตเงินได้ ...ที่ยากที่สุดคือ ตอนเริ่ม !!" ...เริ่มเลย !!


วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สอนลูกให้คิด โคตรยาก ...ให้มันท่องจำ แล้วทำตาม !!

คนเรามักจะคิดว่า สิ่งที่ตัวเองคิด มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ...เฮ้ย!! จริงๆ 

วันนี้ผมเจอเด็กนักศึกษามากมาย ..ผมถามว่า น้องอยากมีอาชีพอะไร เขาตอบผมว่า อยากเป็น "นักลงทุน" ...เท่ห์มากเลยนะ กาแฟ Starbucks หนึ่งแก้ว คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่อง แล้วทำเงินวันละเป็นหมื่น เป็นแสนบาท ...อิสระ ไม่ง้อใคร ...จะง้อรอต่อคิว ก็ Starbucks นี่แหละ ..ทั้งวันที่ได้เงินก็กินบั๊ค ..วันที่หมดตูด เสียหุ้น ก็ยังกินบั๊ค !!

ผมถามน้องๆ ว่า แล้วอาชีพ "ครู" ไม่สนใจหรือ ?

น้องมันตอบว่า "เป็นครู ก็จนดิพี่"

ผมถามมันว่า รู้จัก "ครูอุ๊ไหม สอนเคมีน่ะ ..."

"รู้จักพี่ ผมยังเรียนกับครูอุ๊เลย" 

น้องรู้ไหมว่า ครูอุ๊ สอนเคมี คือ ครูสอนเคมี ... "รู้ครับ" ...รู้ไหมว่า ครูอุ๊ รวยเป็นพันล้าน จากการเป็นครู !!

เอ๊ย!! ได้ไงฟระ 

อีกอาชีพนึง คือ "นักเขียนไส้แห้ง" รู้ไหมว่า J.K. Rowling เป็นนักเขียน "หมื่นล้าน" 

โถ!! มีคนเดียวรึเปล่าพี่ ...ครู หรือ นักเขียน รวยๆ มีไม่กี่คน 

ผมเลยถามไปว่า แล้วนักเล่นหุ้นที่โคตรรวย มีกี่คน ?

เออว่ะ !! มีน้อย ...ใช่ !! คนเล่นหุ้นน่ะ 80% เจ๊ง 20% กำไร แล้วได้เงินของ 80% นั้น ..แล้วน้องคิดว่า น้องคือ 20% ใช่หรือไม่ ?

แน่นอนครับพี่ ..ผมคือ 20% 

งั้นพี่ถาม เวลาซื้อหุ้น น้องซื้อหุ้นตาม Line ตามเพื่อนบอก ซื้อตอนข่าวดีๆ หุ้น Inside ซื้อตอนหุ้นวิ่งขึ้น ใช่ไหม ?

"ใช่เลยพี่ !!"

เออ !! มึงนั้นแหละ 80% 

...อาชีพ อะไรก็รวยได้ ประเด็นคือ คุณเป็น 20% ของทุกอาชีพที่ทำหรือเปล่า ก็เท่านั้นเอง ...ลองคิดดูซิว่า คน 20% ในแต่ละสายอาชีพ เราทำตามคนส่วนใหญ่ หรือ ทำแตกต่าง.... "แตกต่างไง !!"

 "เข้าใจยัง !!" ...ไปทำการบ้านซะ 

ในโลกนี้ไม่มีใครโชคร้ายเท่าเด็กคนนี้อีกแล้ว ..ตอนที่ 3 "พลิกช้าง"

การเปลี่ยนจาก "จิตทาส" สู่ "จิตอิสระ" มันคือ การเข้าใจคนรอบข้าง และ เปลี่ยนซะ ...แต่บอกตรงนี่คือ ภารกิจ "พลิกช้าง"

คนเราส่วนใหญ่ รับไม่ได้ที่จะทำให้คนอื่นผิดหวังในตัวเรา ..โดยเฉพาะคนไทย เรามีความเชื่อกันว่า ถึงตัวเรามีทุกข์ แค่ขอให้คนรอบข้างมีความสุข มันก็ดีเกินพอ

"ไอ้พระเอก !!" ....แสรดดด บอกตรงๆ ผมเคยเป็นคนแบบนั้น ...ผมเคยเชื่อว่า ขอให้คนอื่นมีความสุข ตัวเราเอาไว้ทีหลัง ..และ ผมก็คิดเสมอมาว่า ความคิดแบบนี้ มันพระเอกจริงๆ ...แล้วไงล่ะ ? ..มันก็ดีไม่ใช่หรือ ที่ทั้งชีวิตเราจะอุทิศให้ความสุขของคนอื่น ?

"ไม่ดีครับ" ..ผมไปอ่านหนังสือ เล่มนึง ที่ชื่อว่า "You Can You Will" เขียนโดย JOEL OSTEEN เป็นหนังสือออกแนวศาสนานิดๆ แต่แฝงด้วยความคิดที่ ตบหน้าผมซะมึน ...เพราะ ผมเชื่อเสมอว่า "ขอให้คนอื่นมีความสุข เราจะทุกข์ก็ไม่เป็นไร" ..เขาบอกความคิดแบบนี้ เป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวที่สุด ...ใช่!! เห็นแก่ตัว เพราะ เป็นความคิดที่ไม่แคร์ตัวเองเลย ...เมื่อเรายังไม่ยุติธรรมต่อตัวเราเองเลย แล้วจริงๆ เราจะสามารถจริงใจกับใครได้ ...สุดท้ายคนที่คิดแบบนี้มักจะมีจุดระเบิด ที่เรียกว่า "ดีแตก" คือ เมื่อความคิดมันทำร้ายแต่ตัวเอง สุดท้ายวันนึงเราก็จะรู้สึกว่า ทุกคนรอบข้างเลวร้าย และ นั่นคือ "ดีแตก" เปลี่ยนคนดี กลายเป็นคนชั่วได้ง่ายๆ

ทางแก้ คือ การถามตัวเองว่า แท้จริงแล้ว "ความสุขจริงๆ" ของเราอยู่ที่การทำอะไร (สุขที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น)

อย่างนึงในหนังสือเล่มนี้ จุดประเด็นความคิด ต่อคำถามนึง ที่ผมเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่า "ผมเกิดมาเพื่ออะไร ..ผมมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร" ..บอกตรงๆ นะ ถ้าเราตอบไม่ได้ มันจะค่อยๆ กลายเป็น เราอยู่เพื่อหาเงินและใช้เงิน ซึ่งมันเป็นเป้าหมายของคนทั่วๆไป ที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ

JOEL เชื่อว่า คนเราทุกคนเกิดมา โดยมี "ของประทานจากพระเจ้า" ซึ่งของประทานนี้ก็คือ ความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของเราที่มีมาแต่กำเนิด ..ถ้าพูดให้เข้าใจคือ เราทุกคนล้วนมี "พรสวรรค์หนึ่งอย่าง" ที่เราทำได้ดีที่สุด แต่สิ่งนี้ ต้องค้นหาภายในตัวเอง ..มันไม่ได้เกิดจากการเรียนหนังสือให้สูง เพราะ ระบบโรงเรียนพยายามสอนให้คนออกมา คิดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน (ระบบการศึกษาปัจจุบัน คือ โรงงานผลิตทาส ให้ท่องจำ ทำตาม เท่านั้น) ซึ่งมันตรงกันข้ามกับเส้นทางการแสวงหาพรสวรรค์ ...พูดง่ายๆ ว่า ทั้งชีวิตของคนบางคน ไม่เคยรู้เลยว่า พรสวรรค์ ของเราจริงๆ คือ อะไร ?

โรงเรียนมักจะสอนว่า พรสวรรค์ของคนคือ "ต้องเรียนให้เก่ง" ..ระบบที่เราเรียนอยู่ คือ ใครท่องจำ และ ทำตาม ได้เป๊ะสุด คุณจะเป็นเด็กเก่ง กลายเป็นคนเก่ง ...แต่ถ้าคิดจริงๆ แล้ว ทุกคนไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ทุกคนจะมีพรสวรรค์แบบ "ท่องจำ แล้วทำตาม" แบบที่ระบบการศึกษาต้องการ

คุณรู้ไหมว่า "เด็กแว้น" เกิดจาก สังคมชี้หน้าคนที่เรียนไม่เก่ง ว่าเป็นคนกระจอก เป็นขยะสังคม ...ทั้งที่คนเหล่านั้น อาจจะเก่งในเรื่องศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ ..แต่สังคมชี้หน้าเรียบร้อยว่า เรียนไม่เก่งคือ ขยะสังคม คือเด็กแว้น !!

พูดมาขนาดนี้แล้ว ...ถามจริงๆ คุณเอง เคยถามไหมว่า "ของประทาน หรือ พรสวรรค์ เฉพาะตัวของคุณ คืออะไร"

คนที่รู้ว่า "พรสวรรค์" เฉพาะตัวของเราคืออะไร ..จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ ทั้งงานที่ทำ ..จะสร้างสรรค์ผลงานที่มาจากพรสวรรค์ของตัวเอง ..มีพลังที่จะทำสิ่งนั้นไม่รู้จบ ...และ ไม่เคยคิดว่าจะเลิกทำสิ่งนั้นเลย

คุณว่า "ของประทาน ของศิลปินแห่งชาติ อย่าง อาจารย์ ถวัลย์ ดัชนี หรือ พรสวรรค์ของอาจารย์ เฉลิมชัย คืออะไร" ...นั่นแหละ เมื่อคุณเจอ คุณจะรักในงาน รักในสิ่งนั้นที่ทำ ทำแล้วโคตรจะรวย (รวยโคตรๆ) และ ไม่เคยคิดคำว่าเกษียณอยู่ในสมองอีกเลย !!


ในโลกนี้ไม่มีใครโชคร้ายเท่าเด็กคนนี้อีกแล้ว ..ตอนที่ 2 "จิตทาส"

เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางในชีวิตจะมีลาภลอยเข้ามา มากมายแค่ไหน สุดท้ายก็จะต้องกลับไปจน ตกที่นั่งลำบากในที่สุด

คุณไม่ต้องสงสัยหรอกว่า ทางแก้ ถ้าอยู่ในประเทศไทย เขาจะพาคุณไป "สะเดาะเคราห์" ..เท่าที่จำความได้ ผมว่า เราสะเดาะกันตลอดเวลา ...แก้กรรมกันถี่ กว่าเข้า 7-11 ...แต่ในที่สุดก็ยังซวยเหมือนเดิม !!

จริงๆ คนที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ ต้องรู้ว่า ในโลกนี้มีคนอยู่ 4 ประเภท คือ

1. Lift "คนที่ชอบสร้างพลังให้คนอื่น ใครอยู่ใกล้ หรือ ได้คุยกับคนเหล่านี้จะมีพลัง อยากลุกขึ้นมาสร้างอะไรบางอย่าง"

2. Trust "คนที่เชื่อมั่นในตัวของคน เชื่อว่าเรามีพลังที่จะพลิกชีวิตตัวเอง คนที่อยู่ใกล้คนเหล่านี้จะรู้สึกมีพลัง เพราะ เรารู้ว่า เขาเหล่านั้นเชื่อมั่นในตัวของเรา (แม้ว่าวันนี้เราจะไม่เอาไหนก็ตาม)

3. Weight "พวกที่ถ่วงน้ำหนัก ..พวกนี้คือ คนคิดลบที่อยู่รอบๆตัว เขาจะพูดเสมอว่า สิ่งที่เราคิดเป็นไปไม่ได้หรอก ..ทำไม่ได้หรอก ..พวกนี้อยู่ใกล้ๆ จะทำให้เราหมดพลัง สิ้นหวัง และ พยายามให้เรารับชะตาชีวิต ..รับซะเถอะ คุณมันคนติดกรรม ดวงไม่ดี ..ยอมซะ"

4. Drag "พวกดึงลง ..อันนี้หนักสุด ..เป็นพวกที่ เจอหน้าเราจะมีแต่เรื่องเศร้า เรื่องทุกข์ของคนอื่น ..วันๆ คุยแต่ปัญหา 108 ..คนเหล่านี้มักจะคุยสนุก แต่มันเป็นเรื่อง ละครน้ำเน่า ..เขาจะสรรหาแต่เรื่องที่แย่ๆ มาให้เรา ..สรุปว่าเจอคนแบบนี้ทั้งวันเราจะจิตตกตาม"

ถามหน่อย คุณเอง มองไปรอบๆ ตัวของคุณ มีคนประเภทไหนที่รายล้อม ...ใช่!! ไม่ต้องเดา คนไทยส่วนใหญ่เป็น Weight กับ Drag ..ละครน้ำเน่า เรื่องตบตี แย่งผัว เมียน้อย ทรมานหมา ข่มขืนยาย ทั้งทีวี หนังสือพิมพ์ และ สื่อกระแสหลัก และ รอง ล้วนดึงคนไทยสู่ด้านลบ ...ไม่ต้องแปลกใจที่เราจะคิดและทำอะไร จะมีคนมาแย้งว่า ทำไม่ได้หรอก ...หรือ เวลาเรื่องร้าย เขาก็จะบอกว่า ก้มหน้าใช้กรรม ไปสะเดาะเคราะห์แล้วทนต่อไป

แต่ในสังคมที่เจริญ หรือ "จิตอิสระ" จะมีแต่คน 2 ประเภท รายล้อม ..มีแต่ Lift กับ Trust จะมีแต่คนที่พร้อมจะลุกขึ้นมาแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง ไม่รอรัฐบาล ไม่บ่น และ เชื่อว่าตัวเราเองเท่านั้นที่จะยกระดับ หรือ พลิกชะตาตัวเองได้ ..คนเหล่านี้จะมี Trust มีความเชื่อมั่นในพลังของคน ..ว่าคนเรานี่แหละ สามารถทำสิ่งที่หมา แมว ไม่สามารถทำได้ คือ แก้ปัญหา เปลี่ยนตัวเอง และ เปลี่ยนคนรอบข้างให้ดีขึ้น

(แมลงสาบ เวลามันพลิก ชีวิตมันจบแล้ว มันไม่สามารถพลิกตัวกลับมาได้ โคตรซวยเลยแมลงสาบ ..แต่คนเรา ล้มแล้วลุกได้ครับ ...อย่าคิดแบบแมลงสาบ เพราะ เราน่ะลุกได้ "ล้มแล้วลุกได้ ไอ้หนู!!")

....แบบฝึกหัดที่สอง คือ ลอง List คนรอบๆ ตัวเรา ทั้ง แฟน / เพื่อน / หัวหน้า / ลูกน้อง ...ลองเอาแต่ละคนรอบๆ เรามาดูซิว่า แต่ละคนเป็น Lift / Trust / Weight หรือ Drag

เชื่อไหม เมื่อคุณทำ List ออกมาเสร็จ คุณจะเริ่มพบคำตอบว่า ทำไมชีวิตเราถึงมาได้แค่นี้ ทนทำสิ่งที่เราไม่อยากทำ ฆ่าเวลาชีวิตแล้วรอวันที่โชคดีจะวิ่งเข้ามา

แบบฝึกหัดหน้า เราจะมาคุยกันว่า เราจะเปลี่ยนคนรอบตัวเราอย่างไร ให้เราดีขึ้น ...แน่นอน !! คำตอบอาจจะฟังแล้วไม่ค่อยน่าฟังนัก

แต่นั่นคือ วิถีคนพลิกดวง ถ้าคุณอยากจะเป็น !!

ในโลกนี้ไม่มีใครโชคร้ายเท่าเด็กคนนี้อีกแล้ว ..ตอนที่ 1


เคยสงสัยไหมว่า ทำไมชีวิตบางคนเจอแต่เรื่องร้ายๆ คนรอบตัวมีแต่ปัญหา พ่อป่วย เพื่อนตกงาน ลูกติดยา นายเอาเปรียบ โรคร้ายรุมเร้า ญาติมีแต่ปัญหา ...ตอบง่ายๆ ครับ "เพราะเขา ดวงไม่ดี !!" ...จบไหม

คือ มันตอบง่ายมากๆ ว่า ถ้าเราเจออะไรมีดีในชีวิต เราก็บอกว่า "ดวงไม่ดี" มันก็จบแล้ว ไม่ต้องทำอะไร ก้มหน้าใช้กรรมต่อไป ...ไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งนั้น ทนต่อไป เดี๋ยววันนึงเรื่องร้ายๆ ก็จะผ่านไป แล้วรอเรื่องร้ายๆใหม่เข้ามาอีก ก็เพราะ เราเป็นคน "ดวงไม่ดี"

ผมไปเจอหนังสือเล่มนึง ชื่อว่า The Richest Man in Babylon หนึ่งใน Story เกี่ยวกับ ลูกของช่างฝีมือในเมือง คือ เด็กคนนี้เกิดมาในฐานะปานกลางค่อนไปทางดี ถ้าเป็นทุกวันนี้ก็ต้องบอกว่า ฐานะทางบ้านเขาคือ ชนชั้นกลางค่อนไปทางมีเงิน

เด็กคนนี้มีรสนิยมชอบใช้ของดีๆ ของแพงๆ ..วันนึงเขาพบรักกับหญิงสาวคนนึง ที่มีฐานะดีไม่แพ้กัน ทั้งสองตกลงปลงใจแต่งงานกัน ..จากนั้นชีวิตคู่ก็เริ่มขึ้น

เด็กคนนี้ออกมาสร้างชีวิตของตัวเอง ด้วยที่เขามีเครดิตดี แต่ชอบใช้ของแพงๆ ดีๆ ก็เลยสามารถยืมเงินคนอื่นมาซื้อของใช้ แล้วค่อยจ่ายทีหลัง (เหมือน Credit Card ในยุคนี้เลยทีเดียว) ...วันนึงเขาก็มาพบว่า หนี้ที่เขาหยิบยืมมามันมากเกินกว่าที่เขาจะมีปัญญาใช้คืน

"มืดแปดด้าน" เด็กคนนี้ตัดสินใจ ทิ้งภรรยาแล้วหนีหนี้ ออกไปจากเมือง ..โชคไม่ดี ที่เขาถูกจับไปเป็นทาส ..ครับ!! จากคนธรรมดาวันนี้กลายเป็นทาส

ระหว่างที่เขาเป็นทาส เขาก็พบกับทาสคนอื่นๆ ที่มีชะตาชีวิตแย่กว่าเขาเสียอีก แต่ทาสเหล่านั้นมีความสุข คือ ใช้ชีวิตในแบบทาส ..ทำงานหนัก ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะ รู้อยู่แล้วว่าพรุ่งนี้ ชีวิตก็เหมือนเดิม มีข้าวกิน ขอแค่ขยันทำงาน ชีวิตก็จะมีข้าวกินไม่ต้องดิ้นรน

เขาเกิดความสงสัยจึงถามทาสคนอื่นว่า "พวกท่านไม่คิดหรือว่า วันนึงจะปลดหนี้ตัวเอง แล้วเลิกเป็นทาส ...คนเหล่านั้นตอบว่า คนอย่างพวกฉัน ได้แค่นี้ก็ดีแล้ว อย่าไปคิดอะไรให้มันเกินตัวเลย จงมีความสุขกับสิ่งที่นายทาสให้ก็ดีมากแล้ว"

วันนึงเด็กคนนี้ได้นั่งคุยกับนายทาส แล้วเล่าเรื่องชีวิตเขาว่า เดิมทีเขาไม่ได้เกิดเป็นทาส ...คำตอบที่ได้จากนายทาส ก็คือ "ไม่ใช่หรอก คนเราจะเป็นทาสหรือไม่ มันขึ้นกับว่า วิญญาณจิตของเขาเป็นคนอิสระ หรือ เป็นวิญญาณจิตของทาส ..ไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเกิดมาอย่างไร ...วิญญาณจิตของทาสสุดท้ายจะต้องเป็นทาส ..ส่วนวิญญาณจิตของคนอิสระยังไงเขาก็จะเป็นอิสระ"

อะไรวะ ?? ...ความโคตร งง ในคำตอบ  ไม่เข้าใจ เรื่องวิญญาณจิต ว่ามันคืออะไร ?

เด็กคนนี้กลับไปนอนคิดถึงเรื่องของ "จิต" อิสระ กับ ทาส  ...อ้าว!! แล้วคุณล่ะเข้าใจแก่นของเรื่องนี้หรือไม่

"ทำไมคนที่จิตเป็นทาส ไม่ว่าจะได้เงินมา ถูกหวย ชนะการพนัน หรือ ได้ลาภลอย ..สุดท้ายเขาก็จะกลับมาเป็นทาสในที่สุด" ..ตรงกันข้ามกับ "จิตของผู้มีอิสระ ไม่ว่าเขาจะดวงซวย ธุรกิจเจ๊ง ตกงาน โชคร้าย แต่สุดท้ายเขาก็จะกลับมาเป็นคนรวย คนมีอิสระในที่สุด

อะไรคือ "จิต" นั่น ...ฝากคิด !!


น้องๆ จะเรียนจบกันแล้วนะ 15,000 บาท รออยู่ !! ..ดีใจ ?

"เหล่าเจไดทั้งหลาย น้องๆ นักศึกษา พี่ยินดีด้วยนะ ที่พวกน้องๆ กำลังจะได้เงินเดือน 15,000 บาทกันแล้วนะ ...ดีใจไหม ?"

...(บรรยากาศเงียบกริบ ไม่มีความดีใจในดวงตาของน้องนักศึกษา เสมือนว่า ผมพูดอะไรผิดหรือ ? ..ผลของการตั้งใจเรียนตลอด 20 ปีที่ผ่านมาจะส่งผลให้เราได้เงินเดือนเริ่มต้นแล้วนะ 15,000 บาท ดีใจจริงๆ ..)

ถูกครับ ไม่มีใครดีใจหรอก ทั้งนายจ้าง ทั้งลูกจ้าง ...ตอนที่รัฐบบาลประกาศค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นเป็น 15,000 บาท หลายๆ บริษัทเกือบเจ๊ง เพราะ ว่าปรับตัวไม่ทัน ต้นทุนค่าแรงขึ้น ทำตัวไม่ถูก ...แต่ถ้ามาถามลูกจ้าง น้องๆนักศึกษาที่ทุ่มเทชีวิตกว่า 20 ปี ใช้เงินพ่อแม่ไปแล้วหลายล้านบาท ว่า 15,000 ดีใจไหม ..เกือบทุกคนจะบอกว่ามันไม่พอ !!

คุณว่าอะไรคือ ปัญหา ? ...คนส่วนใหญ่ก็คงจะบอกว่า ก็ฉันไม่ได้เกิดมารวยนิ ก็เลยซวย ..เฮ้ย!! ไอ้ลูกคนรวยวันนี้มันก็หาทางออกไม่ได้เหมือนกัน ..ใช่ว่าพ่อมันรวยแล้วคนจะยอมรับ ..คุณรู้ไหมลูกคนรวย ต่อให้พยายามแค่ไหน เก่งแค่ไหน คนก็จะมองว่า ใช้เส้นสาย ..ขึ้นมาด้วยพ่อช่วย ..พวกนี้เครียดไปอีกแบบ เพราะ คนรายล้อมไม่มีเพื่อนจริงเลย ..เพราะเงินมันดึงแต่สิ่งร้าย คนร้าย คนประจบ เข้ามาเกาะหวังแต่ผลประโยชน์ ..พวกนี้ผู้หญิงก็เข้ามาหาด้วยเงิน ... "เงิน ถ้าใช้ไม่เป็น คือ อาวุธที่ทำร้ายเรานะ"

สรุปว่า ทั้งลูกคนรวย หรือ ลูกตาสีตาสา ที่จบปริญญามา ก็เจอกับปัญหาเหมือนๆกัน คือ "เราต่างไม่พอใจกับสิ่งที่เราได้รับ ...เงินน้อย ...ไม่ได้รับการยอมรับในงานที่ทำ ...ไม่มีใครเชื่อมือ ...เสนออะไรหัวหน้าก็บอกว่า ไอ้เด็กวานซืน"

ทางแก้คืออะไรดีล่ะ ?

ที่ผมเล่าให้ฟัง เพราะ ผมเจอเรื่องนี้แบบประสบการณ์ตรง ...ผมทำธุรกิจส่วนตัวเจ๊ง แล้วกลับมาของานเป็นลูกจ้าง ..ผมพยายามเต็มที่ แต่ผลคือ ไม่มีหัวหน้าสนใจความคิดของเรา ..ก็ทำไงได้ บริษัทที่เราเข้าไปทำ เขามีผู้บริหารอยู่แล้ว ..เขาแค่ต้องการ Labor ต้องการแรงงาน ..นั่นแหละ หน้าที่ของเด็กจบใหม่ !!

ทางแก้ คือ "หาจุดบอด ขององค์กรให้เจอ" เช่น ถ้าคุณเข้าไปใน บริษัท Nokia หาให้เจอว่า บริษัทเขา "อ่อน" เรื่องอะไร ทำการบ้าน คิดวิธีแก้ไข ..นั่นแหละ โอกาสในธุรกิจ ... "โอกาสในธุรกิจของเรา เกิดจากเราเห็นปัญหาที่ไม่มีคนแก้ไข"

คุณลองไปดูที่ทำงานคุณซิ ...หาดู ...จดไว้ -- นี่แหละ จุดเริ่มของการหาโอกาส ...

เจอแล้ว!! หาทางแก้ดู

วันหลัง ผมและคุณ จะต้องมาคุยกันเรื่อง การเปลี่ยน "โอกาส" เป็น "เงินล้าน"

...ผมทำได้ คุณก็ทำได้

ไปเริ่มหาก่อน !!

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลับเยอะชีวิตรุ่ง ..ฝัน !!


คุณเคยสังเกตไหมว่า ชีวิตของคนเรามันเหมือนการวิ่งมาราธอน ...ยาว ...นาน ในช่วงทุกข์ ..ช่วงสุข แป๊บเดียว -- เซ็งเลยอ่ะ !!

พูดง่ายว่า ถ้าเราตั้งเป้าจะวิ่ง 100 กิโล เราวิ่งไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็จะถึง 100 กิโล ..ส่วนบางคนบ้าหน่อย ตั้งเป้าวิ่งสัก 1,000 กิโล ก็วิ่งไปเรื่อยๆนั่นแหละ มันนานขึ้น แต่เดี๋ยวมันก็ถึงในที่สุด ..บางคนโคตรบ้า มันตั้ง 100,000 กิโล ตั้งปั๊บคนส่วนใหญ่บอกเลยว่า "คุณทำไม่ได้หรอก" ..ใช่!! วันนึงเขาก็ไปถึง

จริงๆผมจะบอกว่า ชีวิตเราความรวยของเรา ความสำเร็จ เราเองคือคนตั้งขอบเขตของมัน ..มันคือ "ขนาดของความฝัน" ที่แต่ละคนจินตนาการไว้ แล้วก็วิ่งไปให้ถึง

ความเก่ง ของแต่ละคน มันไม่ได้แตกต่างกันมากหรอกครับ ..มันต่างกันที่เรากำหนดเป้าหมาย แล้ววิ่งตามฝันของเรา 

บางคนจึงมีชีวิตที่เรียบง่าย มีบ้านหลังเล็กๆ มีความสุขกับงานที่ทำ แล้วก็อยู่อย่างพอเพียง ก็เพราะเราอยากที่จะได้แบบนั้น เรากำหนดระยะทางฝันตั้งแต่เริ่มวิ่งแล้ว ..ไม่ผิด

แต่ที่ผิด คือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดชีวิตในสิ่งที่ตัวเองเป็น และก็ไม่พอใจในสิ่งที่เป็น แต่หาทางออกไม่ได้ นั่นแหละผิดที่เราเอง

ครับ จุดเริ่มของคนที่อยากมีอนาคต ก็คือ "ขยายขอบเขตของฝัน ไปพร้อมๆกับการเพิ่มความรู้"

ตั้งเป้าเล็กๆ จากการหาหนังสือดีๆ มาเติมฝัน และ แรงบันดาลใจ ...จะร้อยล้าน พันล้าน มันก็เริ่มจากจุดเล็กๆ ตรงนี้แหละ

 "เศรษฐี ผู้ยิ่งใหญ่ คนเปลี่ยนโลก ล้วนแต่เป็นนักอ่านตัวยงทั้งสิ้น"

สัปดาห์หน้าคุณจะอ่านหนังสือดีๆ กี่เล่มดีครับ ?



วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

แค่เปลี่ยน "ความคิด" ชีวิตก็เปลี่ยนแล้ว ...เปลี่ยนดิ !!

"เมื่อฉันโตขึ้น ..ฉันจะเป็น .." ...ตอนเด็ก เราทุกคนอยากเป็นนุ่น เป็นนี่ แต่ยิ่งโต คำถามนี้ยิ่งตอบยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ รู้ความจริงว่า เป็นอย่างที่ฝันไม่ได้ ต้องก้มหน้าทนทำงานที่ไม่ชอบ ใช้ชีวิตไปอีกวัน ...เหมือนจะไม่มีทางออกเลย คุณว่าไหม ?

ถ้าผมจะบอกคุณว่า จริงๆ แล้วทุกคนสามารถ เลือกได้ว่าตัวเอง อยากทำ อยากเป็นอะไร แถมกำหนดเงินเดือน และ เวลาในการทำงานได้ด้วย ...โกหกแล้ว !! ไม่มีทาง !!

เคยสงสัยไหมครับว่า ทำไมโลกนี้มีคนรวยมากมาย และ ก็มีคนจนมากมายเช่นกัน ...และยิ่งสมัยนี้ เกือบ 70% คนรวยมากๆในโลก เขาสร้างตัวด้วยตัวเอง ที่เรียกว่า Self-Made นั่นแหละ ...คุณสงสัยไหมว่า คนเหล่านี้ ที่ไม่ได้เกิดมามีพ่อแม่รวย เขาสร้างตัวเอง พลิกชีวิตได้อย่างไร

"มันเอาเปรียบคนอื่น!!" ..."มันเส้นสายดี" ..."มันโชคดี"  ...ผมเห็นคนส่วนใหญ่ที่ไม่สำเร็จก็มักมีข้ออ้างแบบนี้มาปลอบใจตัวเอง อ้างว่าคนเหล่านั้น เอาเปรียบ ใช้เส้นสาย และ ดวงดี

แต่คุณไม่คิดเหรอว่า เราเองน่ะ สามารถ ดวงดี และ มีเส้นสายดีได้ไม่แพ้คนเหล่านั้น และ เราก็สามารถเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้วันนี้เลย

ขั้นที่หนึ่ง "เปลี่ยนความคิด" ... การเปลี่ยนความคิดแบบง่ายๆ อย่างแรก คือ หนึ่ง เลิกดูทีวี เพราะ ทีวีมีแต่โฆษณาที่จะทำให้เราเป็นผู้บริโภค นักจ่ายเงินตัวยง ที่ทำเงินไม่เคยพอใช้ เพราะ ยิ่งดูทีวียิ่งอยากซื้อของ วันๆ คิดแต่เรื่องจ่ายเงิน ใช้เงิน ซื้อของ บริโภค ..ผลคือ อ้วน ..และ บ้านมีแต่ขยะที่ไม่ได้อยากได้

จริงๆ ..ให้เลิกดูทีวี แล้วไปอ่านหนังสือ ..คนเขียนหนังสือ เขาไม่ได้มีโฆษณา ดังนั้น เป้าหมายของคนทำหนังสือ คือ สร้างประโยชน์ให้คนอ่าน ให้เขาเปลี่ยนความคิดแล้วลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างในชีวิต ..นี่แหละขั้นแรกของการเปลี่ยนชีวิต -- มีหนังสือ เล่มไหนหรือเปล่า ที่คุณอ่านแล้วอยากลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิต ...ถ้าไม่มี จัดไป "คิดแบบภาววิทย์" ..เข้าข้างตัวเอง แต่ดีนะ ขอบอก.. 555

ขั้นที่สอง "สะสมหนังสือ ในเรื่องที่เราสนใจ" ..นี่ก็คือ การสะสมความรู้ เพื่อที่ความรู้นี้ จะยกระดับโอกาสในชีวิต ...คุณรู้เปล่าว่า ผม "ภาววิทย์" เป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่มีชื่อเสียง ทั้งที่ไม่ได้เรียนจบทางการเงิน ..ผมศึกษาหุ้นเอง จากสะสมหนังสือหุ้น และ การลงทุน ..นี่แหละที่ผมเริ่มเรียนรู้

ขั้นที่สาม "ปฏิบัติจริง ในสิ่งที่เลือกจะทำ" ...เฮ้ย!! ตรงๆ ไม่มีใครเกิดมาแล้วเก่งเลย ทุกคน "อ่อน"(เม่า) ตอนแรกเสมอ ...อยากเก่ง ต้อง "อ่อน" ก่อน ...ลุยเลย แต่ใช้เงินน้อยๆ แล้วเปิดใจเรียนเยอะๆ ...การปฏิบัติจะทำให้เราเข้าใจ ในสิ่งที่เราจะทำ ..อย่างมากก็แค่ "เจ๊ง" กลัวไรฟระ !! ...คนเราล้มแล้วก็ลุกได้ กลัวอะไร ..ถ้าไม่ล้มก็ขี่จักรยานไม่เป็น ...ถ้าไม่สำลักน้ำ ก็ว่ายน้ำไม่เป็น ...ไม่เล่นหุ้นจริงๆ จะลงทุนเป็นหรือ ? ..อยากเป็นเศรษฐี ต้องทำเป็นในสิ่งที่เศรษฐีเขาทำ

ทำงานหนัก ไม่ได้ทำให้รวย ...แต่ทำงานฉลาด ต่างหากที่ทำให้รวย

ลองดู ไม่ยากเกิน ความตั้งใจ และ ใจสู้ที่คิดเริ่ม

"เปลี่ยนความคิดซะ ชีวิตเรา เรากำหนดเอง ไม่มีเทพเจ้ามาช่วยเรา จนกว่าเราจะเริ่มคิดช่วยตัวเอง ...ถ้าทำงานหนักทำให้คนรวย ทาสคงรวยที่สุดในโลก ...ให้ค้นหาสิ่งที่รักให้เจอ ศึกษา และ ลงมือทำ อย่างฉลาด!!"

เอาใจช่วย จัดไป !!
 


เรียนจบต้องเปิดร้าน ...ยิ่งเปิดเร็วยิ่งรวย ..แน่ใจเหรอ ?

วันนี้มีนิตยสารมาสัมภาษณ์ เรื่องโอกาสของคนรุ่นใหม่ ...คือ มันมีอยู่ด้วยหรือ หลายๆคนถาม ?
เพราะวันนี้งานที่เปิดรับในบริษัท มันมีแต่ "แรงงาน" (เยี่ยงทาส) แถมมองไม่เห็นอนาคต คือ มองไปบนบันได Career Path มันทอดไปไกลสุดตา คือ ประมาณว่าคิดไม่ออกเลยว่า เงินเดือนฉันจะพ้น 15,000 บาท อีกกี่ปี ...แล้วต้องทนทำสิ่งที่ไม่ชอบ และ มองไม่เห็นอนาคตในตำแหน่งนี้อีกกี่ปี

ผมก็เล่าให้นิตยสารฉบับนี้ฟังว่า โอกาสของคนรุ่นใหม่ อยู่ในองค์กร มันต้องเข้าไปหาเพชรในตรม ...คุณทราบไหมว่า นวัตกรรมและ Innovation ใหม่ๆ ที่เปลี่ยนโลก สร้างเศรษฐี มันไม่ได้เกิดจากเด็กอัจฉริยะ แต่เกิดจากคนอย่างคุณและผมนี่แหละ

ใช่!! ภาพในหนัง เราอาจจะเห็นว่า Bill gates หรือ Mark Zuckerberg เขาเก่งเกินมนุษย์ แล้วพอมามองดูตัวเรามันห่างไกลมากๆ เอาว่า คอมพิวเตอร์อย่าให้เขียนโปรแกรมเลย แค่ใช้ธรรมดายังไม่ค่อยจะได้เรื่อง จะให้ฉันมาเขียนโปรแกรมเปลี่ยนโลก คงเป็นไปไม่ได้ ...นั่นแหละถูกต้อง ..ที่จะเล่าให้ฟังคือ จริงๆ เศรษฐีที่สร้าง Innovation และ เปลี่ยนอุตสาหกรรม สร้างสิ่งใหม่ๆ ส่วนมาก ก็เกิดจากการมองอะไรง่ายๆ ที่คนอื่นเขามองข้ามกัน

อย่าง UBER มันคือ App เรียก TAXI ถามหน่อย นวัตกรรมตรงไหน เราก็เรียกแท๊กซี่กันอยู่แล้ว เพียงแต่อันนี้มันเป็น Global แล้วเอา Technology เช่น การติดตามตัว การ Track เส้นทาง เพิ่มความพอใจทั้งคนขับและผู้โดยสารเพิ่มขึ้น ก็เท่านั้นเอง ..แค่เนี้ย มูลค่า UBER วันนี้มากกว่า PTT บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเสียอีก

คิดอะไรให้มันซับซ้อนเล่า ...เอาแค่คิดเรื่องง่ายๆ แก้ปัญหา สินค้าและบริการรอบๆตัวที่มันไม่ได้เรื่อง ...ผมบอกเลยนะ ถ้าคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเข้าไปทำงานในบริษัทต่างๆ จะเห็นเลยว่า บริษัทในประเทศไทย ทำหลายๆอย่างไม่ Make Sense ไม่ได้เรื่องว่างั้น ...แต่เผอิญเขาไม่มีคู่แข่ง ลูกค้าก็เลยต้องทนๆใช้สิ่งที่ไม่ได้เรื่อง ...แต่คิดดูซิ ในปัจจุบัน ทุกอย่างที่องค์กรทำไม่ได้เรื่อง หากเราเอา technology มาใส่ ช่วยบริการลูกค้า ด้วยการนำ Technology มาเพิ่มความสะดวก ลดต้นทุน และ เข้าถึงคนแบบ Online คุณสามารถสร้างธุรกิจด้วยคนไม่กี่คน แต่แก้ปัญหาให้คนเป็นพันเป็นหมื่นคน ..นี่ก็คือ จุดเริ่มของธุรกิจ Start-Up แล้ว

สิ่งที่น่ากลัวมาก คือ เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยากมีธุรกิจส่วนตัว แต่พอถามว่าทำอะไร เขาก็ตอบ ไม่หนีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ขายน้ำ ขายเสื้อผ้า ขายขนม ..ถ้าลูกคนรวยก็ทำ Community Mall หรือ บูติกโฮเทล ..บอกตรงๆ นะ ที่เด็กเหล่านี้สามารถกู้ธนาคารได้ ไม่ใช่เพราะ แผนธุรกิจมันเข้าท่า แต่เพราะพ่อมันรวย ..ธนาคารรู้ว่า เดี๋ยวพอเด็กเหล่านี้มาทำธุรกิจแล้วเจ๊ง ก็ไปทวงหนี้กับพ่อมัน ..."เศร้าป่ะ ?"

ใช่!! เริ่มธุรกิจส่วนตัว ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ มัน Red Ocean คือ ทำไปก็เจ๊ง เพราะ มันไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลยที่คุณจะมาทำธุรกิจที่ใครๆก็เปิดได้ ขอให้มีเงิน แล้วอยากจะเจ๊ง ก็เปิดเลย ...แต่จริงๆ การสร้างธุรกิจคือ หาช่องว่าง หาโอกาส และ ประเด็นสำคัญคือ คุณไม่มีทางเห็นโอกาสจากการนั่งเทียน หรือ อยู่ดีๆ ก็คิดได้ ...ไม่ง่ายอย่างงั้น

มันต้องเริ่มจากเราไปเป็นลูกจ้าง แล้วเราเห็นว่า สิ่งที่มีอยู่ ไม่ว่าสินค้าและบริการ อะไรที่ไม่เข้าท่า แล้วเราจะทำให้ดีกว่า ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าอย่างไร ...นี่ต่างหากโอกาส

โอกาสอยู่ที่เราเข้าไปคลุกฝุ่น เข้าไปลงมือทำ ...ลองมองดีซิ ผมว่าในสิ่งที่คุณทำ มีโอกาสนะ !!




วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เงินไม่ได้ช่วยให้เราฉลาด แต่ความฉลาดต่างหากที่ช่วยเราหาเงิน

เส้นทางสู่ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้าในโลกปัจจุบัน มันทำไม มองไม่เห็นทางฟระ ?

น้องๆหลายคน มาถามเคล็ดลับว่า "อยากได้เงินล้านแรก ทำอย่างไรพี่"

"ผมสวนไปเลยว่า โจทย์ที่ตั้งก็ผิดแล้ว ..เพราะเงินล้านแรก จะว่ายากก็ใช่ คนส่วนใหญ่แทบไม่มีโอกาสจับเงินล้านในชีวิต ..แต่เรื่องที่แปลกกว่านั้นคือ ถ้าใครหาล้านแรกได้ ล้านต่อๆไปจะค่อยๆ ตามมา -- คุณว่าเคล็ดลับมันคืออะไร?"

จริงๆแล้ว เรื่องนี้แปลก คุณลองไปดูคนรวยส่วนใหญ่เขาแทบไม่ได้ตั้งเป้าหมายเป็นเงินเลยสักคน แต่เขาตั้งเป็น สิ่งที่อยากจะทำ 

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณเข้าตลาดหุ้นแล้วใจจดจ่อกับเป้าที่เป็นจำนวนเงิน คุณมักไปไม่ถึง เพราะมันเหมือนเราไปผูกอารมณ์กับตัวเลขซึ่งมันทำให้เราทั้งโลภและกลัว สุดท้ายเราจะพยายามซื้อขายให้เร็ว แล้วมีแนวโน้มที่เราจะวิ่งเข้าหาหุ้นปั่นเพราะ การแกว่งขึ้นลงที่ร้อนแรง และนั่นคือ จุดจบของเป้าหมายที่เป็นตัวเลข

ตรงข้ามกัน หากเราตั้งเป้าหมายเป็น สิ่งที่อยากจะทำ เราจะมุ่งเป้าไปที่การเรียนรู้ ..และ การตั้งเป้าที่การเรียนรู้นี่เอง ที่พัฒนาให้ตัวเรามีความพร้อมจะรับเงินล้านในที่สุด

ใช่!! จงเปิดรับ กับ การพัฒนาความรู้ ลดเป้าเรื่องเงินที่เป็นตัวเลขลง ..แล้วเราจะพบว่าเงินล้านแรกไม่ได้ยากอย่างเราคิด !!

"เงินไม่ได้ทำให้เราฉลาด การได้ลาภลอยหรือถูกล๊อตเตอรี่จึงไม่เคยทำให้ใครรวยจริงในระยะยาว ..แต่ความรู้ต่างหากที่ทำให้เราได้เงินจริงๆ -- พัฒนาความรู้และประสบการณ์การลงทุนแล้วเงินจะค่อยๆวิ่งเข้ามาเอง" 

..เราไม่ต้องพึ่งดวง แค่อาศัยการเปิดใจเรียนรู้ และพัฒนาตัวเอง

ลาออกซะถ้าอยากรวย ปะทะ เป็นลูกจ้างก็รวยได้ ..เอาไงฟระ ?


"ต้องลาออกถึงจะรวย" กับ "เป็นลูกจ้างก็รวยได้" ...ตกลงเชื่อใครดี ?

เอางี้ คุณเคยเห็นเจ้าของธุรกิจมากมายที่ไม่รวยไหม ..เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ทำงานหนักกว่าลูกจ้าง ..เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ไม่มีวันหยุด ที่บอกว่าชีวิตอิสระ คือ 24 ชั่วโมงคืองาน ..เมื่อเราเป็นเจ้าของ บ้านและงาน จะรวมเป็นหนึ่ง -- ทำงานตลอดว่างั้น ..บางคนลองเอาเวลาที่ตัวเองทำงานหารชั่วโมง ออกมาได้เงินน้อยกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ..บระเจ้า !!

จะบอกว่า ไม่ใช่ เจ้าของธุรกิจทุกคนที่รวยและสบาย 

ในฝากลูกจ้าง มีพนักงานบางคนที่ หนึ่ง เงินเดือนสูง สอง มีเวลาอิสระ และสาม ไม่มีอนาคตในองค์กร ..เอ๊ะ !! ข้อ 1,2 ดูดี แต่ข้อ 3 แปลกๆป่ะ "ไม่มีอนาคตในองค์กร" ..ใช่!! ก็คือ ดันทำงานในสิ่งที่องค์กรไม่เคยมีตำแหน่งนี้มาก่อน ...งานเลยไม่เหมือนใคร (เดี๋ยวนี้องค์กรต้องการสร้างตำแหน่งที่ผมพูดถึงจำนวนมากมาย เพราะต้องการเปลี่ยนตัวเอง คิดนอกกรอบ และพยายามปรับตัวให้ทันอนาคต ไม่เช่นนั้น อาจเจ๊งแบบ Nokia และ Kodak)

สรุป จะ "ลาออก" หรือ "เป็นลูกจ้างต่อ" ก็รวยได้ทั้งนั้น ..สิ่งสำคัญกว่า คือ คุณมีแนวคิดที่เป็น ผู้นำหรือยัง ...เพราะ "ผู้นำ" อยู่ที่ไหนก็รวย 

หลักการเป็นผู้นำ คือ

หนึ่ง "นำ" คิดและทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ 

สอง "สร้างงาน" ..ผู้นำคิดแต่สร้างงาน สร้างสิ่งใหม่ 

สาม "มีเป้าหมายที่ชัดเจน" ..คนทั่วไปทำงานไปเรื่อยๆ รอวันหยุด จะได้พัก ..แต่ผู้นำ เขานำทีมเดินทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย ..ผู้นำมีเป้าหมาย แต่ผู้ตามทำตามเป้าหมายของผู้นำ

สี่ "รับผิดชอบ" ผู้นำ ต้องนำหน้าเวลาไปรบ รับผิดชอบทุกอย่าง ..ผู้ตามอยู่ในความรับผิดชอบของผู้นำ ..ลองมองไปรอบๆซิ คนที่รับผิดชอบมักจะขึ้นมาเป็นผู้นำ

ห้า "คิดเผื่อคนอื่น" ..ผู้ตามคิดแค่ตัวเอง ผู้นำคิดเผื่อคนอื่น ..นี่แหละคนมีเสน่ห์ เพราะคิดให้คนอื่นได้ดีด้วย

ใช่!! จะลาออกหรือไม่ออกไม่สำคัญ ขอให้เริ่มเปลี่ยนให้ตัวเราเป็นผู้นำที่ดีเสียก่อน 

โลกจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม โลกก็ยังคงต้องการ "ผู้นำ" ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าลุกขึ้นมาเดินไปข้างหน้า แม้ทางจะดูมืด เพื่อให้คนอื่นเดินตาม

ลองดูซิครับ ..ถ้าคุณกล้าเดิน เดี๋ยวก็มีคนกล้าตาม !!

ท่านผู้นำ !!



วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"พ่อรวยยุคนี้เหนื่อย เพราะ เงินดึงดูดแต่สิ่งร้าย ดึงดูดแต่สิ่งไม่ดีเข้าหาลูก"

"พ่อรวยยุคนี้เหนื่อย เพราะ เงินดึงดูดแต่สิ่งร้าย ดึงดูดแต่สิ่งไม่ดีเข้าหาลูก" ...เรื่องนี้ไม่ได้ตลก ..หลายคนมองว่า "เงินคือ สิ่งที่ดี" แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เสมอไป

วันนี้ถ้าคุณอยากให้เด็กไม่ฉลาด คุณโยนเงินให้มันเลย ... "มันจะโง่ทันที เพราะ เงินมันเหมือนอาวุธ ..ถ้าใช้ไม่เป็น ไม่รู้วิธีใช้ ..เงินจะดึงสิ่งร้ายเข้าหาเรา ..เงินจะดึงคนที่อยากได้ผลประโยชน์ มาหลอกเงินเรา ...ผู้ร้ายจะวิ่งเข้ามา ...เราจะหลงระเริง คิดว่า คนรอบข้างที่เข้ามาจริงใจกับเรา แต่ที่ไหนได้ เขาเข้ามาเพื่อขอผลประโยชน์ ..คนเงินมากที่ไม่ระวังตัว จะมีแต่พวกที่สอพลอ มีแต่พวกปลิง มีแต่พวกยุยง ให้ท้าย ให้เราหลงระเริง" ...บทสรุป ของ การได้เงินมาในเวลาที่เราไม่พร้อม คือ "อันตราย และ หายนะ"

ดังนั้น ก่อนจะได้เงิน ต้องเตรียมพร้อมให้ เรามีความพร้อมในการเข้าใจเงิน ..แล้วเงินจะวิ่งเข้ามาเราเอง !!

จริงเหรอ "เงินจะวิ่งเข้าหา คนที่พร้อมจะดูแลเงิน" ...โอเค งั้นบอกมาตรงๆ เลย ว่า ต้องมีคุณสมบัติิอย่างไรบ้าง ถึงจะเรียกว่า "เราพร้อมที่จะดูแลเงิน"

โอเค คนที่ "พร้อมจะดูแลเงิน" เงินทองจะวิ่งเข้ามาหาเขาแบบไม่ขาดสาย ..บ้าไปแล้ว !! ..ต้องมีลักษณะดังนี้

หนึ่ง เขารู้ว่าเงินคือ "อาวุธ" ดังนั้น จะสะสมเงินอย่างระวัง และ ไม่หลงกับเงิน ...การรู้จักเงิน คือ ต้องรู้ว่า เงินวางเฉยๆ ลดมูลค่า ยิ่งโลกยุคนี้ มูลค่ายิ่งลดเร็ว เขาจะหาโอกาสเอาเงินไปวางให้ทำงาน โดยหาโอกาสวางเงินใน Asset เสมอ

สอง เขารู้ว่า เงินวิ่งเข้าหา คนที่เป็น "ผู้นำ" ..เขาจะทำงานเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำ ...คนทั่วไป ทำงานเพื่อเป็นผู้ตาม รอรับคำสั่ง แต่คนเหล่านี้ รู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร เขาเป็นคนกำหนดชีวิตของตัวเอง ..และคนเหล่านี้แหละ ที่บริษัทต่างๆ พยายามหาตัว และ เชิญเขาไปเป็นผู้บริหาร -- คนเหล่านี้ เงินเดือนแพงมาก และ ไม่เคยต้องหางาน ..บริษัทต่างๆ แย่งกันจ้างเขา

(คุณรู้ไหม คนเหล่านี้ ก็เริ่มทำงานจากพนักงาน ระดับล่าง เหมือนคุณและผม ..แต่เขารู้เสมอว่า เขาต้องการอะไร และ เขาต้องทำอะไร ในขณะที่คนส่วนใหญ่ ไม่รู้ว่าตัวเอง ต้องการอะไร และ ก็ไม่รู้ว่า ตัวเองต้องทำอะไร ...ทุกๆวัน เขาจะเดินไปหาหัวหน้า แล้ว ถามว่า "วันนี้ให้ผมทำอะไรครับ" ...นี่แหละ "แรงงาน" ราคาถูก ..ของานหน่อยครับหัวหน้า !!

 -- แรงงานระดับผู้นำ วันนี้บอกองค์กร บอกบริษัท ว่าต้องทำอะไร ..มันเปลี่ยนไปแล้วนะ)

สาม คนเหล่านี้มีความสุขกับการหาเงิน เพราะ งานของเขาสนุกและท้าทาย "เป็นผู้นำ เป็นผู้ท้าทายระบบเก่า เป็นผู้ตั้งคำถาม เป็นนักเปลี่ยนแปลง" ..งานเขาสนุกจนลืมใช้เงิน ...แต่คนส่วนใหญ่ งานที่ขายแรงงาน ทำตามคำสั่ง เป็นงานที่น่าเบื่อ วันๆ อยากกลับบ้านไปดูทีวี เพื่อที่จะโดนโฆษณากระตุ้นให้ไปซื้อของจ่ายเงิน ...ชีวิตรอแต่วันหยุด เพื่อจะได้เที่ยว จะได้ใช้เงิน ..."ใช้ เงิน ...เอาแต่ใช้เงิน แล้วเงินที่ไหน มันจะอยู่กับคุณเล่า ...ก็จนดิครับ ...555"

...."คุณรู้ไหม ผู้นำ คืออะไร" ...ใช่!! ผู้นำ คือ คนที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และ ทำไปเพื่ออะไร ...แค่นี้ก็เป็นผู้นำแล้ว ...เพราะ คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า ชีวิตต้องการอะไร และ ก็ไม่รู้ว่าที่ทำทุกอย่างตั้งแต่เช้าจดเย็น มันทำไปเพื่ออะไร

ผู้นำ คือ คนที่คุณคุยด้วย แล้ว คุณเกิด "แรงบันดาลใจ" เพราะ เขาตอบคำถามได้ ในสิ่งที่คุณตอบไม่ได้

เขารู้ว่าเขาต้องการอะไร ...และ เขาก็รู้ว่า งานที่เขาทำ ทำเพื่ออะไร

ผู้นำ คือ คนที่อยากให้คนรอบข้าง ได้ดี ..เขาจะพยายามคิด เผื่อคนอื่น ...ในขณะที่คนส่วนใหญ่ คิดแค่เพื่อตัวเอง แต่ผู้นำ คิดเผื่อคนอื่น ...คิดอย่างไร ทำอย่างไร บริษัทที่ฉันอยู่จะดี ลูกค้าจะชอบ และ ขายสินค้าได้ดี Happy ทั้งคนซื้อและคนขาย

"คนที่ตั้งเป้าเอาแต่เงิน ชาตินี้ไม่เคยรวย ...แต่คนที่คิดเผื่อคนอื่น มักกลายเป็น ผู้นำ ที่รวยทุกคน"

โลกเปลี่ยน คุณยังคิดแบบ "กรูเอา ทุกอย่างของกรู" หรือ คุณจะคิดแบบผู้นำ ที่ยิ่งให้ ยิ่งได้ !!

พ่อแม่ที่ทุกข์ที่สุด คือ พ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้ดี





"พ่อแม่ที่ทุกข์ที่สุด คือ พ่อแม่ที่อยากให้ลูกได้ดี" ..คุณว่าคำพูดนี้ แรง ไหม ?

ผมว่ามันโคตรตรง ..ผมเองจริงๆ ทำหน้าที่ "พ่อแม่คนที่สอง ในฐานะ อาจารย์ที่สอนลูกศิษย์ เราก็หวังจะให้ลูกศิษย์ได้ดี" แต่นั่นคือ ปัญหา !!

ผมเห็นพ่อแม่ ส่วนใหญ่ทะเลาะกับลูก โดยเฉพาะลูกที่เป็นวัยรุ่น เพราะ พ่อแม่อยากให้ลูกได้ดี ...แต่คิดดีๆนะ ที่เราบอกว่า อยากให้ลูกได้ดี ก็แปลว่า "อยากให้ลูกได้ดั่งใจเรา" ..นี่คือ ปัญหาในเรื่องของความคิดเลย

ผมถามหน่อยเถอะ ว่า ในชีวิตคุณ คุณเคยเปลี่ยนคนอื่นได้ไหม ...ใช่!! "เปลี่ยนไม่ได้" ไอ้ที่เราอยากให้แฟนเปลี่ยนเป็นคนดีได้ดั่งใจก็ไม่เคยทำได้ คนเราเป็นยังไง มันก็เป็นอย่างนั้น ...การที่คนเราจะเปลี่ยน มันมีอย่างเดียว คือ คนๆนั้นเขา อยากจะเปลี่ยนตัวของเขาเอง เท่านั้น

"คนเราจะเปลี่ยน เมื่อเขาเองนั่นแหละ อยากเป็นตัวของเราเอง"

ดังนั้น มันเสียเวลา และ เสียสุภาพจิต ในการที่เราพยายามไปเปลี่ยนคนอื่น ให้ได้ดั่งใจเรา เพราะ มันเป็นปัญหาโลกแตกสร้างแต่ทุกข์

เอาอย่างนี้ครับ อย่างแรก "ทำใจก่อน" คิดไปเลยว่า เราทำดีที่สุดแล้ว เขาจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง "ปล่อยวาง"

สอง "วางแผน เปลี่ยนความคิดเขา" ..อันนี้มีแผน มันต้อง แยบยล แบบเนียน เช่น เอาเขาไปฟังสัมมนา เอาหนังสือให้เขาอ่าน ...ตรงนี้เป็นเรื่องยากเพราะมันเป็น Process ของการเปลี่ยนความคิด

ชีวิตผมเปลี่ยน จากอ่านหนังสือ เล่มนึงคือ Rich Dad , Poor Dad ...แต่ถ้ายุคนี้ ต้องเอา "คิดแบบภาววิทย์" ให้เขาอ่าน (ฮ่า ฮ่า)

โจทย์นี้ไม่ง่าย เพราะ เราต้องเปลี่ยน "ความคิด" ของเขา ..ชีวิตเขาถึงจะเปลี่ยน

ลองวางแผนดูครับ "เปลี่ยน Mindset" ถ้าทำไม่ได้ หาเครื่องช่วย แบบแยบยล

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

น่าคิด "ทอง หรือ ขยะ" ที่เราอยากได้จริงๆ


เรื่องแปลกที่คุณควรเก็บไปคิด !! 

สินค้าส่วนใหญ่ที่เราซื้อ สุดท้ายมันเป็นขยะ แต่ทำไงได้ ก็มันซื้อแล้วมีความสุข ..แต่สิ่งของบางอย่าง เป็น Asset สิ่งเหล่านี้คนจนไม่ซื้อเพราะบอกว่าไม่มีปัญญา ..จริงๆ มันแค่ข้ออ้าง เพราะจริงๆ เขาแยกไม่ออกว่าอะไรคือขยะ และอะไรคือ Asset

คนที่รวยเพราะเขาแยกออกระหว่าง Asset กับ ขยะ ถึงได้สะสม Asset จนกลายเป็นคนรวยในที่สุด 

เรื่องแปลกอีกข้อ คือ เวลาเราซื้อของเรารอมัน Sales ลดราคา "ใช่!! ซื้อขยะให้ถูก ต้องรอให้ห้างลดราคา Grand Sales"

ส่วนตลาดหุ้น "เหมือนเป๊ะ!!" ย้ำว่า เป๊ะ คือ คนส่วนใหญ่ไม่ซื้อหุ้นดี แต่ซื้อหุ้นขยะหรือหุ้นปั่น

คือ ซื้อแต่ของเน่า ..แล้วดันซื้อตอนมันขึ้นราคา ..ตอน Sales ก็ไม่เอา กลัว กลัว 

แปลกไหม !! ..ลองคิดดูครับ ผมว่า นี่คือแก่นของการทำกำไรง่ายๆจากตลาดหุ้นเลย

คือ ซื้อหุ้นดี ซื้อตอนมัน Sales แล้วทนรวยให้นานที่สุด ...ผ่าน Step นี้ได้ก่อน แล้วค่อยๆ ต่อยอดเรื่อง เครื่องมือ หรือ การเล่นรอบต่อไป 

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คุณกำลังเลียนแบบใครอยู่รึเปล่า ?


ในโลกที่ใครๆ ก็เก่ง ใครๆ ก็ขยัน ..มันเหมือนโอกาสไม่มีเหลือสำหรับคนรุ่นใหม่  

แต่สิ่งที่เราไม่ค่อยมองกันคือ "ความแตกต่าง" ยิ่งเรามีความรู้สูงขึ้น เรายิ่งมองข้ามความแตกต่าง 

..เราตัดสินใจอะไรบนความรู้ชั้นสูงที่เรามีเพียงคิดว่ามันตรงตามตำราที่เรียนมา 

ก็คือคนเดี๋ยวนี้ทำอะไรเหมือนๆ กัน ลงทุนแบบเดียวกัน ซื้อของแบบเดียวกัน แล้วก็บ่นแบบเดียวกันว่า "งานไม่รุ่ง เงินไม่ดี หนี้ก็มาก"

ก็เพราะคิดและทำตามๆ กัน จึงซื้อหุ้นในเวลาที่แย่ ขายหุ้นในเวลาที่แย่ ซื้ออะไรก็ผิดจังหวะ ลงทุนอะไรก็ซวยไปหมด ..หาโอกาสและช่องว่างก็ไม่เจอ ก็เพราะมองไปในสิ่งที่คนอื่นๆ เขาก็มองกัน

ทางแก้ คือ ลองคิดว่า อะไรที่คนส่วนใหญ่เขาไม่คิด เขาไม่ทำ นั่นแหละโจทย์แรกของโอกาส

เอ๊ะ!! เห็นแต่ เรื่องที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นไปไม่ได้ เรื่องบ้าๆ เรื่องยากๆ และ ก็เห็นแต่วิกฤตครับ ที่คนส่วนใหญ่หลีกหนี 

..อะไรที่คนส่วนใหญ่คิดว่าดี เขาก็คงทำไปหมดแล้ว -- หัดมองในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่มอง แล้วคุณจะพบว่า วันนี้คือ สุดยอดโอกาสของคนรุ่นใหม่ !! 

 ..Zero to One ไง -- "ความสำเร็จ มีเพียงหนึ่งเดียว ..จะไม่มี Bill Gates สองที่สร้าง Window ..จะไม่มี Larry Pages สอง ที่สร้าง Google ..จะไม่มี Mark Zuckerberg สองท่ีสร้าง Facebook ..คุณกำลังพยายามสำเร็จตามแบบใครอยู่รึเปล่า ..ตื่นซะ คุณต้องไม่เหมือนใคร !!

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ครูผู้ไร้ความปราณี !!



เราทุกคนมีวันนี้ได้ ก็เพราะคุณครูทุกๆ ท่านที่สอนวิชาความรู้ ..แต่มีคุณครูอยู่ท่านนึง ที่หลายคนมองข้าม ..เพราะท่านดุมาก ..ไม่ซิ ท่านดุโคตรๆ ..แต่คุณครูท่านนี้ยิ่งดุเท่าไหร่นักเรียนยิ่งได้ดี !!

ครับ!! คุณครูท่านนี้ ชื่อ ว่า "ความล้มเหลว" ..ในประเทศไทยอาชีพครูเป็นอาชีพที่ไม่มีใครอยากทำ เพราะ เงินน้อย และ เหมือนเรือจ้าง ส่งเด็กถึงฝั่งแล้ว ถูกถีบหัวส่ง ..แต่ผมไม่คิดแบบนั้น ผมว่า ในยุคนี้ อาชีพครูนี่แหละสามารถรวยได้มากที่สุด เพราะ เราเข้าสู่ยุค Information ที่ "ปัญญา = ความสำเร็จ"

คำนึงที่แรง และ โดนใจผมมากคือ "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" เพราะผมเจอมาแล้ว ..เด็กเกียรตินิยมอย่างผมเคยทำหลายๆ ธุรกิจล้มไม่เป็นท่า ..พอกลับมาทำงานเป็นลูกจ้างก็มองไม่เห็นโอกาสในความก้าวหน้า ..ทำไมน่ะหรือ ? .. ก็เพราะ คนเก่งมันเห็นแต่ EGO ของตัวเอง

หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ คนจบด๊อกเตอร์ ต้องมาทำงานให้คนจบ ป.4 ..ก็เพราะ คนจบด๊อกเตอร์ เหล่านั้นหยุดเรียนรู้ตั้งแต่วันที่ได้กระดาษที่เรียกว่าปริญญานั่นแหละ ..วันใดก็ตามที่เราคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด วันนั้นคือจุดเริ่มของขาลง และ ความโง่ของชีวิตที่เริ่มต้นขึ้น

คนจบ ป.4 ที่เป็นเจ้าคนนายคน ก็เพราะคนเหล่านี้ไม่เคยหยุดเรียนรู้ ..ทุกสิ่งคือ อาจารย์ ..ความล้มเหลวก็คือ อาจารย์ที่ดุแต่ดี เพราะ ทุกความล้มเหลวคือ กระจกส่องหน้าให้เราเห็นตัวเราเอง

"เมื่อเราลด EGO ลง ทุกสิ่งก็คือ อาจารย์" ..วันนี้ผมพบว่า โลกเปลี่ยนเร็วจริงๆ ความรู้ที่เคยเรียนมา มันเปลี่ยนเร็วมาก ..ผมเพิ่งเข้าใจคำว่า "เรียนเพื่อรู้" กับ "เรียนเพื่อเรียน" ก็วันนี้เอง

"เรียนเพื่อรู้" มันเป็นหลักการของหุ่นยนต์หรือเครื่องจักร ที่ท่องจำแล้วทำตาม ซึ่งนับวันเครื่องจักรก็มาแทนคนมากขึ้นเรื่อยๆ ..แต่เรียนเพื่อเรียน มันคือ การเรียนเพื่อเข้าใจวิธีเรียน วิธีหาความรู้ต่อยอดไปเรื่อยๆ ...ทุกสิ่งรอบตัววันนี้คือ อาจารย์ที่ทันสมัยที่สุด

โลกเปลี่ยน คนฉลาดคือ คนที่หาความรู้และแบ่งปัน เพื่อช่วยให้คนอื่นมีปัญญา ..การสร้างเวที และ โอกาส ในยุคนี้ ก็คือ การแบ่งปัน การแชร์ และ การสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น

เมื่อเรา "ใจกว้าง" และ "คิดเผื่อคนอื่น" ..วันนั้นเราคือ ผู้นำ ...ครับ!! ผู้นำ ที่เขาเห็นโอกาส สร้างความมั่งคั่ง เพราะ เขาไม่ได้คิดแค่ตัวเองไง ..คนเก่งวันนี้ไม่มีค่าหรอกหากคิดแค่ตัวเอง เพราะมันตัน สิ่งเหล่านั้นมันถูกคิดไปหมดแล้ว !!

วันครูนี้ ขอขอบคุณ คุณครูทุกท่านที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ -- และ อยากเชิญชวนทุกท่านที่มีความรู้ ในงานของตัวเอง ในสิ่งที่ตัวเองทำ ..ลองแชร์ความรู้เหล่านั้นให้คนอื่นๆ แล้ว คุณจะรู้ว่า คุณครูที่โชคดีและรวยคืออะไร !!

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ