แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

กว่าจะเป็น iPhone "เกี๋ยวไรกับเรา ว๊า!!"


"นี่คือ ตัวเลขยอดขาย iPhone ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ" ..นี่แค่ iPhone ยังไม่รวม Smart Phone เจ้าอื่น อย่าง Samsung และ ก็มือถือเจ้าอื่นๆ ...สิ่งที่เราเห็น Trend ก็คือ ในไม่ช้า Smart Phone จะเข้ามากินตลาดมือถือ ...แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ ..."แล้วกว่าจะเป็น iPhone มันมาได้อย่างไร!!"

หลายๆคน คงไม่ได้มองไปข้างหลังว่า กว่าจะมาเป็น iPhone มันไม่ใช่ อยู่ดี Apple เสกขึ้นมา ..แต่เบื้องหลัง Process ของ iPhone ก็คือ โรงงานในเมืองจีนอย่าง Foxconn ที่เป็นผู้ผลิต ... ส่วน Apple ออกแบบอย่างเดียว แล้วก็ขายได้กำไร สุดขีด!! ...แต่ก่อนจะมาถึงขั้นตอนการผลิต มันมี Commodity อย่าง Tin หรือ พวก Rare Earth ต่างๆ ที่เป็น ส่วนประกอบสำคัญ

ซึ่ง Commodity เหล่านี้ มันโยงมาที่ เอเชีย และ ก็ประเทศด้อยพัฒนาต่างๆ ที่ทำเหมืองแร่ แล้วก็ขายแร่เหล่านี้ เอาไปเป็น "ส่วนประกอบ" ของอุปกรณ์ High Tech สวยหรูที่เราใช้นั่นเอง -- สิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงก็คือ การต้องการ สินค้า IT เหล่านี้ มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และ ที่สำคัญมันเพิ่มแบบก้าวกระโดด ...ส่วนนึงที่เราไม่ค่อยได้รู้กัน ก็คือ อุตสาหกรรมที่ใช้ พวก Commodity แบบ Rare Earth มากที่สุดคือ "อุตสาหกรรมอาวุธ ทางการทหาร" และ ประเทศที่ผลิตอาวุธมากที่สุดในโลก ก็คือ ..ใช่ !! อเมริกัน

"วันนี้ผมนั่นดู คลิ๊ปที่เขาปล่อยออกมาเกี่ยวกับการดูหมิ่น ศาสดาของอิสลาม แล้วรู้สึกเหมือนมันเป็น Conspiracy อะไรบางอย่าง ...ซึ่งผมไม่เชื่อว่า เขามีเป้าหมายที่สงคราม เพียงแต่เขาน่าจะมีเป้าหมายแค่ต้องการให้ประเทศต่างๆกลัว แล้วก็หันมาซื้ออาวุธสงครามมากขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในแบบ Dark ๆ ได้เป็นอย่างดี" ...สิ่งที่เกี่ยวกับประเทศเรา และ AEC เพราะ เราเป็นส่วนหนึ่งของ Supplier ในด้านของเหมืองที่ผลิต Commodity

ผมอ่านไปเจอบทความของ Bloomberg ที่เขาเอาเรื่องของ เกาะ Bangka Island ของอินโด มาเปิดเผยเรื่องราวของการทำเหมือง ที่อันตราย เพราะ เครื่องมือ แทบไม่มี ...ใช้แต่แรงงาน -- ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ เกาะแห่งนี้ เป็น Supplier หลัก ที่ผลิต Commodity อย่าง Tin (ดีบุก) ส่งป้อนโรงงาน Foxconn ที่เป็นผู้ผลิตหลักให้ iPhone  นั่นเอง (ฮึม !! อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมไม่ได้จะโจมตี iPhone เพราะ ทั้ง Samsung , Nokia , Moto ...เอาง่ายๆ ทุกๆ ค่ายที่ผลิต Smartphone , Hi-Tech Gear , Eco Car , Hi-tech Military Gear ...ทุกคนใช้ Commodity อย่าง Rare Earth มหาศาล ...สิ่งที่ผมจะชี้ก็คือ โลกเรากำลังเริ่มเปลี่ยน เพราะ ทุกประเทศได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งใน Supply Chain อย่างผูกกันแบบสุดๆ)

ถ้ามองให้ดี คนที่บริโภค Consumer Electronic มากที่สุดก็คือ "คนชั้นกลาง" ...และ ทวีปที่คนชั้นกลาง ขยายตัวมากที่สุดก็คือ เอเชียนั่นเอง ... "สิ่งที่เราจะเห็นก็คือ เราเป็น Suppler หลัก ของ Supply Chain แล้วก็ส่ง Commodity ไปให้โรงงานนรกผลิต สินค้า แล้ว อเมริกา ก็ส่ง สติ๊กเกอร์ Brand มาแปะ .."ขนกำไรกลับประเทศพัฒนา" แล้ว ก็ส่งขาย สินค้าเหล่านี้ ขายเข้าสู่ตลาดเอเชีย ที่กำลังขยายตัว --- ฮ่า ฮ่า มันเหมือน อัฐยาย ซื้อขนมยาย แต่คราวนี้ ไม่มียาย มีแต่ ประเทศพัฒนา กับ ประเทศด้อยพัฒนา ...มันเป็น Process ที่น่าคิดจริงๆ"

โอเค!! คำถามคือ แล้ว เราในฐานะ นักลงทุน เราจะได้ประโยชน์อะไร ...เพราะ ดูเหมือนว่า เราจะไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรเลย

ผมว่า ในฐานะ นักลงทุน และ ผู้ประกอบการ ..ผมเริ่มมองว่า จากนี้ไป Commodity นอกกระแส อย่าง Rare Earth ต่างๆ เหล่านี้ จะเริ่มดูดีขึ้นเรื่อยๆ ...ซึ่งประเทศที่ Expert ในการทำเหมืองที่ Safety & Hi-Technology มากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ก็คือ Australia ...เอาล่ะ ผมกำลังมองว่าที่เศราฐกิจ ออสเตรเลีย ไม่พังเหมือนประเทศพัฒนาอื่นๆ เพราะ เขามี สิ่งที่ ตลาดต้องการคือ หนึ่ง เขามีแร่ธาตุ Commodity และ สอง เขามี Technology การทำเหมืองที่สุดยอด ...และ ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ การมอง Cycle ของรอบเศรษฐกิจ ...ซึ่งถ้าสมมุติฐานตรงนี้ที่ผมมองเป็นเจริง ...อีกไม่นาน Commodity ในแบบ แร่ธาตุพวก ทองแดง , สังกะสี . ดีบุก ...และ Rare Earth จะเข้าสู่ขาขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับ การขยายตัวของ Middle Class ของเอเชีย ที่ขยายตัวและ บริโภคมากขึ้น  ...

อ้าว!! แล้ว Commodity หลักๆ อย่างน้ำมัน ...อันนี้ผมก็เชื่อว่า มาแน่ เพียงแต่ จะมาช้ากว่า เพราะ อย่าง Commodity มันมี หลาย Level ซึ่งแต่ละประเภทก็มี Cycle ที่มาช้าหรือเร็วแตกต่างกันไป ตามอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ใช้ ... แต่สุดท้าย ในอีก 5 ปี ข้างหน้า พวก Commodity เหล่านี้ น่าจะมาหมด ...เพราะ ที่แน่ๆ "ราคา" Commodity มันวิ่งสวนทางกับของปลอม หรือ เงินกงเต๊ก อย่างดอลลาร์ และ ยูโร อย่างแน่นอน

ให้ถือหาง ...ผมถือ Commodity ครับ...อิ อิ


วันนี้แชร์บทความเบาๆ เกี่ยวกับ "การเปลี่ยนแก้วน้ำ เป็นความรู้"

หากใครยังจำบทบาทกวนๆ ของ Tony Stark ในภาพยนต์ The Iron Man ... "คุณรู้ไหมว่า Character ของ Tony Stark ส่วนนึงเขาเอามาจากชีวิตจริงของใคร"

ครับ!! ใช่แล้ว ชายผู้นี้แหละ Elon Musk ...เขาเป็น ผู้ก่อตั้ง Pay Pal ตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ...กับ Peter Thiel ...ซึ่งทั้งสอง หลังจากขาย Pay Pal ให้ Ebay ก็แยกทางกันเดินตามฝัน -- จะว่าไปแล้ว ทั้งสองคนนี้ต่าง "ระห่ำ คนละสุดทาง" ... Peter Thiel ผันตัวไปเป็น Angel Investor ผู้ทรงอิทธพลใน Silicon Valley.. อย่าง Facebook ก็เป็นหนึ่งในเด็กปั้นของ Peter Thiel ...ส่วน Elon Musk ก็เดินทางสุดโต่งไปอีกแนว คือ ออกอวกาศ เขาเป็นเจ้าของ Space X ..โครงการเครื่องบินอวกาศ ที่ต้นทุนต่ำสุดๆ ..."ต่ำชนิด ที่ว่านาซ่า ยังทำไม่ได้" ...เขาเป็นเจ้าของ บริษัท Tesla Motor รถสปอร์ตที่เร็วจี๋ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ...และ Tesla เป็นบริษัทรถยนต์ ที่อยู่ท่ามกลางเด็กคอมใน Silicon Valley เรียกว่า ปริวิเวกออกจาก อุตสาหกรรมรถยนต์อย่างสิ้นเชิง

วันนี้ Project อีกหนึ่งอันที่ Elon Musk กำลังปั้นก็คือ The Fifth Mode of Tranportation

-- "อะไรว๊า!!"

ครับ!! ถ้าเรามองเขา คงนึกในใจว่า "มรึงบ้าไปแล้ว ทำแต่ละอย่าง ไม่มีมนุษย์คนไหนเขาทำ ...แล้วจะไปรอดหรือ !!"

ตัว project : The Fifth Mode of Tranportation คือ เขาเล่าว่า ปัจจุบัน การเคลื่อนตัวของมนุษย์ มีอยู่ 4 แบบ คือ
หนึ่ง รถยนต์ (ซึ่งเขาทำ รถยนต์ไฟฟ้าที่แนวเต็มที่แล้ว)
...สอง รถไฟ (อันนี้ต้นทุน Fix cost สูงมาก)
...สาม เรือ (อันนี้ก็ Over Supply อยู่ทั้งโลก เพราะช่วงปี 2008 ดันต่อเรือมากไป)
...สี่ เครื่องบิน (ใครอยู่ในธุรกิจนี้ ถ้าไม่แจ๋วจริง "เจ๊ง!!" ..นี่เป็นเหตุผลที่ นักธุรกิจแนวๆ อย่าง Richard Branson เจ้าของ Virgin Airline เริ่มฝันตัวมาทำเครื่องบินอวกาศ ทำ Space Tourism จับลูกค้า เศรษฐีที่อยากไปเหยียบดวงจันทร์ ...และ Elon Musk ก็ทำ Space X สู่อวกาศเช่นกัน)

-- ดูเหมือนว่า นักธุรกิจอเมริกา จะมองออกไปนอกโลกแล้ว ... "หรือว่า โลกเราจะแย่จริงๆ ...อิ อิ"

ที่ Elon Musk เล่าว่า เขากำลังทำการ "ขนส่ง มวลมนุษย์ Fifth Mode ก็คือ แคปซูล เคลื่อนที่เร็วกว่าเครื่องบิน 2 เท่า แต่ปลอดภัยกว่า และ ต้นทุนการสร้างถูกกว่า การสร้างรถไฟอย่าง Bullet Train หรือ รถไฟความเร็วสูง ถึง 10 เท่า ...แต่ในสัมภาษณ์เขาก็ยังไม่เปิดเผยแบบชัดเจนว่ามันคืออะไร เพียงแต่บอกว่า เขาคิด Technology เรียบร้อย เตรียมเอาไปคุยกับผู้การรัฐ และ ประธานาธิปดี ต่อไป (ฮึม!! เข้าใจล่ะว่า Tony Stark ทำไมเป็นแบบนั้น ก็เพราะมันคือนิสัยของ Elon Musk นั่นเอง -- ฮามาก IRON MAN !! ที่มีชีวิตจริงๆ)"

โอ๊ว!! ผมอ่านเรื่องราว และ แนวคิดของ Elon Musk แล้ว ซ๊อก!! ...คือ ซ๊อก เมื่อหันมามองนักธุรกิจไทย ที่คงต้องวิ่งกันอีกหลายๆรอบ กว่าจะเริ่มตามมุมมองคนเหล่านี้ทัน ...แต่ประเด็นที่ผม สนใจจริงๆ คือ "การกล้าที่จะคิดต่าง ...และ ที่สำคัญ เขากล้าที่จะเอาเงินของตัวเอง ลงไปทำ กับความเชื่อที่เขาเชื่อ และ จะสร้างให้มันออกมาได้จริงๆ" ...จะว่าไปแล้ว คนเหล่านี้ เหมือนใช้ ชีวิตเป็น รายการ Reality อะไรสักอย่าง ที่ทุกอย่างที่ทำ คือ การทำและสร้างฝันให้เป็นจริง

"อยู่เพื่อท้าทายกรอบ และ สิ่งเดิมๆ"

"เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง!!"

"ผมว่า เราเรียน เรื่องการท้าทายฝัน และ แรงบันดาลใจในการสร้าง Passion ให้กับสิ่งที่ทำ" ...ว่าแต่ โจทย์เราคงไม่ต้องถึงกับ ไปแข่งกับธุรกิจไปนอกโลก ...แค่เรา Focus ปัญหาในประเทศให้เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแบบแรงๆ ก็น่าจะมันส์ดี ...เช่น สร้างสินค้าและบริการอะไรก็ได้ ให้ชีวิตของเราดีขึ้น และ ถ้ามันเปลี่ยนชีวิตเราให้ดีขึ้นได้จริง ผมว่า เดี๋ยวมันขายได้เอง

...อย่างหลักทรัพย์บัวหลวง(ที่ผมทำงานอยู่)  ..เราก็เริ่ม สร้างสิ่งเล็กๆ เหล่านี้แล้ว อย่าง The Stock Master Reality ก็ใช่ ...ซึ่ง เราตั้งโจทย์ ที่ท้าทายคือ ด้วยงบประมาณเท่าเดิม เราเปลี่ยนเป็นอะไรที่ดีขึ้นให้กับพนักงาน และ ให้กับเพื่อนนักลงทุนได้ดีขึ้นบ้าง ... อ่าฮ้า!! ...ปีนี้ เราจะเปลี่ยน แก้วน้ำ เป็น "ความรู้" ...แจ๋ว สุด โต้ง!! แต่ขอ อุปไว้ก่อน ...เดี๋ยวเราจะปล่อยออกมา surprise เพื่อนๆ นักลงทุนก่อนปลายปีนี้แน่นอน

ครับ !! Elon Musk สร้าง Innovation ไปสู่ อวกาศ ...แต่ บัวหลวง ...เปลี่ยนแก้วน้ำธรรมดาๆ ให้เป็นความรู้ --- วันนี้ทั้ง President และ MD "ป๋าโบ๊ & ป๋าเนส" เดินกันยิ้มตลอด เพราะ Passion ในการเปลี่ยนสังคมนักลงทุน ให้ดีขึ้น มันหล่อมาก ...จะหล่ออย่างไร ไว้จะมาเฉลยเร็วๆ นี้ครับ เพื่อนๆ นักลงทุน

วันนี้ขอฝาก แง่คิด ของการเปลี่ยนแปลง และ สร้างให้ตัวเอง เป็นผู้นำ ..ก็คือ การคิดแตกต่าง ภายใต้ข้อจำกัด เช่น ในงบเดิมที่ไร้ค่า คุณเปลี่ยนตรงนั้น แล้วสร้างสิ่งที่มีค่า Win-win ให้กับคุณและลูกค้าได้อย่างไรบ้าง !!

...ผมเชื่อว่า วันนี้ ตลาดเราเริ่มเปิดโอกาสให้กับ Idea ใหม่ๆ ดี ๆและ สร้างสรรค์ ... ช่วยๆ กันคิด ดีคิดต่าง ภายใต้ข้อจำกัด ...นั่นแหละ สิ่งเล็กๆ ที่เราช่วยกันเปลี่ยน ตัวเรา บริษัท และ ประเทศ ในมุมเล็กๆ ของเรา -- แค่นี้ก็หล่อมากแล้วจ๊า!! 


"Elon Musk และ OBAMA ที่ฐานปล่อยจรวดของ Space X" ...นี่อาจะจะเป็น องค์การ NASA ในต้นทุนที่ต่ำกว่ามหาศาล เพราะ เขาคิดจากข้อจำกัด -- ผมว่า นี่คือ เสน่ห์ของผู้ประกอบการนะ (คิดภายใต้ ข้อจำกัด ..ถ้าคิดได้ ...นั่นแหละ "ผู้ประกอบการ" -- Entreprenuer)

 

 


วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับ Trader


The Stock Master พาคู่หู "Friend & Business Partner ของผม" -- ป๋าหยง ..มาแก้ผ้า ...ฮึม!! คือ แก้ผ้า ทางความคิด ว่า การเป็น Trader หรือ บางคนอาจจะเรียกว่า การเป็น Hedge Fund มันเท่ห์อย่างนั้น อย่างนี้ ...จริงๆ แล้ว มันไม่มีอะไรเท่ห์ แต่มันเป็น อาชีพหนึ่งที่ทำงานเพื่อเงิน และ มุ่งมั่นที่จะเดินทาง ในแนวที่ตัวเองถนัด แล้วเดินทางไปสู่เป้าหมายของชีวิต และ การเงินที่หวังไว้ ก็เท่านั้นเอง

โอเค ผมมีเรื่องจะแชร์ให้ฟัง ...

ตัวผมเองขอแชร์ในเรื่องนี้ ในฐานะที่ผมคนนึงในปัจจุบัน ก็แบ่งเงิน 30% ของตัวเอง มาเป็น Trader เหมือนกัน ... ประเด็นคือ คนส่วนใหญ่ นึกว่าการเป็น Trader คือ การรวยเร็วๆ หาเงินง่าย แล้วก็ “ชิว”

ไม่ใช่เลยครับ ...จริงๆ แล้ว การเป็น Trader มันคือ การทำงานประเภทหนึ่ง ...ก็ทำงานเพื่อเงิน หรือ Work for Money นั่นแหละ ...สิ่งสำคัญที่สุดของการเป็น Trader ที่จะประสบความสำเร็จ และ อยู่รอดได้ในระยะยาว ก็คือ “รู้จัก Control Risk (คือ การรู้จักจำกัดความเสี่ยงเป็น)

แปลว่าอะไร ...ก็แปลว่า คนส่วนใหญ่ที่หวังเข้ามากินส่วนต่าง ทำกำไรระยะสั้น ...คุณกำลังสู้กับ Trader เหล่านี้อยู่ ...

จริงๆ แล้ว การหาเงินในแบบ Trader ผมยอมรับว่า ได้เงินเร็วโคตรๆ และ ก็ไม่เสียภาษี ...อันนี้เท่าที่ทราบมีตลาดหลักทรัพย์ แค่ไม่กี่ประเทศในโลก ที่ไม่เสียภาษีจาก Capital Gain ..และหนึ่งในนั้นก็คือ ประเทศไทย -- ผมกำลังจะเปิดใจบอกคุณว่า ประเทศไทยคือ สวรรค์ของ Trader แต่ปัญหาคือ อะไรรู้ไหมครับ

ปัญหาก็คือ Success Rate ของ Trader มันแย่กว่า นักลงทุนปกติอีก ...ที่ผมเล่าว่านักลงทุนปกติ 80/10 คือ 80% เจ๊ง อีก 20% รวย ...ส่วน Trader มัน 95/5 คือ 95% เจ๊ง อีก 5% มหาโคตร..ร ..รวย!! -- ใช่ !! สัดส่วนเหมือนไม่สมดุลย์เท่าไหร่ ถ้ามองให้ดี ผมว่า อาชีพ Trader มันเป็นกระจกสะท้อน ระบบทุนนิยม ที่เราอาศัยอยู่นี่แหละ ที่ The Winner Take All !!

ผมไม่รู้ว่า แต่ละคนถูกสอนมาอย่างไร แต่ผมขอแชร์ในฐานะที่ผม ก็เป็นคนนึง ที่รักษาตัวรอดในฐานะ Trader ได้ และคิดว่า สิ่งที่ผมทำ มันโอเค ...ผมมีหลักอย่างนี้

หนึ่ง ทุกครั้งที่ผมเข้า Trade ผมต้อง จำกัดความเสี่ยง ...ดังนั้น ผมจะรู้แน่นอนว่า โอกาสเสียหายสูงสุดในแต่ละครั้งที่เข้าซื้อขาย มันคือ เท่าไหร่ ..จุดนี้แปลง่ายๆ ว่า ผมไม่มีทางเจ๊ง เพราะ ผมเป็นคนกำหนดจุดที่ผมเสียหายเอง ไม่ใช่ให้ตลาดกำหนด ...คิดดีๆ นะครับ Trader ส่วนใหญ่ ที่เล่นแล้วลุ้น เล่นสวนตลาด ..คุณกำลังให้ตลาดกำหนดความเสี่ยงของคุณ ซึ่งบ้า!! ...จะบอกว่า สิ่งที่เราควรให้ตลาดกำหนดคือ ผลตอบแทน ไม่ใช่ ความเสี่ยง ...ถ้าให้ตลาดกำหนดความเสี่ยงก็แปลว่า คุณพร้อมจะเสียไม่จำกัดในขาลง ซึ่งย้อนดูสถิติตลาดเลยว่า การลงแบบไม่มีขีดจำกัดของตลาดมัน โหดเพียงใด ...ในทางกลับกัน การให้ตลาดกำหนดผลตอบแทน มันแจ๋วโคตรๆ เพราะ ถ้าคุณย้อนกลับไปดูสถิติย้อนหลังของตลาด เวลาขาขึ้น ก็ขึ้นแบบบ้าคลั้ง เรียกว่ารวยกันเละ --- แล้วถามจริงๆ เถอะ ถ้ารู้แบบนี้ อะไรสำคัญที่สุด ...ก็ถูกต้อง!! Limit Loss -- ถ้าทำได้ คุณจะอยู่รอดได้ในระยะยาว ...แม้ว่าระยะสั้น คุณอาจจะรวยช้า กว่าพวกบ้าๆ ก็ตาม แต่ท้ายที่สุด ระยะยาว จะเห็นผล!!

สอง ผมทำการบ้านเยอะ ..ผมเชื่อในหลักของ อิทธิบาท 4 ข้อ วิมังสา คือ คนที่จะประสบความสำเร็จ ผมเชื่อว่า ไม่มีฟลุ๊ค ไม่มีเทวดาลงมาแล้วประทานดาบเทพให้คุณ Trade เก่งกว่าคนอื่น ...แต่ สิ่งที่เรามีได้ คือ ความพยายาม และ การทำงานหนัก เพื่อศึกษาในสิ่งที่เราทำให้ทะลุ รู้ให้จริง รู้ให้ลึกซึ้ง (ซึ่งในที่นี้เราพูดถึง ศาสตร์ของ Technical นั่นเอง) ...ดังนั้น Trader ที่ดี ต้องทำการบ้านเยอะ เพื่อศึกษา แล้ว พัฒนาตัวเอง ให้เรามี Winning Ratio หรือ โอกาสในการชนะที่สูง ทุกครั้งที่ออกรบ!! ...บอกตรงๆ ผมเอง ไม่เคยจะแคร์ว่าแต่ละครั้งผมจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ (ผลตอบในแต่ละรอบของการเข้า Trade ผมให้ตลาดเป็นผู้กำหนด ส่วนผม ผมกำหนดความเสี่ยง และ Limit Loss แค่นั้นแหละ) ...สิ่งที่ผมแคร์มากที่สุด คือ ผมต้องชนะให้มากที่สุด แต่การชนะแต่ละครั้งจะเล็กจะใหญ่ ก็ไม่เป็นไร ..ก็ Keep Wining มันไปเรื่อยๆ เหมือน น้ำซึมบ่อทราย

...ดังนั้น Performance การ Trade ของผมจะมี Wining Ratio ที่สูง มีความเสี่ยงที่ต่ำ แต่แน่นอน ผมย่อมมี Risk to Reward Ratio ที่ไม่สูง ...คือ พูดง่ายๆ ว่า ผมอาจจะกินคำเล็กกว่าคนอื่น แต่สิ่งที่ผมได้ คือ Port ที่โต แบบ Steady Growth ค่อยๆ โตช้าๆ แต่โตไปเรื่อยๆ และ ที่อยากจะแชร์คือ ใครก็ตามที่สร้าง Port แบบนี้ จะมีการ Draw Down ที่ต่ำ ..นั่นแปลว่า ไม่ว่าวิกฤต หรือ ตลาดหุ้นจะซวยแค่ไหน การลงของ Port ก็จะน้อยมากๆ หรือ แทบไม่มีเลย

ที่ผมเล่ามา ก็อยากจะบอกว่า Trader ใน Style ที่ผมแชร์ มันควรจะเรียกว่า Hedge Fund มากกว่า เพราะ ผม Hedge ทุกความเสี่ยง และ ไม่เคยเล่นสวน Trend ของตลาด ...แต่ก็อยากจะแชร์อีกว่าไอ้ Hedge Fund ที่เสี่ยงโคตรๆ อยู่ทั่วโลก มันมีอยู่หลายวิธี แล้วก็เห็นมัน แย่งกัน เจ๊ง ..ผมว่า หลักการง่ายๆ มันต้องย้อนกลับมาที่ Mindset และ “แก่น” ของเจ้าของ Fund ว่า คุณใช้วิธีอย่างไรในการลงทุน ...ถ้าคุณตอบผมได้ ว่า ความเสี่ยงคุณจำกัด และ ผลตอบแทนคุณไม่จำกัด -- ผมว่า นั่นแหละ เป็นวิธีคิดของ Trader ที่ประสบความสำเร็จ

ฟันธงครับ!!

วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2555

เมื่อคุณอยากเรียนรู้มากพอ อาจารย์จะปรากฏ และ เมื่อคุณมุ่งมั่นมากพอ ทางจะปรากฏ



สัปดาห์ที่ 3 ของ การเรียนรู้ของ The Stock Master เราได้เชิญ Freedom Trader "ป๋าหยง" ...ผู้ที่วงการ Trader กล่าวขานกันว่าผู้นี้ "ลึก และ ซับซ้อน" ในมุมมอง และ เทคนิค ชนิดหาตัวจับจากคนนึงในเมืองไทย

เรื่องราวมันเริ่มขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ด้วยความมั่นใจ "ลาออกจากงาน Investment Banker ที่เงินเดือนหลักแสน ออกมาเป็น Full-time Trader" ..ด้วยความห้าว!! ณ เวลานั้น การ Trade ตลาดหุ้นไทย คงหมูเกินไปสำหรับ เด็กหนุ่มไฟแรง ...ครับ!! เขามุ่งสู่การ Trade Option ในตลาด Commodity ที่อเมริกา

แน่นอน!! ไม่ต้องสงสัยว่า ผลลัพธ์ในเวลานั้น คือ "การได้เงินที่รวดเร็วมาก ในสัปดาห์แรกที่ลาออกจากงาน" ..ไฟพุ่งพล่าน ความหวังจะรวยมหาศาลเห็นตรงหน้า ...ผ่านไปอีกไม่กี่เดือน เงินเก็บทั้งหมด ได้หายสิ้น "เจ๊ง!!" ...และนั้นคือ บทเรียนแรกของ Freedom Trader พูดว่า มันคือ "จุดเปลี่ยนของชีวิต"

ณ จุดที่ล้มเหลว ...ทางปรากฏ แต่ไม่ทางสู่ สวรรค์ มันคือ ทางสู่นรกชัดๆ ...ป๋าหยง มีทางเลือก 2 ทาง คือ หนึ่ง กลับไปทำงานประจำ ซึ่งได้เงินเดือน ชิวจะตาย และ สอง Trade ต่อ

คำพูดนึงที่ "ป๋าหยง" กล่าว ได้อย่างน่าสนใจมากก็คือ ... "ผมว่าคนเรา หากเลือกที่จะเดินความฝัน อย่าหยุดเดินกลางทาง อย่างน้อยต้องกล้าที่จะทุ่มเท ทั้งชีวิตเพื่อทำมันให้ดีที่สุดก่อน ..เพื่อที่เราจะได้แน่ใจว่า เราจะได้ไม่เสียใจที่ไม่ได้ลองเต็มที่กับมัน"

และนั่นคือ การทุ่มเท ศึกษาการลงทุนอย่างจริงใจ ... หยงทุ่มให้กับการศึกษา Technical Analysis ...ซื้อหนังสือทุกเล่ม เข้าสัมมนาทุกอันเท่าที่จะหาได้ ...และ นั่นคือสิ่งที่หยงเจอ "หากเรามีความมุ่งมั่นและตั้งใจเรียนรู้อะไรที่มากพอ สุดท้ายอาจารย์จะปรากฏ" ...ถ้าแปลคำพูดนี้ ให้ตรงกว่านี้ จะพูดได้ว่า จริงๆ แล้วโอกาสมันไม่ได้หล่นมาจากฟ้า แต่โอกาสมันเกิดจากที่เรามุ่งมั่น ทำงานหนักเพียงพอ ..โอกาสจึงปรากฏ

"ไม่มีความสำเร็จที่ได้มาโดยง่าย ...ทุกความสำเร็จล้วนผ่านความพยายามและความอดทน ...วันนี้ผมเอง เพิ่งเริ่มเห็นทางสู่ความสำเร็จเท่านั้น ..สิ่งที่ผมแชร์คือ โอกาสที่ ตัวเราจะเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้ศึกษา" ... หยงกล่าวอย่างถ่อมตน

เคล็ดลับของการเป็น Trader ที่ประสบความสำเร็จน่ะ "ไม่มี!!"

สิ่งเดียวที่รักษาชีวิต และ สร้างความมั่งคั่งในระยะยาว คือ "การปิดประตูแพ้ ทุกๆ ครั้งที่ลงทุน"

ไม่มีฟลุ๊กในโลกของความจริง ... ถ้าคุณตั้งใจมากพอ ทางจะปรากฏ

... "นั่นแหละ ทาง และ โอกาส ที่คุณสร้างเอง!!"

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

"อีกมุมมอง แห่งความมั่งคั่ง" ที่คนส่วนใหญ่มองเหมือนกัน



ผ่านไปเจอบทความเรื่อง 1% ในนิตยสาร Fortune เขาพูดเรื่องการ ประท้วงของพวก Occupy Wall Street ที่พยายามกดดัน ให้ออกกฏหมายเก็บภาษี รีดจากคนรวยเยอะๆ

บทความนี้ ตีเจาะเข้าไปในเรื่องของ 1% ของอเมริกา มีกว่า 2 ใน 3 เป็น Self-made คือ สร้างตัว ด้วยตัวเอง ...ประเด็นนี้น่าสนใจ เพราะ ความคิดเดิมๆ ของคนส่วนใหญ่ ก็คือ คนรวยต้องเป็นคนที่มีเงินกองเป็นภูเขา ...ใช่ไหม!!

ฮึม!! ในอดีตอาจจะใช่ ..พวกยุคสมัยผู้นำเผด็จการทหาร ที่โกยเงินจากการแอบขายทรัพยากรประเทศ แล้วโกยเงินทั้งหมดเข้าตัวเอง -- กรณีนั้นแหละ ที่คนรวยจะเป็นแนวรวยแบบเงินกองเป็นภูเขา แล้วก็จริงๆ ไม่ได้ใช้ เพราะ สุดท้ายอเมริกายึดซะงั้น (ฮาไหมล่ะ)

แต่ คนรวยยุคใหม่ที่ Self-made มันต่างกันกับภาพนั้นมาก ...ถ้าคิดให้ดี การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะเจริญ และ เสรีจนถึงขั้นที่ ใครก็สามารถรวยเป็น "พันล้าน" นั่นหมายความว่า "ระบบโอกาส ของประเทศนั้นต้อง มีกลไกที่ทำงานได้ดี"

"อะไรคือ ระบบโอกาส !!!"

ครับ !! ระบบโอกาส ก็คือ ระบบที่สามารถทำให้คนทั่วๆ ไป ที่มีความสามารถ มีโอกาสได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน และ Connection ที่จะพาเขาไปสู่การสร้างกิจการที่ใหญ่โตได้ ..ซึ่งอเมริกาเองมีระบบการเงิน ในเรื่องของ "เงินทุน" ที่พัฒนามาก คือ เริ่มตั้งแต่ Angel คือ กลุ่มคนรวยที่ลงทุนกับ Idea ใหม่ๆ เพื่อให้คนที่มี Idea สามารถมีเงินเริ่มต้นในขั้นตั้งไข่ ...และ ตามมาด้วย Venture Capital ที่เป็น Step ต่อมาในการให้เงินทุน และ Connection ในธุรกิจใหม่ๆ และ ก็มี Private Equity ที่เป็นกลุ่มทุนส่วนบุคคลที่ลงทุนในกิจการทั้งนอกและในตลาด ...จะเห็นได้ว่า ทุกๆ ส่วนของการเติบโตของธุรกิจในประเทศเสรีอย่างอเมริกา จะมี "ระบบเงินทุน" ซึ่งก็คือ ระบบสนับสนุนโอกาส ที่ Give & Take ...ในมุมของเจ้าของอาจมองว่า พวกกลุ่มทุนเหล่านี้เอาเปรียบ แต่ถ้าถามผม ผมว่า คุณลองมองอย่างประเทศไทยซิ ...แย่กว่าเยอะ ..สมมุติลูกชาวนามี ความสามารถ จะไปได้ถึงไหน ในประเทศไทย หากคุณไม่เข้ามาเป็นลูกจ๊อกของคนที่มีอำนาจ แล้ว สุดท้าย ถามว่าผลประโยชน์อย่างประเทศเรา ก็ตกอยู่กับผู้มีอำนาจ

ซึ่ง ถ้าเรามอง Case ของอเมริกา ที่หลายๆคนมองว่า กลุ่มทุนของประเทศเขาเอาเปรียบ แต่เด็กที่ไม่มีอะไร อย่างพวก Dot Com Kid หรือ เด็กไอที ในอเมริกาที่เป็นลูกชาวนา ก็สามารถสร้างกิจการ ให้ขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ แม้ว่า เขาอาจโดนเอาเปรียบบ้างตามปกติ ของโลก แต่อย่างน้อย ก็ยังมีพื้นที่ ของโอกาสให้เขาได้ยืนได้ ..."ใช่!! ถ้าถามผม ว่า ผมชอบอะไรมากกว่า ...ผมว่า ประเทศที่เปิดระบบโอกาสอย่างอเมริกา เป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน" -- ก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าเมืองไทย ระบบของการให้โอกาสทางด้านเงินทุนจะพัฒนาไปที่จุดใด

กลับมาใน ส่วนของ "คนรวยตกลงเขาเป็นคนเอาเปรียบคนอื่นจริงหรือไม่" ...ก็บางส่วนใช่ ...แต่ส่วนที่น่าสนใจคือ พวก Self-Made นี่แหละ ที่ความมั่งคั่งของพวกเขา มันมาจาก การสร้างงาน สร้างธุรกิจ และ เพื่อสร้าง สินค้า และ บริการที่เป็นประโยชน์ ต่อมนุษย์ ...คิดดีๆ ว่า การที่เราจะสามารถผลิตสินค้า และ บริการที่ขายดี ...สินค้ามันต้องดี เช่น iPhone ที่ขายดี เพราะ มันทำให้ชีวิต และ การทำงานเปลี่ยนไป ง่ายขึ้น สะดวก ...หรือ อย่างกรณี Bill Gates ที่สร้างอุตสาหกรรม Computer ให้โต ก็ก่อให้เกิด Productivity มากขึ้นของธุรกิจทั่วโลก ...ซึ่งคนรวยมหาศาลเหล่านี้ เขาสร้างให้เกิด การสร้างความมั่งคั่งของอุตสาหกรรม ซึ่งมันสร้างงานมหาศาล และ มันก็ส่งผลให้คนจำนวนมากมีคุณภาพชีวิต และ ความมั่งคั่งที่มากขึ้น

สถิติ ของโลก ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ระบบทุนนิยมโตแบบก้าวกระโดด เข้าไปสู่ประเทศอย่างจีน อินเดีย และ เอเชีย ..ผลก็คือ การทำให้คนจำนวนเป็นพันๆล้านคน หลุดออกจากความยากจน กลายมาเป็น คนชั้นกลาง ...แต่แน่นอน ในทุก Process ของการเปลี่ยนแปลง มันไม่มีทางจะทำให้ทุกคนเท่ากันอยู่แล้ว ...ผมว่าทุกระบบเราต้องดูธรรมชาติ แล้วศึกษาจากมัน ..อย่างการเปลี่ยนแปลง ของคลื่นคนจน เป็นชนชั้นกลาง ก็เหมือน การเคลื่อนตัวแบบสึนามิ ..ที่ Shift ความมั่งคั่ง -- ก็เหมือน น้ำทะเล ที่คลื่นบางลูกใหญ่ บางลูกเล็ก ...ความรวยความจน จึงแตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ

ประเด็น ผมว่าตรงนี้สำคัญ..คนส่วนใหญ่ ชอบมองตัวเอง เป็นคนตัดสินคนอื่น แต่ไม่เคยมองตัวเอง ...ครั้งนึงผมก็เคยคิดว่า โลกมันไม่แฟร์ ทั้งๆที่ผม ทำงานอย่างหนัก ไม่มีวันพักผ่อน ในสมัยเปิดร้านอาหารในออสเตรเลีย ผมกลับเจ๊ง ไม่เป็นท่า ...แต่พอเวลาผ่านมา ผมก็มองย้อนไป ก็รู้เลยว่า แต่ก่อน ที่ผม "เจ๊ง" ไม่ใช่เพราะ ผมไม่ขยัน เพียงแต่ผมยัง "อ่อน" ในโลกของธุรกิจ ..สมัยก่อนผมคิดว่า การทำธุรกิจตามตำรา Marketing ที่เรียนจาก กูรูของโลก ตำราฝรั่ง จะเอามาใช้ได้ทันที ...แล้วผม จะรวยเร็ว ...ผิด!! ..ไม่ใช่เลย !!

จริงๆ แล้ว ทุกธุรกิจ ทุกอุตสาหกรรม มันมี "แก่น" ที่ต้องเข้าใจ ...การที่เราจะทำอะไรก็ตาม ต้องมีสติ คิดดีๆ ว่า สิ่งที่เราจะทำ มันมีคนอื่น ที่เขาทำได้ดีอยู่แล้วหรือเปล่า ...ยกตัวอย่าง วันนี้ คุณจะเปิดร้านอาหาร คุณคิดว่า คนเดิมที่เขาเปิด พวกนี้ไม่เก่งหรือไง ...หรือ การที่คุณจะเปิดร้านกาแฟ คุณเห็นช่องว่างของ Starbucks หรือ Amazon ที่เขาทิ้งช่องตรงไหนให้ร้านคุณได้บ้าง ...คือ สิ่งเหล่านี้ ผมว่าคนส่วนใหญ่ มองข้าม ...เพราะ Focus ไปที่สิ่งเดียว คือ "อยากมีธุรกิจ เพื่อจะได้เป็นนายตัวเอง อิสระ และ รวยเร็ว" -- ผลลัพธ์ก็คือ 9 ใน 10 ธุรกิจที่เปิดใหม่ "เจ๊ง" ..ฮึม!! คือ สถิติของ การทำธุรกิจยิ่งแย่กว่าการลงทุนอีกนะ การลงทุนนี่ 8 ใน 10 คน เจ๊ง ...ส่วนธุรกิจ 9 ใน 10..เจ๊ง!!

สิ่งที่ผมอยากจะชี้คือ "คนเราเดี๋ยวนี้ อย่าง Case ของการรวมกลุ่มไปประท้วง คนรวย ผมไม่รู้ว่ามันจะได้ประโยชน์อะไร" สิ่งสำคัญคือ "ตัวเรา ต้องดีก่อน" ...ในความหมายคือ เราต้องทำตัวเราให้ดี ก่อนที่เราจะไปตัดสินใคร ...ทุกอย่างที่เป็นอยู่ในโลก มันสมควร ที่เป็นอยู่แล้ว หมายความว่า "การที่คนเราเป็นในสิ่งที่เราเป็น เพราะ อดีตทั้งหมด มันรวมมาเป็นผลลัพธ์ในสิ่งที่เราเป็น" ..ดังนั้น สิ่งที่คนตัวเล็กๆ อย่างเราแต่ละคนทำได้ ไม่ใช่รวมกลุ่มกันไปประท้วงอะไร ..ไม่มีสาระ ..สิ่งที่น่าจะทำคือ เราต้องมาคิดว่า เราจะเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นอย่างไรต่างหาก ...ยกตัวอย่าง เขาประท้วงคน 1% ว่า เอาเปรียบ ..แต่แล้วคน 99% เขาทำตัวให้โดนเอาเปรียบทำไม

หาก เราคิดให้ดีแล้ว การที่คนๆนึงจะรวย ขึ้นมาเป็นเศรษฐี แสดงว่า เขาต้องทำอะไรบางอย่างถูกต้อง เช่น เขาอาจสร้างกิจการใด้ใหญ่โต จ้างงานมากมาย ...และ ผลิตสินค้า และบริการที่เป็นประโยชน์ ..."นี่แหละ คือ สิ่งที่ต้องเรียนรู้" คือ Wealth ของคนปัจจุบัน มันไม่ใช่ "กองเงิน" แต่มันเป็น "Paper Wealth + Asset Wealth" ...คืออะไร -- ลองคิดดูนะ ...คนเราต่อให้เงินเดือนเป็นแสน ถ้ามีรายได้จากเงินเดือนอย่างเดียว ต้องใช้เวลาเป็นสิบๆปี กว่าจะเก็บเงินจนรวยได้ ...สิ่งที่อยากจะชี้ คือ "คุณไม่มีทางรวยเลย หากมุ่งแต่ทำงานหาเงินจากรายได้ ที่เอาแรงงานและ หยาดเหงื่อของคุณเข้าไปแลก ..."

ทางเดียวที่จะรวยได้คือ เข้าใจของ Leverage และ  Asset

Asset คือ สิ่งที่ต้องเก็บสะสม "นี่แหละ Wealth ของคนรวย" ...ยกตัวอย่าง คุณว่าคุณธนินท์ (เจ้าของ CP) มีกองเงินเก็บไว้ในตู้ หรือห้องใต้ดินหรือ ...ไม่ใช่เลย ... wealth ของคุณธนินท์ อยู่ในธุรกิจ CPF ที่จ้างคนงานเป็นแสนคน ..เพื่อให้คนแสนคน ..ทำงานบน Asset ...ซึ่งก็คือ โรงงาน ที่ดิน และ ร้านค้า ..คือ พูดง่ายๆ ว่า คุณธนินท์ ไม่ได้ใช้แรงงานตัวเองทั้งหมด ...ดังนั้น คุณธนินท์ใช้ Leverage แรงงานของคนอื่น โดย การให้โอกาสคนอื่น คือ "จ้างคนอื่น ...ให้งานเขาทำ" ...และคนแสนคนที่ได้รับโอกาส ก็มาทำงานบน Asset ของคุณธนินท์ ซึ่งเริ่มแรกก็มาจากเงินกู้ธนาคาร ..แต่พอทำๆ ไป มีกำไร ..ก็ค่อยๆ จ่ายคืนธนาคาร ..จนในที่สุด Wealth ก็ค่อยๆ เพิ่ม ..หนี้ก็ค่อยๆ ลด ..ธุรกิจก็ขยาย ผลิตสินค้า และ บริการที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ..และก็จ้างมนุษย์ มาทำงานให้

นี่แหละครับ ตัวอย่างของ Wealth มันคือ การใช้สมอง "คิด" ว่า สิ่งที่เราจะผลิต คือ สินค้าและ บริการอะไร ..จากนั้น เราก็ต้องเอาแรงงานเราไปแลกทำ ..ซึ่งถ้าทำได้ดี เราก็เริ่มใช้ Leverage ในส่วนของ ทั้งแรงงานคนอื่น และ เงินคนอื่น(เงินธนาคาร) ...

ฉะนั้น อย่างแรกที่เราต้องหาคือ "ประโยชน์ที่เราจะสร้าง ...แล้วต้องตอบให้ได้ว่า สินค้าและบริการใดที่จะตอบโจทย์ ...และต้องตอบให้ได้ว่า แล้วจะเริ่มอย่างไร ...เอาเงินจากไหน ...และ ในที่สุด ใครจะมาช่วยเราทำงาน" ...มันไม่ง่ายหรอกครับ ที่มนุษย์คนนึงจะสามารถประสบความสำเร็จ เพราะ ส่วนใหญ่ สิ่งที่เราอยากจะทำ มันก็ล้วนเป็นสิ่งที่มีคนที่เก่งทำอยู่แล้ว ...ร้านก๋วยเตี๋ยว , ข้าวแกง , ขายผัก , ขายเสื้อผ้า  -- ใช่!! ก็เพราะ เราติดกรอบความคิด ว่า งานคือ การทำเหมือนๆ คนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ใช่!!

คิด ให้ดี นะ "การที่เราจะสามารถรวย ต้องแสดงว่า เราเก่งในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ ไม่เก่งดิ ถึงจะรวย" ...ดังนั้น โอกาส จึงอยู่ในสิ่งที่ไม่มีใครทำ ...เช่นอย่างผมเอง ผมเคยทำธุรกิจแบบพื้นๆ เช่น ร้านอาหาร ซึ่งผมไม่ได้เก่งกว่าคนอื่น ...ในที่สุดผมก็ต้องเบนเข็มมาทำเรื่อง Investment ซึ่งในเวลานี้ ผมก็เห็นช่องว่างทางโอกาส ที่มากมาย และ ที่สำคัญ การที่ผมเดินแล้ววางตัวเองแบบมุ่งมั่นมาในสายการลงทุน ก็ทำให้ผมได้เปรียบในเกมนี้ ...ใช่!! อุตสาหกรรมการบริหารเงินของเอเชีย ยังเพิ่งเริ่มต้น ...ยกตัวอย่าง กองทุนในบ้านเรา อย่าง กองทุนบ้านเราหลักพันล้านก็ใหญ่แล้ว ...แต่ดูอเมริกาซิครับ แต่ละกองเป็นหมื่นล้าน แสนล้าน ใหญ่กว่าประเทศเราอีก ..จะว่าโอกาสมันไร้ขีดจำกัดก็ว่าได้

มันไม่ใช่แต่การเงินนะ ที่เริ่มเปิดกว้าง คุณลองดู ธุรกิจสื่อ หรือ Digital Content ซิ ...ที่ปัจจุบัน กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง มหาศาล ... ใช่!! ผมกำลังจะชี้ให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว อะไรก็ตาม ที่ดู แล้วซับซ้อน อยู่ในการเปลี่ยนแปลง วุ่นวาย ดูเหมือนทำแล้วไม่ได้เงิน ...สิ่งนั้นแหละที่มีโอกาส ให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ เข้าไปแย่งชิง พื้นที่แห่งโอกาสในครั้งใหม่ ...วันนี้บ้านเรา การเมืองระอุ ..สิ่งที่ผมเห็นคือ โอกาสในเรื่องของ "สื่อ" ...โอกาสในเรื่องของ "บันเทิง" ...โอกาสในเรื่องของ "การลงทุน" ...โอกาสในเรื่องของ "การบริการใหม่ๆ Consumer"

คุณเห็นเหมือนผมไหมล่ะ ...คือ แทนที่คน 99% จะเอาเวลาไป คิดว่า ทำไมตัวเรา ไม่รวย ..ผมว่า เอาเวลามาคิดว่า เราจะทำอะไรทีมัน "ท้าทาย" เปลี่ยนแปลง ...เปลี่ยนสื่อ ..เปลี่ยนการลงทุน ...เปลี่ยนสินค้าและบริการของคนต่างจังหวัด ...เปลี่ยน ๆ ๆ ... ถูก!! เอาเวลามาคิด สร้างสรรค์ สร้างงาน สร้างธุรกิจ ...ผมว่า Focus มันอยู่ตรงความสนุก และ ความท้าทาย ที่เราได้เอาความสามารถเรา ไปสร้างสรรค์สิ่งที่มันเกิดประโยชน์ ...สุดท้าย คุณจะทั้งมันส์ และ ก็จะรวยมหาศาลตามมา

อย่าคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ ...คนคิดบ่น คิดติ ไม่มีใครรวยหรอก  ...ต้องคิดสร้าง คิดบวก ถึงจะรวย ...ถึงจะเป็น 1% ของคนได้

... "เราเลือก และ กำหนดชีวิตของเราเอง จริงๆ นะ"

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

"คุณเป็นคนมี Creativity แค่ไหน"



สัปดาห์ที่แล้ว ..นักแกะรอยหยัก และ ผู้บริหารระดับสูงอีกสองท่าน แห่งค่ายบัวหลวง "ป๋าเนส" และ "ป๋าโบ๊" ได้รับเชิญ ไปฟัง งาน Creativity ที่จัดโดย KPMG ...เป็นงานที่น่าสนใจมาก


วันนั้น Speaker ที่เข้ามาสร้างสีสรรค์ในวันนั้นคือ นักเขียน Best-Seller หนังสือ The Idea Book ...นาย Fredrik Haren

คำถาม ที่ Fredrik ถามแก่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่างๆ ของเมืองไทย ที่นั่งอยู่เต็มห้องว่า "ไหนใครว่าความคิดสร้างสรรค์สำคัญต่องานคุณ" (มีคนยกมือ กันพริบ!! ทุกคนเห็นด้วยว่า งานของตัวเอง ต้องการการคิดสร้างสรรค์ แปลกใหม่ เพื่อชัยชนะในธุรกิจ) ...คำถามต่อไป "แล้วคุณล่ะ ใครมีความคิดสร้างสรรค์" (มีคนยกมือ กันประปราย คือ ส่วนใหญ่ ฝรั่งอ่ะนะ ..ผู้บริหารไทย ไม่ค่อยมีใครกล้ายกมือ) ...คำถามต่อไป "แล้วคุณคิดว่า องค์กรของคุณมีความคิดสร้างสรรค์ไหม!!" (แทบไม่มีใครยกเลย ...ผมหันไปหา ป๋าเนส MD บัวหลวง กระซิบว่า พี่ๆ ..เราไง ๆ ๆ บัวหลวงนี่แหละ โคตร Creative ...มี The Stock Master จับคนจากต่างสาขาอาชีพ มาลงทุนแข่งเงินจริงกัน ...มิมีใครกล้า..จริงป๊ะ) --- ฮึม!! ฮ่า ฮ่า "สรุปเราก็ไม่ได้ยกมือ หรอกครับ ตามสไตล์ คนไทย เรามีความ อ่อนน้อมถ่อมตน ..รึเปล่า"

ประเด็นที่น่าสนใจ คือ งานในวันนั้น มันจุดประกายความคิดผมค่อนข้างมาก

เขา กล่าวว่า อะไรที่แต่ก่อน เป็นไปไม่ได้ ปัจจุบันเราสามารถทำให้เป็นไปได้มากมาย ...ใครจะคิดว่า Nokia มือถืออันดับหนึ่งของโลก จะอยู่ในสภาพล่อแล่ ในปัจจุบัน ...และบริษัทที่ใกล้เจ๊งอย่าง Apple จะกลับมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในเวลาเพียง 10 ปี แถมสร้าง Innovation Product ที่เปลี่ยนโลกมากมาย ...วันนี้เราสามารถคุยแบบเห็นหน้ากัน ข้ามทวีป โดยเกือบฟรี ...เราสามารถติดต่อกับเพื่อนที่เราแทบไม่ได้คุย ตั้งแต่แยกย้ายกันตอนมัธยม มาเจอกันใหม่ด้วย Social Network ..เรามีรถยนต์ที่เหาะได้ และ เราก็มีรถยนต์ที่ลงดำน้ำได้ ..เราสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ที่มี Internet ...เรามีมนุษย์ที่ทำเงินมหาศาล โดย Online Trading ...เรามีบริษัทพาไปเที่ยวดวงจันทร์ ..เรามีรถสปอร์ตที่ใช้แบตเตอรี่ เพียงอย่างเดียว ...เรามีบริษัทอย่าง Google ที่บ้าพอ ที่เปิด ดาวเทียมให้เราดูโลก และ เชื่อมทุกๆที่ให้เรา "ฟรี" ... หลายคนถ้าให้มองไปย้อนหลัง10 ปี คงคาดไม่ถึงว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นมา ทั้งที่โลกมันมีทุกอย่างที่เราต้องการแล้ว

...คุณคิดบ้างไหม ว่า ในอีก 10 ปี ข้างหน้า มนุษย์จะสร้างอะไรที่เราคาดไม่ถึงบ้าง ... "ทุกคนเริ่มหันหน้า เข้าหากัน ..แล้วสงสัยว่า จะมีอะไรละ ที่เรายังไม่มีในเวลานี้ ในเมื่อวันนี้เรามีทุกอย่างที่เราต้องการแล้ว" -- "จริงหรือ!!".. ถ้ามนุษย์คิดว่าเรามีทุกอย่างที่เราต้องการแล้ว เมื่อ 10 ปี ที่แล้ว ก็คงไม่มี สิ่งที่เรามีวันนี้

"คุณรู้ไหมว่า คนที่จะประสบความสำเร็จ และ รวยมากๆ ก็คือ คนที่สามารถคิด และ สร้างสินค้าและบริการที่วันนี้มนุษย์ต้องการ ...แต่ยังไม่มีใครทำ -- คำถามคือ คุณคิดได้ไหมล่ะ ..iPhone เหรอ !! หรือ iPad ...โอเค พักตรงนี้ก่อนแล้วมาเล่นเกมกัน!!

Fredrik ถามผู้ฟังในสัมมนาในวันนั้นว่า "เรามาเล่นเกมกัน" ...เกมนี้ คือ ให้ลองท้าทายความ Creative ของทุกคนในห้อง โดย ให้ทุกคน คิดสิ่งที่ "เป็นไปไม่ได้" ...เอ้า!! คิดเลยครับ

คำตอบ เริ่มจาก ... ยาอายุวัฒนะ , รถยนต์เหาะได้ , เครื่อง Time Machine , บลา บลา บลา

ใน ที่สุด Fredrik ก็เฉลยโดย เปิด Powerpoint ของเขาให้ดูว่า "เขาลองเดาคำตอบไว้ล่วงหน้า ...ว่าคนส่วนใหญ่ จะคิดว่าอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ..ปรากฏว่า 7 ใน 10 อย่างที่ทุกคนคิดว่า เป็นไปไม่ได้ มันอยู่ใน List ที่ Fredrik เขาเดาไว้แล้วว่า คนส่วนใหญ่ต้องตอบแบบนี้" ...โอ๊ว!! ขนาด ให้จินตนาการเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ยังคิด เหมือนๆ กันเลย ... เขาเล่าว่า เขาเอาคำถามนี้ ไปถามเด็กอนุบาล ปรากฏว่า คำตอบในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ กลับแปลกประหลาด ซึ่งเขาบอกว่า เขาเดาแทบไม่ถูกเลย

ประเด็น คือ เขาอยากจะบอกว่า มนุษย์เรายิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ จินตนาการก็ยิ่งลดลงเรื่อยๆ ตามความรู้ที่ยิ่งมากขึ้น ...ยิ่งคุณใหญ่โตเป็นผู้บริหารองค์กร ความคิดคุณยิ่งติดอยู่ในกรอบ ...ในที่สุด ไอ้สิ่งที่คุณคิดว่า คุณคิดต่าง มันเป็นการคิดต่างที่มันเหมือนๆ กัน "เซ็งเป็ดมาก" และนี่คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กรที่เคยยิ่งใหญ่ อย่าง Nokia !!

วัน นั้นนับเป็น สัมมนาที่สนุกและมีพลัง ..สิ่งที่ผมสัมผัสได้ คือ Passion ของคนพูด ...อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า ไม่ว่าคนเราจะทำอะไรก็ตามได้ดี เขาต้องใส่ Passion หรือ ความหลงไหลลงไปในสิ่งที่ทำ มิเช่นนั้น ก็จะกลายเป็น พนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าตามห้าง ...ลองนึกภาพนะ ..."น้อง!! มีเครื่องปันผลไม้รุ่นไหนดี" ..."เอ่อ ครับ ...มีนี่แหละครับ ที่วางๆ ไว้" ..."แล้วอันไหนดี" ...(ไอ้น้องมันก็เดินมาหยิบดู แล้วก็ดูไปดูมาก ดูจนคนถาม อยากจะพูดออกไปว่า ..รู้งี้กรูไม่ถาม ดูเองก็ได้) -- ผมว่านี่มันเป็นปัญหา อย่างนึงของบ้านเรานะ ...ขาด Passion ในสิ่งทีทำ ... ทำงานไปวันวัน ...เขาจ้างมายืนอ่ะพี่!! ..."นี่เป็นปัญหาแรกนะ คือ เรามักทำงานไปวันๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจศึกษางานที่ทำอย่างจริงจัง อาศัยลากไปวันๆ ให้หมดชั่วโมง แล้วกลับบ้าน ...อ๊า!! สบายจัง แล้วก็ทำมันแบบนี้ ไปเรื่อยๆ ๆ ๆ ๆ"

วัน นี้คนรุ่นใหม่ เป็นแบบนี้เยอะ "เขาคิดว่างานที่เขาทำ มันกระจอก ดังนั้น ก็ทำแบบผ่านๆ ไปเรื่อยๆ ...ในที่สุด แค่งานกระจอก ยังทำได้ไม่ดี แล้วถามจริงๆ เถอะ ใครมันจะเอางานดีๆ มาให้คนกระจอกทำ ...จริงป่ะ -- เอ๊ะ !! ตกลง งานกระจอก หรือ คนกระจอก"

ปัญหามันอยู่ที่ไหน !!  ...วันนี้เราชอบมองโดย เอาตัวเองตัดสิน ... "ผมว่าผมเก่งนะ" แต่คนเหล่านี้เคยคิดไหมว่า คนอื่นเขาคิดว่าคุณเก่งหรือเปล่า หรือ ว่าคุณคิดเองว่าคุณเก่ง !! -- คำถามคือ แล้วตกลงว่า ในโลกใครเป็นคนตัดสินว่า ใครเก่งหรือไม่เก่ง ล่ะ ...ฮึม!! อย่างน้อย ในที่ทำงาน ...คนที่ตัดสินว่า คุณเก่งหรือไม่เก่ง ไม่ใช่คุณเองแน่นอน จริงป๊ะ ...แล้วคุณพร้อมที่จะ ให้คนอื่นตัดสินคุณหรือยัง -- ผมว่าประเด็นนี้ยากนะ ...ผมคิดค่อนข้างเยอะว่า เวลาคนอื่นมองเรา เขามองเหมือนที่เรามองตัวเองหรือเปล่า ...สรุปว่า ไม่ ...เพราะเราชอบมองตัวเอง เจ๋ง กว่าความเป็นจริงเสมอ

พูดซะยาว ...ผมเพียงอยากจะบอกว่า ..."คนไทยจำนวนมาก ยังขาด Passion ในงานที่ตัวเองทำ ...และ นั่นเป็น Step แรกของการ ที่จะสร้างผลงานให้ออกมาดี ...ไม่ว่างานนั้นจะเล็กแค่ไหนก็ตาม ...เพราะ ทุกงานใหญ่ เริ่มจากจุดเริ่มเล็กๆ เสมอ ..." ...ดังนั้น การเริ่มต้นที่ดี คือ เริ่มที่ทัศนคติที่ถูกต้อง ว่า จริงๆแล้ว ไม่มีงานในโลกที่กระจอก ..และ คนเราทุกคนควรเริ่มจากการเดินก้าวแรก "ก้าวก่อน" ..อย่าไปกลัวเลยว่า ก้าวนั้น มันไปไม่ถูกทาง มันเล็กเกินไปไหม ..ทำไมเงินเดือนหมื่นห้าเอง ..ไม่สำคัญ ..สำคัญที่ ความตั้งใจ และ Passion ที่เราใส่ลงไปในงานที่เราทำต่างหาก ที่จะวัดคุณค่าของตัวเรา ...ใช่!! เริ่มจากก้าวเล็กๆ แล้วค่อยๆ ก้าวใหญ่ขึ้น ...สุดท้าย เราต้องให้คนอื่นช่วยมองตัวเรา ...แล้วเราจะเข้าใจ การพัฒนาตัวเองที่ดีขึ้น

เอา ล่ะ วกกลับมาเรื่องของ ความคิดสร้างสรรค์ ..จากสัมมนา วันนั้น ผมสนุกในมุมมอง ..และก็สนุกที่ได้รู้ว่า วันนี้ผมเดินมาไกลจากจุดที่ผมเริ่มก้าวเพียงใด ...ผมไม่รู้ว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ เป็นอย่างไร ...แต่ในอุตสาหกรรมการเงินและการลงทุน ที่ผมอยู่ มันกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ...เดี๋ยวนี้คนหนุ่มสาว เริ่มให้ความสำคัญกับการวางเงินให้ทำงาน เข้าใจในเรื่องของ Asset และ เข้าใจความรวย ที่ไม่ได้เกิดจากความโชคดี แต่เกิดจากการวางแผนเป็น Step แล้วค่อยๆ เดินตามแผน ...ครับ!! วันหน้า เราจะมี ค๊อปเตอร์ไม้ใฝ่ทางการเงิน ..คุณจะมี Port บริหารเงินที่จัดสรรค์เงินและ สินทรัพย์ได้ทั่วโลก ...คุณจะมีไฟฉายย่อส่วน ..ประมาณว่า โดเรมอน จะมายืนเคียงข้างคุณ

คง สนุกไม่น้อย ที่เราจะไม่ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดิมๆ ..ถามจริงๆ เถอะ คุณเซ็งไหม ที่ทุกคนต้องทำงานหนักๆ เพื่อมีบ้านดีๆ สักหลัง รถหรูๆ สักคัน ..มีลูกเรียนโรงเรียนไฮโซแพงๆ ...มีกระเป๋าหลุยส์ หรือ แอร์เมส ...แล้วคุณก็ทำงานหนักๆ ไปเช้าเพราะรถติด และ กลับดึกเพราะรถยิ่งติด ..ทำงานเดิมๆ หาเงินยากๆ แบบเดิมๆ ...งานเหมือนเดิม น่าเบื่อ .."เบื่อไหม" -- โคตรเบื่อ!!

"นี่เลย ซาร่า เรามี" -- ความท้าทายมาให้คุณ ...คุณลองเอาลูกค้าเป็นที่ตั้งซิ แล้วคุณจะรู้ว่า สิ่งที่บริษัทคุณทำอยู่ มันห่างไกลความต้องการของลูกค้าเพียงใด ...ยกตัวอย่างธุรกิจ อาหาร ผมได้คุยกับ คุณเจริญ เจ้าของ ส.ขอนแก่น ..เขาเล่าว่า สิ่งที่ ส.ขอนแก่น ทำก็คือ ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ เขาขายไส้กรอกอีสาน .."คนอื่นก็ทำนี่" ..ไม่!! เขาขายให้คนรวย ...ซึ่งขายแพง เน้นความสะอาด เพราะ เดิมทีคนรวยมักมองอาหารอีสานไม่สะอาด เขาก็เปลี่ยนใหม่ทำให้สะอาด ทำให้แพง ก็จับตลาดใหม่แล้ว ...คนอื่นไม่มี Brand เขาสร้าง Brand มากมาย ...

ข้อ จำกัด จริงๆ มันอยู่แค่ ความคิดเราเอง เท่านั้นแหละ --- คุณเชื่อไหมว่า ทุกอุตสาหกรรม ที่คุณทำอยู่ มันทำให้ดีขึ้นกว่านั้นได้ หากคุณมองสมมุติตัวเองเป็นลูกค้า แล้วลองคิดซิว่า คุณต้องการอะไร แต่ไม่มีใครทำให้คุณ ...โอ๊ว!! เยอะมาก ...เช่น ถ้าผมไม่อยากอยู่บ้าน ผมไม่อยากมีภาระ ทำไมไม่มี บ้านที่ขายสิทธิการใช้ แทนที่จะขายภาระอย่างความเป็นเจ้าของ ...หรือ รถยนต์หรู ทำไมเมืองไทย ไม่มีให้เช่าใช้แบบระยะยาวราคา Make Sense ...อาหารไทยแช่แข็งสำเร็จรูปที่ส่งขายทั่ว AEC และทั่วโลก ..เครื่องผลิตเงิน "กองทุนพิเศษ ที่บริหารความมั่งคั่งให้เรา" ...ประกันความเสี่ยง ที่เราสามารถซื้อประกันของเงินลงทุน เหมือนที่เราสามารถซื้อประกันรถยนต์ ..ทำไมไม่มีอ่ะ!! ...เยอะมากเลย ...เพียงเรายกกรอบความคิดเดิมๆ ที่เราทำต่อๆ กัน คิดเหมือนๆ กัน ออกไป เราจะเห็นโอกาสของธุรกิจ และ การสร้างสินค้า และ บริการที่ไร้ขีดจำกัด

-- "เอาล่ะ คุณ และ ผม มาช่วยกันคิด ต่อไปซิว่า แล้วเราจะ เปลี่ยนสิ่งที่เราทำอยู่ได้อย่างไร" ...ยิ่งการเปลี่ยนแปลง มันต้องเกิด ภายใต้ข้อจำกัด เช่น Marketing แบบไม่ใช้เงินได้ไหม , ขายเพิ่มแบบ ไม่ต้องขายได้ไหม ...ยิ่งข้อจำกัดมาก งานมันยิ่งท้าทาย และเหมาะกับคนเปลี่ยนโลก อย่างคุณ !! ..อิ อิ 

"Change!! -- Creative!!" ...เดินต่อไป ...



วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

"พ่อสร้าง ลูกทำลาย" ...คำสาบ ทายาทธุรกิจ !!


"พ่อสร้าง ลูกทำลาย" ..กลายเป็น เรื่องราวที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในเมืองไทย

หลายคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอดไหม" ...มันไม่ใช่แค่คำพังเพยนะ แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มากขึ้นเรื่อยๆ

เดี๋ยวนี้ เจ้าของธุรกิจ ที่สร้างตัวขึ้นมาเอง ในรุ่นพ่อแม่ ..ก็ส่งลูก ซึ่งเป็น "ทายาทธุรกิจ" ไปร่ำเรียนวิชาถึงเมืองนอก ...แต่ปัญหาคือ พอคนเหล่านี้กลับมา บางส่วนก็สำเร็จ แต่บางส่วนกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ..พาเอาธุรกิจที่พ่อแม่สร้างมาพังไปกับมือ

"คุณว่า ความแตกต่าง ระหว่าง ทายาทที่ประสบความสำเร็จ กับ ทายาทที่ล้มหลว มันต่างกันตรงไหน"

"ดวงหรือเปล่า!!"

ไม่ใช่เลย ...ไม่มีฟลุ๊คหรอกครับ -- ผมเดินสาย เป็นวิทยากรให้ธนาคารกรุงเทพ คุยกับทายาทธุรกิจทั่วประเทศ สิ่งที่ผมเห็น คือ มุมมองที่ต่างกัน ..."จะบอกว่า ผมคุยกับ ทายาทธุรกิจ ไม่เกิน 10 นาที จะรู้เลยว่า ธุรกิจเขาจะไปรอดหรือไม่" ...ฮึม!! ผมไม่ใช่หมอดูนะ เพียงแต่ สิ่งที่เขาคิด มันชี้ให้เห็นเลยว่า เขาจะทำอะไร

คำถามแรก เลย คุณลองถามดูซิว่า เขามาทำอะไรบ้างในธุรกิจ

ถ้าตอบว่า มาเรียนรู้งาน .. ต้องถามต่อว่า แล้วได้เรียนรู้อะไร แล้ว คุณทำอะไรบ้าง ... ถ้าตอบว่า ก็เรียนไปเรื่อยๆ ..บลา บลา บลา ...คุณก็เริ่มฟันธงแล้วว่า "พ่อมันบังคับให้ทำงาน แต่ Passion มันไปอยู่ที่บาร์ และ ร้านเหล้า หรือ การ Shopping.. คือ หนึ่งผมค้นหา แนวคิด และ แรงบันดาลใจ หรือ ที่เขาเรียกว่า Passion นั่นแหละ"

คนไหนที่คุยด้วย แล้วเราไม่สามารถสัมผัส Passion คือ ความหลงไหลในงานที่เขาทำ แทบจะฟันธงได้ 100% ว่า ยิ่งเขาทำสิ่งนั้น ชีวิตก็จะแย่ไปเรื่อยๆ พร้อมๆ กับธุรกิจที่โดน บังคับให้ทำ --- "คุณว่าความผิดของใคร ถ้าทายาทไม่ได้ชอบ งานที่พ่อแม่ทำ"

จริงๆ ไม่ใช่ความผิดของใคร ... ผมว่าประเด็นมันอยู่ที่ ปัญหาคือ ความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน ..คิดดีๆ นะ การที่จะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ คุณต้องรักงานนั้น และ มี Passion ใส่เข้าไป ...ลูกค้าก็จะสัมผัสได้ แต่ถ้าลูกมันไม่ชอบ แล้วคุณบังคับให้เขาทำ ..ผมว่า มันเริ่มมีอะไรที่มันเริ่มไม่ Make Sense ...ถ้าลองคิดใหม่ คือ แทนที่จะบังคับให้คนที่ไม่ชอบ เราหาคนที่ชอบ และ ทำได้ดี มาทำดีไหม ...เพราะ สุดท้ายผมว่า ความสำเร็จของแต่ละคน มันไม่ใช่การ ส่งต่อน้ำลาย เหมือนทายาทปอบ อะไรแบบนั้น ..แต่มันต้องเป็นการส่งต่อ Passion และความหลงไหลในสิ่งที่คุณทำ ...อย่างในกรณีที่พ่อแม่ ไม่สามารถส่งต่อความหลงไหล และ Passion ในสิ่งที่คุณทำให้ลูก ก็แสดงว่า คุณพลาดแล้วล่ะ เพราะถ้าคุณรักงานของคุณเพียงพอ มันเป็นสิ่งที่น่าหลงไหล แต่คุณส่งต่อ Passion สู่ลูกไม่ได้ ก็ให้เราไปทำสิ่งที่เขารักเถิด

"คุณรู้ไหมว่า คนทุกคนไม่มีใครโง่ ..ทุกคนมีความเก่ง ที่แตกต่างกัน ...คนที่ประสบความสำเร็จ มันคือ คนที่โชคดี ที่เขาได้ทำในงานที่ตัวเองเลือกและรัก ด้วย Passion ในสิ่งที่ทำอย่างมากมาย ก็ไม่แปลกที่คนเหล่านี้ จะประสบความสำเร็จ มั่งคั่ง และ มีชื่อเสี่ยงในงานที่เขาทำ" ...จริงๆ มันไม่ใช่โชคดี แต่มันคือ เขาหาตัวเองเจอ ว่าเหมาะกับอะไรต่างหาก นั่นแหละ ความสำเร็จ ที่เริ่มจากการเดินทางสายตรงสู่ความสำเร็จ

"ถ้าวันนี้คุณยังหาสิ่งที่คุณรัก และมี Passion อย่างล้นเหลือในงานนั้นไม่เจอ" ...ฟันธงว่าให้รีบไปหา มิเช่นนั้น ชีวิตแห่งคนธรรมดา เรื่อยๆ เช้าชามเย็นชาม ก็จะครอบงำ และ นำคุณออกห่างความสำเร็จ ..จนคุณคิดว่า ความสำเร็จมันเป็นไปไม่ได้ --- จริงๆไม่ใช่ !! "คุณตั้งโจทย์ผิดต่างหาก ทางเดินมันเลยพังทั้งชีวิต"

..ก็ขอเอาใจช่วย ให้คุณหาโจทย์ที่ถูกต้องของชีวิตคุณเจอไวไว

เจอเมื่อไหร่ นั่นแหละ ทางสายตรงสู่ความสำเร็จครับ!! 

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

"มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด ในปีนี้"


ผมเผอิญไปเจอ "มหาวิทยาลัย ที่ดีที่สุด เลยอยากเอามาเล่าให้ฟังกัน!!"

ตอนผมเรียนหนังสือ ..ตอนนั้นอยากมากๆ ที่จะเข้า U Top Ten ของ อเมริกาให้ได้ ... แต่ในที่สุด สอบไม่ได้เลยต้องไปเรียน ที่ออสเตรเลียแทน .."เปลี่ยนทวีปเลยว่างั้น..555"

จะว่าไปแล้ว หลังจากสอบไม่ได้ ก็เรียกว่า "เบนเข็ม ชนิด 360 องศา" ..มุ่งสู่ การทำธุรกิจจริงๆ -- ผมจะเป็นนักธุรกิจที่เก่งให้ได้!!

"ผลลัพธ์ของการ ตั้งเป้าที่ ความสำเร็จ และ เงินมากๆ รวยเร็วๆ ...จบลงด้วย คราบน้ำตา อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว.. เจ๊ง!!" ...ถ้าความสำเร็จได้มาง่ายๆ ทุกคนในโลก คงประสบความสำเร็จ ไม่มีใครจน จริงป่ะ ...แต่ไม่ใช่ไง ...คนส่วนน้อยเท่านั้นแหละ ที่ประสบความสำเร็จ ...เพราะ กว่าที่เราจะเข้าใจ "แก่นของความสำเร็จ" -- ส่วนใหญ่ เข้าใจเมื่อสาย และ หมดแรงที่จะไปสู่เป้าหมาย เรียกได้ว่า รู้แต่สายเกินไป!!

"ผมไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดกับ คนรุ่นใหม่ ที่มีไฟ มีพลัง ...ดังนั้น ลองฟังประเด็นนี้ให้ดี"

ไม่มีใครไม่ล้มหรอก ในชีวิตจริง ..ความสำคัญอยู่ที่ การลุกขึ้นมา และ การเรียนรู้ บทเรียนของการสะดุดล้ม ...มีคำพูดที่น่าคิดมาก ประโยคนึง คือ คนที่ประสบความสำเร็จ ต้องเป็นคนที่ "รับผิดชอบ" -- ความหมายจริงๆ คือ ต้องรับทั้ง "ผิด" และ รับทั้ง "ชอบ"

การรับ "ชอบ" เราได้แต่ ความสะใจ ...แต่เราไม่ได้ เรียนรู้
การรับ "ผิด" นั่นแหละ ที่เป็น "อาจารย์" ที่สอนบทเรียนที่ดีที่สุดให้กับเรา

ที่ผมพูดว่า "มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด" ก็คือ "ความผิดพลาดนั่นแหละ" ...และ คนที่จะสามารถเรียนรู้ ก็คือ "คนที่รับผิด (ไม่โยนความผิดไปให้คนอื่น)" ...คนที่รับ "ผิด" ก็คือ คนฉลาดนั่นเอง

"That' s my Fault -- มันคือ ความผิดของผมเอง" ...และ หลังจากนั้น คือ การแก้ไขความผิด ...ยิ่งแก้ ก็ยิ่งเก่ง ...ประสบการณ์ของคนเก่ง ผมว่า มันมาจากการเข้าไปแก้ปัญหา เข้าไปสู้กับอุปสรรคที่ยากๆ ...จริงๆ ถ้าคิดให้ดี โลกนี้ มันเป็น "ตรรกะ" ซึ่งมันแฟร์มากๆ ...เพราะคุณรู้ไหมว่า คนที่ประสบความสำเร็จ และ ยิ่งใหญ่ ทุกคน เป็นคนที่ผ่านเรื่องราวเลวร้าย ผ่านอุปสรรค และ มรสุมชีวิต มามากกว่าคนอื่น..แค่นั้นเอง

สถิติในปัจจุบันของ Billionaire ในอเมริกา ...คุณรู้ไหมว่า 2 ใน 3 คือ Self-made คือ "สร้างตัวจากมือเปล่า" ...ผมอยากจะบอกว่า พวกเราโชคดี ที่เกิดมาในยุคนี้ เพราะ คนที่เก่งจริง สามารถสร้างตัวได้จากมือเปล่า ด้วย ระบบ และ เครื่องมือ ของธุรกิจ และ การเงิน

หากใครเคยอ่านเรื่อง Alchemist "กลุ่มคนที่พยายามจะ เปลี่ยนโลหะ ให้เป็นทอง แต่ทำมาเป็นพันๆปี ก็ไม่มีใครสามารถทำได้" ...แต่ปัจจุบัน "ตลาดทุน" ทำได้ไง ...มนุษย์ในยุคใหม่ สร้างโลกเสมือนทางการเงิน ที่สะท้อน ความมั่งคั่งขึ้นมา เรียกว่า "Asset" ...กลไกความมั่งคั่งในปัจจุบัน จึงเป็นการสร้าง และ สะสม Asset นั่นเอง

ถ้ามองให้เข้าใจ "สามขา ของการสร้างและ สะสม Asset ก็คือ"

หนึ่ง Right to Property ... "ตรงนี้ คือ กฏหมาย และ การรักษาสิทธิของเจ้าของทรัพย์สิน ...ซึ่งประเทศที่มีกฏหมายทรัพย์สินที่มั่นคงเท่านั้น ประชาชน จึงจะสามารถสร้าง และ สะสมความมั่งคั่งได้" ...จะเห็นได้ว่า ประเทศเผด็จการทหาร ไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งได้ เพราะ ไม่มี Right to Property ..มีแต่ "สิทธิปากกระบอกปีน"

สอง Knowledge ..คือ ความรู้ของประชาชน ...ในการที่จะเข้าใจว่าอะไรคือ Asset และอะไรคือ "ขยะ" ..และ ในระยะยาว "เงินสด" ลดมูลค่า ...และ "Asset" เพิ่มมูลค่า สวนทางกับเงินสด ... กลไกของการสร้างความรู้ -- ยกตัวอย่างตลาดหุ้น คนส่วนใหญ่ขาดความรู้หลักๆ คือ ไม่เข้าใจว่า "ราคา" ไม่ใช่กลไกของความมั่งคั่ง แต่เป็น "Value" หรือ มูลค่าพื้นฐานที่แท้จริงที่เขาครอบครองต่างหากที่เป็น Wealth

สาม Wealth Allocation ..คือ การกระจายความมั่งคั่ง ..ประเทศที่คนส่วนใหญ่ ไม่มีการศึกษา จะนำมาซึ่งการกระจุกตัวของความมั่งคั่ง ...เช่น ความรวยของแอฟริกา จะไปกระจุกตัวอยู่ที่ผู้นำเผด็จการทางทหาร ซึ่งคนเหล่านี้ เป็นเพียงคนที่ถูกหลอก ให้เขานำทรัพยากรของประเทศออกไปขาย แลกกับ "เงินในธนาคารสวิส หรือ เงินใน Safe Haven"..หากคิดให้ดี เงินเหล่านั้น เขาแทบไม่มีโอกาสใช้ ..อย่าง กัดดาฟี มีเงินที่แลกกับทรัพยากรน้ำมันของลิเบีย เอาไปฝากไว้ทั่วโลก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ ..ประเทศก็ไม่ได้ใช้ ..เพราะ สุดท้ายอเมริกัน ก็ยึดไป เพราะอ้างความชอบธรรมทาง สิทธิมนุษยชน ..."มันแปลว่า อะไรหรือ!!" ...ประเด็น สำคัญคือ ประชาชน ขาดความรู้ ผู้นำก็ขาดปัญญา ...การสร้างความมั่งคั่ง ของประเทศถึงกระจุกตัว และ อยู่นอกประเทศ (ลองดู พม่า เป็นกรณี ศึกษาละกันว่า จะรอดหรือไม่!!) ...การสร้างความมั่งคั่ง และ การกระจายความมั่งคั่ง คือ การกระจายความรู้  และ สุดท้าย คนจะฉลาดพอที่จะดูแล ตัวเองได้ ...

ผมว่า วันนี้ การได้เรียนจาก "มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด ก็คือ Internet และ Social Network นี่แหละ"... การที่เรามี ความรู้ ก็ช่วยแบ่งปันไปให้คนอื่นๆ ด้วยนะครับ ...หนังสือ อ่านแล้วดี ก็แบ่งให้คนที่เรารักอ่านได้ ... ยุคนี้ผมว่า "การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง จะเกิดกับสังคมไทย" --- หากคุณ "ผู้ที่มีโอกาสมากกว่า" ...ใจกว้าง และ แบ่งปัน ความรู้ และ โอกาส ให้กับผู้ที่เขายังขาดมัน

"ความรู้ จริงๆ มันคือ โอกาส" ...แชร์ออกไปครับ -- "ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้"

ลองดู "เชื่อผม" ...ลองแล้ว work จึงบอกกัน...555

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

"ธรรมชาติ" ที่ช่วย เหลือการลงทุน ...มันมีอยู่จริง หากคุณมองให้เห็นมัน


"ไปเจอ ภาพนี้มา" ...ผมเห็นแล้วเกิดความคิดมากมาย ...ระยะหลังการลงทุนผมดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งผ่านวิกฤต ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก ...ผมว่า มันเริ่มมาจากการมอง ทุกอย่างที่อิงกับ "ธรรมชาติ" และ พฤติกรรมของมนุษย์ ...พอมาศึกษาเข้าไป ก็พบว่า ธรรมะ ก็คือ "ธรรมชาติ นั่นเอง" ...การที่เราเข้าใจ ธรรมชาติ แล้วเราเอาธรรมชาติ เป็นต้นแบบของความคิด และ การดำเนินชีวิต ..ผมพบว่า ผลลัพธ์ของมันที่ส่งผลต่อชีวิต และ โอกาสที่เข้ามาในชีวิต มันเปลี่ยนชีวิตของผมอย่างน่าทึ่ง ...ก็ถือซะว่า ผมแชร์ละกันว่าความลับของความมั่งคั่ง ที่ผมพบ มันก็คือ "ธรรมชาติ" ซึ่งก็คือ "ธรรมะ" นั่นเอง ...การที่เราทำอย่างไร ผลก็จะออกมาอย่างนั้น ...อยากจะเป็นอะไร จริงๆ เราคือ คนกำหนดเอง ทั้งสิ้น 

กฏการสะท้อน ...คือ Action = Reaction มันเป็น Simple Rule แต่สิ่งที่ซ้อนอยู่ภายใต้ มันมหัศจรรย์ หากเราปรับ เอาวิธีคิดมาใช้กับ การทำงาน การลงทุน และ การใช้ชีวิต 

อย่างในภาพนี้ ..."ตัวเลข" จากการ คูณ 1 * 1 , 11 * 11 , 111 * 111 ผลลัพธ์ กลับมาด้วย ตัวเลขที่มากขึ้น แต่ ลำดับของตัวเลข กลับย้อนมาที่จุดเริ่มต้น!!

"ไม่เห็มมีอะไรเลยจริงไหม"

ก็แล้วแต่จะมอง!! ...แต่สำหรับผมแล้ว ผมมองว่า สิ่งนี้ มันได้ชี้ประเด็นบางอย่างที่น่าสนใจ ..เพราะ คณิตศาสตร์มันเป็น ตรรกะ ที่มีเหตุมีผล จับต้องได้ ..ไม่ใช่ความฝัน ...การที่มันบ่งชี้ ย่อมสอนอะไรบางอย่างแก่เราได้เสมอ ...ลำดับของตัวเลข ที่ย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้น ผมกลับมองว่า มันเปรียบเสมือน ชีวิตของมนุษย์ 

ไม่ว่าเราจะรวยเท่าไหร่ ก็ตาม ...เราก็ ยังเป็นคนนึง ที่มีความสุข ความทุกข์ เกิดแก่ เจ็บ ตาย ไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่นๆ ...แต่พอเอาเข้าจริง หลายๆคน ลืมข้อนี้ไปโดยสิ้นเชิง ...และไป Focus แต่จำนวน และ ตัวเลข ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น โดย ปราศจากการย้อนคิดเลยว่า สุดท้าย คุณได้ติด "กับดัก" แห่งระบบ ไปเรียบร้อยแล้ว

ผมว่า "แก่นของความมั่งคั่ง" ที่แท้จริง คือ การให้ และ การรับ พร้อมกับ ความเข้าใจถึงแก่นแท้ของตัวตนของเราเอง ...ทุกอย่างย้อนกลับมาที่ "จุดเริ่มต้น" ก็คือ "ตัวเรา" เสมอ ...ผู้ใดที่เข้าใจ ก็คือ คนที่ไม่เคยลืมตีน... และ นั่นก็คือ แก่นของความมั่งคั่งและความสุข

ในระบบของทุนนิยม มีเรื่องของตลาดทุน ที่หลายคนมองว่า ซับซ้อนที่สุด แต่ในฐานะที่ผม เข้ามาศึกษาแก่นของระบบ กลับพบว่า "ตลาดทุน" กลายเป็น "ตัวสะท้อนของระบบทุน" ..มันคือ กระจกสะท้อนความมั่งคั่งของคน ในประเทศนั้นๆ ทั้งในเรื่องของความมั่งคั่ง และ จิตใจ ...คนที่รักษาความมั่งคั่งของตัวเอง ในระบบทุนนิยมสมัยใหม่ กลับเป็นผู้ที่ รู้จัก "กระจายโอกาส" เพราะหากคิดให้ดี ..ความมั่งคั่งในระบบทุน ไม่ใช่การ "รวมศูนย์" หรือ รวบทุกอย่างเข้าส่วนกลาง แต่มันเป็นการแตกออก และ กระจายความมั่งคั่ง สู่บุคคลที่มีความสามารถ

ดังนั้น Key Success Factor ของระบบทุน ก็คือ "ผู้ใดก็ตาม ที่สามารถกระจายโอกาส ให้สู่คนที่มีความสามารถ อย่างเหมาะสมที่สุด ผู้นั้นก็จะสร้างความมั่งคั่งของตัวเองได้ อย่างยั่งยืน" ยกตัวอย่าง คนที่มี Connection และ มีทุน มหาศาล ..หากเขาไม่รู้จักกระจายออก สุดท้าย เขาจะทุกกำจัด คล้ายๆ เผด็จการประเทศต่างๆ เช่น ซัดดัม หรือ กัดดาฟี ...แต่ผู้นำ ที่รู้จักกระจายโอกาส และ สร้างให้ทุกคนได้รับโอกาส กลายเป็น ผู้นำ ที่ยั่งยืน เช่น คนทีมีเงิน มี Connection ก็เอาโอกาสนั้น ให้กับคนที่มีความสามารถ แล้วสร้างกิจการ อย่าง Google , Facebook  สุดท้ายพอ ธุรกิจเข้าสู่ตลาด ก็สร้างความมั่งคั่งให้ทุกคน มันคือ การแบ่งโอกาส เพื่อสร้างความมั่งคั่งนั่นเอง  ...ผมว่า เรามีอะไรที่น่าศึกษา จาก Silicon Valley ของอเมริกา และ ชีวิตของ ลี กวน ยู ค่อนข้างมาก ..."ทั้ง East และ West ล้วนมีตัวอย่างที่น่าศึกษาอย่างมากมาย"

ผู้นำ ที่รวย มั่งคั่ง รักษาอำนาจ และ มีความสุข ..เพราะ เขารู้จัก กระจายความมั่งคั่ง ...และ เข้าใจแก่นของตัวเอง ...

เดี๋ยวนี้ สังคมตะวันตก เริ่มสั่นคลอน ...แต่คนที่รักษาฐานที่มั่น กลายเป็น ผู้เข้าใจระบบอย่าง Bill Gates , Warren Buffett หรือ Silicon Valley Young Elite ที่เข้าใจกลไกของการ กระจายโอกาส ...สิ่งเหล่านี้ ผมว่า สอนกันยาก แต่เราจะเข้าใจ ก็ต่อเมื่อ เราได้ปฏิบัติจริงๆ อำนาจ เกิดจากการ กระจาย ไม่ใช่ การดึงเข้า ...

เงิน ไม่ใช่ ทุกอย่างของระบบ ...มันเป็นเพียง "เครื่องมือ" หรือ "ระบบหล่อลื่น" ในการ Give & Take นั่นเอง ...

"สิ่งที่คุณทำ ไม่ว่าจะเป็น ทำกิจการของตัวเอง ..ลงทุน ..หรือ งาน" ...หากงานนั้น สร้างประโยชน์ให้ผู้อื่น ..เป็นงานที่ทำให้ สังคมดีขึ้น ...เป็นงานที่เราทำแล้วมีความสุข เพราะเราชอบที่จะทำ ...นั่นก็คือ งานที่สร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองและสังคม -- "สุดท้าย สิ่งนั้น จะส่งผลให้ คุณ และ ครอบครัว ...เจริญ และ มั่งคั่ง อย่างแน่นอน"

"สิ่งที่เราเป็นในวันนี้" คือ ผลลัพธ์ จากสิ่งที่เราทำมาในอดีต ... อย่าทิ้งแก่นของตัวเอง ...เพราะ "ตัวเรา" คือ แก่นของความมั่งคั่งและ ความสุข ....เราอย่าไปพยายามเปลี่ยนคนอื่นให้ดี ...ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่เราทำได้ ก็แค่ให้คำแนะนำที่ดี ..ส่วนคนๆนั้นจะดี หรือ ไม่ สุดท้ายก็ขึ้นกับ การกระทำของเขาเอง

...แล้ววันนึงเราก็จะรู้ว่า เมล็ดพันธ์ุ หรือ ต้นกล้าแห่งความสำเร็จ ที่เราเริ่มปลูก มันจะส่งผลอย่างไรในอนาคต

"สิ่งที่น่าลงทุน ที่สุดในชีวิต" คือ ลงทุนใน การเรียน และ ศึกษา Mindset ที่ถูกต้องในการ ทำงาน และ การใช้ชีวิต -- เพราะสิ่งนี้จะกำหนด ผลลัพธ์ของชีวิตคุณใน 10 อีก 20 ปีข้างหน้า ... ว่าแต่ คุณเคย อ่านหนังสือ ผมหรือยัง "คลินิกหุ้นมือใหม่" ...ฮ่า ฮ่า -- "โฆษณาซะงั้น ...ไปดีกว่า!! ...โชคดีทุกคนครับ คิดดี ทำดี ...เราล้วนกำหนดชีวิต ของตัวเอง"

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ