แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

Confirm แล้น!!..บนจอทีวี "แกะรอยมาร..(เฮ้ย!! ไม่ใช่) แกะหุ้น"

FACEBOOK ของรายการ คลิ๊กที่นี่ครับ : http://www.facebook.com/kaeroyhoon

"มีเพื่อนๆถามว่า มี Passion อะไร ที่จะจัดรายการ!!" ...บอกตรงๆ ผมว่า รายย่อย กับ รายใหญ่ที่ทำเงินจากตลาด นั่งอยู่คนละจุด ..."และการนั่งที่มุมมองคนละจุดนี่เอง ทำให้ คำถาม และประเด็นที่นำเสนอในสื่อที่นำเสนอรายย่อย ก็เป็นมุมที่รายย่อยรับรู้กัน เช่น ข่าวดี ทำไมหุ้นยิ่งลง ...แต่คุณว่า รายใหญ่ เขารู้ในข้อมูลที่คุณรู้ใช่หรือเปล่า (ฮึม!! ไม่ใช่) -- รายใหญ่(เจ้า)ที่ไหน จะซื้อหุ้นขาขึ้น เพราะเขาซื้อจำนวนมาก ที่มีผลต่อการขึ้นลง ...ถ้าเขาซื้อขาขึ้น "หุ้นก็ไม่ขึ้นน่ะซิ" หรือ ถ้าขาลงเขาไม่เก็บหุ้น เขาจะได้หุ้นถูกได้อย่างไร (หลายคนเถียงเจ้าซื้อขาขึ้น ถูก!! แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เขาซื้อขาขึ้นในจำนวนที่น้อยลง"รึเปล่า" ในขณะที่ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ -- และเมื่อ Volume Peak (ในราคาที่เกินพื้นฐาน) ราคาจึง Peak ไง !! และจากจุดนั้นลงมา คือ จุดที่รายย่อยติดดอย มากที่สุด "ฮึม!! หุ้นถูก รับขาลง ตรงยอดดอย ..สำราญเลย") ...ประเด็นเหล่านี้ ผมเชื่อว่า เราอยากรู้ ว่ารายใหญ่เขารู้อะไรที่เราไม่รู้ และทำไมเขากล้าซื้อในเวลาที่คนส่วนใหญ่ขายหนีตาย ... "ก็เพราะเพราะเขารับรู้ และ รู้ในอีกมุมมองนึงนั่นเอง" -- สิ่งที่เปลี่ยนชีวิต ผมมั่นใจว่า มันคือ "มุมมองและความเข้าใจ" ..นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มันสำเร็จตั้งแต่มี Blue Print คือ "มันสำเร็จตั้งแต่ เขาเริ่มนั่นแหละ" .... ก็อย่าลืมเข้ามา ถาม เข้ามาแชร์มุมมองกันใน Facebook ของรายการล่ะครับ ..จะได้ช่วยกันปรับ มุมมอง และวิธีคิดไปพร้อมๆกัน

"รายการ แกะรอยหุ้น"

จากความร่วมมือ ระหว่าง Stock2morrow กับช่อง Money Channel

"ร่วมกัน" ...ดำเนินรายการแบบ "จัดหนัก" โดย ภาววิทย์ ("แพ้ท" นักแกะรอยหยักสมอง) , ปิยะพันธ์ ("ป๋ากิ้ง"..เซียนหุ้น 5 เด้ง) และ น้องทีน่า (Money Jockey แห่ง Money Channel)

รายการที่จะ "แกะรอยหุ้น" แบบเจาะประเด็น และ Strategic Vision ชนิดเผ็ดมันฮานิดๆหน่อยๆ อร่อยๆ แบบเมาๆ ใบแบบฉบับที่ไม่เคยธรรมดา (อาฮ่า!!) ...ท่องไปใน "รอยหยักสมอง" ความคิดของพวกเราทั้งสาม และแขกรับเชิญระดับผู้คร่ำหวอดในระดับสูงขององค์กรชั้นนำ (ที่ไม่เคยคุยกับใครแบบนี้เลย.. โอ้ Yes!!)

..."ผมอยากจะไขความลับของวิธีรวยช้า แต่รวยในอัตราเร่ง ว่ามันทำได้อย่างไร ...ในเมื่อโลกแห่งความจริง มันต่างจากโลกแห่งจินตนาการของนักลงทุนมากนัก"

งานนี้ ขอบอกว่า 1 + 1 เท่ากับ 3 เพราะมันเป็น แบบที่ประธานาธิปดี ลินคอนด์ กล่าวไว้ว่า Of the Investor , By the Investor และ For the Investor ...

"ไม่บ่อยนักนะครับ ... ที่จะมีรายการ ที่นักลงทุนจริงๆ จะ นั่งคุยกับนักลงทุน และเพื่อนักลงทุน" (ที่จัดเพราะอยากดูแบบนี้นั่นเอง...อิ อิ) ..เอาเป็นว่า ใครว่างก็มาช่วยเชียร์กันหน่อย เพราะมือใหม่ คงจะดิบมาก หลุดบ้าง แต่จริงใจอ่ะ !!!! (จริงใจ)

เริ่มออกอากาศ กุมภาพันธ์ 2012

" รายการหุ้น จากนักลงทุนสู่นักลงทุน "

Description ออกอากาศทุกคืนวันพุธ 21.00 - 22.00 น.
ทาง Money Channel

ช่องทางในการรับชม Money Channel

1. เคเบิลทีวีท้องถิ่นทั่วประเทศ

2. ทีวีผ่านดาวเทียม

- ทรูวิชั่นส์ ช่อง 178
สมาชิกทรูวิชั่นส์ในระบบดิจิตอล ทุกแพ็คเกจสามารถรับชม Money Channel ได้ทางช่อง 178 ส่วนท่านที่เป็นสมาชิกในระบบอนาล็อก (รับชมได้เพียง 99 ช่อง) สามารถแจ้งเปลี่ยนแปลงระบบได้
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.truevisionstv.com โทร. 02-725-7000

- จานดาวเทียมสามารถดีทีเอชสีน้ำเงิน
การติดตั้งจานดาวเทียมสามารถดีทีเอชสีน้ำเงินสามารถติดตั้งได้เองในบริเวณที่เป็นพื้นที่โล่งไม่มีสิ่งกีดขวางบังหน้าจานดาวเทียม แต่เพื่อให้สามารถรับสัญญาณได้คมชัด เกิดความสะดวกและเรียบร้อยสวยงาม แนะนำให้ช่าง ซึ่งมีความสามารถโดยเฉพาะและเป็นผู้มีอุปกรณ์รับตรวจวัดองศาการรับสัญญาณมาติดตั้งให้
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.samart-eng.com โทร. 02-975-5888

- จานดาวเทียมดีทีวีสีเหลือง
จานทีวีสามัญประจำบ้าน เป็นจานดาวเทียมขนาด 64 ซม. รับสัญญาณสถานีโทรทัศน์ฟรีได้ 89 ช่อง ทั้งจากฟรีทีวีและทีวีผ่านดาวเทียมอื่น ๆ ไม่เสียค่าสมาชิกรายเดือน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติม www.dtvthai.com โทร. 02-950-5005


3. อินเทอร์เน็ตและทีวีบนโทรศัพท์มือถือ (ทุกเครือข่าย)

- ชมรายการสด www.moneychannel.co.th/live.html

- ชมรายการย้อนหลัง www.moneychannel.co.th/ondemand.html


4. ทีวีบนโทรศัพท์มือถือเฉพาะเครือข่าย

- AIS - ดูพลัสทีวีบนโทรศัพท์เครือข่ายเอไอเอสโมบายไลฟ์
ผ่าน wap.mobilelfe.co.th (เฉพาะระบบ AIS เท่านั้น) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dooplus.tv *ค่าบริการ GPRS/EDGE จะคิดตามโปรโมชั่นที่ผู้ใช้บริการใช้งานอยู่*

- True move - แอพพลิเคชั่นบนทรูมูฟไอโฟน

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

Mitt Romney คู่แข่งคนสำคัญของ Obama



ปลายปี 2012 จะเป็นปีมังกรที่น่าสนใจมาก เพราะอเมริกาจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ...ซึ่งคู่แข่งที่น่าสนใจของ Obama ก็เห็นจะเป็น Mitt Romney คนนี้ (ซึ่งยังไม่แน่ว่า เขาจะได้เป็นตัวแทนของพรรค Republican ได้หรือไม่ ก็ยังต้องติดตามกัน) ..แต่สิ่งที่ผมสนใจคือ นโยบายของ Romney

ความน่าสนใจของ Romney คือ เขาเป็น Business Man และผู้คร่ำหวอดในวงการธุรกิจ ..แถมเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Bain Capital ซึ่งเป็นหนึ่งใน Private Equity ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา (ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเสมือนเป็นหนึ่งในอดีต "The Wolf of Wall Street" หรือ ผู้ล่าที่เคยคร่ำหวอดใน Wall Street มานั่นเอง) ..และจุดนี่เองที่ทำให้ Romney มีสายสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับกลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ และนักการเงิน ซึ่งถ้าเทียบกับ Obama ที่มีพื้นเพเป็น "นักกฏหมาย" ก็จะเห็นความแตกต่างของสองคนนี้ได้อย่างชัดเจน

นโยบายที่น่าสนใจของ Romney เรียกได้ว่า อยู่คนละขั้วกับ Obama เลยก็ได้ ..เช่น Obama พยายามจะเก็บภาษีคนรวย ในขณะที่ Romney ไม่คิดจะเก็บภาษีคนรวยเพิ่ม แต่จะลดลงด้วย ซึ่งจุดนี้อาจขัดกับ Warren Buffett ที่ก่อนหน้านี้ออกมา สนับสนุนการเก็บภาษีคนรวยที่สุด 1% ของอเมริกาเพิ่ม ...ซึ่งในมุมของ Romney เขาเชื่อว่า สุดท้ายคนรวยก็สามารถหาช่องว่างได้อยู่ดี "เราควรมาเสียเวลา Focus ในสิ่งที่น่าสนใจมากกว่า" เช่น การกระตุ้นให้บริษัทใหญ่ๆของอเมริกา ที่ไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ให้สามารถนำเงินกลับมา แบบไม่เสียภาษี (เพราะก่อนหน้านี้ บริษัทอเมริกัน ที่เข้าไปลงทุนในต่างประเทศ จะเสียภาษีอีกเด้ง หากจะนำกำไรนั้นกลับมาอเมริกา ซึ่งจุดนี้ Romney มองว่า มันไม่ Make Sense เอาเสียเลย ...และจุดนี้ก็เป็นช่องโหว่ที่ บริษัทใหญ่ๆ ในอเมริกาต่างเร่งขยายการลงทุนนอกประเทศ และก็ไม่นำเงินกลับมา) ...จุดนี้เห็นได้ชัดๆว่า เดิมที Trend ของการลงทุน และ การจ้างงาน มันกำลังหนีออกจากอเมริกา ทำให้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ...เศรษฐกิจอเมริกา มันฟื้นตัวในแบบ Jobless Recovery (นั่นคือ บริษัทต่างๆกำไรดีขึ้น แต่ไม่จ้างงานเพิ่ม ..คิดง่ายๆ ก็คือ บริษัทเหล่านี้เขา Shift งานต่างๆ ออกไปผลิตนอกประเทศหมดแล้ว ...ส่งผลให้คนอเมริกาตกงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ..และปัญหานี้ ก็กลับมาเป็นงูกินหาง เพราะเมื่อคนอเมริกันเองตกงาน ..เขาก็ไม่ใช้จ่าย ...การบริโภคในประเทศ ที่แย่อยู่แล้ว ก็ยิ่งแย่เข้าไปอีก)

ในเรื่องของ Corporate Tax ของ Romney เสนอให้ลดลงจากปัจจุบัน 35% ให้เหลือ 25% ...อิ อิ แต่อันนี้พี่ไทยเราแจ๋วกว่า ..ซึ่งมุมการลด Tax ให้บริษัท ผมกลับมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ เพราะจะทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น -- อย่างในกรณีของเมืองไทย มันต่างกับอเมริกา ตรงนี้รัฐบาลเราขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ไป Off set กับการลดภาษี ..คือ พูดง่ายๆคือ เมืองไทยจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ก็เลยใช้วิธีการลดภาษีบริษัท ซึ่งประเด็นนี้แน่นอนจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นโดยตรง เพราะบริษัทที่จ่ายภาษีมากที่สุด และโปร่งใสที่สุดก็คือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยนโยบายนี้ ถูกใจคนเล่นหุ้น และ Wall Street

(แต่ในมุมของ SME มันต้องมาคิดเพิ่ม เพราะบริษัทเล็กๆ เหล่านี้จ่ายภาษีน้อยอยู่แล้ว แต่ค่าแรงกลับเป็นเรื่องใหญ่ ...ก็ถ้ามองตอนนี้ ในมุมของไทย ก็คือ พยายามบีบให้ผู้ประกอบการ ผันตัวไปสู่ อุตสาหกรรมที่มี Value Added หรือกำไรที่มากขึ้นนั่นเอง...ในบ้านเราถ้ามองว่ามีอนาคต ก็น่าจะเป็น ยานยนต์ และ Hi-margin Business ส่วนพวกผลิต Mass ราคาถูก และ อุตสาหกรรม Electronic ที่ Low Tech หรือ อย่างสิ่งทอ อาจจะเริ่มเหนื่อยมากขึ้นเรื่อยๆ ...อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้เหมาหมดว่า ทุกบริษัทในอุตสาหกรรมนั้นๆจะต้องเจ๊ง ..แต่ตัวชี้วัดมันขึ้นกับ การปรับตัวและวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ที่ต้องปรับไปสู่ High-Profit อย่างเช่น Innovation หรือ Design + Brand Oriented Product & Service มากขึ้นนั่นเอง)

กลับมาในส่วนของอเมริกา กับนโยบายของ Obama ตอนนี้หลายๆคนมองว่า รัฐบาลตั้งตัวเองเป็นศัตรูกับนักธุรกิจ และ พยายามใช้จ่ายมากเกินความจำเป็น เช่น ในเรื่องของ Health Care

จะว่าไปแล้วปัญหาของอเมริกาในเวลานี้ มันหนักในเรื่องของ การว่างงาน และ Real-estate ที่ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น ..ซึ่งประเด็นเหล่านี้ มันพ่วงเป็นลูกโซ่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอเมริกาก็อาศัย Real-estate นี่แหละ ที่ทำให้การจ้างงานอยู่ในระดับสูง และเศรษฐกิจเติบโต(เพราะธุรกิจก่อสร้างมัน High-Pay และ ใช้แรงงานมาก "Labor-intensive" จึงมองเหมือนที่ผ่านมาอเมริกา มีการเติบโตและการจ้างงานที่ดี)

แต่สุดท้ายทุกคนก็เข้าใจว่า ทั้งหมดมันคือ แชร์ลูกโซ่ขนาดใหญ่ที่วางอยู่บนสมมุติฐานเดียว คือ เศรษฐกิจจะดีไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ราคาบ้านสูงขึ้นเรื่อยๆ ... "นั่นแหละที่มันไม่ Make Sense" ..และเมื่อราคาบ้านเริ่มไม่ใช่ขาขึ้น ..ตอนนี้มันก็คือ ขาลง !! ..ประเด็นอยู่ที่ว่า บ้านจะลงถึงเมื่อไหร่ ...จุดนี้หลายๆคนเอาไปเทียบกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นปัญหาแบบเดียวกันนี้ ตั้งแต่ปี 1980s มาจนปัจจุบัน ตลาด Real-estate ของญี่ปุ่น ก็ยังไม่กลับไปฟื้นอีกเลย ...เป็นปัญหา กับดักสภาพคล่อง หรือ Liquidity Trap ลากมาจนถึงปัจจุบัน

"ที่เล่ามา Case ของญี่ปุ่นนี่แหละ ที่อเมริกากลัวที่สุด" ...เขาถึงได้พิมพ์แบงค์เพิ่มไง...อิ อิ (กงเต๊ก กงเต็ก...)

นักธุรกิจที่เรียกได้ว่าน่าจับตามา ที่สนับสนุน Romney อย่างออกนอกหน้าก็คือ Steve Schwarzman เศรษฐี Billionaire ผู้ก่อตั้ง Private Equity ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ชื่อว่า Blackstone Group นั่นเอง


...จริงๆตัวของ Steve Schwarzman น่าสนใจกว่า Romney อีก เพราะเขาถูกขนานนามว่า "The New King of Wall-street" ...ล่าสุดนิตยสาร Fortune เพิ่งจะยกเรื่องราวความสำเร็จของเขาผ่าน Sub-prime 2008 มาปัจจุบันแบบ ชิวๆ ...ในขณะที่ Private Equity และ Hedge Fund อื่นๆ เจ๊งกันระนาว แต่ Blackstone กลับไม่สะทกสะท้าน แถมแข็งแกร่งขึ้นอีกในปัจจุบัน

ปัจจุบัน Blackstone มีสินทรัพย์ในการบริการ $157.7 billion เพิ่มจากปี 2007 ที่ $88.4 billion ...เป็นองค์กรที่ เด็ก U Top Ten ของโลกอยากทำงานด้วยมากที่สุด ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อคน $810,000 ซึ่งมากกว่าสุดยอดบริษัทใน Wall-Street อย่าง Goldman Sachs ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย $430,000 เกือบ 2 เท่า .....

ก็เอาภาพของ "การเมือง" ที่เริ่ม ผนวกกับธุรกิจ แบบแยกกันไม่ออกในประเทศต่างๆ มาให้ดูกัน ... "ยุคนี้มันเป็นยุคของเศรษฐกิจทั้วโลกที่ผันผวนสุดขีด ...นักธุรกิจ โดยเฉพาะอดีตหมาป่า ผู้ล่าแห่งทุนนิยม จึงกลายมาเป็นตัวเลือกของ ผู้นำประเทศทั่วโลกในขณะนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้"

เหมือนตำราพิชัยสงครามจีนเลย... เอาโจรมาช่วย ฆ่าโจร ..สุดท้ายโจรก็เลย ครองเมือง ...อิ อิ "อ่านแล้ว ..งง" ..แต่ก็ขำขำ ..สุดท้ายทุกอย่างมีทางออกของมัน ไม่มีอะไรเลวที่สุด และดีที่สุด ...ถ้ามองในมุมของนักลงทุน เรามองว่า สุดท้ายทุกสิ่งวิ่งเป็น Cycle จากดีไปดีสุด ว่ิงมาแย่ ไปแย่สุด .. กลับมาดี ไปดีสุด ..กลับมาแย่ ไปแย่สุด ...อย่านี้แหละ เหมือนอารมณ์ของมนุษย์ที่กำหนด ทุกสรรพสิ่งในโลก

"แต่ไอ้ที่มันดี คือ ถ้าเรารู้ว่าตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวมันแย่ แสดงว่า สุดท้ายมันต้องแกว่งไปดีไง ...คิดง่ายๆ..อิ อิ"

"ทุกอย่างล้วนวิ่งเป็น Cycle" ...คนจน ก็ซื้อแพง ข้างบน มาขายถูก ...ส่วนคนรวยก็ ซื้อถูก ข้างล่าง ไปขายแพง ข้างบน ...แค่นี้ล่ะ..อิ อิ .............."สู้ สู้ ดูกันไปครับพี่น้อง++"

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

"The Trend" -- เมื่อใด จะถึงจุดนั้น !!



เปิด Fortune ไปเจอบทความของ Credit Suisse ในเรื่องของ "On Search of tomorrow's global megatrends" ดูแล้วน่าสนใจ เขาพูดไว้ว่า ใน 21st Century สิ่งที่จะมาแรงมี 3 อย่างคือ

หนึ่ง Rapidly Changing demographics ประเด็นนี้ทุกคนรู้ว่า ประเทศด้อยพัฒนาจะเกิดประชากรบูม และการขยับเข้าสู่ชนชั้นกลางของประเทศกำลังพัฒนานำโดยกลุ่ม BRIC "Brazil/Russia/India/China" และตามมาด้วย ..แน่นอน!! เอเชียของเรา -- นี่แหละสาเหตุที่ Credit Suisse ลงโฆษณาใน Fortune ก็เพื่อจะหาลูกค้า High Net Worth ที่เขาคาดว่า จะโตแบบก้าวกระโดดในเอเชีย ..และลูกค้ากลุ่มนี้แหละที่จะเป็น กลุ่มที่ Private Banking หมายปองมากที่สุด เพราะอย่างที่เรารู้ๆกันว่า คนเอเชียที่รวยที่สุดไม่ถึง 10% ครอบครองเงินเกือยทั้งหมดในเอเชีย

สอง The increasing emergence of multipolar world แน่นอนการที่ประเทศอย่าง BRIC และประเทศพัฒนาในเอเชีย รวมทั้งอาหรับ เริ่มโตอย่างก้าวกระโดด ผนวกกับการเสื่อมถอยของอเมริกาและยุโรป จะส่งผลให้ขั่วอำนาจของโลก ถูกแบ่ง ..อเมริกาจะไม่ครองโลกเหมือนอย่างในช่วง 9-11 อย่างแน่นอน (เดี๋ยวนี้การประชมผู้นำโลก ไม่ใช่ G8 อีกต่อไป แต่เป็น G20)

สาม The Need for Sustainability (จากปี 1950 - 2000 ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น 7 เท่า ความต้องการ Aluminum เพิ่มคือ 15 เท่า) การที่โลกต้องหันมาสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นอกจาก Global Warming และทรัพยากรโดยเฉพาะพลังงานที่มีจำกัด ..ไม่น่าแปลกเลยที่ Industry ที่จะน่าสนใจไม่แพ้ Technology จากนี้ไปก็คือ "พลังงานทดแทน และ Renewal Energy" นั่นเอง

Trend การเปลี่ยนแปลงของ New Innovation มันเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง ..ลองดูสถิติที่น่าสนใจอันนี้

สิ่งประดิษฐ์ในปี 1750 - 1900 (รถไฟ และ โทรศัพท์)
เทียบจาก Railroads ใช้เวลา 125 ปีกว่าจะครอบคลุม 80% ของประชากรสหรัฐ
Telephone ใช้เวลา 99 ปีกว่าจะครอบคลุม 80% ของประชากรสหรัฐ

สิ่งประดิษฐ์ในปี 1900 - 1950 (วิทยุ และ โทรทัศน์)
Radio ใช้เวลา 69 ปีกว่าจะครอบคลุม 80% ของประชากรสหรัฐ
Television ใช้เวลา 59 ปีกว่าจะครอบคลุม 80% ของประชากรสหรัฐ

สิ่งประดิษฐ์ในปี 1950 - 1975 (คอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคล)
Personal Computer ใช้เวลาแค่ 24 ปีก็ครอบคลุม 80% ของประชากรสหรัฐ

สิ่งประดิษฐ์ในปี 1975 - 2000 (Internet และ มือถือ)
Internet ใช้เวลาแค่ 23 ปีก็จะครอบคลุม 80% ของประชากรสหรัฐ
Mobile Phone ใช้เวลาแค่ 16 ปีก็จะครอบคลุม 80% ของประชากรสหรัฐ

ตัวเลขสถิติที่น่าสนใจนี้ ชี้ให้เห็นว่า เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เปลี่ยนโลก ใช้เวลาเร็วขึ้นเรื่อย ในการครอบคลุมประชากรทั้งประเทศ ..นั่นหมายความว่า จากนี้ Cycle ของธุรกิจ และ ความมั่งคั่งในยุคนี้ จะเปลี่ยนมือเร็วขึ้นกว่ายุคก่อนมาก

ในแง่ของนักลงทุน ผมว่ายิ่งน่าสนใจ เพราะอย่างนักลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกอย่าง Warren Buffett ก็คือ เขาไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากหาบริษัทดีๆ ที่กำลังจะเป็น Trend แล้วก็ถือไปเรื่อยๆ จน Trend มันเป็น Mega Trend ...คือ ถ้ามองย้อนหลัง อาจต้องใช้ 50 ปีกว่า Innovation จะมาเปลี่ยนวิถีชีวิตของคน ซึ่งแน่นอนการเปลี่ยนวิถีชีวิต ย่อมสร้างเศรษฐีเจ้าของอุตสาหกรรมนั้น และนักลงทุนที่ลงทุนในอุตสาหกรรมนั้นๆให้รวยสุดขีด ...แต่หลังจากปี 1950 เป็นต้นมา ใช้เวลาแค่ 20 ปี ก็เปลี่ยนอุตสาหกรรม ซึ่งถ้าดูแล้วมันตรงกับยุดของ Warren Buffett พอดี ที่เป็น Value Investor ถือแบบไม่ขาย "ถือเฉยๆแล้วรวย ..นั่นก็เพราะ อุตสาหรรมมันเปลี่ยนเร็วขึ้นไง"

ดังนั้น ในอนาคตอันใกล้ ผมมองว่า "อุตสาหกรรมจะยิ่งเปลี่ยน เร็วขึ้นไปอีก"...และอุตสาหกรรมใหม่ๆ อย่าง Nano Technology , Green Energy และ Trend ของสังคมอย่าง Social Responsibility & Make Profit ...สิ่งเหล่านี้ประกอบกัน "ผมเชื่อว่าคุณและผม โชคดีจริงๆ ที่เราเกิดในยุคที่ผันผวนสุดโต่ง ความมั่งคั่งเปลี่ยนมือ" ...และถูกต้อง!! คุณจะรวยด้วยปัญญา

Warren Buffett คนต่อๆไป จะเกิดใน BRIC และ ASIA ...ฟันธง !! (อีก 20 ปีเจอกัน ...พวกเราคงมีใคร รวยแบบสุดขั้วน่ะ...อิ อิ) ... ซื้อเวลาถูก ..."Stock Wish List" ...ถือไป ..ถือไป....

เครื่องซักผ้าที่เปลี่ยนโลก..งง!!


ผมไปเจอ Talk show อันนึงของ Professor Hans Rosling ..คือ ต้องเรียกว่า Talk Show เพราะมันเหนือชั้นกว่า สัมมนา หรือ Lecture ตามปกติมากนัก ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า Rosling เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากในการนำเสนอข้อมูล เพราะเขาสามารถเอาสถิติที่น่าเบื่อ ที่สมัยก่อนต้องอ่านเป็นตาราง (อ่านไปก็ไม่รู้เรื่อง) ..เอาสิถิตินั้นมาทำเป็น Presentation ที่เข้าใจง่าย และน่าสนใจ (ใครสนใจคลิ๊ปที่เขา Present ให้ Search เข้าไปใน YouTube แล้วพิมพ์ชื่อของเขาลงไปเลย..ขอบอกว่า แจ๋วมาก!!)

ผมอยากจะแชร์สิ่งที่ Rosling เล่าให้ฟัง เพราะมันเป็นประโยชน์ ต่อวิสัยทัศน์ของคนรุ่นใหม่ยิ่งนัก .."คำถามคือ สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ และเปลี่ยนชีวิตคนทั้งโลก คืออะไร" -- ครับ!! หลายๆคนอาจนึกไปถึง ไฟฟ้า , รถยนต์ ..ก็ใช่นะ แต่ที่แจ๋วมากที่สุดคือ "เครื่องซักผ้า!!"

"ทำไมล่ะ" ..เดิมที การซักผ้าเป็นสิ่งที่เสียเวลามาก ..หากเราดูหนังจีนจะเห็น สาวจีนเอาผ้าใส่ถัง แล้วแบกไปที่แม่น้ำ แล้วก็ไปซักผ้า ..หรือถ้าจะซักให้สะอาดก็ต้องเอาน้ำไปต้มให้ร้อน ด้วยฝืน -- สรุปว่า ผู้หญิงในสมัยก่อน ใข้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปกับการซักผ้า ..."นี่แหละบทบาท ของ Innovation ในสมัยเครื่องซักผ้า ที่ช่วยให้แม่บ้านมีเวลามากขึ้น สามารถโยนเสื้อผ้าใส่เครื่องซักผ้าแล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่นได้อีกมากมาย" ..ลองดูภาพนี้



เป็นภาพที่แสดง การใช้พลังงานของโลก ..รูปคน แสดงจำนวน (รูป 1 คน แทนคน 1 พันล้านคน) ..เขาแสดงให้ดูว่า คนทั้งโลก 7 พันล้านคน ..คนหนึ่งพันล้านที่รวยที่สุดในโลก สามารถเข้าถึงสิ่งอำนายความสะดวกในชีวิต ตั้งแต่เครื่องซักผ้า รถยนต์ ทีวี เครื่องบิน แอร์ เตารีด เครื่องดูฝุ่น -- "ถ้าแบ่งการใช้พลังงานของมนุษย์ทั้งโลก ออกเป็น 12 ส่วน(ดังภาพ) คนที่รวยที่สุดในโลก จะใช้พลังงานครึ่งนึง คือ 6 ส่วน ...ส่วนคนที่รวยถัดมาหนึ่งพันล้านคน พวกนี้คือ ชนชั้นกลางในประเทศต่างๆ ที่มีเครื่องซักผ้าใช้ จะใช้พลังงาน 2 ส่วน ...และคนชั้นกลางที่ถัดมาอีกสามพันล้านคน ที่เข้าถึงไฟฟ้า มีหลอดไฟฟ้าใช้ (แต่ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ) จะใช้พลังงาน 3 ส่วน ...ส่วนคนจนอีกสองพันล้านที่อดอยากที่สุดในโลก จะใช้ไฟเพียง 1 ส่วน

"พอผมเห็นภาพนี้ปั๊บ มันสะกิดความคิดของผมเลยว่า ...ใช่เลย!! ภาพของการเปลี่ยนแปลงในเรื่องพลังงาน และประชากร จะไปในทิศทางใด ...แน่นอน คนต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อโลกเรา Globalize มากขึ้น คนที่มีฐานะดีขึ้น ย่อมต้องการซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น ..ซึ่งสิ่งของเหล่านี้ เป็น Trend ที่ไปห้ามเขาไม่ได้ ...(โอะ โอะ!! คุณอย่าซื้อเครื่องซักผ้า อย่าซื้อทีวี อย่าซื้อรถยนต์ อย่าซื้อมอเตอร์ไชค์นะ ..เดี๋ยวโลกจะร้อน) ...มันไปห้ามเขาไม่ได้ไง เพราะเราเองยังมีทุกอย่างใช้เลย ดังนั้น Trend ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ คนจะใช้พลังงานมากขึ้น ..ลองดูภาพ



(ภาพนี้คือ การคาดการณ์ การใช้พลังงานของโลกโดย Rosling ..เขาทำให้ดูว่า ยังไงคนจน คนรวย ก็ยังต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น คือ ประชากรโลกน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 9 พันล้านคน เพิ่มจาก 7 พันล้านในปัจจุบัน และประเทศที่เพิ่มมากที่สุดคือ ประเทศที่ยากจน เพราะ คนยากจนมักมีลูกมาก ส่วนคนรวยจะมีลูกน้อย ...แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ คนชั้นกลางในเอเชีย อย่างจีน อินเดีย เวียดนาม จะเพิ่มขึ้น ..คนจนค่อยๆขยับฐานะดีขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง ...สมมุติฐานนี้คือ คนรวยไม่ได้ใช้พลังงานเพิ่มขึ้น เพราะมันเยอะอยู่แล้ว ..แต่คนจน อีกหลายพันล้าน จะขยับมาใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นในชีวิต และคนกลุ่มนี้นี่แหละ ที่จะทำให้การบริโภคพลังงานของโลก พุ่งกระฉูด ...ปัญหาก็คือ Supply ของพลังงาน เช่น น้ำมัน เหล็ก และ สิ่งต่างๆ มันมีจำกัด และจุดนี้เองที่โลกเรากำลังมุ่งไป ..มันคือ คนรวยต้องเปลี่ยนการใช้พลังงานให้มีประสิทธภาพมากขึ้น และ เป็นพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น)

คือ "คนรวยในทุกประเทศ" ต้อง More Efficient & Renewable มากขึ้น ...ดังนั้น Trend ของ Green Energy (รวมถึง Nuclear) มันไม่สามารถหลีกเลียงได้ ...(เออ..ผมเล่าเรื่อง Trend ของโลกมากขนาดนี้ คงไม่ต้องสงสัยนะครับว่า ทำไมผมชอบหุ้นที่ผมถือมากๆ อย่าง PTT ..คือ เมื่อเราต้าน Trend ไม่ได้ เราก็เป็นเจ้าของมันซะเลย โดยการซื้อหุ้น มานั่งในมุมเจ้าของเลย แจ๋วกว่า...อิ อิ)

ลองดูภาพอันนี้

ภาพนี้แสดงให้เห็นว่า ประชากรของโลก จะไป Peak ที่ประมาณ 9 พันล้านคน (อันนี้มันสืบเนื่องมาจาก อัตราการรอดชีวิตของทารก ..สถิติกล่าวว่า ประเทศที่มีอัตราการตายของเด็กทารกสูง จะส่งผลให้แต่ละครอบครัวมีลูกมาก ..แต่การที่ประเทศหนึ่งๆ สามารถพัฒนาเรื่องการแพทย์ และทำให้อัตราการรอดของเด็กมากขึ้น ก็จะทำให้ครอบครัวเล็กลง ...พูดง่ายๆคือ สถิติของประชากรกล่าวว่า ยิ่งประเทศเจริญ คนก็ยิ่งจะมีลูกน้อยลง) ...ดังนั้น เขาคาดการณ์ว่าในปี 2050 ทุกคนในโลก จะเข้าถึง "หลอดไฟ" ...คือ ในมุมนี้แน่นอน หากเราไม่ใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพ -- มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่โลกเราจะสามารถ Support การใช้พลังงานมากขนาดนั้น ดังนั้น Trend มันคือ การ Go Green ..โดยเฉพาะกลุ่มคนที่รวยที่สุด (ในภาพแสดงให้เห็นว่า ถ้าคนชั้นบน และ ชั้นกลาง 5 พันล้านคน เปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด ...คนอีก 4 พันล้านที่เหลือ ก็จะสามารถใช้พลังงานสกปรก(คาร์บอน) ที่เราใช้อยู่ ในปัจจุบัน ลดลงเหลือเพียง 9 ส่วน ..ซึ่งเท่ากับว่า มันทำลายธรรมชาติน้อยกว่าปัจจุบันเสียอีก

ทั้งหมดจริงๆ มันชี้ให้เห็น Trend ..คือ คนที่จะกำหนดความเปลี่ยนไปของโลก คือ กลุ่มคนรวยของเทศต่างๆ ..เดี๋ยวนี้อเมริกาเองนั่นแหละ ที่พยายามมาบอกเมืองจีนให้อย่าปล่อยคาร์บอน แต่ตัวเองและยุโรปกลับเป็นผู้ที่ปล่อยคาร์บอนและทำให้โลกร้อนปั่นป่วนมากที่สุด ...คือ ถ้าดูจาก Trend แบบนี้ มันชี้ภาพให้เห็นง่ายๆเลยว่า สุดท้ายทั้ง อเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น ..จะต้องกลับมา แข่งกันในเรื่องของพลังงานหมุนเวียน Green Energy ทั้ง Nuclear , ลม , น้ำ , พลังงานความร้อนใต้โลก ..สิ่งเหล่านี้ไม่ต้องสงสัย มันจะเป็น สิ่งที่ทำให้คนในยุคใหม่นี้ รวยแน่นอน ..นั่นก็คือ คนที่ครอบครอง และมุ่งสร้างธุรกิจที่ Go Green เขาก็จะเป็นผู้นำของโลกในยุคต่อไป ทดแทนคนรวยในยุคอุตสาหกรรมนั่นเอง

"ฟันธง!! คนที่จะรวยในยุคต่อไป ..คือ ผู้ที่ควบคุมพลังงาน ทั้งพลังงานสะอาด และ สกปรก ... (สกปรก + สะอาด)..ก็รอดูกันไป ..อิ อิ"

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

ผู้ใหญ่ กับ เด็ก ..ต่างที่ความคิด"ล้มบ้างก็ได้"



หนุ่มพีร์ ส่งคลิ๊ปนี้มาให้ดู ก็เลยเอามา Post เลย เพราะอยากจะเขียนเรื่องนี้อยู่นานแล้ว ...มันเป็นเรื่องของคำถามที่ว่า "ผู้ใหญ่ กับ เด็ก ต่างกันตรงไหน" ...คนส่วนใหญ่มองว่าที่อายุ แต่ผมกลับมองต่าง ผมว่ามันต่างกันที่ ประสบการณ์

เรื่องราวที่แต่ละคนเจอมามันเป็นสิ่งที่ Unique คือ มันมีแบบเฉพาะของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน ...ประเด็นสำคัญมันเริ่มจาก จุดเริ่มต้น เราทุกคนได้รับการศึกษา และ เรียนรู้ในแบบคล้ายๆกันใน โรงเรียน ในสังคมที่เราอยู่ ..ดังนั้น คนที่เกิดในยุคใดๆ ก็จะได้อานิสงค์ และบทเรียนที่หล่อหลอมจากยุคนั้น ..ยกตัวอย่าง ผู้นำโลกในปัจจุบัน ตอนนี้มักได้รับอิทธิพลและค่านิยมจากยุค 80 ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ ก็เช่น Bill Gates / Steve Jobs ซึ่งปัจจุบัน คนเหล่านี้ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับหัวกระทิของโลก ..."พูดง่ายๆว่า คนเหล่านี้ มีผลต่อแนวคิดและทางเดินของคนรุ่นหลังมากมาย ...เพราะเขาเป็น IDOL ของเด็กรุ่นหลัง" -- จะว่าไปแล้ว Bill Gates นี่ก็เป็นหนึ่งใน IDOL ของผมเลย

"ความคิด" ของ Bill Gates เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา ผมไม่ได้พูดถึงในด้านธุรกิจ ซึ่งแน่นอนสิ่งนั้นอาจเคยเป็นด้านมืดของเขาที่เป็น ผู้ผูกขาดต่างๆนานา ..แต่จุดที่ผมสนใจคือ จุด Change ของ Bill Gates ที่เปลี่ยนจากผู้กอบโกย เป็นผู้ให้ .."มันสะกิดให้ผมคิดได้ว่า อดีตเป็นอย่างไร ไม่สำคัญเคย เพราะมันได้ส่งผลถึงปัจจุบันที่เราเป็นอยู่ขณะนี้ ดังนั้น ยากดีมีจน คือ ผลจากอดีตทั้งนั้น เลวชั่วช่างมัน เพราะผลคือจุดที่เรายืน ..สิ่งที่น่าสนใจคือ Bill gates ชี้ให้ผมเห็นว่า เมื่อเขาเปลี่ยนปัจจุบัน มันส่งผลถึงอนาคต ที่เขาเลือกที่จะเป็น -- มันเป็นทางเลือกของ Giver & Taker (หลายคนนึกว่าการ Give อย่างเดียวจะยั่งยืน แต่ผมว่า ไม่ใช่เลย ...การให้อย่างเดียวก็ไม่ยั่งยืน เพราะเสมือนการเทน้ำ สุดท้ายมันก็ต้องหมดแก้ว ไม่สำคัญว่าแก้วน้ำคุณจะใหญ่และมีน้ำมากน้อยเพียงใด ...ดังนั้น การให้ทางเดียวก็ไม่ยั่งยืน มันถึงต้องให้และรับด้วย ...การรับในมุมของ Bill Gates ผมมองว่า เขาได้รับในมุมของ "ความสุข" ...ซึ่งผมก็สัมผัสได้นะ เวลาเห็นคนที่ประสบความสำเร็จ รวยมากๆ ผมก็ว่า มันก็เฉยๆ แต่ในมุมของ Bill Gates ผมกลับรู้สึกยกย่องในสิ่งที่เขาทำ ในเรื่องของมูลนิธิ และการช่วยเหลือคนให้ได้มากที่สุด ..ซึ่งในความเป็นจริง สมองแบบ Bill Gates หากให้เขาหาเงินต่อ คงครองโลกไปแล้วในเชิงจำนวนเงิน แต่ในแง่ความเกลียดชังของสังคมมันจะยิ่งเพิ่ม จนในที่สุด Bill Gates อาจไม่มีแผ่นดินอยู่ หรือจบชีวิตแบบเผด็จการต่างๆ ที่รวยมหาศาลแต่ศพไม่สวยก็ได้ ..และนั้นคือ ปัญหาของ "Take" อย่างเดียว

ฮึม!! ใช่ พูดไปพูดมาก็หนีไม่พ้น "ทางสายกลาง" ทุกอย่างต้องสมดุลย์ในตัวของมันเอง จึงจะสมบูรณ์

กลับมาในประเด็นของความเป็น "ผู้ใหญ่" มันจึงไม่ได้อยู่ที่อายุ ..พูดตรงๆ ผมว่ามันตัดสินกันที่ "ความคิด" ..ผมไม่ได้พูดในแง่ความรู้นะ เพราะเดี๋ยวนี้ "ความรู้" ของเด็กยุคนี้ (ยุคที่มี Google) ..ผมว่าเด็กยุคนี้ บางคนเก่งกว่า CEO อีกในเชิงของความรู้ เพราะเขาสามารถรู้ทุกอย่างในโลกเพียงปลายนิ้ว ...แต่สิ่งที่เขาสู้ผู้ใหญ่ ไม่ได้คือ "ประสบการณ์"

"อะไรคือ ประสบการณ์" ..ครับ!! ประสบการณ์ก็คือ สิ่งที่แต่ละคนได้เอาความรู้ที่มี ไปลองปฏิบัติจริงในชีวิต ซึ่งถ้าทำแล้วเหมาะกับตัวเรา ผมว่ามันคือ "ปัญญา" ..ถ้ามองในภาพรวมคือ การที่เราแสวงปัญญา เราก็จะได้ประสบการณ์นั่นแหละ เพราะมันคือ การรวมรวมทั้งเรื่องที่ถูกต้องและผิด เป็นบทเรียนใส่ใน Hard drive สมองของแต่ละคน -- "ยิ่งมีประสบการณ์มาก มันก็ยิ่งสะท้อนความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น"

ผมคุยกับรุ่นน้อง เขามาปรึกษาเรื่องแฟน คือ เดิมทีเขามีแฟนแล้วก็เลิกไปเพราะทะเลาะกันทุกวัน แล้วตอนนี้เขาเจอคนใหม่ ..เขาแปลกใจมาก ว่าทำไมกลับคนใหม่ ไม่ทะเลาะกันเลย ..คือ เขาบอกว่า แฟนเขาไม่คิดทะเลาะด้วย เพราะมองว่า ไม่จำเป็นต้องทะเลาะ ...ซึ่งรุ่นน้องผมเขาก็หงุดหงิด เพราะคนเป็นแฟนกัน มันต้องทะเลาะกันบ้าง จึงจะได้รสชาติ ..."ผมก็สงสัยว่า ทำไมแฟนคนใหม่เขาเป็นโรคอะไรหรือเปล่า เลยถามไปว่า แฟนใหม่นี่เขาเคยเจออะไรหนักๆในชีวิตมารึเปล่า" ..."ใช่!! หนักมาก" ..มิน่าเล่า เขาถึงมองเรื่องการทะเลาะเล็กๆน้อยๆเป็นเรื่องไม่จำเป็น ก็เพราะเขาเคยเจอสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นมาก -- คือ เรื่องนี้ผมมานั่งนึกๆ เข้ากับหลักธรรมต่างๆ ที่พยายามสอนกัน ว่าให้ปล่อยวาง ..ซึ่งฟังง่าย แต่จะให้ปฏิบัติจริงเรื่องปล่อยวางนี่ผมว่า โคตรยาก!!

ลองนึกดู ถ้าทุกคนปล่อยวางได้ จะมี การเอาปืนมายิงกัน เพราะสาเหตุจาก ขับรถปาดหน้าไหม ..."คิดดูซิครับ ไอ้คนที่ไปยิงคนอื่นตายเพราะเรื่องงี่เง่า แค่ขับรถปาดหน้า ก็เพราะมันปล่อยวางไม่ได้ ...แต่ถ้าถามว่า หากย้อนเวลากลับได้ เขาจะทำไหม ...ผมเชื่อว่าเขาคงไม่ทำ!!" ...นั่นแหละปัญหา "ปล่อยวาง..ไม่ได้"

"ปล่อยวาง" -- ไอ้เรื่องนี้แหละที่แบ่งผู้ใหญ่กับเด็ก ...เพราะที่เราเห็นผู้ใหญ่ มักจะสุขุมกว่า วัยรุ่น ไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่ฉลาดหรือรู้มากกว่า แต่เพราะเขา เคยผ่านเรื่องราวแบบนี้มาก่อน หรือเจอเรื่องที่หนักกว่าเรื่องนั้นมากนัก ..ผู้ใหญ่ถึงปล่อยวางเรื่องไร้สาระได้ดีกว่าเด็ก ..และนั้น อาจหมายถึง "จุดเล็กๆ ก็คือ จุดเปลี่ยนชีวิต" ...ครับ อยู่ในคุก หรือ อยู่นอกคุก...อิ อิ

(มีแบบฝึกหัดเรื่องการ "ปล่อยวาง" คุณรู้ไหม ที่ฝึกการปล่อยวางได้ดีที่สุด ไม่ใช่ในวัด ..ครับ!! บนถนน ตอนขับรถนี่แหละ ...ใครปาดหน้าคุณ ก็ปล่อยเขาไปบ้าง ..ใครแซง เล็กๆน้อยๆ ก็ให้อภัยกันไป ..จริงๆ มันทำให้เราอาจช้าลงไปสัก ไม่กี่วินาที ...ลองฝึกกันดู)

ผมเคยเขียนบทความแนะนำ ให้คนรุ่นใหม่ หัดล้มบ้าง ทำธุรกิจเจ็งบ้าง หรือ ล้มเหลวบ้าง ตั้งแต่อายุยังน้อย ...นี่แหละปัญหาของระบบการศึกษา การศึกษาสอนว่า "อย่าล้มเหลว ตอนเด็กๆ ไม่งั้น คุณจะสอบตก หมดอนาคต...อ่ะนะ จะให้ตู ไปล้มเหลวตอนแก่ เหมือนคนส่วนใหญ่ในโลกหรือไงฟะ..อิ อิ" ...ผมว่าไม่มีใครไม่เคยล้มนะ ก็เหมือนขี่จักรยาน เรียนให้มันรู้ว่าล้มเป็นอย่างไร จะได้มีสติ ไม่ใช่ฝันเฟื่องมองไปว่า โลกมันสวยงามอย่างนั้นอย่างนี้ ...ครับ!! นั่นคือ เด็กไง

เอาว่า เขียนบทความนี้แชร์มุมมอง บางครั้ง "มุมมอง" เพียงเล็กน้อย มันเปลี่ยนชีวิตของคนคนนึงไปเลย .."อะไรปล่อยวางได้ ก็ปล่อยวางบ้าง..มีสติ แล้วใช้ชีวิตด้วยปัญญา แล้วผมเชื่อว่าเราจะเดินอย่างฉลาดและมั่นใจขึ้น"

อย่าไปกลัวความล้มเหลว เพราะทุกอย่างก็เป็นประสบการณ์ ซึ่งส่งผลถึงแค่วันนี้ "ก็ในเมื่อความล้มเหลวในอดีต ส่งให้เราแย่สุดก็แค่วันนี้ ที่เราเป็น!!" ..ก็เปลี่ยนวันนี้ ให้อนาคตมันดีซิครับ ...เท่ห์กว่า ...อิ อิ

สู้ สู้ ครับ เพื่อนๆ ทาเคซิ

เรื่องของ การออกแบบ Massive Design(ใหญ่)!!


พอดีวันนี้ว่าง แต่นั่งเฉยๆไม่เป็น เลย Browse ไปใน YouTube ไปเจอคลิ๊ปของ TED Talks อันนึงน่าสนใจมาก พูดเกี่ยวกับเรื่องของ Design that's go Big (ก่อนอื่น เล่าให้ฟังก่อนว่า มันมี Web อยู่แห่งนึงชื่อว่า TED ...เดิมทีเขาเป็น Talk Show สั้นๆ ประมาณ 20 นาที ..เขาจะเอาคนที่น่าสนใจและประสบความสำเร็จในแต่ละสาขาอาชีพ ทั้งโลกเลยนะ ..มาคุยให้ฟัง ซึ่งค่าบัตรเข้าฟังกับคนพูดตัวเป็นๆนี่แพงมาก ...แต่หลังจากนั้นเขาก็จะอัดเอาวิดีโอนั้นมา Post ให้ดูฟรี ผ่านเว็บของ TED Talks -- คือ ประมาณว่า ผมชอบเข้าไปดูมาก เพราะมัน เปิดกะลาน้อยๆของผมให้ฉลาดขึ้น ..เอาว่า ถ้าใครว่างลอง Search Google เข้าไปดู มันน่าสนใจ "20 นาที จากการพูดของคลิ๊ปหนึ่ง อาจเปลี่ยนชีวิตคุณก็ได้" ของเมืองไทยก็มีนะ มูลนิธิไทคม เขาจัดปีละครั้ง เอาคนแต่ละอาชีพที่น่าสนใจมาพูดให้ฟังคนละ 20 นาที (อิ อิ.. ปีที่แล้ว ผมได้รับเลือกด้วย..แม่เจ้า!! เหลือเชื่อ คนอย่างผมนี่นะ ..เออ เอาเถอะ ก็ดูกันไป..อิ อิ) ใครว่างๆก็เปิดเข้าไปดู เขาจัดมา 3 ปีแล้ว หน้านี้คือลิงค์ไปทั้ง 3 ปี http://tmf.voicetv.co.th/2011/)

เผอิญผมไปฟังเรื่องการ Design ..คือ ถ้าพูดเรื่อง Design คนส่วนใหญ่จะมองเรื่องการ ออกแบบ เช่น เอารถมาออกแบบให้สวยขึ้น เอากระเป๋ามาออกแบบให้แจ๋วขึ้น เอาสิ่งของมาปรับให้การใช้ง่ายขึ้น ..ก็จริงๆ แค่ออกแบบเล็กๆแค่นี้ ผมว่าเปลี่ยนประเทศไทยแล้ว เพราะเมืองไทยเราเป็นประเทศ OEM รับจ้างผลิตของเลียนแบบราคาต่ำ ที่เราเข้าใจกันก็คือ "โรงงานนรกนั่นแหละ" ..ตอนนี้ประเทศจีน เข้ามาแข่งกับเรา โดยตรงและเขาผลิตได้ดีกว่า ถูกกว่า ...และยิ่งไปกว่านั้น เวียดนาม และประเทศเพื่อนบ้าน ก็เข้ามาแข่งกับเราในตลาดโรงงานนรกอยู่ขณะนี้ ..ลองนึกภาพปี 2015 เมื่อ AEC (Asean Economic Community) รวมตัวเพื่อนบ้าน ..การแข่งขันอย่างดุเดือดของโรงงานนรกในภูมิภาคนี้จะรุนแรงขนาดไหน -- ผมไม่แปลกใจหรอกว่า เวลานี้ใครที่เป็นเจ้าของโรงงานผลิตต่างๆ โดยเฉพาะผลิตของเลียนแบบ ของถูก จะพากันเครียด เพราะในไม่ช้าจะเริ่มมีคู่แข่งมากขึ้น จนถึงขั้นซวยได้

"เขาถึงพูดกันว่าเดี๋ยวนี้ ใครเป็นเจ้าของโรงงาน ใช่ว่าจะรวยเหมือนในอดีตแล้ว เพราะการแข่งขัน ทำให้ขายของได้ถูกลง ..แต่ต้นทุนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นแรงงานที่ต้องแข่งกันจ้างคนเก่งที่แพงขึ้น และต้นทุนของวัตถุดิบซึ่งเป็น Commodity ที่นับวันจะแพงขึ้นเรื่อยๆ (ก็โรงงานนรก ทุกโรงงานแข่งกันผลิตของถูก ก็ต้องแย่งกันซื้อวัตถุดิบ มันก็เกิด Demand แข่งกันผลิตสินค้าขยะๆ ขายก็ต้องตัดราคากัน ..ถามจริงๆ เถอะ คนที่เป็นเจ้าของโรงงานแบบนี้ คุณว่า ในอนาคตอันใกล้ ถ้าเราไม่ปรับตัว ..มันจะที่ให้เรายืนในสังคมไหม)

ขนาดธุรกิจผลิตในประเทศที่เขาเจริญกว่าเราอย่างอเมริกา ยังไม่รอดเลย ...เดี๋ยวนี้ Manufacturing ในประเทศพัฒนาแล้ว (ที่ไม่มี Brand & Design) ตายหมด เพราะเขา Shift การผลิตมาที่จีน มาที่ไทย ..แต่เดี๋ยวอีกหน่อยไทย ก็ต้องตาย เพราะเขาจะ Shift ไปที่ประเทศที่แรงงานถูกกว่าเรา (วันนี้รัฐบาลบอก ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ..ทุกคนร้อง แต่จริงๆ มันเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้ เพราะบ้านเราจริงๆ ที่เราเจ๋งกว่าเวียดนาม ไม่ใช่เพราะเราผลิตได้ถูก แต่ว่าแรงงานเรามีคุณภาพกว่า ..ลองไปคุยกับญี่ปุ่นซิ ทำไมเลือกเราเป็นฐานการผลิตรถยนต์ของเขา ทั้งๆที่ ที่ตั้งโรงงานก็สุดห่วย น้ำท่วมถึงทุกปี..ฮ่า ฮ่า --ใช่!! ก็เพราะแรงงานเรามีคุณภาพกว่าประเทศจีน และประเทศเพื่อนบ้านไง) ..สิ่งที่เราต้องทำคือ พัฒนาคุณภาพฝีมือแรงงาน ..ผมว่ารัฐบาลมองแค่ขึ้นค่าแรง แต่จริงๆ มันต้องทำให้ครบ Loop คือ ต้องสนับสนุน R&D (Research and Development) และ พัฒนาฝีมือแรงงาน ..เอาเรื่อง Design Innovation เข้าไปอีกเรื่อง --คือ เรื่องเหล่านี้ มันต้องสามารถหักภาษีได้ และ รัฐบาลต้องเอื้อให้เอกชนอยากจะทำ

"เอาว่าวิกฤตแรงงาน วิกฤตน้ำท่วม มันได้ก่อให้เกิดโอกาส ให้เรามาคิดใหม่ ว่าจริงๆ จุดยืนของคนไทย มันคือ โรงงานผลิตคุณภาพสูงของโลก ..จริงๆ ถ้าเราตีประเด็นนี้แตก และเดินร่วมระหว่าง รัฐบาล และ เอกชน ..ฮึม!! ผมว่าประเทศเรารุ่งแน่นอน" ..จริงๆ บ้านเรานี่โอกาสมหาศาล คิดเล่นๆนะ ถ้าเอาคน Israel มาอยู่ในไทย ..เขาต้องน้ำตาไหล "อะไรฟะ ตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางของเอชีย แถมมีน้ำ มีดินอุดมสมบูรณ์ แต่..." ดู Israel มีที่อยู่กระจึ๋ง เป็นทะเลทรายทั้งหมด แถมรบกับเพื่อนบ้านเป็นประจำ ... "ไม่รู้นะ ..ผมว่าต้องช่วยกัน จริงๆ..อิ อิ" Thailand ONLY !!

พูดเรื่อง Design แล้วฟุ้ง เพราะเดี๋ยวนี้ Topic การ Design มันไม่ได้จบแค่การออกแบบผลิตภัณฑ์ แต่มันกำลังลามไปสู่ การ Design แบบ Massive Design ในระดับใหญ่ เช่น การออกแบบสังคม ชีวิต การเดินทาง ..พวกนี้ผมฟัง TED แล้วเข้าใจเลยว่า ฝรั่งเขาคิดได้ไกลขนาดนี้ มิน่าเขาถึงครองโลก

"Massive Design" คือ อะไร

มันคือ การออกแบบใหญ่ เช่น "เราเคยคุยกันเรื่องรถติดในกรุงเทพ" ..ตอนนั้นผมจำได้ มีคนสมัครผู้ว่าคนนึง เสนอไอเดีย "อ๋อ!! รถติดก็เปิดไฟเขียวให้หมด แค่นี้ก็ไม่ติดแล้ว" (แม่เจ้า!! สมองเขาช่าง.. ลึกล้ำจริงๆ) ...อีกคนเสนอ "ก็สร้างสะพานลอยและอุโมงค์ ให้หมดทุกแยก ทีนี้รถก็ Flow หมดแล้ว" (แม่เจ้า!! สร้างสะพานลอยและอุโมงค์ ทุกแยก ..เอ่อ บ้านเอ็งเป็น ดูไบ หรือ จะได้มีเงินไม่จำกัด...ฮ่า ฮ่า)

จริงๆ คิดอะไรก็ได้ มันไม่มีอะไรผิด เพียงแต่ในความเป็นจริง มันต้องหาอะไรที่ Make Sense ..."ทั้งหมดที่พูดมา เรากำลังพยายามแก้ปัญหาที่ผลลัพธ์ ..คือ รถติดมันเป็นผล ไม่ใช่เหตุ -- ถ้าจะ Design การแก้ปัญหาให้ฉลาด มันต้องแก้ที่เหตุ เช่น โจทย์มันต้องเปลี่ยน เปลี่ยนมาที่คำถาม เช่น ทำไมรถติด ..ทำไมคนต้องใช้รถ ..แล้วทำไมคนต้องมาอยู่ที่กรุงเทพ ..ทำไมเราไม่สร้างเมือง เพื่อกระจายโอกาส ... ทำไมทุกคนต้องทำงานเวลาเดียวกัน ทำไมต้องเช้าแปดโมง และเลิกงานห้าโมง (เดี๋ยวนี้งานจริงๆ ผมไม่เห็นเลยว่า มันจำเป็นต้องเข้างานตามเวลา นอกจากพนักงานขายประจำร้าน หรือ คนขายในห้างสรรพสินค้า ..พนักงาน Office ทำไมต้องเข้ามาทำงานที่ Head Quarter)" ..เรื่องพวกนี้ผมว่า มันต้องคิดใหม่

ฝากเพื่อนช่วยกัน Design ละกันครับ...อิ อิ

Massive Design "แก้ทั้งระบบ เพื่อเมืองไทยที่ดีขึ้น"

..ช่วยกันครับ...อิ อิ

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

คุณเป็นคนแบบไหน!!



ว่างๆ เลยเอาเรื่องนี้มาแชร์ให้อ่านกัน

ผมเผอิญไปคุยกับผู้บริหารองค์กรแห่งหนึ่ง ...เขาถามผมว่า "คุณแพ้ท ทำ Social Network ให้เกิดประโยชน์เก่ง ..มีวิธีไหนบ้างไหม ที่จะทำตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ ต่อลูกน้องของเขาในองค์กรได้บ้าง"

"โอโห!! มากมายครับท่าน ..จะทำอะไรล่ะ อะไรคือ โจทย์ครับ"

"ก็เดี๋ยวนี้ เด็กรุ่นใหม่ เก่งๆเยอะ แต่ปัญหาคือ งานมันไม่ท้าทายอีกต่อไป ..เรียกว่า คนเก่งกว่างาน ...งานมันพัฒนาไม่ทัน ดังนั้น การทำงานในองค์กรอย่างของผม จึงเป็นเรื่องที่คนรุ่นใหม่ มองว่ามันน่าเบื่อและไม่มีแรงกระตุ้น หรือ เป้าหมายระยะยาวในการทำงาน"

"ผมว่า มันจริงเลยแหละ เดี๋ยวนี้ Technology และการสื่อสารมันเชื่อมโยง ส่งผลให้ Productivity ต่อคน มันก้าวกระโดด คนเดี๋ยวนี้ คนเดียวอาจสามารถทำสิ่งที่ ใช้คน 10 คนในอดีตทำ ..มันแปลว่า คนเก่งคนเดียวในปัจจุบัน สามารถแทนคน 10 คน ..ผลก็คือ คนอีก 9 คนตกงาน ส่วนคนเก่งคนนั้น ได้เงินเดือนมากขึ้น ...ภาพที่เกิดในเศรษฐกิจปัจจุบัน ก็อย่างที่เป็นอยู่ ระบบ The Winner Take All ...คนส่วนใหญ่ที่จน ก็ยิ่งจน ..ไอ้คนที่รวย -- ยิ่งเก่ง ก็ยิ่งรวย" ..วิธีแก้จริงๆ ผมว่ามันมีตัวอย่างให้เราเห็นแล้วในตะวันออกกลาง คือ คนส่วนใหญ่ที่ถูกกดขี่ รวมตัวกันเพื่อล้มกระดาน และปลดผู้นำเผด็จการ ..สิ่งเหล่านี้มันมีทุกยุคทุกสมัย อย่างของประเทศจีน ก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จะขึ้นมาคุมอำนาจ ...ประเทศจีนก็เคยอยู่ใต้ระบบจักรพรรดิ์ -- มองง่ายๆนะ ..ระบบอะไรก็ตาม ที่มีมันไม่ WIN-WIN สุดท้ายมันจะพัง ...เพราะไม่มีใครยอมถูกกดขี่ ตลอดกาล

หากเรามองให้ดีแล้ว ทุกอย่างในโลก ถ้าพูดตามธรรมชาติ คือ ความรวยความจน มันเป็นเรื่องสมมุติ ที่คนในอดีตวางกฏเกณฑ์ แล้วสร้างกฏหมายขึ้นมาแทนกฏหมู่ จากนั้นก็มีตำรวจ ทหารมาทำหน้าที่รักษากฏเกณฑ์นั่นๆของสังคม ..."สิ่งเหล่านี้ มันจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่คนส่วนใหญ่ ยังโอเค กับกฏเกณฑ์นั้นๆ ..แต่ถ้าวันใด ที่คนส่วนใหญ่เป็นผู้เสียเปรียบ และคนที่ได้เปรียบก็ พยายามเอาเปรียบและกอบโกยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ใช่!! ไอ้คนนั้นอาจคุมทั้งอำนาจรัฐ และ คุมเศรษฐกิจ ..รวยเป็นล้านล้าน -- ตัวอย่างล่าสุด คุณรู้ไหม พอเขาเอาบัญชีทรัพย์สินส่วนตัวของคนในโลกมาเปิดดู ...คุณว่าใครรวยที่สุดในโลก ..รวยกว่า Bill Gates รวยกว่า Warren Buffett ...ฮึม!! ใช่ กัดดาฟี ...นั่นแหละ เขาคุมทุกอย่างใน ลิเบียมากว่า 40 ปี .."จุดจบเป็นอย่างไร ทุกคนก็เห็นอยู่ ..รวยมากแล้วไงล่ะ ...ประชาชนลุกขึ้นมา สุดท้ายเขาก็โดนฆ่าตาย" ..ประเด็นคือ ถ้ากัดดาฟี ไหวตัวทัน แล้วเปลี่ยนจากผู้กอบโกย เป็นผู้ให้ แล้วสร้างให้ประเทศเป็นประเทศแห่งโอกาส ..เรื่องราวของเขาคงไม่เป็นแบบนี้ จริงไหม!!

พูดมาซะยาว ..ประเด็นมันย้อนกลับมาที่ไอเดียของ CEO 3 ยุค (อันนี้เผอิญได้ไปฟัง ไอเดียจากอาจารย์ วรภัทร์) อาจารย์เล่าว่า CEO 1.0 เป็นยุคของ Selfish คือ "ยุคกอบกอบโกย ลูกน้องคือเครื่องจักร ..ลูกค้าคือ ควาย กูรวยคือ พระเจ้า ยิ่งโกยเข้าตัว ยิ่งใหญ่ ยิ่งกร่าง -- ในที่สุด คนรอบข้างเกลียดมัน!!..ใช่ CEO 1.0" ...สอง CEO 2.0 "ยุค Give & take และ ความยั่งยืน" ...ระบบวางอยู่บน Win win ...สาม CEO 3.0 "Spiritual" (เกิดมาทำไม ทำไปทำไม ตายแล้วไปไหน ...ตกลงเอ๊ง!! ทำอีหยังอยู่) ...จิตวิญญาณ ...เมตตา สร้างสรรค์ สงบ ยั่งยืน ...ลองฟังอาจารย์ดู เท่ห์ดีนะ -- ชอบการเปรียบเทียบของอาจารย์ "เวลาเราเล่นเกม Monopoly (เกมเศรษฐี) ลองนึกภาพคนเล่น 4 คน ...เกมมันไม่เคยจบ เพราะจะมีคนนึงรวย ส่วนอีก 3 คนเสียตลอด ..คือ มันมันส์อยู่คนเดียว อีก 3 คนก็จะ รวมกันแล้วบอกว่า ..เลิกเล่นเหอะ!! ...เหมือนประเทศทุนนิยม ที่มีคนกุมอำนาจและโกยทุกอย่างเข้าตัว สุดท้ายคนจนจะรวมตัวกันเพื่อล้มกระดาน ...แต่ถ้าคนรวยคนนั้นเปลี่ยนความคิด แล้วดันทุกอย่างออกนอกตัว ...(เกมนี้ Bill Gates คิดทันนะ) แต่ผู้นำ และ นักการเมืองไทย ยังคิดไม่เป็น" ..สักวันก็คงต้องถูกล้มกระดาน ..."จริงๆ มันก็กำลังเกิดขึ้นในบ้านเราตอนนี้นั่นแหละ"

เออ!! สรุปแล้วที่พูดมา มันเกียวอะไรกับ การใช้ Social Network ในการสร้างประโยชน์ในองค์กรล่ะ ..."น่าคิดนะ"

ไม่รู้ครับ ..แต่ที่แน่ๆ ผมมองว่า มันขึ้นกับ "ตัวเอง" ของแต่ละคน ...ในองค์กร ถ้าแบ่งคนง่ายๆ มันมี 2 พวก ..คือ หนึ่ง พวกที่รักความสบาย คนเหล่านี้ขอทำงานไปวันๆ Routine ..ขอสบายๆ เงินง่ายๆ ทำงานไปเรื่อยๆ เพื่อได้เงินมาซื้อของ Shopping ...ความสุขของฉันคือ การได้ใช้เงินน่ะ ..ยิ่งซื้อของก๊อปได้เหมือนเท่าไหร่นะ แม่เจ้า!! มันภูมิใจ ..แต่คนเหล่านี้เก่งมาก เรื่องนินทาคนอื่น ..คิดเก่งมาก ว่าคนนั้นคนนี้ มีข้อไม่ดีอย่างไร ..แต่งานตัวเองนะ ฮึม!! ไม่ไปไหนเลย ...เงินเดือนไม่ว่าจะเพิ่มเท่าไร ไม่เคยพอใช้ เพราะอยากใช้มากกว่าที่หาได้เสมอ (อันนี้เป็นกฏเลย ...เพราะเงินเดือนแสน ยังไม่พอเลยอ่ะ)

พวกที่สอง พวกรักความก้าวหน้า ..พวกนี้มีความสุขที่ จะได้รู้ว่า วันนี้เขาได้เดินเข้าไปใกล้เป้าหมายมากเพียงใด ...ความสุข อยู่กับการที่ได้รู้ว่า "ชีวิตมีการพัฒนา" ...เหนื่อยครับ ผมเข้าใจดี เพราะผมก็เป็นมนุษย์พวกนี้ ... "มีหลายคนถามว่า มันดียังไง ..ฮึม!! ก็บอกไม่ได้หรอกว่าดียังไง ..เอาว่าดีตรง ผลลัพธ์ละกัน เพราะ คนเหล่านี้ มีความสุขกับความก้าวหน้า และ วิ่งเข้าสู่จุดหมาย ...มันเป็น Life Style แบบ High-Achiever -- มนุษย์พลังสูง!!"

เอาล่ะ ถ้าให้ผม Comment ว่าจะทำให้องค์ของคุณ กลายเป็นองค์กรแห่ง "มนุษย์พลังสูง" อย่างไร ด้วย Social Network ที่มันฟรี ...ก็น่าจะเป็น การใช้ Social Network มาเป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยง ระหว่างคนที่เป็นประเภทเดียวกันในองค์กร "เพราะคน เจอ คน จึงจะเกิดโอกาส (คนที่นั่งดูทีวีอยู่คนเดียวจะเกิดโอกาสได้อย่างไร)..ต้องก้าวออกไปเจอ มนุษย์ อีกคนหนึ่ง "...โดยคนที่เข้าใจวิธีการ บรรลุเป้าหมาย ก็เอาประสบการณ์นั้น ถ่ายทอดให้คนที่มีความตั้งใจ แต่ยังไม่มีประสบการณ์ ...นั่นแหละ การสร้างกลุ่มของ High-Achiever ที่ทำได้ทุกองค์กร และทุกสังคม ..."ข้อดีคือ เมื่อคนเก่ง มาเจอคนเก่ง และมีเป้าหมายที่สร้างสรรค์ร่วมกัน ..สุดท้ายมันจะเป็น 1+1 = 3 เพราะมันมากกว่า 2 ไง...อิ อิ"

สิ่งที่เป็น Break through หรือ สินค้าและ บริการที่ยิ่งใหญ่ มันเกิดนอก Office และ นอกเวลางานเสมอ ... Key Word คือ การก้าวออกไป และ ใช้เวลาว่างให้เกิดสิ่งนั้น ..."ถูกต้อง!! ห้องหรือตู้ ที่ใช้ประโยชน์ได้ ก็คือ ห้องและตู้ที่ว่าง ...นั่นก็เหมือนกับสมองของมนุษย์นั่นแหละครับ" ...นักปราชญ์ ไม่ได้เกิดจาก คนที่วุ่นวาย ในเวลาที่วุ่นวาย แต่เกิดจากช่วงเวลาที่ว่าง ของคนที่สงบ ...ครับ!! หาจุดว่าง แล้วต่อยอดจากตรงนั้น

คนที่สามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำองค์กร หรือ คนที่มีเงินเดือน หรือ ความมั่งคั่งเหนือมนุษย์ธรรมดา ...มันเกิดจากคนผู้นั้น ใช้เวลาว่าง ให้เกิดสิ่งที่สร้างสรรค์นั่นเองครับพี่น้อง

ที่เขาพูดกันว่า คนที่ประสบความสำเร็จ คือ ผู้ที่สามารถเปลี่ยนข้อจำกัด ให้เป็นโอกาส เพราะ ทุกคนมีเวลาบนโลกเท่ากัน ..การมองออกและใช้เวลาเป็น นั่นแหละคือ ประตูแห่งความสำเร็จ!!

เดี๋ยวมา "แกะรอยหุ้น" ใน Money Channel กันเด้อ!!


Coming Soon !!!!
งานทีวีร่วมกับทาง Money Channel
เริ่มเดือนกุมภาพันธ์ กับทุกคืนวันพุธ ในเวลา 3 ทุ่มตรง

พบกับปิยพันธ์ , ภาววิทย์ และน้องทีน่า กับการ "แกะรอยหุ้น" ให้หน่ำใจ...

ก็เอาว่า เราจะพยายามทำให้รายการ และ สิ่งต่างๆที่เราทำ มันช่วยพัฒนาและสร้างชุมชนนักลงทุนรายย่อยให้แข็งแกร่ง ... "มีคนถามว่า ผมมีความรู้ และรวบรวมคนเก่งๆ แล้วร่วมกันมาถ่ายทอดความรู้ ให้คนอื่นทำไม" -- นั่นแหละครับ!! เป็นสิ่งที่ผมเจอกับตัวเอง ...ผมเคยเก่งแล้วกั๊ก เก่งแล้วเก็บคนเดียว แต่เมื่อทำเช่นนั้น ผมกลับ เก่งอยู่คนเดียว ไม่มีใครรู้ ... และนั่นเท่ากับว่า เมื่อไม่มีคนรู้ ก็เท่ากับว่ามันไม่โอกาสให้กับคนเก่งคนนั้นไง ....นั่นคือทางเลือกของคนเก่งในอดีต คือ "เก่งแล้วกั๊ก แล้วก็นั่งรอโอกาส ว่าคงมีสักวันที่เล่าปี่ จะมาเชิญขงเบ้งลงจากเขา แล้วไปทำทัพ... มันตลกจริงๆ เพราะคุณรู้ไหมว่า เดี๋ยวนี้ เราเก่งขึ้น แต่คนอื่นๆ อีกมากมาย เขาก็เก่งเหมือนกัน ...ประเด็นคือ แล้วอะไรคือข้อแตกต่าง ที่จะทำให้คนเก่งอย่างคุณได้มีโอกาส มีเวทีในการแสดงฝีมือ แล้วประสบความสำเร็จล่ะ"

ถูกต้องแล้วครับ!! .... "การเป็นผู้ให้ไง ..." ...ยุคนี้การสื่อสาร หรือเวที มันเปิดกว้าง รอให้เราสร้างเอง ..เพราะเวทีก็คือ Blog คือ Facebook คือ YouTube คือ Google ...เวทีมันเป็นของฟรี แต่ทุกคนก็ใช้เวทีได้หมด ...ดังนั้นโจทย์คือ จะทำอย่างไรให้เวทีของฟรี กลายเป็นเวทีแห่งโอกาสของคุณ ....ครับ!! คุณต้องเป็นผู้ให้ไง ..ถ้าคุณสร้างและเผยแพร่ Content และความรู้ (ด้านใดก็ได้ อาชีพใดก็ได้ หลักความสำเร็จ เคล็ดลับในแต่ละอาชีพ วิธี..อะไรก็ได้) -- ลองคิดดู ถ้าเราต้องการให้คนมาสนใจเวทีของคุณ ...คุณก็ต้อง เขียน ต้องพูด และ ก็แบ่งปัน ความรู้ และ เคล็ดลับที่คุณมี ให้ผู้อื่น ....และแปลกมากนะ ยิ่งคุณสร้างโอกาส และให้ความรู้คนอื่นมากเพียงใด ..."โอกาสจะยิ่งวิ่งเข้ามาหาคุณมากขึ้นเรื่อยๆ"

"นั่นแหละครับ เคล็ดลับในชีวิตที่ผมเจอกับตัวเอง ... จากวันนั้นเป็นต้นมา ผมวิ่งค้นหาคนเก่ง ในสาขาอาชีพการลงทุน รวบรวมเขาเข้ามาด้วยกัน แล้วเล่าสิ่งที่มาเล่านี่ ให้เขาฟัง" ... คุณรู้ไหมว่า เพื่อนๆคนเก่งของผม หลังจากฟังสิ่งที่ผมเสนอ เขาก็บอกว่า "Make Sense ว่ะ ... งั้น!! ผมเอาด้วย --- ยิ่งให้ มันยิ่งได้ ...เรามาเปลี่ยนเมืองไทยกัน ..หากคนไทยเก่งขึ้นในทุกๆด้าน ทุกๆสาขาอาชีพ ... เริ่มจากคนเก่งในสาขาอาชีพต่างๆ ..เอาเคล็ดลับแห่งความสำเร็จในอาชีพนั้น มาถ่ายทอดให้คนรุ่นใหม่ -- คิดดูซิครับ คนไทยจะเก่งแค่ไหน"

ฟังเหมือนฝันนะ ...แต่ผมเชื่อว่า มันเป็นจริงได้ "เพราะคนที่มุ่งเปลี่ยนชีวิตคนอื่น ก็เท่ากับว่า เขาเปลี่ยนชีวิตตัวเอง ... คนที่สร้างประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็เท่ากับว่า คนๆนั้น สร้างโอกาสให้กับตัวเอง ...และยิ่งเขาผู้นั้น สร้างประโยชน์ และให้โอกาสกับคนยิ่งมากเท่าใด ...ความสำเร็จก็จะย้อนกลับมาสู่คนผู้นั้นแบบหมื่นเท่าทวีคูณ"

"ก็เอาเป็นว่า ผมขอเชิญคนเก่งๆ ทุกๆคน ..เข้ามาร่วมเดินทางในสายนี้กัน ...ระหว่างที่เราค้นหา เคล็ดลับและความสำเร็จในสายอาชีพต่างๆ เราก็เปิด Blog เปิด Facebook เปิด YouTube และถ่ายทอดความรู้เหล่านั้นที่เราได้มา สู่เพื่อนๆ ...และนั้นคือ โอกาสที่คุณกำลังเปิดให้กับตัวเอง ...(ส่วนใครที่เก่งด้านการลงทุนแล้วอยากถ่ายทอดความรู้ในสายนี้ ..เริ่มเปิด Blog เปิด Facebook และ YouTube แล้วเริ่มทำเลย ...คุณจะรู้ว่ามันดี ก็เมื่อมีคนติดตามสิ่งที่คุณเขียน คุณ Post ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ...จากนั้นโอกาสมันจะมาไปหาคุณเอง หรือ วันนึงคุณกับผม อาจได้ร่วมงานกัน) ...ลองดูครับ ผมเชื่อว่า เวทีแห่งโอกาส ทุกคนต้องสร้างเอง ..และเมื่อเร่ิมสร้างได้ดี ..เดี๋ยวโอกาสจะเริ่มวิ่งเข้าหาคุณ "แม่เจ้า!! มหัศจรรย์จริงๆ..อิ อิ"

ลองดูคลิ๊ปเก่าๆ กัน




ชีวิตผมเอง ผมเร่ิมจากการวิ่งหาโอกาส จึงมักได้เจอกับโอกาส ที่เราไม่ได้ชอบในสิ่งที่ทำ สุดท้ายมันไปไม่รอด เพราะมันเป็นโอกาสก็จริง --แต่มันไม่ใช่โอกาสของเราไง!! ...แต่ภายหลังผมมาพบว่า "โอกาสที่เป็นของเรา" คือ โอกาสที่เราเริ่มสร้างจากตัวเอง เริ่มจากสิ่งที่เราชอบ และทำส่ิงนั้น ให้เราเก่งที่สุดในจุดที่เรายืน (ถูกต้อง!! ไม่ง่ายที่จะเก่งที่สุดในโลก แต่มันไม่ยาก ถ้าคุณจะเลือกจุดที่คุณชอบ และเก่งที่สุดในจุดนั้น ..และคุณรู้ไหมว่า สิ่งที่คุณทำและเก่งที่สุด มันสามารถ Leverage และสร้าง Business Model แล้วเปลี่ยนตรงนั้นเป็นอาชีพได้) ..."โอกาส คือ อะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น -- อะไรที่สร้างประโยชน์จริงๆ ก็คือโอกาสนั่นแหละ" ..ส่วนอาชีพ ก็คือ เอาโอกาสตรงนั้น มาสร้างรายได้ ..มันจะกลายเป็น อาชีพที่เราชอบ แถมสร้างประโยชน์ต่อผู้อื่น ..."นั่นแหละอาชีพของคนรุ่นใหม่ ที่จะประสบความสำเร็จ"



วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

มองตลาดหุ้นปี 2555

ปี 2555 ... อาจไม่ได้หัวเราะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ... "กูรูหลายสำนักฟันธงปี 2555 เละตุ้มเปะ... เราในฐานะนักลงทุนจะทำอย่างไร!!"

-- วิกฤต ก็คือ โอกาส ..สำคัญที่เรามี Stock Wish List หรือยัง ... "ผู้โชคดี คือ คนที่ศึกษามาก คิดต่าง และ มองเห็นโอกาส ในขณะที่คนอื่นเห็นวิกฤต ...นั่นแหละหลักความสำเร็จในการลงทุน ดูเหมือนง่าย แต่ไม่ง่ายไง" ... ความกลัว ขจัดได้ด้วยความรู้และปัญญา ดังนั้น โอกาสเกิดแก่ผู้ที่รู้มากกว่า ศึกษามากกว่า

"ใครๆ ก็รวยได้" ...ศึกษามากๆครับ

ลองดู Comment ของผมใน รายการ Cash-Flow ..."ทิศทางการลงทุนปี 2555"

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ