แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงจากความล้มเหลว และหาประสบการณ์ที่กินได้แทน


หลายคนถามผมว่า จะทำอย่างไรถึงจะหลีกเลี่ยงจากความล้มเหลวได้ ..จุดนี้ผมกลับมองว่า มันเป็นความคิดที่ผิดธรรมชาติอย่างมาก --ซึ่งโดยธรรมชาติของมนุษย์ เราก็ได้ชื่อว่าเป็น เผ่าพันธุ์ที่พยายามฝืนหรือต่อสู้กับมันอยู่แล้ว (ธรรมชาติจึงลงโทษเรา!!)

..หากเราพยายามศึกษาจากคนที่ประสบความสำเร็จหรือผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย คนเหล่านี้จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “คนที่ไม่เคยผิดพลาดหรือล้มเหลว ก็คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย” ซึ่งตัวผมเอง ก็ถือได้ว่า สัมผัสกับสิ่งนี้โดยตรง..การที่ผมเกิดในครอบครัวที่มีเงิน มันจึงเป็นอะไรที่ยากมาก ที่ผมจะได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตจริง โดย ปราศจากพ่อแม่คอยช่วยเหลือ (จุดนี้หลายๆคนอาจมองว่า “คุณบ้าไปแล้วหรือ” การมีพ่อแม่คอยช่วยเหลือมันไม่ดีอย่างไร!!)

สิ่งที่ผมทำก็คือ การมุ่งตรงไปสู่การเรียนรู้ โดยการสร้างกิจการของตัวเองในต่างประเทศ แน่นอนสิ่งที่ได้รับมันกลับเป็นสิ่งที่ไม่คาดฝัน ..การที่ผมไปอยู่ต่างประเทศ ก็เท่ากับว่า ผมเป็น Second Class Citizen ย่อมต้องโดนดูถูก และพบอุปสรรคมากกว่าธรรรมดา

…ดังนั้น ไม่แปลกซึ่งถ้าเราเห็นใครที่สามารถไปทำกิจการ แล้วสำเร็จในต่างประเทศ คนๆนั้นย่อมมีอะไรที่ไม่ธรรมดา (คือ “มันบ้านั่นเอง”…หุ หุ) แต่จุดนี้ ผมไม่ได้มองว่า มันเป็นสิ่งที่เลวร้าย เพราะ แต่ละคนก็ย่อมมี เป้าหมายและข้อจำกัดที่ต่างกัน

บางคนไปต่างประเทศเพราะสถานการณ์บีบบังคับ (ผมไม่ได้พูดถึงคุณทักษิณนะ อย่ามาเตะผม!!) หรือ บางคนก็ไปด้วยการอยากลองของ --ผมนี่ก็คือ ประเภทหลัง ซึ่งก็ได้ไป(เปิดและปิด)กิจการมากมาย

..หากถามว่า ผมได้อะไรจากการทำเช่นนั้น “ผมก็คงบอกได้อย่างเดียวว่า ได้ประสบการณ์” ถึงจุดนี้หลายคนคงนึกขำว่า “โถ!! ประสบการณ์แล้วมันแดกเข้าไปได้ไหมเล่า --(เอ้า!!อย่างนี้ กวนกันนี่หว่า !! …หุ หุ)

พูดถึง “ประสบการณ์ที่กินได้” หลายคนอาจนึกว่า Starbucks เพราะมัน หอมอบอวนจริงๆ (แต่ไม่ใช่!!) --ประสบการณ์ที่กินได้ก็คือ ความผิดพลาดที่คุณสั่งสม จนทำให้ ครั้งต่อไป คุณเก่งขึ้นจนสามารถทำมาหากินได้(ตรงๆอย่างนี้แหละ) ..อย่างนี้ก็แปลว่า ทุกคนต้องผิดพลาดอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงจะเก่ง “อันนี้ถูกต้องเลย” เพราะคนเราไม่เคยเจ็บแล้วจำจากประสบการณ์คนอื่น ดังนั้น หนทางเดียวที่จะเจ็บแล้วจำก็คือ ประสบการณ์เราเอง (เพราะถ้าไม่เจ็บมันก็ไม่เคยจำ)

แล้ว “ไอ้เจ็บแล้วจำคือคน ส่วนเจ็บแล้วทนคือควาย มันคืออะไรล่ะ” ---มันแปลอยู่ตรงตัวอยู่แล้วนะผมว่า!! ..จริงๆถ้ามองให้ลึก มนุษย์จะแตกต่างกัน ก็ตรงประสบการณ์นี่แหละ เพราะถ้าวัดกันจริงๆ ความเก่งของแต่ละคนมันไม่น่าจะเฉือนกันมากเท่าไหร่ (เพราะเดี๋ยวนี้ ใครๆก็เรียนเยอะ ฟังเยอะ อ่านหนังสือเยอะด้วยกันทั้งนั้น) ดังนั้น วิธีการที่จะเก่งกว่าคนอื่น มันจึงเป็นการ “ไปเจ็บตัวนั่นเอง”

การเจ็บตัว จริงๆมันมีหลายแบบนะ ..(ไอ้แบบกวนบาทา อันนี้ไม่แนะนำ เพราะอาจไม่เจ็บธรรมดา อาจเข้าโรงพยาบาล แถมได้ประสบการณ์ แบบที่มันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อีกต่างหาก) --การเจ็บตัวที่เกิดประโยชน์ ก็คือ การที่เราลองผิดลองถูกใน ความรู้และความคิด และลองทำแบบเบาๆเบาะๆ โดยที่เราจำกัดความเสี่ยง เช่น เรื่องการลงทุน (การที่จะเรียนรู้ มีทางเดียว คือต้องเอาเงินคุณจริงๆไปลงเล่น) มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะอ่านหนังสือของ Warren Buffet แล้วคุณจะคิดว่า “ตอนนี้เราเก่งเท่า Buffet แล้ว” (ตลกจริงๆ --แต่แปลกไหมที่คนส่วนใหญ่กลับคิดอย่างนั้น!!)

ประเด็นต่างๆเหล่านี้มันได้กลายเป็น “ปัญหาโลกแตกไปเสียแล้ว” ..กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนพยายามวิ่งหนีความล้มเหลว ทั้งๆที่ในความเป็นจริง “ความล้มเหลวมันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ” …ไม่มีใครหรอกครับที่สามารถหลีกเลี่ยงความล้มเหลวได้ แม้คุณจะบอกว่า “ผมจะไม่ทำอะไรเลย” มันก็เท่ากับว่า ชีวิตของคุณมันล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ได้ทำอะไรเสียด้วยซ้ำ

ยุคนี้ผมเห็นพ่อแม่หลายๆคนพยายาม ป้องกันทุกวิถีทางให้ลูกพ้นจากปัญหาต่างๆ จุดนี้ผมมองว่ามันเป็นดาบสองคม และมันก็เป็น หนึ่งในสาเหตุที่ลดภูมิต้านทานในชีวิต ..เราจะเห็นประเทศยิ่งพัฒนาไปมากเท่าไหร่ อย่างญี่ปุ่น กลับมีสถิติการฆ่าตัวตายสูงขึ้นเรื่อยๆ ---หากนึกให้ดี ยิ่งประเทศพัฒนา การแข่งขันและความรีบเร่ง กลับเข้ามาบดบัง การมองคุณค่าที่แท้จริงของชีวิต

ชีวิตมันก็ไม่ได้ต่างจากการสร้างหนัง สักเรื่อง--- ซึ่งแน่นอน หากหนังมันเรียบๆเป็นเส้นตรง ไร้ข้อผิดพลาด มันคงจะเป็นหนังที่น่าเบื่อพิลิก เพราะแม้แต่(เป็นพระ)ก็ใช่ว่าจะต้องราบเรียบรอนิพานเท่านั้น หากแต่การสร้างประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ กลับกลายเป็นสิ่งที่สนุกสำหรับพระ ที่หลายคนมองว่า เป็นชีวิตที่ราบเรียบ

อ่านถึงตรงนี้หลายคนคง งง ว่า (ผมพยายามสื่ออะไร มันวกไปวนมา) เอาเป็นว่า สรุปเลยละกัน ว่า ไม่มีใครหลีกหนีความล้มเหลวได้ เพราะความล้มเหลวมันเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ดังนั้น การพุ่งเป้าสู่ความล้มเหลว จึงเป็นทางที่สดใส กว่าการหลีกเลี่ยงมัน --เพราะยิ่งคุณพลาดเท่าไหร่ ความเก่งและภูมิต้านทานของชีวิตมันก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น และสิ่งนี้เอง ที่จะเติมเต็มและสร้างให้เราเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ (ชิวิตที่สำเร็จบริบูรณ์ จึงเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึง เพราะเขาเหล่านั้น เดินไปผิดทางนั่นเอง… “ดังนั้น คุณเริ่มย้อนกลับเลย !!-- ไม่ต้องกลัวคนอื่นจะหาว่าบ้า เพราะอย่างน้อย คุณก็ยังมีผมที่เดินทางนี้เป็นเพื่อนคุณ!!”

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จีนอาจไม่ได้เดินตามรอยญี่ปุ่นอย่างที่หลายคนคิด!!


หากย้อนไปดูปี 1980 ยุคนั้นเป็นช่วงที่ ญี่ปุ่น เคยรุ่งแบบจีนในตอนนี้ --"สมัยนั้นใครๆก็มองว่า ญี่ปุ่นกำลังจะครองโลก ...การเติบโตของญี่ปุ่นในเวลานั้น ก็มีจุดเริ่มต้นไม่ต่างจากจีน คือ การผลิตของราคาถูก เนื่องจากแรงงานต่ำ จากนั้นญี่ปุ่นก็รวยขึ้นเรื่อยๆ --จนในที่สุด ณี่ปุ่น Boom เต็มที่ในปี 1990 (ช่วงนั้นเศรษฐีญี่ปุ่น เข้าไปซื้อสินทรัพย์และกิจการมากมายในอเมริกา แต่หลังจากนั้นไม่นานญี่ปุ่นก็เริ่มฝันสลาย เพราะญี่ปุ่นได้เข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ จนแล้วจนเล่า ญี่ปุ่นก็ไม่เคยกลับไปที่จุดรุ่งโรจน์จุดเดิมอีกเลย

สินทรัพย์และกิจการต่างๆ ที่ญี่ปุ่นเคยเข้าไปซื้อในอเมริกา ก็ค่อยๆทยอยขายคืน "แบบว่าซื้อมาสิบบาท ขายคืนสามบาท อะไรประมาณนั้น(ขาดทุนเละเทะ!!) ..ถ้ามองจีนในปัจจุบัน ตอนนี้บริษัทจีนหลายๆบริษัท กำลังเข้าไปเขมือบ กิจการและสินทรัพย์มากมายในอเมริกาเช่นกัน เช่น Lenovo ที่เข้าไปซื้อ IBM (think pad ธุรกิจผลิต Computer ของ IBM) หรืออย่าง Geely รถยนต์โนเนมของจีนที่เข้าไปซื้อ Volvo

คำถามที่เกิดขึ้นคือ "จีนกำลังย้อนรอยญี่ปุ่นหรือเปล่า" ผมว่าจุดนี้เป็นประเด็นที่น่าศึกษามาก ..ถ้าย้อนมาดูที่ญี่ปุ่น ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นเศรษฐกิจย่ำแย่ ตกต่ำทั้งราคาหุ้น และ Real estate ..ปัญหาภายในของประเทศไม่ได้รับการแก้ไข สถาบันการเงินถูกอุ้ม และสร้างปัญหาที่ยืดเยื้อ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศชะงัก ดังนั้น ทางเดียวที่จะสามารถผยุงญี่ปุ่นเอาไว้ก็คือ การส่งออก แต่เนื่องด้วย "ค่าเงิน ที่แข็งขึ้นเรื่อยๆ" ก็เป็นการบังคับให้ญี่ปุ่นต้องย้ายฐานการผลิตสู่เอเชีย เพื่อไปสู่ต้นทุนที่ต่ำกว่า

วันนี้จีนเกิดปัญหาทั้ง Bubble ในหุ้น และ Real Estate เช่นกัน ..แต่สิ่งที่ต่างคือ จีนมีรัฐบาลที่เผด็จการ ทำให้ยังสามารถประคับประคองเศรษฐกิจเอาไว้ได้ ตอนนี้จีนเร่งการลงทุน Infrastructure อย่างมหาศาล เพื่อระบายผลผลิตที่ล้นตลาด เช่น เหล็ก เอาไปสร้างถนน สร้างสะพาน ..กระตุ้นให้เกิดการจ้างแรงงานในการก่อสร้าง --อีกประเด็นสำคัญที่ต่างคือ จีนเปิดให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างมากมาย ซึ่งจุดนี้ต่างกับญี่ปุ่นที่มีต่างชาติเข้าไปลงทุนน้อย

ประเด็นเรื่องการลงทุนของต่างชาตินี่เอง ที่ผมมองว่า จีน เดินนโบบายค่อนข้างฉลาด เพราะการชี้ให้ต่างชาติเห็นถึง อนาคตของเงิน"หยวน"ที่มีทิศทางแข็งสวนทางกับ ดอลล่าห์ ย่อมทำให้นักลงทุนอยากพักเงินที่หยวนมากกว่า ซึ่งจุดนี้ผนวกกับโอกาสการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน จึงไม่แปลกที่เงินทุนมหาศาลจากทั่วโลกไหลเข้าจีน -- หากวันนี้จีนเลือกที่จะ ทำให้หยวนแข็งขึ้น มันย่อมทำให้ สินทรัพย์ของจีนมีราคาสูงขึ้นไปอีก (ไม่ดีอย่างแน่นอน กับ Asset ที่กำลัง Bubble อยู่..ดังนั้นการที่จีนประกาศจะทำให้ หยวนแข็งขึ้น ผมมองว่า น่าจะเป็นไปอย่างช้ามากๆ)

ดังนั้น การที่จีนเร่งซื้อกิจการของอเมริกาในวันนี้ กลับทำให้ผมมองว่า มันเป็นแนวทางที่ฉลาดเอามากๆ เพราะมันหมายถึง การนำเงินของต่างชาติ(ที่เทเข้าในจีน) กลับไปซื้อกิจการของต่างชาติ และท้ายสุดก็นำเทคโนโลยีที่สำคัญกลับมาสู่จีนในที่สุด --ก้าวต่อไปของจีน ก็ไม่ต่างกับญี่ปุ่น ที่กำลังขยายการลงทุนในเอเชียเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการวาง Infrastructure ของจีนเข้าสู่ เอเชีย มันหมายถึงการมองระยะยาว ที่จีนต้องการผนึกให้เอเชียเป็นฐานกำลังเพื่อใช้ต่อกรกับอเมริกาในอนาคต

จีนในวันนี้จึงไม่ธรรมดา เพราะจีนได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดของญี่ปุ่นเอามาปรับใช้ ผนวกกับการมีรัฐบาลเผด็จการแบบทุนนิยม(ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า เป็นนโยบายที่เหมาะกับเอเชียที่สุด ทั้งนี้เพราะประเทศที่ใช้ เผด็จการทุนนิยม ก็คือ สิงค์โปร์ และ มาเลเซีย--สองประเทศที่สำเร็จที่สุดใน South east Asia นั่นเอง)..การลงทุนของคุณในวันนี้ จึงมองข้ามปัจจัยจีนไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าการที่เขาอยากมาลงทุนในเอเชีย(เมืองไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆที่จีนหมายตา)ย่อมส่งผลดีต่อราคาสินทรัพย์ที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อจีนขยับตัว ..ญี่ปุ่นอาจไม่เก่งเรื่องการระดมทุน แต่สำหรับจีนซึ่งตลาดหลักทรัพย์เป็นรองเพียง New York จะต้องมีอะไรดีๆให้เป็นในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน !!

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คนกับเครื่องจักรและความจำกัดของเวลา ประเด็นที่คนเงินเดือนต่ำไม่เข้าใจ


ถ้ามีใครถามว่า “อะไรที่คุณคิดว่า แพงที่สุด” หลายๆคนก็จะเริ่ม ร่ายยาวถึงของหรูหราต่างๆ เท่าที่จะนึกขึ้นมาได้ จนมาจบที่ “เงิน” …มีคนตอบว่า เงิน แพงที่สุด!! “คมไหม??”-- (ถึงจุดนี้ไอ้คนถาม เร่ิม งง แทนว่า “มันคิดได้ยังไงวะ!!”) “ไม่ใช่เลย” เงินเป็นตัววัดมูลค่าของสิ่งของ มันจะมาแพงอะไรเล่า “บ๊อง!! ชิบเป๋ง …หุ หุ”

แต่ถ้าเราไปถามคนรวย หรือ คนที่ประสบความสำเร็จ เขาจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เวลา” เป็นสิ่งที่แพงที่สุด เพราะคุณใช้เงินซื้อไม่ได้ …แต่แปลกมากที่คนส่วนใหญ่ กลับปล่อยให้เวลาเสียไปอย่างไร้ค่า เพียงเพราะเขาไม่เคยคิดว่า “จะย่นระยะเวลาความสำเร็จให้เร็วขึ้นได้อย่างไร เท่านั้นเอง” ---ใช่แล้วครับ!! คนส่วนใหญ่มุ่งแต่แข่งกันเรียน แข่งกันทำงาน แข่งกันกิน โดยลืมนึกว่า ข้อได้เปรียบที่จะทำให้เราชนะคนอื่น “มันกลับเป็นเรื่อง เส้นผมบังภูเขา”

ผมเห็นเพื่อนหลายๆคน บ่นกับผมว่า เดี๋ยวนี้ดูซิ พวกเด็กจบใหม่ไปทำงานกับ บริษัทฝรั่ง มันได้เงินเดือนเยอะชิบเป๋ง!! ไอ้เราทำงานอย่างหนัก กลับเงินเดือนนิดเดียว --- แต่กลายเป็นว่า สิ่งที่เพื่อนผม ลืมคิดไปก็คือ “ทำไมเงินเดือนเขาไม่เพิ่ม ในขณะที่เด็กจบใหม่เงินเดือนขึ้นเอา ขึ้นเอา” …เรื่องนี้มันง่ายนิดเดียว ก็คือ เพื่อนผมมันดันไปทำงานที่เครื่องจักรทำได้ (ซึ่งรวมไปถึงงาน ที่แรงงานในจีนและอินเดียทำได้ เช่น พวกBlue Collar Job, งาน Call Center , งานการผลิต , งานกฏหมาย , งานบัญชี

…พูดง่ายๆ ก็คือ งาน Blue Collar ทุกรูปแบบที่จีนทำได้ และก็งาน White Collar ทุกอย่างที่อินเดียทำได้)
ถูกต้องแล้วครับ ..ประเด็นที่ผมกำลังกล่าวถึง คือ Trend การ Outsource งานของ ประเทศพัฒนา ไปสู่ประเทศด้อยพัฒนา เพราะ ทำให้ต้นทุนต่ำกว่า ..จึงไม่แปลกที่ ถ้างานของคุณ เป็นงานที่ Outsource ได้ ---ก็เท่ากับว่า คุณเตรียมตัว “ตายได้เลย!!” (คือ โอกาสที่คุณจะได้เงินเดือนสูงขึ้นแทบไม่มี แถมโอกาสตกงานยังสูงอีก)

คำถามที่เกิดขึ้น คือ “เราจะรู้ได้อย่างไร ว่างานที่เราทำเป็นงานที่ Outsource ไม่ได้” ประเด็นนี้ผมว่าสำคัญมาก เพราะบางคนเรียนมหาวิทยาลัยมา 4 ปีเต็ม เพียงเพื่อที่จะรู้ว่า ความชำนาญของตน กำลังจะถูกส่งไปให้จีนและอินเดียทำ (นี่แหละความเสียเวลา หากคุณไม่เข้าใจอนาคตของ สิ่งทดแทนงานของคุณ)

งานสำหรับ อนาคต คืองานที่ (Unique) คือ มีความโดดเด่นที่ชัดเจน (กรณีนี้ คือ คุณต้องเป็นคนเก่งที่แตกต่างจากคนทั่วไป ..แต่ผมว่ามันยากสำหรับคนส่วนใหญ่นะ ที่จะสามารถเก่งอย่างแตกต่างได้)

ดังนั้นให้มาดูที่ทางเลือก หากคุณไม่สามารถเก่งอย่างแตกต่างได้ ให้คุณกลับมาที่งานที่สัมผัสกับคน เช่น งานบริการ ที่ต้องอาศัยคนจริงๆ (ยกตัวอย่าง ธนาคาร คงไม่มีใครอยากทำธุรกรรมกับหุ่นยนต์ เพราะสังคมไทย ความไว้เนื้อเชื่อใจ กลับเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ดังนั้น อย่างอุตสาหกรรมการเงินผมว่า คนที่เก่งด้านการบริการ จะอยู่กับเราไปอีกนาน) …นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอย่างการท่องเที่ยว การลงทุน หรืองานศิลปะ

--- คือสรุปแล้ว อนาคตของงานที่รายได้สูงขึ้น มันต้องเป็นงานที่มีความเฉพาะตัว แบบที่เครื่องจักร หรือ อย่างจีนและอินเดียทำแทนไม่ได้และนี่แหละครับ คือ สิ่งที่คุณจะต้องคิดก่อน ที่จะเรียนต่อ ด้วยซ้ำ ว่า
“คุณมีโอกาสที่จะแตกต่างอย่างมีจุดเด่นหรือไม่ !!”

จุดขายเรื่องการลงทุน ความเก่งเรื่องเล็ก ความไว้ใจเรื่องใหญ่


ผมสงสัยมานานว่า มีคนมากมายที่มีเงินเยอะ แต่กลับไม่กล้าลงทุน .."ผมเลยไปลองถามดูว่า ทำไมเขาไม่กล้าลงทุน(เพื่อนผมเอง..หุ หุ)" คำตอบที่กลับมา ทำให้ผม งง --เขาบอกว่า "ไม่ไว้ใจว่ะ กลัวมันโกง(Broker)แต่ถ้าแก(ผม)เอาไปลงให้ จะลงทันที" ผมหยุดคิดนิดนึง!! กับคำตอบของเพื่อนผม .."จริงๆมันก็น่าคิดนะ ผมว่า" บางคนแบบว่า คิดมันทุกเม็ด ค่า Fee คิดมันทุกแง่ทุกมุม ต่างๆมากมาย สุดท้ายไปลงทุนกับ Madoff !!! (หากใครยังจำได้ Madoff นี่เขาไม่ได้หลอกเงินคนจนนะ เขาหลอกคนรวย"ที่ฉลาดๆนี่แหละ" อันนี้เข้าตำรา เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย)

ปัจจุบันโลกเราก็ถือว่าน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เพราะขนาดอดีตประธานองค์กรการเงินขนาดใหญ่อย่าง Madoff ยังผันตัวมาเป็น นักต้มตุ๋น อย่าว่าแต่ Broker ของคุณเลยครับ..หุ หุ (ผมไม่ได้พูดให้เสียว!! แต่ผมมองว่าเดี๋ยวนี้ คนเราไว้ใจยาก) ดังนั้น สิ่งที่เพื่อนผมคิด กลับเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิด(มันถึงน่าคิด!!) --"นี่แหละครับคือเหตุผล ที่เราควร Open Mind รับฟังจากรอบด้าน ไม่ให้มุมมองเราแคบ ..ยิ่งเรามั่นใจในตัวเองมากเท่าใด โอกาสที่เราเปิดสำหรับความล้มเหลวมันยิ่งมากเป็นเงาตามตัว

ที่มาช่วงๆต้นปี มักมีโทรศัพท์ มาหาคุณแบบ--มั่วมาว่า "คุณจะได้คืนภาษี!!" ประมาณว่าพวกแก๊งค์(ตกทอง)นี่แหละ เอาภาษีมาล่อ ให้คุณไปกด ATM รับเงิน -- กดไปกดมา ดันกดโอนเงินให้เขาซะงั้น "สรุป..โดนหลอก" --แต่ถ้ามองให้ดี พื้นฐานของการต้มตุ๋นมันก็มาจากความโลภของเรานี่แหละ .."อย่างกรณีผม เจอไอ้พวกนี้โทรมาเหมือนกัน ผมก็ตอบว่า เผอิญผมไม่อยากได้น่ะ ให้รัฐบาลเก็บไว้เถอะ ช่วยชาติ!! (กลายเป็นคนโทรมา งง รีบวางสายไปเลย)"

แต่จะว่าไปแล้ว ผมเองก็ไม่ใช่ไม่เคยโดน ความโลภครอบงำ จึงถูกหลอกในที่สุด ..คือตอนอยู่มหาวิทยาลัย ผมถูกดึงเข้าไปทำ แชร์ลูกโซ่ Internet กว่าจะรู้ตัว ก็เสียค่าโง่ไปเยอะเหมือนกัน (แต่ผมมานึกๆดู ก็นี่แหละ "ความโลภ ซึ่งแปลเปลี่ยนเป็นความโง่ มาบังตาผม"

มาถึงวันนี้ ผมเลยมองว่า "ไม่มีอะไรในโลกนี้ มันจะได้มาง่ายๆ เพราะถ้ามันง่ายทุกคนรวยไปหมดแล้ว ดังนั้น อะไรที่เข้ามาหาเราแบบ (นี่!! สุดยอดแล้ว คุณต้องตัดสินใจทันที ไม่งั้นอด หรือ แบบ Deal of the Year ณ นาทีแล้ว ..พี่ตัดสินใจเลย!!) --"ไร้สาระ ใครเชื่อ เดี๋ยวออกลูกเป็นควาย...หุ หุ" ทุกวันนี้ผมนั่งท่องเสมอ "If it's too good to be true,It's proberbly too good to be true!!" (ก็แค่นั้น)

กลับมาเรื่อง การลงทุน หลายๆคนหวังว่าจะเข้ามาในตลาดหุ้น แล้วคิดว่า จะมีคนเอาเสต็กมาวางให้กิน (แนะนำหุ้นเด็ดจากนักวิเคราะห์ , หุ้นเด่นจากกูรู) ถ้ามันชัวร์ เขาเก็บไว้กินเองไม่ดีกว่าหรือ --วันนี้ที่ผมเข้ามาในตลาดหุ้น ผมไม่ได้มาหาหุ้นเด็ด หรือ มาเดินหาเงินที่คนอื่นทำตกไว้ "มันไม่มี ตลกแล้ว!!" ท้ายสุดแล้ว ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวคุณ --"เพราะตราบใดที่คุณยังต้องซื้อข้าวเพื่อกิน ตราบนั้นก็คงไม่มีใครเอาข้าวมาใส่ปากคุณ โดยที่เขาไม่หวังอะไรหรอก จริงไหมครับ!!"

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"Going Google" แจกฟรี ใช้ฟรี โมเดลนี้จะรวยยังไงฟะ!!


นับเป็นเวลากว่า 20 ปีมาแล้ว ที่ Bill gates นำพา Microsoft ขึ้นมาครองจอ Computer ของทุกๆคน ทุกๆบ้านในโลก นับเป็นวิสัยทัศน์ ที่กว้างไกลอย่างบ้าคลั้ง ที่ Bill Gates สามารถมองภาพล่วงหน้าไปก่อนคนทั่วโลก หลายขุมนัก... เป็นเวลาที่นานแสนนาน ที่บริษัทต่างๆ พยายามที่จะ Challenge ท้าทาย Microsoft ตั้งแต่ยุคแรก ก็ Apple, Sun, Netscape จนมาถึง Platform ให้ใช้(ฟรี) อย่าง Linux --ก็ยังไม่สามารถจะสู้ Microsoft ได้ (แม้แต่น้อย!!)

สาเหตุหลักๆ ที่ Microsoft ยังคงครองโลกอยู่ ก็เพราะ(คน) ไม่ต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆหากไม่จำเป็น ดังนั้น การที่ Bill Gates สร้าง Microsoft ให้กลายเป็น (Platform) จึงเป็น Strategy ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

คำว่า "Platform ของ Microsoft"--มันไม่ใช่แค่การสร้าง Product ธรรมดาๆ แต่มันหมายถึง "อุปกรณ์จำเป็นที่คนใช้ Computer ต้องใช้(ซึ่งก็คือ OS อย่าง Window นั่นเอง)" ดังนั้น ใครก็ตามที่ต้องการจะใช้ Computer ก็จะต้องใช้ผ่าน "Platform ของ Microsoft"ทั้งสิ้น

.. ในส่วนของตลาดสำนักงาน -- Microsoft ก็สร้าง Microsoft Office มา Link กับ Window จนทำให้บริษัทสามารถผูกขาดตลาดของธุรกิจได้

..ในส่วนของการเกิด Internet(ยุคเริ่มต้น)-- บริษัทก็สร้าง Internet Explorer ขึ้นมาครองตลาด Internet (ซึ่งในเวลานั้น Microsoft ก็ใช้ Internet Explorer พ่วงกับ Platform Window และปิดตำนานคู่แข่งอย่าง Netscape ไปในที่สุด)

ในตลาดการเงิน ถ้าถามว่า ใครครอง Platform ของเงินตราล่ะ!! --"ก็ US Dollar นั่นเอง ที่ครองความเป็น Platform ของเงินตราที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนกันทั่วโลก" จะเห็นได้ว่า วิกฤต Sub-prime ที่ผ่านมา แสดงให้เราเห็นแล้วว่า การครอง Platform สามารถทำให้อเมริกา ล้มบนฟูกอย่างไร!!

แต่วันนี้ Microsoft ก็ได้พบกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุด เท่าที่ Microsoft เคยเจอมา ..วันนี้ Google ได้ครอบครอง (Platform Internet ได้อย่างเบ็ดเสร็จ) หากมองให้ดี Google ถือเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งและทำเงินในมากที่สุดในโลก Internet เลยก็ว่าได้ --และวิธีการที่ Google ใช้ท้าทาย Microsoft ก็คือ "ใช้ฟรี"

Microsoft ต้องเสียเงิน แต่ Google ให้ใช้ฟรี "คุณคิดว่าในที่สุดแล้วใครจะชนะ" ...ผมว่า Google ใช้วิธีย้อนรอย Bill Gates ซึ่งเคยใช้วิธี"ขายเหล้าพ่วงเบียร์" ก็คือ เอาทุกอย่างมาผูกกับ Window ทั้งหมด(คือจ่ายแต่ค่า Window นอกจากนั้น"ฟรี"หมด) --วันนี้ Google เอาบริการฟรีทุกอย่างมาผูกกับ Search engine ที่ทำเงินมหาศาล (ผมว่า Bill Gates คงแค้น แต่ทำไงได้ ทุกอย่างยังไม่จบ)

ถ้าให้มองว่าใครจะชนะ ..ต้องมาดูว่า ต่อไป โลกจะให้ ความสำคัญกับ Platform ไหน --ระหว่าง (ทุกอย่างอยู่บน Online..ซึ่งเป็นทางที่ Google Bet) หรืออีกด้านก็คือ (มองว่าในอนาคตพฤติกรรมการใช้ของคน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม คือ "สิ่งที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน จะไม่เปลี่ยน"(เป็นไปได้หรือ!!) ..ซึ่งเป็นทางที่ Microsoft Bet)

ในอีกด้าน Apple ก็กลับเข้ามาท้าทาย Microsoft อีกครั้ง ใน Platform Internet (ที่สอดคล้องกับ Google) เพราะ Steve Jobs ก็ bet ให้โลกนี้ขึ้นไปอยู่บน Online เช่นกัน --เรียกได้ว่าวันนี้ Microsoft จะหันซ้ายก็โดนต่อย!! หันขวาก็โดนต่อย!!..มันเป็นอะไรที่ท้าทาย Bill Gates จริงๆ!!

อนาคตกิจการไทยกับ Teamwork นั้นสำคัญไฉน


ก่อนจะมาพูดเรื่องน่าเบื่ออย่าง Teamwork ผมว่าเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Economy ในบ้านเรามันมีกี่แบบ …มี 2 แบบ คือ

หนึ่ง Old Economy ก็คือธุรกิจดั้งเดิมที่มีมาอย่างยาวนาน เช่น ธนาคาร, การค้าปลีก , Broker, การค้าส่ง , การ Trading , การขนส่ง …ถ้าคุณสนใจที่จะเข้ามาทำกิจการประเภทนี้ มันก็มีอยู่วิธีเดียว คือ คุณจะต้องคิด Value Added ให้ได้ อย่างในอเมริกา อุตสาหกรรม Broker มีมาช้านานแล้ว แต่นาย Charles คิด Value Added ก็คือ เปิดบริษัท Broker Online ขึ้นมา แข่งกับ Broker แบบดั้งเดิม ..แต่หลังจากนั้นไม่นาน ทุก Broker ก็มีบริการ Online เช่นกัน

…จะเห็นได้ว่าช่องว่างหรือ Room ที่เปิดโอกาสให้กับนักธุรกิจ มันไม่ได้มีมาก จึงต้องอาศัยมุมมองและจังหวะที่ดี ประกอบกับการทำธุรกิจแบบ Value Added ต้องเป็นคนที่รักการแข่งขันเป็นชีวิตจิตใจ เพราะมันเท่ากับว่า คุณประกาศตัวเข้าชนกับรายใหญ่นั่นเอง (จึงมีน้อยคนนักที่รอด!!)

สอง New Economy ก็คือ บริษัท ที่ใหม่ถอดด้าม เช่น Microsoft(ในยุคก่อตั้ง) , Google , Social Network ต่างๆ , I-pads ของ Apple -- ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เรียกว่า คุณเปิดอุตสาหกรรมขึ้นมาใหม่นั่นเอง

กลับมาที่ประเด็นของ Teamwork --การที่เราจะสำเร็จในธุรกิจใดๆก็ตาม แน่นอนการมี Teamwork ที่ดีย่อมสร้างความได้เปรียบอย่างมหาศาลทีเดียว …จุดที่ผมสนใจเป็นพิเศษคือ Old Economy หรือ อุตสาหกรรมแบบเก่า ซึ่งปัจจุบัน ได้เผชิญกับความกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล

โอกาสที่ผมอยากแนะนำคนรุ่นใหม่ ที่ชอบทำงานเป็น Teamwork คือ การที่เราเสนอตัว ไปทำงานในอุตสาหกรรมแบบเก่า (โดยเฉพาะกิจการที่มีชื่อเสียงมายาวนาน แต่องค์กรไม่ได้มีขนาดใหญ่มาก) จุดนี้ผมมองว่า มันเป็น “โอกาสทอง” ของคนรุ่นใหม่เลยก็ว่าได้ ---เพราะการที่คุณเข้าไปทำงานในบริษัทที่มีชื่อเสียง ก็เท่ากับว่า คุณมี Teamwork และมีระบบที่ดีพอสมควร รองรับคุณในเบื้องต้นแล้ว จึงมีโอกาสสำเร็จสูง

จุดที่ว่านี้ ผมว่ามันได้เปรียบผู้ประกอบการที่เก่ง --แต่ชอบ One Man Show อย่างมาก ---เพราะถ้าหากคุณนึกดูให้ดี ถ้าคนสองคนนี้มีความสามารถที่ใกล้เคียงกัน ….โอกาสที่ One Man Show จะแพ้นั้นมีสูงมาก

แต่ในทางกลับกัน หากคุณเลือกที่จะทำธุรกิจแบบ New Economy ผมกลับมองว่า One Man Show กลับเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่า ทั้งนี้เพราะกิจการแบบใหม่ถอดด้าม ต้องการ “ความบ้า ..ไม่ใช่บ้าธรรมดา แต่มันเป็น บ้าชนิดไม่มีใครคบ” จุดนี้เองทำให้ Idea หรือคน แบบนี้ไม่สามารถที่จะทำงานในองค์กรแบบเก่าได้เลย

สรุปก็คือ ก่อนคุณจะทำธุรกิจคุณจะต้องสำรวจตัวเองก่อนว่า คุณ”บ้าเพียงใด” แล้ว ธุรกิจที่คุณทำเป็น Old Economy หรือ New Economy จึงจะมีโอกาสสำเร็จได้อย่างดี!!

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Herman Miller เก้าอี้สำนักงานตัวละ 5 หมื่น ที่มันโฆษณาตัวเอง


ผมว่าหากคุณขึ้นไปห้องประชุมของบริษัทใหญ่ๆ "บนโต๊ะประชุมของผู้บริหาร ระดับสูง" --มันมีเก้าอี้สำนักงานสีดำ ที่รูปทรงแปลกๆวัสดุแปลกๆ ดูโปร่งๆ-- ที่สำคัญ มันราคาตัวละ 5 หมื่นบาท!!

ถ้าผมจะบอกว่ามันคือเก้าอี้ Herman Miller มีไว้ให้พวก ไฮโซนั่ง (ผมว่าถึงจุดนี้หลายๆคนคงอยากไปลองนั่งว่า --ทำไมมันแพงจังฟะ!!) เก้าอี้ตัวนี้ แจ้งเกิดที่อเมริกา พร้อมกับยุค Dot Com Boom มันเป็นอะไรที่ พวกเศรษฐี Dot Com ต้องไปซื้อมาใช้ พร้อมๆกับรถ Porche ..ในที่สุดจากบริษัทเล็กๆ ที่ผลิตเก้าอี้ที่เจาะตลาดเล็กๆ Niche Market ก็ดังระเบิดขึ้นมา "โดยไม่ต้องโฆษณา"

ผมว่าจุดนี้มันคล้ายกับ เสื้อ Polo (Ralph Lauren) เสื้อยืดธรรมดา ที่มีตราคนขี่ม้า ถ้าธรรมดาๆ ออกแบบธรรมดาๆ มีอย่างเดียวที่ไม่ธรรมดา คือ ราคามันแพงสุดๆ (ในที่สุดมันดัง --แล้ว Ralph Lauren ก็รวย..คุณว่ามันแปลกไหม) ..อีกตัวคือ Louis Vuitton กระเป๋าหนังธรรมดาๆ ที่แพงสุดๆ (แล้วมันก็ดังโดย ไม่ต้องขายผ่านใคร แต่คนแย่งกันมาซื้อ)

ประเด็นที่น่าสนใจของการตั้งราคาให้แพง คือ (คนอยากดู ว่าทำไมมันแพง เลยพยายามหาทางดูให้ได้ พอใครได้ดู ได้สัมผัส ได้เสียตังค์ ก็รู้สึกว่า ตัวเองเจ๋ง!!(แต่ก็กลัวโง่อยู่คนเดียว) เลยไปโม้ต่อ --"เมื่อวานไปซื้อกระเป๋า Louis ใบละแสนมา แล้วก็นั่งบนเก้าอี้ Herman Miller โอ้โห เหมือนนั่งอยู่บนสวรรค์" ในที่สุด Word of Mouth ก็ระบาดออกไป!!

"ราคาแพง" จึงเป็นการกระตุ้นต่อมความอยากรู้ และหากบริษัทฉลาด ก็พยายามทำให้มันลึกลับเข้าไปอีก โดยการไม่มีขายทั่วไป ต้องซื้อผ่านร้านของบริษัทเท่านั้น ฉะนั้น จะยิ่งลึกลับน่าค้นหา (สิ่งเหล่านี้ คือ Marketing Strategy ที่นั่งอยู่อีกด้านของ การตลาดแบบเดิม)แต่การนั่งอยู่อีกด้าน ก็ใช่ว่าจะเลวร้ายเสมอไป --การที่ตั้งสินค้าราคาสูง ทำให้สามารถจ้างคนงานได้แพง คนงานก็มีใจทำงาน ทำให้สินค้าและบริการเหนือกว่า สินค้าปกติ ...

..ผมมองว่า บริษัทในบ้านเราขาดสิ่งที่ สินค้าเหล่านี้มี ก็คือ "ความชัดเจน" เราพยายามลดต้นทุน แต่เราขายถูก ลดราคาทุกสิ้นปี และเราก็พยายามโฆษณา รวมทั้งพยายามกระจายสินค้าไปให้มากเท่าที่จะทำได้ --ส่วนสินค้าอย่าง Herman Miller ไม่มีการลดราคา ไม่ให้ใครเอาไปช่วยขาย หาดูยาก ราคาแพง ต้องสั้ง ต้องรอ และก็ไม่ค่อยโฆษณา " จะเห็นไหมว่า บริษัทเล็กๆ หากต้องการประสบความสำเร็จและกลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ อย่าง Herman Miller, Louis Vuitton , Ralph Lauren --คุณจะต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน นั่นเอง

โอกาสของธุรกิจในอนาคต จะต้องมี จุดยืน และยิ่งจุดยืนแปลก โอกาสที่ เกิด Word of Mouth ก็ยิ่งสามารถเกิดได้ง่ายขึ้น และนี่ก็คือ การตลาดสำหรับอนาคต ผู้ที่มีต้นทุนต่ำ คุณก็มีโอกาสแจ้งเกิดได้มากขึ้นเท่านั้น (ไม่ใช่ต้นทุนต่ำแค่ การผลิต คุณจะต้องต่ำในด้านการบริหารและโฆษณา) และหากคุณจ้างคนน้อย แต่จ่ายได้แพง คุณก็จะได้คนคุณภาพ ยิ่งถ้าสินค้าคุณแพง คุณก็ยิ่งกำไร ...และนี่แหละที่เรียกว่า การตลาดที่ไม่ธรรมดา ของเก้าอี้ที่มันโฆษณาตัวเอง!!

การสูญพันธ์ของ One Man show (กุด..ว่างั้น!!)



เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวผมเอง ตามประสาคนหนุ่มที่มักมองว่า “ข้าที่แหละเก่งที่สุดในจักรวาลแล้ว” ..เรื่องราวของผมมันเริ่มจากความมั่นใจไร้สติ ที่เข้าไปลงทุนทำกิจการร้านอาหารในออสเตรเลีย --“ไม่ใช่แค่เปิดร้านอาหารเดียว ผมเปิดมันที 5 สาขา..กะว่า ปีหน้า กูจะ Challenge แมคโดนัลด์ก็คราวนี้แหละ!!” ขณะนั้น Cycle ของ ร้านอาหารในออสเตรเลียกำลังอยู่ในช่วงของขาขึ้น (จึงทำให้ผมฮึกเหิม!!)

สิ่งที่ผมมองข้ามก็คือการวิเคราะห์เชิงลึกใน Industry ร้านอาหาร -- การทำงานแบบ One Man Show ทำให้ผมขาดความรอบครอบ คือ ไม่ได้ศึกษา Industry และ Cycle ของธุรกิจอย่างจริงจัง …หลายคนคงมองไม่ต่างกับผมว่า “การเปิดร้านอาหารในต่างประเทศมีแต่รวย ไม่ใช่หรือ” นั่นเป็นความคิดที่ไร้เดียงสายิ่งนัก (ระหว่างเจ้าของร้านอาหารมักจะรู้กันว่า ร้านอาหารเป็นธุรกิจที่เปลี่ยนมือสูงมาก เพราะเป็นอะไรที่แบบว่า “คนในอยากออก คนนอกอยากเข้า” เข้ามาตายนี่แหละ..หุ หุ)

..มาเข้าประเด็นที่ผมมองข้าม นั่นก็คือ Salary Structure ของอุตสาหกรรมอาหาร คือ เน้นค่าแรงที่ต่ำกว่า Industry Award (พูดภาษาคนก็คือ เป็นธุรกิจประเภทที่กดค่าแรงนั่นเอง)

การเป็นธุรกิจประเภท Low Salary ทำให้ ด้านหนึ่งเป็นการ Block คู่แข่งขัน (จึงไม่แปลกที่ร้านอาหารอย่าง แมคโดนัลด์ที่รสชาติอาหาร ไม่เอาไหนเลย กลับสามารถทำกำไรอย่างงาม เพราะแท้จริงแล้ว แมคโดนัลด์ก็ไม่ต่างกับ Toyota หรือ Dell ที่เป็น Cost Leader ใน Industry ของตัวเอง) …ดังนั้น โอกาสของคู่แข่งที่ สายป่านสั้น แทบจะไม่มีโอกาสชนะธุรกิจอย่างนี้ได้เลย

อีกประเด็นที่ผมมองข้ามคือ Cycle ของธุรกิจ ..ผมกระโจนเข้าสู่ธุรกิจใน Cycle ขาขึ้น มันเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนมาก เพราะแน่นอนในช่วงขาขึ้น Cost ทุกอย่างจะสูง ไม่ว่าจะเป็น ค่าเช่า , ค่าแรง , การแข่งขัน หรือ แม้แต่ต้นทุนของวัตถุดิบ (ยกตัวอย่างคุณเซ็นสัญญาเช่าร้านในช่วง เศรษฐกิจดี ค่าเช่าของคุณก็จะแพง จากนั้นทุกปีค่าเช่าคุณก็จะมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่างกับคนที่ เซ็นสัญญาเช่าในช่วงเศรษฐกิจแย่ “คนเช่าน้อย” เจ้าของก็จะลดค่าเช่า )ดังนั้น มันเป็นการไม่ฉลาดเลย หากเราคิดจะทำธุรกิจใน Cycle ขาขึ้นของอุตสาหกรรมนั้นๆ

ที่กล่าวมาคือ 2 ประเด็นใหญ่ ที่ “ตอกหน้า One Man Show อย่างผม จนหน้าหงาย” ..อย่างที่บอกแหละครับ คนเราจะเรียนรู้จริงๆเมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเองเท่านั้น (ผมจึงไม่แปลกใจว่าในอนาคต ก็ต้องมีคนอีกมากมายที่ไม่ได้สนใจคำแนะนำของผม แล้วก็ไปทำผิดพลาดเหมือนกับผม)
กลับมาที่เรื่องของ One Man show ..หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วควรจะทำอย่างไร เอาเป็นว่า ผมจะมาเล่าวิธีแก้ One Man show ในบทความหน้าละกันครับ

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Asset ทั้งโลกที่ลงทุนได้มีแค่สองแบบเท่านั้น(ไม่แปลกที่ Buffet ทำไมอึดมาก !!)



พูดถึง Asset ต้องอธิบายนิดนึงว่า Asset ก็หมายถึง สินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา และตามการเติบโตของเศรษฐกิจ อย่างเช่น ที่ดิน, ทอง , หุ้น , พันธบัตร ,ของสะสม , เหล็ก , น้ำมัน ..เอาเป็นว่าทุกอย่างที่สามารถเก็บรักษาได้ แล้วมีมูลค่านั่นเอง (แต่ของที่เสื่อมค่าเมื่อเวลาผ่านไป ผมขอไม่เอามารวมในนิยามของการลงทุนละกัน)

ที่ว่า Asset ทั้งโลกมี 2 แบบ ก็คือ

1. Asset ที่มีความเสี่ยงน้อย เช่น พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้ Bond ต่างๆ , ที่ดิน ,บ้าน คอนโด (คือ รวมทุกอย่างที่ทุกคนมองว่าเสี่ยงน้อย)

2. Asset ที่มีความเสี่ยงมาก เช่น หุ้น , น้ำมัน ,ทอง (สองประเภทหลังเสี่ยง แต่ก็ยังน้อยกว่าหุ้น เพราะหุ้นมีความผันผวนขึ้นลงทุกวัน)

ดังนั้น ถ้าถามว่า Asset เพียงสองแบบ ก็ลงทุนง่ายน่ะซิ ..”ไม่เลย” คุณรู้ไหมว่าคนส่วนใหญ่ขาดทุนจากการลงทุน เพราะเขา ไม่สามารถ แยกภาพลวงตา ออกจากความเป็นจริงได้ (งง ไหมครับ)

เวลานี้ถ้าไปถามนักลงทุนส่วนใหญ่ ว่า “ตอนนี้คุณควรลงทุนใน Asset ประเภทไหน”-- ผมเชื่อว่าส่วนใหญ่จะต้องตอบว่า “ก็ Asset ที่มีความเสี่ยงน้อยไง!!” ดังนั้น แน่นอนเมื่อคนส่วนใหญ่ต้องการถือ Asset ที่มีความเสี่ยงต่ำ ย่อมทำให้ ราคาสูงขึ้นตาม Demand ของตลาด …ในขณะที่ Asset ที่มีความเสี่ยงสูง (ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่กล้าถือ) ก็จะมีราคาต่ำ

ถ้าถามผมว่า เมื่อเป็นแบบนี้ คุณควรจะลงทุนอย่างไร ..ก็ตอบง่ายๆว่า คุณก็ควรลงใน Asset ที่มีความเสี่ยงสูงในเวลานี้นั่นเอง!!-- จากนั้นถือไปจนกว่า เศรษฐกิจจะดี (อาจเป็น 3 – 5 ปีข้างหน้า)-- พอคนส่วนใหญ่เริ่มรู้ดีต่อตลาด (ก็ตอนที่เศรษฐกิจดีหมด ทุกคนก็จะมีความมั่นใจ) ทีนี้แหละ คนส่วนใหญ่ก็จะมองหา Asset ที่มีความเสี่ยงสูงมากขึ้น -- และเมื่อราคามันสูง คุณก็ควรจะออก แล้วไปซื้อ Asset ที่มีความเสี่ยงต่ำแทน (สวนมันเข้าไป ให้ไส้แตก!! …หุ หุ)

“อาจจะฟังดูง่ายนะครับ แต่แปลกไหมครับ ที่คนส่วนใหญ่กลับทำไม่ได้” ดังนั้น มุมมองอย่างเดียวมันไม่พอ คุณจะต้องมีความหนักแน่นด้วย ..ปรมาจารย์นักลงทุนอย่าง Warren Buffet กล่าวไว้ว่า “หากคุณทนเห็น Port การลงทุนของคุณ ลดลงถึง 50% ไม่ได้ คุณก็ไม่ควรเล่นหุ้น”

ทั้งนี้เพราะหนึ่งในหุ้นที่ดีที่สุด ที่ Buffet ถือ ก็คือ Washington Post ซึ่งเขาถือหุ้นตัวนี้นานกว่า 20 ปี ..โดยในปีที่สองหลังจากที่เขาลงทุนในหุ้นตัวนี้ --หุ้นตกลงไปกว่าครึ่ง แต่ Buffet ก็เชื่อมั่นและยังคงถือต่อไป จากนั้น หุ้นตัวนี้ก็วิ่งจาก Bottom ไปกว่า 100 เท่า ใน 20 ปีที่ Buffet ถือ (คุณลองนึกให้ดี ว่าจริงๆแล้ว คนส่วนใหญ่ ถ้าปีที่ 2 หุ้นตกขนาด 50% ผมว่านักลงทุนส่วนใหญ่ ขายวิ่งหนีตายไปหมดแล้ว ..และนี่คือ ข้อแตกต่างระหว่าง Buffet กับนักลงทุนทั่วไป)

สรุปง่ายๆว่า การเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้นั้น นอกจากมีความเข้าใจในประเภทของ Asset แล้ว คุณยังต้องมี “ความอึด” ที่เป็นส่วนสำคัญของการลงทุนเช่นกัน….

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ใต้ดิน “อีสาน” มีทรัพยากรล้ำค่า “ไม่แพ้ ซาอุ เลยทีเดียว”


พูดถึง “น้ำมัน” ใครๆก็รู้ว่า “สำคัญ เป็นทองคำสีดำ” แค่ 30 ปีที่แล้ว-- ก่อนที่โลกจะต้องการน้ำมันขนาดนี้ “ประเทศในตะวันออกกลางเหล่านี้ ยากจน พื้นดินแห้งแล้งปลูกอะไรไม่ได้ ต้องประทังชีวิตด้วยการทำประมง” ….30 ปี ต่อมา ท่านเห็น “นครดูไบ” สร้างตึก(สูงที่สุดในโลก), สนามกอล์ฟ (กลางทะเลทราย), โรงแรมหรูหราและแพงที่สุดในโลก, ถมทะเลสร้าง “World Map” จำลอง ขายให้มหาเศรษฐีไว้ทำ รีสอร์ท … “อะไรมันเกิดขึ้นที่นั่น” จากผืนทรายต้องคำสาบ เปลี่ยนเป็น “ที่ดินทราย” ที่มีราคาแพง สุดโต่ง (มันบ้าไปแล้วหรือ !!!)

มาพูดเรื่องใต้ดิน “อีสาน” ซึ่งอุดมไปด้วยเกลือ ..ใครไม่รู้ว่าเกลือ เป็นส่วนประกอบของอุตสาหกรรมต่างๆมากมาย ตั้งแต่ กระจก , เซรามิก , ปุ๋ยเคมี , สบู่ ,ผงซักฝอก , พีวีซี , สีฟอกย้อม ดังนั้น ในประเทศอุตสาหกรรม อย่างอเมริกา มีอัตราการ “ใช้เกลือ” ต่อคนสูงถึง 225 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยใช้แค่ 27 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (ไม่ใช่คนอเมริกา กินเค็มนะ ..เขามีการผลิตอุตสาหกรรมมากต่างหาก ….หุ หุ )

ไทยมีการนำเข้าแร่โพแทช(ส่วนหนึ่งที่ได้จากการทำเหมืองเกลือ) ปีละประมาณ 4 -5 แสนตัน ซึ่งประเทศอย่างจีนและอินเดียที่มีอุตสาหกรรมมากมายก็มีการนำเข้าแร่โพแทชมหาศาล .. เฉพาะโครงการของบริษัท อุดรธานี “เหมืองเกลือ” 20 ปี จะมีรายได้เข้ารัฐ 3 แสนล้านบาท ..ลองนึก “นี่แค่เหมืองเดียว” แต่ใต้อีสาน ที่ดิน “เค็มสุด” อย่าง “ทุ่งกุลาร้องไห้” มีมากมาย(ทำได้ไม่รู้จักกี่เหมือง) --แต่แปลกไหมครับ เรา “พยายามเอาดินเค็มนั้นมาปลูกพืช” --ซึ่งขายได้ราคา “ต่ำโคตร!!” มันคล้ายๆกับ “ซาอุ” บอกว่า เขาจะไม่ขุดเจาะน้ำมัน แต่จะทำเกษตร บนพื้นทราย ส่งออกพืชผลทางการเกษตร แทนการส่งน้ำมัน (คงจะทำให้หลายๆคน ขำ พิลิก) --แต่ “มันไม่ขำเมื่อมันเกิดขึ้นจริงในอีสานบ้านเรา”

ประเทศอย่าง “ออสเตรเลีย” แห้งแล้งกว่า ค่อนประเทศ …อุตสาหกรรมหลัก เขาคือ ขุดแร่ธาตุขาย ส่วนประชากรก็อาศัยอยู่รอบนอก … “ประเทศเขาจึงรวยโคตร!!” ..แต่บ้านเราครับ ไปอาศัยอยู่ บนพื้นที่แห้งแล้งซึ่งใต้ดินมีทรัพยากรที่มีค่า ประดุจน้ำมัน แต่เรากลับ พยายาม “ปลูกพืชขาย” ซึ่งราคา ต่ำ --“ผมว่ามันแปลกอยู่นะ”

จุดนี้มันต้อง มีการวิเคราะห์กันอย่างจริงจังว่า อะไรเกิดขึ้นในบ้านเรา หรือ ว่าที่ดินเป็นของ “นายทุน” และการที่ ให้คนจน เช่าทำนาเป็นการสร้างรายได้ที่มั่นคง แก่นายทุน (เพราะชาวนาไม่มีทางลืมตาอ้าปาก ..คือ เริ่มตั้งแต่ปล่อยกู้มหาโหด ให้มาเช่าที่ตัวเอง แล้วก็มาซื้อพืชผลในราคาต่ำ ไปขายเก็งกำไร) ….อย่าง ออสเตรเลียครับ “คนทำเหมืองแร่” แค่คนงาน--ก็รวย มีบ้านอยู่ มีฐานะที่ดีกันทุกคน ..ยิ่งคนที่ยอมไปทำงานที่ Western Australia ในเหมืองแร่ ก็ยิ่งมีรายได้ต่อหัวสูง (เนี่องจาก แร่ที่เขาขายทำเงินสูง(กว่าทำการเกษตร) จึงจ้างแรงงานได้แพง)

แต่ในบ้านเรา “พืชผลการเกษตร”มันราคาต่ำ ดินในอีสานก็ไม่อำนายต่อการเพาะปลูก …ทำไมเราไม่ทำเหมืองแร่ “เกลือโพแทชแทน” แต่ก็นั่นแหละครับ ท้ายสุดมันต้องอยู่ที่การจัดการที่ดี และโปร่งใส ไม่งั้นก็รวยเฉพาะ เจ้าของเหมืองนั่นแหละครับ ..วันนี้ผมว่า NGO บ้านเราแทนที่จะต่อต้านอะไรก็ไม่รู้ มาช่วยกัน “ต่อต้านความจนของชาวบ้านดีกว่า” เพราะท้ายสุด ความสงบสุขของประเทศมันอยู่ที่การ “กินดีอยู่ดีของประชาชน” ผมไม่เห็นคนที่กินดีอยู่ดีที่ไหน จับปืนขึ้นมา ปฏิวัติประเทศเลย มีแต่ประเทศที่ยากจนเท่านั้น ที่วุ่นวาย ตรงนี้ผมว่า เป็นเรื่องที่รัฐบาล และนายทุน รวมทั้งคนที่มองหาโอกาสในการลงทุน --ไม่ควรมองข้าม…..(ทั้งรวยแถมได้บุญ ผมว่า ไม่เลวนะ !!!)

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อนาคตเมืองไทย ทำไมคุณต้องเรียนรู้จากดารา


เส้นทางของดารา จากมนุษย์ธรรมดาสู่ Super Star ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ..หากใครรู้ว่า The making of star มันเป็นเช่นไร อาจไม่อยากเป็นดาราเลยก็ได้ (หา!! คุณคิดถึง อะไรกัน!!) ..มันคล้ายๆกับรายการ The Star หรือเปล่า? จะว่าไปแล้ว สมัยก่อน อำนาจของการสร้าง The Star ไม่ได้มาจากมวลชนเหมือนอย่างปัจจุบัน

ย้อนไปมอง RS หรือ Grammy เมื่อสิบปีที่แล้ว ใครเอามิวสิคเก่าๆมาเปิดดูจะเห็นได้ว่า “เขาไปถ่ายกันเองที่บ้านหรือ ทำไมคุณภาพมัน….(แย่)จริงๆ” แต่ดูเดี๋ยวนี้ซิครับ ไม่ว่า ละคร บันเทิง เพลง -- มันได้ “พัฒนาในส่วนของคุณภาพ Content อย่างก้าวกระโดด” ส่วนหนึ่งเราเถียงไม่ได้ว่า มันเกิดจากการแข่งขันที่มากขึ้น (อย่างหนังเกาหลีก็เข้ามาตี เป็นคู่แข่งโดยตรงกับละครบ้านเรา)

ดาราสมัยก่อน ที่เคยดังก็พลิกตัวขึ้น ตั้งบริษัทของตัวเอง ปั้นเด็กและ Content ป้อน ค่ายเพลง และ ค่ายหนัง(คุณดูซิ ไอ้ที่ต่างชาติเขาบอก Outsourcing นี่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆในบ้านเรา!!!) --(อย่าง Grammy ที่สมัยก่อนพึ่งแต่ แมวมอง เดี๋ยวนี้ กลายเป็นว่า บริษัท Grammy แตกตัวบริหารอย่างกับ “กลุ่มอัลเกด้า” คือ ในบริษัท แยกเป็นกลุ่มเล็กๆ ซึ่งต่างก็แข่งกันผลิตงาน(Content) คุณภาพป้อน Grammy) นี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก จากองค์กรขนาดใหญ่เทอะทะ กลายเป็น Outsource และแตกเป็นหน่วยย่อยๆ แบ่งให้ ดารารุ่นเก๋า เข้าช่วยดูแล ผลิตงานที่มีคุณภาพกว่าเดิม

นี่แหละครับที่ผมว่า เราต้องเรียนรู ้จากดารา …มันคือการปรับตัวขนานใหญ่ ตั้งแต่การเฝ้นหาดาราที่เคยใช้แต่แมวมอง เปลี่ยนเป็น ปัจจุบัน อย่าง The Star ใช้สังคม “เลือกดารา” แทน ..ข้อดีคือ คุณภาพของดาราคนนั้นๆ ต้องเก่งจริงๆ แถมสังคมเป็นคนเลือก ก็ย่อม Guarantee ความดัง(ลดค่าใช้จ่าย Promotion) ไปได้ระดับนึงเลยทีเดียว หรือ อย่างบริษัทผลิต Content ที่ ดารารุ่นเก๋า ไปเปิดแข่งกันป้อนงานให้ บริษัทใหญ่ หรือ ช่องทีวี -- ก็เป็นการยกระดับคุณภาพโดยรวมของ Content ทำให้เดี๋ยวนี้ ทั้งเพลง และหนังไทย มีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ

กระแสหรือ Trend ที่ได้ “เปลี่ยนวิถีชีิวิตดารา” อย่างที่ผมพูด มันกำลังจะ “เข้ามาเปลี่ยนแปลง ในทุกๆสิ่งของเมืองไทย ..จากวิถีชีวิตและการทำงานที่เรียบง่ายของคนไทย มันจะถูกแทนที่ด้วย “การแข่งขันที่เข้มข้น” การพัฒนาคุณภาพของสินค้าที่สังคมเป็นคนตัดสิน ---“มันได้เริ่มขึ้นแล้ว” คนที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง คนนั้นก็คือ “ผู้ชนะ” ส่วนคนที่ีปรับตัวไม่ทัน อาจโทษชะตาชีวิต แต่จริงๆมันไม่ใช่เลย “สังคมก็คือมนุษย์ คุณก็คือ มนุษย์ การเปลี่ยนแปลงของสังคม ก็เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของความต้องการของมนุษย์ ซึ่งก็รวมถึงคุณและเพื่อนบ้าน” --การที่เราไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของสังคม ผมว่า “คุณไม่เข้าใจตัวเองหรือเปล่า …น่าคิดนะ!!!”

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คนส่วนใหญ่คิดว่าการทำงานคือการทำเงิน ซึ่งจริงๆแล้วมันคนละเรื่องกันเลย(จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่รวย)


ความเข้าใจเรื่องงานกับเงิน หลายๆคนเอาไปปนเปกัน คิดว่า ยิ่งทำงานมาก ยิ่งทำงานหนักจะได้เงินมากตาม แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย

ในเรื่องของการทำงานแม้จะได้เงินเป็นผลตอบแทน แต่สังเกตไหมครับว่า มันไม่ได้มากมายอะไร ยิ่งคุณทำงานที่คล้ายๆกับคนเยอะๆ เช่น ทำราชการ วันก่อนรัฐบาลประกาศจะขึ้นเงินเดือน แต่ปรากฏของกินของขายต่างๆ ดันปรับขึ้นไปก่อนขึ้นเงินเดือนเสียอีก "เท่ากับกับว่า การขึ้นเงินเดือนของรัฐบาล ไม่ได้ทำให้ ข้าราชการรวยขึ้น แต่มันเป็นการลดค่าเงินลงต่างหาก"

ในส่วนของการทำงานในภาคเอกชน ก็ใช่ว่าคุณจะได้เงินมาก "หากคุณไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงจริงๆ ..เงินเดือนก็ยังคงต่ำอยู่ดี" ทั้งนี้เนื่องจาก เอกชนเองก็ต้องมีการแข่งขันกับคู่แข่ง ซึ่งถ้าเขาให้เงินเดือนมาก ก็อาจจะมีต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่ง ดังนั้น การทำงานโดยเฉพาะการที่เป็นลูกจ้าง มันเกือบจะการันตี รายได้อยู่แล้วว่าไม่อาจที่จะสูงมาก ..ทั้งนี้เพราะลูกจ้างอยู่ตรงข้ามกับเถ้าแก่ --"เถ้าแก่ต้องการจ่ายน้อยๆ แต่ลูกจ้างต้องการให้จ่ายมาก --(ผมถามหน่อยแล้วใครจะชนะ!!)"

หลายคนบอกว่างั้นการศึกษาสูงจะช่วยให้รายได้ดีขึ้น อันนี้นี้ถูกต้อง แต่แค่บางส่วนนะ!! หรือ หลายๆคนก็บอกงั้นเป็นผู้ประกอบการซิ จะได้เป็นเถ้าแก่เสียเอง แต่ถ้าดูจากสถิติ การทำธุรกิจเองมีโอกาสเสียมากกว่าได้ เพราะธุรกิจส่วนใหญ่มันตายไปก่อนที่จะโตเสียด้วยซ้ำ

ถึงจุดนี้ผมว่าหลายๆคนคงเริ่มคิดท้อแท้แล้ว ว่ามันไม่เห็นมีวิธีไหนที่จะทำงานให้รวยเลย "แต่มันมีครับ" มันก็คือ(มุ่งไปที่ประเด็น การทำเงินเลย) ..การทำเงินมีหลายวิธี ดังนี้
1. ทำเงินโดยใช้ เงินต่อเงิน คือ ไปเอาเงินมาลงทุน (โอกาสที่จะเจ๊งสูงมากตามสถิติ อีกเช่นเคย) หลายคนที่เกิดในครอบครัวที่มีฐานะ ก็จะโชคดี ที่สามารถหาทุนมาได้ง่าย หรือ อย่างในกรณีมีเงินแล้วอยากลงทุน อย่างเคสของดารานี่ก็ใช่ เนื่องจากได้ค่าตัวแสดงสูงก็เอาเงินนั้นมาทำธุรกิจต่อ ..ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า มันเป็นการทำเงินโดยเริ่มต้นจากทุน (เหมือนเอาเงินมาทุ่ม) ดังนั้น ไอเดียมันจึง ไม่บรรเจิด โอกาสสำเร็จเลยน้อย
2. ทำเงินจากไอเดีย (วิธีนี้แหละใช่เลย)ไม่ว่าคุณอยู่ในสาขาอาชีพใด การเริ่มต้นจากความคิดมันย่อมมีความเสี่ยงต่ำ แต่ประเด็นมันคือ (ยังไงทำกิจการก็ต้องใช้เงินอยู่ดี) ..ดังนั้น คนที่สามารถไปเอาเงินคนอื่นมาลงทุน OPM(Other Prople Money)ได้สำเร็จ มันก็เสมือนว่า คุณ"จับเสือมือเปล่า" และนี่และการทำเงินที่แท้จริง

ผมจะยกตัวอย่างที่คนที่(ทำเงิน) ที่ใครๆก็รู้จัก Bill Gates นั่นเอง ..ระหว่างที่เขายังเรียนอยู่ ปรากฏว่า IBM เริ่มมีการผลิต Personal Computer ซึ่งเวลานั้น Bill Gates กลัวตัวเองจะตกยุค จึงเข้าไปหาบริษัท IBM และเสนอตัวเป็นผู้เขียน Software OS(Operating System)ให้โดยมีข้อแม้แปลกๆคือเขาจะขอค่าลิขสิทธิ์เป็นรายเครื่อง (ซึ่งในเวลานั้น Software เป็นของฟรี ก็ทำให้ IBM ค่อนข้างแปลกใจว่า ทำไม Bill Gates เสนอเงื่อนไขอย่างนั้น "แต่ IBM ก็ตกลง") --ซึ่งตอนที่ตกลงนั้น จริงๆนาย Bill Gates ยังไม่สามารถทำ OS(Operatin System) ได้เองด้วยซ้ำ เพียงแต่เขารู้ว่ามีบริษัทเล็กๆแห่งนึงที่ทำได้ ...สิ่งที่ Bill Gates ทำ ก็คือเอาสัญญากับ IBM ไปค้ำประกันเงินกู้ธนาคาร แล้วก็เอาเงินมาซื้อบริษัทเล็กๆที่ผลิต OS ได้ (ในมุมของเจ้าของธุรกิจเขาก็ได้เงินจากการขายกิจการ แต่หารู้ไม่ว่ากิจการที่เขาขายไปนั้น มันได้ทำให้ Bill Gates ขึ้นมารวยที่สุดในโลกในเวลาต่อมา)

อีกคนที่จับเสือมือเปล่า ก็ Warren Buffet นี่แหละ เขาจัดตั้งกองทุนบริหารเงินของเขาโดยใช้เงินตัวเองเพียงน้อยนิด สาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นนักลงทุนที่รวยที่สุดนั้น มาจากส่วนแบ่งกำไรจากกองทุน ซึ่งประมาณ 20% ของกำไร (ซึ่งในแง่ของนักลงทุน แม้ Buffet จะคิดค่าบริหารเป็นส่วนแบ่งกำไร แต่ที่เหลือ ผลกำไรอีก 80% ที่เจ้าของเงินได้รับ มันก็ยังคงดี กว่ากองทุนอื่นๆ พันธบัตร หรือเงินฝากใดๆในโลก) จุดนี้ผมมองว่ามัน Win-Win คือนักลงทุน(เจ้าของเงิน)ก็ Happy ส่วน Buffet เองก็ Happy เช่นกัน

ทั้งสองเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ที่แสดงให้เห็นได้ว่า "อะไรคือการทำเงิน" "และอะไรคือ OPM "การทำเงินมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คนทั่วไปคิด --ซึ่งหากคุณเข้าใจ คุณก็อยู่ไม่ไกลจาก Bill Gates และ Warren Buffet แล้วล่ะ !!

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประสบการณ์ไม่ใช่ของฟรี ประเด็นมันอยู่ที่ใครเป็นคนจ่ายต่างหาก


หลายคนตั้งคำถามกับชีวิตว่า "คนเราเกิดมาเพื่ออะไร" ถ้าตอบแบบพระก็เกิดมาเพื่อตาย "งั้นใครอยาก(เกิด)ต้องรีบไปตายเลย..หุ หุ" จริงๆแล้วทั้งชีวิตของคนเรามันก็เป็น การนำประสบการณ์ต่างๆมาร้อยเรียงกัน กลายเป็นหนังน้ำเน่าเรื่องหนึ่ง --หลายคนทนดูละครน้ำเน่าไม่ไหว แต่ไฉนชีวิตจริงเดี๋ยวนี้ มันกลับเน่ายิ่งกว่าหนังเสียอีก) ..แบบว่า พวกผู้กำกับมือใหม่จะถ่ายหนังต้องไปตามดูชีวิตของของคนสมัยใหม่(สุดยอดสับสน-- แบบกิ๊ก ไปแอบมีกิ๊ก ซึ่งสุดท้าย กลายเป็น กิ๊กก๊อก !!)

เราทุกคนมุ่งหาเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สุดท้ายก็ต้องเอาเงินนั้นมาเปลี่ยนเป็นประสบการณ์อยู่ดี เช่น ประสบการณ์นั่งรถสปอร์ต Porche , ประสบการณ์นั่งบนเรือยอร์ท , ประสบการณ์การกินหูฉลาม ,ประสบการณ์ไปเที่ยวอิตาลี ดังนั้นสิ่งที่ได้จากการซื้อประสบการณ์ คือ หนึ่ง ประสบการณ์ และก็สอง ภาพถ่าย (จ่ายหนึ่งแต่ได้สอง คุ้มจริงๆ)

เอาเป็นว่า การเปลี่ยนเงินเป็น ประสบการณ์มักเป็นเรื่องไร้สาระ!! แต่มีประสบการณ์อยู่ประเภทนึงที่ต้องเจอกันทุกคน เพียงแต่ไม่มีใครอยากจะซื้อมัน "มันก็คือประสบการณ์ความล้มเหลวนั่นเอง" ..จริงๆแล้วเส้นแบ่งของความล้มเหลวกับความสำเร็จมันเป็นอะไรที่ ก้ำกึ่ง ถ้าเทียบกับหุ้นก็คือ (ณ จุดที่ต่ำสุดของ Bottom ของตลาด มันก็คือ จุดเริ่มต้นของ Bull Market นั่นเอง) ดังนั้น จุดต่ำสุดของประสบการณ์ความล้มเหลว มันก็คือ จุดเริ่มต้นของประสบการณ์ที่ดี (งง ว่ะ แล้วเหลวมันจะดียังไง!!)

ประเด็นที่เรามักจะมองข้ามก็คือ ประสบการณ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ที่ดีหรือแย่ มันย่อมต้องเสียตังค์ทั้งนั้น .."มันขึ้นอยู่กับว่าตังค์ใครต่างหาก" ..ถ้าเราไปคุยกับคนที่ประสบความสำเร็จมากๆ เขาเหล่านั้น(ทุกคน) จะพูดตรงกันว่า ที่เขาสำเร็จในวันนี้ก็เพราะเขาล้มเหลวมาก่อน (ซึ่งช่วงแรกๆที่ได้ฟัง ผมก็เกิดคำถามในใจแล้วว่า ถ้าล้มเหลวแล้วมันจะสำเร็จได้อย่างไร) ..มาเข้าใจจริงๆ ก็ตอนที่เจอกับตัวเองนี่แหละ แต่สิ่งที่ผมมาคิดได้ ก็ตอนที่เสียเงินตัวเองไปแล้ว (โง่จริงๆ)

จากนั้นผมย้อนกลับไปอ่านประวัติของคนดังๆที่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ยักจะเขียน ตรงที่ "แล้วใครเป็นคนจ่ายค่า ประสบการณ์ล้มเหลวให้คุณล่ะ -- อย่างของคุณทักษิณเคยเจ๊ง ติดหนี้เป็นร้อยล้าน ก่อนที่จะมารวยเป็นหมื่นล้าน หรือ อย่างของโดนัลด์ ทรัมป์ (Real Estate Tycoon ของอเมริกา)ก็เคยล้มเหลวติดหนี้มหาศาลมาก่อน --"คิดๆๆ ในที่สุดก็เข้าใจว่ามันเป็น OPM (Other People Money) พูดง่ายๆก็เงินคนอื่นนั่นแหละ จะเห็นได้ว่าคนยิ่งใหญ่เหล่านี้ล้มเหลวมาไม่รู้กี่รอบ ..ไอ้รอบแรกก็(ยังโง่อยู่)เสียเงินตัวเอง แต่พอลมครั้งต่อๆไปก็กลายเป็นเงินธนาคารบ้าง เงินเพื่อนบ้าง เงินผู้ร่วมทุนบ้าง

ตอนนี้ผมเลยเข้าใจเลยว่า "ความเก่ง ก็มาจาก การใช้เงินคนอื่นซื้อประสบการณ์ให้ตัวเอง แข็งแกร่งและเก่งขึ้น" แต่คำถามคือ "คุณเก่งพอไหมที่จะทำให้ คนอื่นยอมเอาเงินมาประเคนให้คุณหาประสบการณ์จากมัน" (นี่แหละหัวใจ Key Success Factor ของ นักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ !! -(OPM)- ทำเรื่องที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้) ...เอ้า!! ฝึกกันต่อไป...

ธุรกิจในโลกนี้มีแค่ 3 ประเภทเท่านั้นเอง


ในโลกแห่งธุรกิจอาจทำให้ หลายๆคนไม่อยากที่จะรับรู้หรือข้องเกี่ยว แต่หากเรามองอย่างชัดเจนจะเห็นได้ว่า การทำธุรกิจ ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อน เพียงแต่หลายๆคนพยายามที่จะทำให้มันเป็น Science Fiction หรืออะไรที่มันน่าตื่นเต้นเกินความเป็นจริง

ในมุมของการทำธุรกิจ เราแบ่งได้เพียง 3 ประเภทเท่านั้นคือ Me too Business, Value added Business and Innovation Business และประเภทของมันก็ ถือว่าได้กำหนดระดับความสำเร็จของมันไว้เรียบร้อยแล้ว (จึงไม่แปลกที่หลายคนบอกว่า คิดแทบตาย ทำงานก็หนักกว่าคนอื่น แต่ท้ายสุดกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ..ก็แท้จริงแล้ว "ความผิดพลาด" มันคือตั้งแต่เลือก "ประเภท" ของธุรกิจแล้ว!!) นั่นก็คือไปเลือกทำ Me too Business พูดง่ายๆก็คือ ไปทำธุรกิจเลียนแบบคนอื่น คือเห็นคนอื่นสำเร็จ ก็เลยไปทำบ้าง

(Me too Business) คือ การทำธุรกิจตาม Fashion คือเห็นคนอื่นสำเร็จก็แห่ไปตาม เขาฮิต NGV ก็ไปเปิดร้านติดตั้ง NGV , เขากำลังฮิตร้านกาแฟก็แห่ไปเปิดร้านกาแฟ , เขาฮิตนมสด ก็ไปขายนมสดบ้าง ,ร้านชาไข่มุกดี ก็ไปซื้อไข่มุกมาขายบ้าง ..ถ้าสังเกตุให้ดี คนที่สำเร็จคือ คนที่มันทำก่อนคนอื่น ดังนั้น คนที่ทำก่อนคนอื่น มันเป็น Value added หรือไม่ก็ Innovation เขาก็จึงประสบความสำเร็จ --แต่ไอ้พวกที่แห่ไปตาม กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ก็เพราะทำ Me too Business นี่แหละ

(Value added Business) คือ ธุรกิจที่ปรับปรุงให้ดีกว่าที่เราเลียนแบบ เช่น StarBucks ไปเลียนแบบร้านกาแฟในอิตาลี แต่มาเปลี่ยน Concept ใหม่โดยใช้ความ Luxury เข้ามาเป็น Value Added จนในที่สุด สำเร็จกว่า อิตาลีต้นแบบเสียอีก หรือ อย่าง i-pods ที่ Steve Jobs ไปเลียนแบบ เครื่องฟังเพลง MP3 มาจาก Sony แต่ปรากฏว่า Apple ทำได้ดีกว่า เพราะมีทั้ง i-tunes Support รองรับในการซื้อเพลงที่ครบวงจร ซึ่งในที่นี้ก็คือการ เพิ่ม Value Added ให้เป็นเครื่องฟังเพลงที่ดีขึ้นกว่าของต้นแบบ
อย่างไรก็ตามการทำ Value Added เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยยั่งยืน เพราะ ต้นตำหรับอาจปรับตัวมาแข่งกับเราได้ไม่ยาก (ยิ่งถ้าเราการเงินอ่อนกว่า คู่แข่งที่เป็นต้นแบบ ก็อาจทำให้เราแพ้ได้)

(Innovation Business) เป็นประเภทที่คิดอะไรหลุดโลก ถ้าไม่เจ๊ง ก็ดังไปเลย อย่าง Bill Gates ต้องการเป็นเจ้าพ่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ คนอื่นๆยังแทบไม่มีใครรู้จัก Computer เลย ...จากนั้น Bill Gates ก็ผันตัวมาเป็นเจ้าพ่อ Software ตั้งแต่ยังไม่มี Software Industry เลย (คือ สมัยก่อน Software เป็นสิ่งที่แถมฟรี ..คนจะจ่ายแค่ค่า Hardware เท่านั้น) --คุณคิดดูเอาละกันว่า Bill Gates มีความล้ำหน้าทางความคิดเหนือกว่า คนทั้งโลก อยู่อีกหนึ่งก้าวเสมอ "ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่เขาจะรวยที่สุดในโลก จริงมั๊ยครับ"

สรุป ได้ว่า การจะเริ่มต้นกิจการต้องพิจารณาให้ดีว่าสิ่งที่เรา กำลังจะทำ มันอยู่ในธุรกิจประเภทไหน คือถ้าอยู่ใน Me too (ก็ไม่ต้องไปโทษพระเจ้า ว่าไม่รักเรา ทำงานหนักแต่ท่านไม่ทรงเห็นใจ!!--"ให้โทษตัวเองว่า ที่ดันไปทำธุรกิจ Me too ก็เลยไม่มีทางสำเร็จ ก็ว่างั้น!!) ...ส่วนคนที่เก่งในการปรับปรุงให้ดีขึ้น (เก่งทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย)ก็ให้ทำ Value Added เพราะความเสี่ยงน้อยที่สุด คือ มันมีตลาดอยู่แล้วเพียงแต่คุณทำให้ดีขึ้น "คือถ้าคุณชอบทำธุรกิจแบบ Value Added แสดงว่าคุณเป็นคนที่ชอบการแข่งขัน" .... ส่วนสุดท้ายก็ Innovation คือ พวกนี้สำเร็จก็ "รวยโคตร" แต่ถ้าคุณ "ไม่บ้าดีเดือด..ทำไม่ได้" เพราะ Idea เหล่านี้เป็นสิ่งที่ใครๆก็บอกว่า "มันเป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้"--แต่ถ้าคุณทำได้ คุณก็เป็น Bill Gates ก็แค่นั้น เพราะคนอื่นเขาทำไม่ได้!!

ทำไมยุค New Economy ยิ่งให้ก็เหมือนยิ่งได้(ไม่เห็นจะเข้าใจเลย)



อย่างที่เคยกล่าวมา ว่าในยุคของ New Economy หรือที่เราเรียกว่ายุคแห่งข่าวสารและข้อมูล มันเป็นโลกที่ทุกๆคนในโลก สามารถเข้าถึงข้อมูล ที่ใหญ่กว่าห้องสมุดใดๆ ในโลก เพียงแค่ "ปลายนิ้วคลิ๊ก" ..ที่หลายคนเคยบอกว่า นิ้วกลม เดี๋ยวนี้ผมว่าไม่กลมแล้ว มันจะแบนเป็น Keyboard อยู่แล้ว..หุ หุ

การที่คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึง ข้อมูลมหาศาลในเวลาที่รวดเร็ว ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละคนสูงจนน่าทึ่ง ..และนี่ก็คือ มนุษย์ Gen Y หรือ millennium นั่นเอง

เมื่อทุกคนเข้าถึงข้อมูล ก็ทำให้การมีข้อมูลนั้นๆ ไม่ได้สร้างให้เกิด Competitive Advantage ที่เราเรียกว่า ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน --"อ้าว !! ..ถ้าข้อมูลไม่ใช่ข้อได้เปรียบ แล้วอะไรล่ะ ที่เป็นข้อได้เปรียบ"

ความได้เปรียบในยุค New Economy จึงไม่ใช่การพยายามทำตัวเป็นตู้เก็บตำราหรือ Hard disk เพราะใครๆก็ไปซื้อมาได้ด้วยราคาไม่แพง ..ดังนั้นในยุคนี้ การกระจายข้อมูลต่างหากที่เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จ

ยกตัวอย่าง บริษัท Booz&Co(ซึ่งเป็นบริษัท Consulting ที่มีชื่อเสียงมาก) สิ่งที่ Booz ทำก็คือ การเผยแพร่งาน Research อย่างมากมายในหัวข้อต่างๆ ให้กับบริษัทที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนั้นๆเข้ามาอ่านได้ฟรี ซึ่งจุดนี้ก็กลายเป็น Referral ที่ส่งผลให้ บริษัทต่างๆเลือก Booz เข้ามาเป็นที่ปรึกษานั่นเอง

... หรืออย่างในกรณีของ Google การกระจายเครื่องมือค้นหาข้อมูล ให้ลูกค้าสามารถหาข้อมูลที่ตัวเองต้องการ อย่างไม่มีค่าใช้จ่าย ก็ทำให้ในที่สุด คนใช้ Google สูงที่สุดในโลก --ส่งผลให้บริษัทต่างๆต้องมาใช้โฆษณาของ Google นั่นเอง

..หรืออย่างนักเขียนผู้ขายดี Seth Godin ที่เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ของเขาด้วยการให้ Download version Online ไปอ่านได้ฟรีๆ--- กลับส่งผลให้เมื่อพิมพ์ออกมาก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แบบที่ไม่ต้องโฆษณาเสียด้วยซ้ำ

ดังนั้นประเด็นที่สร้างให้เรามีโอกาสสำเร็จในวันนี้ ไม่ใช่การกั๊กข้อมูล แต่มันเป็นการกระจายและเปิดเผยอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ จึงจะเป็นสิ่งที่ทำให้สำเร็จอย่างแท้จริง ...เรากำลังเดินทางมาถึงทางแยกที่อเมริกาเดินมาถึงเมื่อสิบปีที่แล้ว ดังนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ผู้ชนะ ก็คือ คนที่ได้เห็นมาก และรู้จักปรับใช้กับโอกาสและจังหวะที่ดีที่สุดนั่นเอง ("ยิ่งให้" จึงกลับกลายเป็น "ยิ่งได้")...จริงไหมครับ!!

เรื่องราวของนักเขียนผู้โชคดี !!(ขอบอกว่ารวยกว่า J.K.Rowing )


หลายคนคงจะนึกถึง J.K.Rowing เพราะเขียน Harry Potter จนกลายเป็น Billionaire .."ก็ไม่ผิดนะ" แต่เรื่องราวของนักเขียนผู้โชคดีที่ผมจะนำเสนอมันเผอิญ ไม่ใช่ J.K.Rowing

แต่ยังไงก็พูดถึง J.K.Rowing สักนิดก็ได้ จริงๆหญิงสาวผู้นี้ เป็นคนธรรดาๆที่ชอบเขียนนิยายเป็นชีวิตจิตใจ มีความจิตนาการณ์สูง ปั่นเรื่องเพ้อฝันให้เป็นตุเป็นตะ ..ช่วงแรกๆเธอตะลอนไปเสนองานตามสำนักพิมพ์ต่างๆ แต่ก็ถูกปฎิเสธ เพราะไม่มีสำนักพิมพ์ไหนคิดว่า หนังสือ นิยาย Magic เพ้อฝันอย่างนี้จะขายได้ ...ผลก็ก็คือ J.K.Rowing จมอยู่กับความล้มเหลวเกือบค่อนชีวิต รวมถึงชีวิตสมรสของเธอก็พังทลาย เธอได้กลายเป็น pension mom ที่กินเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลอังกฤษ เพื่อประทังชีวิตเธอและลูกน้อย (เหมือนเขียนนิยายน้ำเน่า ยังไงก็ไม่รู้ !!)

เอาเป็นว่าในที่สุด เรื่อง Harry Porter ของเธอ ก็ได้รับการตอบรับตีพิมพ์จากสำนักพิมพ์เล็กๆ แห่งนึง ..และจุดนั้นเอง ก็ได้กลายมาเป็น ตำนานนิยายที่ขายดีที่สุดในโลก และได้กลายเป็นนักเขียน Billionaire (คนแรก)ของโลก!! --เพราะปกตินักเขียนมักจะไส้แห้งทุกคน ส่วนไอ้ที่ ไส้เปียกหน่อยก็ สำนักพิมพ์..หุ หุ

หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้ว คงเบื่อ "ก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกนี่ เขียนหนังสือที่ไม่มีใครเขียน คือ ทำให้แตกต่าง ก็เลยรวย"(ก็ถูกนะครับ มันก็คล้ายๆเรื่องเศรษฐีณี ที่ซื้อที่ดินที่ไม่มีใครอยากได้ ใกล้บ้านแม่นาค(พระโขนง) แล้วมาขายไร่ละร้อยล้าน ในปัจจุบัน หรือ อย่างเรื่องราวของนักลงทุนที่เล่นสวนทางคนส่วนใหญ่ แล้วกลับรวย) ..งั้นพรุ่งนี้!! ผมจะเริ่มจากขับรถออกจากบ้าน แต่วิ่งสวนทางคนอื่น.. (โอ๊ย!! บ้าไปกันใหญ่แล้ว !!)

มาเข้าเรื่องนักเขียนผู้โชคดี (เราจบเรื่องของ J.K.Rowing ไปแล้ว เพราะเธอไม่ใช่ ผู้โชคดีธรรมดา แต่ของเธอมัน "มหา..ตะลัย โคตรโชคดี!!") ..จริงๆแล้วความโชคดีของนักเขียนในปัจจุบันคือ "คุณไม่ได้บ้าอีกต่อไป" เพราะสมัยก่อนเวลาคุณเขียน คุณก็จะนั่งอ่าน ขำมันอยู่คนเดียว ..แต่เดี๋ยวนี้ครับ Blogging โห !! เขียนแล้วไป Post --จากนั้นคุณก็ได้เลย ความคิดเห็น คำด่า ชมบ้างตามแต่อัตภาพ (นี่แหละครับ Market Research และ Customer Feedback ที่สุดยอด) สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่นักเขียนสมัยโบราณหาไม่ได้เลย "ผมถึงบอกว่า นักเขียนปัจจุบันโชคดีไงล่ะครับ"

แต่แปลก นักเขียน บางคนถามผมว่า "คุณเขียนฟรี ไม่คิดตังค์แล้วคุณจะหาเงินได้อย่างไร (ประมาณจะถามว่า ปกติก็ไส้แห้ง แล้ว มึงจะแห้งไปถึงไหน !!) ผมตอบว่า (..หุ หุ..กูก็ไม่รู้เหมือนกัน !!)

จริงๆแล้ว ผมมองว่า ปัจจุบันเราอยู่ในยุค "ข่าวสาร" ดังนั้น การจะเอาข่าวสาร มาหาเงิน "มันกลับเป็นอะไรที่เชย เพราะใครๆก็เข้าถึง Internet และมันก็ แทบจะไม่เสียเงิน" -- (หัวใจของการทำเงิน จึงอยู่ที่คุณไม่คิดจะทำเงินต่างหาก) "ยิ่งพูดกลายเป็นยิ่ง งง กันใหญ่"

เอาเป็นว่า คุณลองไปว่ายน้ำนะ ..โดดลงไปในสระ แล้วลองพยายามควักน้ำเข้าตัว น้ำมันกลับดันออก ส่วนเวลาเรายิ่งดันน้ำออก มันกลับยิ่งไหลเข้าตัว (งั้นแปลว่า ยิ่งให้เหมือนยิ่งได้ ส่วนยิ่งเอามันกลับยิ่งเสีย) ดังนั้น คนที่มุ่งจะเป็นผู้ให้ ท้ายสุดมันก็กลับมาโดยที่คุณคาดไม่ถึง ..อย่างนักเขียนบางคนพยายามถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองออกไป แม้มันอาจะไม่ได้กลับมาเป็นเงินทองที่มากมาย แต่มันก็ได้ความสุขใจ หรือ ความรู้สึกดีๆของผู้อ่านหรือผู้รับ ที่ตอบกลับคืนมา..

ยุค New Economy ผู้ชนะกลับไม่ใช่คนที่พยายามกักตุน Information ต่างๆไว้กับตัว(เพราะมันอาจระเบิดได้!!) แต่ผู้ชนะกลับกลายเป็นคนที่จัดการและกระจาย Information นั้นๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อคนวงกว้างต่างหาก "ที่ชนะ" นักเขียนที่ผมพูดถึงก็คือ Sergey Brin และ Larry Page เจ้าของ Website Google นั่นเอง (ความพยายามที่จะ จัดการข้อมูลและส่งต่อ ให้ผู้บริโภค ให้มาก และมีประสิทธิภาพที่สุด มันได้ทำให้เขาเป็นสองหนุ่มที่รวยที่สุดคนหนึ่งของโลกนั่นเอง)..

คนเก่งคือคนที่มีอาจารย์เยอะๆ แต่(ซอนต๊อก บอกว่าสรรพสิ่งล้วนคืออาจารย์)


หลายคนอาจสงสัยว่าผมพูดอะไร "คนเก่ง ก็ต้องมีอาจารย์อยู่แล้ว มิใช่หรือ!!" ..ถูกต้อง แต่สิ่งที่แปลกคือ ความเข้าใจนิยามของคำว่า "อาจารย์" ต่างหาก ที่แต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกัน!!

บางคนกล่าวว่า "ยิ่งเรียนยิ่งโง่" ประเด็นนี้ผมว่าต้องตีความให้ดี ..ปัญหาของคนทั่วไป จะเข้าใจว่าการเรียนคือ การที่เราหอบหนังสือไปนั่งเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเท่านั้น (คนที่คิดเช่นนี้ ก็จะหยุดการเรียน เมื่อเขาก้าวเท้าออกจากมหาวิทยาลัย) ..จะเห็นได้ว่าคนที่มีการศึกษาสูง เรียนเก่งมากๆ หรือด๊อกเตอร์(ส่วนใหญ่"ไม่ใช่ทุกคน"นะ) คือส่วนใหญ่จะคิดว่า ตนเองเก่งที่สุด --"คนเหล่านี้แหละครับ เข้ากับภาษิตที่ว่า ยิ่งเรียนยิ่งโง่ เพราะการเรียนเพียง ไม่กี่ปีในมหาวิทยาลัย กลับทำให้เขาผู้นั้น คิดว่าตนเองฉลาดกว่า คนอื่นๆ"

ในมุมกลับกัน "ยิ่งเรียนยิ่งฉลาด" ก็คือ คนที่มองทุกสิ่งเป็นอาจารย์ ...หลายๆคนที่ทำงานมักมอง ความยุ่งยาก ความลำบาก เป็นอุปสรรค แต่แท้จริงแล้ว หากเรามองอย่างเข้าใจและวิเคราะห์ให้ลึกขึ้น เราจะเห็นได้ว่า ..ทุกอุปสรรค ทุกเหตุการณ์ และทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ล้วนแล้วแต่เป็นอาจารย์ของเราทั้งสิ้น --"หากเราเลือกที่จะเรียนรู้"

ดังนั้น จึงไม่แปลกเลย ที่คนที่มีอาจารย์มาก ก็คือ คนที่หาโอกาสที่จะเรียนรู้จากทุกสิ่ง ที่ผ่านเข้ามานั่นเอง ..จะว่าไปแล้ว ในชีวิตของแต่ละคน ย่อมมีเหตุการณ์ หรือ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แตกต่างกันออกไป ..สิ่งเหล่านี้แหละครับ ที่จะเป็นโอกาสที่สร้างให้คนแตกต่างกัน

ผมดู "ซอนต๊อก" แล้วรู้สึกว่า องค์หญิงแฝดนี่ทำไมคนน้องเก่งกว่าคนพี่นัก ..คำตอบง่ายๆก็คือ คนน้องถูกเลี้ยงแบบชาวบ้านในถิ่นที่กันดารอันไกลโพ้น ไปล้มลุกคลุกคลาน ผ่านความยากลำบาก --ส่วนองค์หญิงแฝดผู้พี่ ถูกเลี้ยงมาแบบ องค์หญิง ที่ถูกประคบประหงมมาเป็นอย่างดี ..ดังนั้น จึงไม่แปลกที่องค์หญิงแฝดผู้น้อง(ซอนต๊อก) จึงกลายมาเป็น ราชินีสามแผ่นดิน

คนเก่งจึงเป็นคนที่มีอาจารย์ดี และอาจารย์ที่ดีก็ไม่ได้ต้องไปหาอื่นไกล "มันอยู่รอบๆตัวเรา" เพียงแต่เราได้มองว่ามันคือโอกาสในการเรียนรู้หรือเปล่าต่างหาก ..จริงไหมครับ

"Keep Walking ทางนับหมื่นลี้ เริ่มที่ก้าวแรกเสมอ"

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประเทศไหนที่มี "คนออมมากๆ" ราคาหุ้นและราคาบ้านกลับถูก (ทำไมล่ะ)


Saving Rate หรือ อัตราการออมของประชาชนบอกอะไรเรา ..หากเราดูอัตรา Saving Rate ของประเทศต่างๆ คือ อเมริกา 3.9% / ญี่ปุ่น 2.8% / Australia 2.5% / Britain 7% / Germany 11.7% / China 38% / India 34.7%..จากตัวเลขเห็นเลยว่า จีนกับอินเดียกลายเป็นประเทศที่มีการออมสูงที่สุด ส่วนอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งเป็น The Most Advance Economy กลับมีอัตราการออมของประชาชนที่ต่ำสุดๆ

มองย้อนไปปีที่ผ่านมา อเมริกาเดิมมี Saving Rate แค่ 1.7% แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาเป็น 3.9%(ขนาดเจอวิกฤต คนอเมริกันก็ยังมีอัตราการออมที่ยังคงต่ำอยู่) สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจาก ประเทศที่พัฒนามากๆ คนจะออมในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่เงินสด อย่างในอเมริกา จะอยู่ในรูปของ อสังหาริมทรัพย์มากที่สุด (เนื่องจากก่อนหน้านี้ความเชื่อที่ว่า บ้านเป็นการลงทุนที่ ดีที่สุด"ราคาบ้านไม่มีวันตก"--แต่ในที่สุด ความเชื่อนั้นก็พังทลายลงในปี 2008 พังไปพร้อมๆกับ Lehman Brother นั่นเอง

ประเด็นที่น่าสนใจคือ ประเทศที่มีเศรษฐกิจพัฒนามากๆ คนจะมุ่งเข้าถือ Asset เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (เพราะคนในประเทศพัฒนาย่อมมองว่า Asset จะเพิ่มมูลค่า ในขณะที่เงินสดจะมีค่าลดลงเรื่อยๆ "มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง..แล้วอะไรคือปัญหาล่ะ!!")

ปัญหาหลักของ การที่ Idea นี้ถูก(สั่นคลอน) เนื่องจาก "คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามันจะเป็นจริง--ซึ่งการที่ Saving Rate ของคนทั้งประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลานับสิบปี นั่นหมายถึงคนส่วนใหญ่ จะทิ้งเงินสดเพื่อไปถือ Asset แทน" แต่เนื่องด้วย Asset มีจำนวนจำกัด --จึงส่งผลให้ราคา Asset พุ่งขึ้นตลอด อย่างต่อเนื่องยาวนาน (นำโด่งด้วย ราคาบ้าน ที่พุ่งสุดๆ เรียกได้ว่า บ้านในอเมริกาทำสถิติราคาทบต้นทุกๆ 7 ปี อย่างต่อเนื่อง)

ผลที่ตามมาคือ การเกิด Bubble ในราคาบ้านและก็ Asset ต่างๆรวมทั้งตลาดหุ้น ...ถ้าหันกลับมามองประเทศในเอเชียอย่าง จีน ,อินเดีย (รวมทั้งไทย) มี Saving Rate ที่สูง เพราะ"ความไม่เชื่อมั่นในเศรษฐกิจและรัฐบาล"จึงส่งผลให้คนนิยมที่จะถือเงินสด มากกว่าการถือ Asset

ซึ่งหากเราวิเคราะห์ให้ดี "มันเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า (ในประเทศที่มี Saving Rate สูง ราคา Asset จะถูกกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งตอนนี้ไม่ว่า จีน อินเดีย ไทย ..) --ส่วนอีกด้านคือ (ในประเทศที่มี Saving Rate ต่ำ ย่อมแสดงว่าราคา Asset ในประเทศนั้นน่าจะ Bubble นั่นเอง)..

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เส้นทางสู่เงินเดือนหลักแสน หลักล้าน ที่คนส่วนใหญ่ไปไม่ถึง


เส้นทางสู่เงินเดือนหลักแสน สำหรับบางคนเป็นเรื่องไม่ยาก แต่สำหรับ "เด็กที่เพิ่งเข้างานที่ Start หมื่นกว่าบาท คุณคิดอย่างไร" ..ตั้งแต่ยุค .com เป็นต้นมา โลกเราจมดิ่งลงสู่การทำธุรกิจแบบลดต้นทุน เริ่มตั้งแต่ประเทศพัฒนาอย่างอเมริกาที่ ย้ายเอางานของประเทศตัวเองไปให้ "จีนกับอินเดียทำ" ผลที่ตามมาก็คือ การขาดสมดุลในส่วนของ Demand & Supply ในส่วนของตลาดแรงงาน

ถ้าเรามองให้ดี จะเห็นได้ว่า การลดต้นทุน รวมทั้งการ Outsource เป็นการลด Supply ของตำแหน่งงาน ระดับล่าง โดยเฉพาะ Blue Collar(ผู้ใช้แรงงาน) จุดนี้ส่งผลต่อ สองจุดคือ
1. เมื่อ Supply ของงานลด แต่ความต้องการทำงานไม่ลดตาม จึงส่งผลให้สามารถ กดค่าแรงของพนักงานระดับล่างได้
2. การ outsource และลดคนงาน ส่งผลให้ Profit ของบริษัทที่ดีขึ้น "จุดนี้ทำให้ผู้บริหาร ระดับสูงได้รับประโยชน์เต็มๆ"ทำให้มีการเพิ่มทั้ง ค่าจ้างและ Bonus

เคยมีนักวิชาการหลายคน พยายามออกมาโจมตี "ความแตกต่างอย่างสุดขั้ว ระหว่าง พนักงานธรรมดา กับผู้บริหารระดับสูง" แต่แน่นอนมันไม่เป็นผล เพราะ บริษัทเมื่อกำไรเพิ่มเขาก็ไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน ในส่วนของ CEO เอง การลดต้นทุนอย่าง Aggressive รวมทั้งการดำเนิน Strategy ที่เสี่ยง กลายเป็นเรื่องปกติของ Corporate America เพราะ CEO จะถูกวัดค่าจากผลกำไรเท่านั้น ดังนั้น การลดต้นทุนดังที่กล่าวมาจึงเรียกได้ว่าเป็นทางเดียวที่ต่อลมหายใจให้กับธุรกิจในตลอดสิบปีที่ผ่านมา

"ผลของการ Outsource และ ลดต้นทุนอย่างสุดขั้ว" ส่งผลให้หลายๆกิจการ ต้องปิดตัวโรงงานในอเมริกา หันไปจ้างเมืองจีนผลิตแทน

กลับมาที่คำถามว่า "เราจะเดินสู่เส้นทางเงินเดือนแสนได้อย่างไร" คำตอบก็คือ เราต้องก้าวไปสู้ตำแหน่งบริหารนั่นเอง --การที่จะเป็นผู้บริหาร ทำได้สองวิธี ก็คือ

อย่างแรก คือ การเลือกทำงานในองค์กรเล็ก(ที่มีโอกาสเติบโต)แทนองค์กรใหญ่ ..เพราะองค์กรใหญ่มึคนเก่งมาก เท่ากับว่า ความเก่งของคุณ จะยากที่จะได้มีโอกาสแสดงฝีมือ ..และถ้ามองให้ดีแล้ว ธุรกิจที่ใหญ่ในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ขาลงเนื่องจาก Cost เพิ่มขึ้นทุกทาง (อย่างเงินเดือนผู้บริหารที่สูง ก็ถือเป็นส่วนหนึ่ง ของ Cost ที่ค้ำคอ กิจการใหญ่ ที่ไม่สามารถลดลงได้)
อย่างที่สอง คือ การเลือกทำงานใน ธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต (ไม่ใช่เลือกธุรกิจที่โตอยู่แล้ว) "พูดง่ายๆคือ"-- ต้องเลือกเข้าทำธุรกิจในช่วง Business Life Cycle ของ Beginning และ Growth เท่านั้น

.."ใช่แล้วครับ" งานที่จะนำท่านไปสุ่ความรุ่งโรจน์คือ การทำงานที่เล็กๆ แต่มีโอกาสโตสูง เช่น ธุรกิจ Online หรือ บริการทางการเงินใหม่ๆ --เพราะเมืื่อ Gen Y ซึ่งใช้ Internet เป็นสื่อหลักในการดำเนินชีวิต ก้าวมาสู่ตำแหน่งผู้บริหารและผู้นำองค์กร --เมื่อนั้น ตลาดก็จะโน้มเอนไป สนองตอบ Gen Y อย่างที่เป็นในยุค (.com Boom)ของอเมริกา "และสร้าง Young Rich เหมือนที่เกิดในอเมริกาเช่นกัน"

ดังนั้น การเข้าจับโอกาสเติบโตขององค์กรเล็ก จึงเป็น โอกาสที่จะทำให้(คุณ) เป็นผู้บริหารเงินเดือนเป็นแสนเป็นล้านในอนาคตได้-- "จะเห็นได้ว่าไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ การมุ่งที่เส้นทางที่จะได้เงินแสนในปัจจุบันจึงเป็น ทางที่ยากจะไปถึง ..แต่ในมุมกลับกัน หากคุณเลือกเดินอีกเส้นทาง อย่างที่กล่าวมาคือ องค์กรเล็กและในธุรกิจที่ยังไม่โตในปัจจุบัน กลับกลายเป็น ทางที่สร้างโอกาสให้คุณมีเงินเดือนเป็นแสนหรือเป็นล้านได้"

ผมจำเรื่องเล่าของ คุณตาของผม คือ (คุณ วีระ รมยะรูป) ที่ก้าวออกจากแบงค์ชาติ มาร่วมงานกับ ธนาคารเล็กๆอย่างธนาคารกรุงเทพ(ที่ในวันนั้น เพิ่งมีสำนักงานใหญ่ที่ท่าน้ำสุรวงค์เพียงแห่งเดียวเท่านั้น) "ทางเล็กๆที่คุณวีระเลือกในวันนั้น ทำให้คุณวีระก้าวขึ้นมาเป็น หนึ่งในตำนานผู้ร่วมบุกเบิกธนาคารกรุงเทพและผู้บริหารที่เป็นตราสัญลักษณ์ของธนาคารที่ยิ่งใหญ่นี้ตลอดกาล...(นับเป็นทางที่คนส่วนใหญ่ คาดไม่ถึงจริงๆ)"

อยากรวยจริงไม่ใช่แค่เล่นหุ้น ต้องสร้างตลาดหุ้นเอง อย่าง Barry Silbert เพิ่งทำในอเมริกา


นี่เป็นเรื่องของ นาย Barry Silbert เจ้าของ SecondMarket ผู้บุกเบิก electornic exchange สำหรับสินทรัพย์ที่ขายยากเช่น หุ้นในบริษัทที่ยังไม่เข้าตลาดอย่าง Facebook(Limited Partnership) , Trade พวก CDO , ประมูลตราสารพวก Securities ต่างๆ ..ในอเมริกาจะมีข้อกำหนดว่า ผู้ที่สามารถจะลงทุนใน Asset ที่เสี่ยงอย่างที่ Second Market ซื้อขาย จะต้องเป็น Qualify Investor ซึ่งก็คือคนที่มีทรัพย์สินเกิน 1 ล้านเหรียญ

--สิ่งที่นาย Barry ทำเป็นการเติมเต็มช่องว่างที่ไม่เคยมี นั่นก็คือ การสร้างตลาดหุ้นขึ้นมาเอง ซึ่งมันเป็น Win-win ของทุกฝ่าย คือ ทุกบริษัทสามารถเข้าหาเงินทุนได้ --ส่วนในแง่ของนักลงทุนก็ได้ประโยชน์ เพราะโอกาสของธุรกิจเหล่านี้ มันเสี่ยงมาก นั่นหมายถึงผลตอบแทนที่มากกว่าตลาดหุ้นธรรมดา

ผมว่า ประเด็นนี้ มันน่าสนใจมาก ซึ่งมันเป็นการช่วยหาเงิน สำหรับคนที่ไม่มีเงิน ..ซึ่งจริงๆนี่ก็คือ การแตะที่ปัญหา รากเหง้าของสังคมสองมาตรฐานของไทย (ปัจจุบันคนจน ไม่มีทางที่เข้าสู่ทุนได้เลย และก็ไม่มีทางเลยที่คนจน จะเข้าถึงคนรวย ) แต่ในมุมของ Second Market มันช่วยแก้ปัญหาตรงนี้ คือ มันเปิดโอกาสให้ ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่า จน หรือ มีเงิน ต่างก็สามารถเข้ามาหาทุนจาก Second Market ได้ทั้งนั้น หากมี Idea ธุรกิจที่ดี

จริงๆแล้วบ้านเรา ผมว่า รัฐบาลน่าสนับสนุน มันจะได้ช่วยลด "สังคม 2 มาตรฐานได้" โดยเฉพาะ ยิ่งถ้าสามารถ link กับมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด ..ซึ่งจริงๆแล้ว ศักยภาพของประเทศไทย ไม่ใช่ Hitech แต่มันน่าจะเป็น Biotech หรือ เทคโนที่จะมาเสริม ในด้านพันธ์พืช การเพาะปลูก หรือ พวกตัดต่อพันธุกรรมของพืช --ซึ่งศักยภาพเหล่านี้ ผมว่ามีค่อนข้างจะเหลือเฟือในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในภาคของมหาวิทยาลัย ดังนั้น สิ่งที่ขาดก็คือ (ทุนนั่นเอง)

ก็ฝากไปคิดสำหรับ คนที่มองหาโอกาสร่ำรวยใหม่ๆ ที่จะช่วยเหลือประเทศด้วย ก็นี่แหละครับ สร้าง Second Market ในเมืองไทยให้สำเร็จ "เทคโนใหม่ๆที่กองอยู่ ในมหาวิทยาลัยของไทย จะได้มีโอกาสออกมาใช้ประโยชน์ได้บ้าง"..อย่าเอาแต่มาแข่งกันเปิดร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือหางานแต่ในกรุงเทพ มันมีอะไรให้ทำอีกเยอะครับ!!

หุ้น"เล่นสั้น..มันส์กว่า"


จริงๆแล้วใครๆก็พูดว่า เล่นหุ้นระยะยาวดีกว่า --ก็ถ้าจากสถิติ ผมไม่เถียง..แน่นอน สถิติของการเล่นหุ้นยาวมีโอกาสทำกำไรสูง กว่า --(แต่ในแง่ความมันส์) แน่นอน เล่นสั้น มันส์สุดๆ

ถ้ามองในส่วนนักวิเคราะห์ เห็นผมพูดแต่ระยะยาว เดี๋ยวจะหาว่าผม วิเคราะห์ระยะสั้นไม่เป็น --"เป็นครับ เพียงแต่มันไม่แม่นเท่าระยะยาวนั่นเอง " (ตลกไหมครับ จริงๆ ระยะยาวไม่ต้องวิเคราะห์ก็ได้ อย่างเช่น ถ้าผมจะ ฟันธง บอกอีก 20 ปี ข้างหน้า PTT จะต้องเลย 1,000 แน่นอน หรือ ผมอาจจะพูดว่า อีก 20 ปี ราคาที่ดินต้องแพงกว่านี้ ...มันชัวร์อยู่แล้ว ยกเว้นกรณีเดียวคือ มันเกิดสงครามล้างโลก มิเช่นนั้น ราคา Asset ก็ต้องเพิ่มตาม GDP อยู่แล้ว )

มาดูในส่วนของ "วิเคราะห์สั้น" ถามว่าดูที่ไหน ..(ก็ที่ข่าวไงครับ)ยกตัวอย่าง

"จากการที่สหรัฐฯซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันจากแท่นขุดเจาะในอ่าวเม็กซิโกตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในรัฐหลุยส์เซียน่าที่ถือเป็นแหล่งทำประมงที่สำคัญ ที่มีมูลค่าการผลิตอาหารทะเลประมาณ 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 79,200 ล้านบาท มีสัดส่วนเป็น 1 ใน 3 ของผลผลิตอาหารทะเลทั้งหมดของสหรัฐฯ และยังเป็นแหล่งผลิตกุ้งได้ปีละประมาณ 45 ล้านกิโลกรัม คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 69 ของปริมาณการผลิตกุ้งทั้งหมดของสหรัฐฯ"

เห็นข่าวอย่างนี้ คุณอาจจะอยากเก็งกำไรหุ้นพวกบริษัทขายกุ้งทันทีอย่าง cpf, tuf , cfresh --แต่ในความเป็นจริง การที่ข่าวออกมาอย่างนี้ ราคาหุ้นในตลาดมันได้สะท้อนข่าวนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ถ้าคุณจะวิเคราะห์สั้นคุณต้องเอาข่าวมารวมกัน เพื่อที่จะวิเคราะห์ข้างหน้า --อย่างข่าว น้ำมันรั่ว คุณต้องคิดก่อนว่า มันจะกระทบในระยะยาวแน่หรือไม่-- แต่ปัจจุบัน บริษัทอย่าง Cfresh, tuf , cpf ยังไม่ได้มีรายได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ---แต่ในส่วนราคาหุ้นมันพุ่งไปตามข่าวแล้ว

คุณเห็นไหมล่ะครับว่า ใครก็ตามที่เล่นหุ้นตามข่าว หรือ ตามที่นักวิเคราะห์ในตลาดแนะนำ จึงเจ๊งไงครับ ..ดังนั้น วิธีแก้ ให้เราเล่นหุ้นสั้นให้ได้กำไรคือ การนำข่าวมาวิเคราะห์ข้างหน้าและเก็งอนาคตข้างหน้าแทน (อย่างตัวอย่างข่าวที่ยกมาที่ BP น้ำมันรั่ว ตกกุ้งไม่ได้" มันก็ไม่ได้หมายความว่า บริษัทส่งออกกุ้งของเราจะดี เพราะประการแรกคือ คู่แข่งกุ้งก็มีมากมายทั่วโลก ที่พร้อมจะตัดราคาแข่งกับเรา อีกอย่างก็คือ เมื่อข่าวออกมาอย่างนี้ ราคาหุ้นบริษัทกุ้งก็พุ่งขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งที่พื้นฐานรายได้ยังไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด)

ดังนั้น โอกาสในการทำเงินของการเล่นหุ้นสั้น คือ (เราเล่นวิเคราะห์แบบหุ้นยาว แต่ขายแบบสั้นๆ) ..นั่นก็คือ การกระจายเงินเข้าไปซื้อกิจการที่มั้นคงและปันผลสูง(ดูพวก 10%ขึ้น).. จากนั้นก็ให้รอข่าวดี "พอข่าวดีมาก็ให้ขาย" วิธีนี้จะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของคุณ มากกว่า 10% ขึ้นไปตลอด เพราะถ้าโชคดี "ข่าวดีเข้ามา" หุ้นอาจพุ่งเป็น 20 -30% ในเวลาอันสั้น แต่ถ้าเกิดไม่มีข่าวอะไร คุณก็แค่รับปันผลที่ประมาณ 10% สบายๆ ..อย่างผมซื้อ cfresh ที่ 3.88 บาท เพราะผมดูว่าตอนนี้ส่งออกอาหารดี และขณะนั้นผมได้ปันผล 10%ปรากฏว่าผมโชคดี มี"ข่าวน้ำมันรั่ว ทำให้อเมริกาต้องนำเข้ากุ้งมหาศาล" ตอนนี้ราคาก็พุ่งไปจะเท่าตัวแล้ว (คือถ้าเล่นสั้นผมก็ขายได้ทันที).."นี่แหละครับ วิธีเล่นหุ้นสั้น ที่ให้ผลตอบแทนขั้นต่ำ(10% ซึ่งไม่ต่ำ)"

"การเล่นสั้น ให้กำไร ก็คือ การเล่นสั้นแบบที่ใช้ วิธีคิดยาวมาวิเคราะห์นั่นเอง"(แม้คุณจะไม่ได้กำไรเท่า Warren Buffet เพราะเขาซื้อแต่แทบไม่เคยขาย ..แต่คุณก็จะได้กำไรเหนือกว่า กองทุนทั่วไปอย่างแน่นอน)..เอ้!! แล้วมันสั้น รึเปล่า ..หุ หุ เอาเป็นว่า (นี่แหละกำไร!!)-- แต่ถ้าจะเล่นสั้นแบบสุดขั้ว คุณตีตั๋วไปเลย Sands Singapore (กระซิบว่าเขาไม่เก็บค่าเข้าสำหรับต่างชาติ คุณจะได้มีเงินเต็มๆไปเสียในบ่อนไง..ฮ่า ฮ่า)

ทำไมคุณถึงรู้สึกว่า"งานประจำ"ที่คุณทำ มันเป็นงานที่กระจอกและน่าเบื่อเอามากๆ


ผมว่า ประเด็นนี้มัน อยู่ที่คำตอบ ถ้าคุณตอบว่า "ใช่" ผมว่าความสามารถของคุณ มันเหนือกว่า "ตำแหน่งงานที่คุณทำ" แต่ปัญหามันอยู่ที่ คนตัดสินในการเลื่อนตำแหน่งไม่ใช่คุณ แต่กลายเป็นหัวหน้าของคุณ (ซึ่งแน่นอนคุณมองว่า คุณเก่งกว่า ใช่มะ!!)..นี่แหละปัญหาใหญ่ "ผมว่าอย่างแรก คุณไม่สามารถตัดสิน หรือเลื่อนตำแหน่งให้ตัวเองได้" คุณต้องระวังแนวคิดและคำพูดของคุณให้ดี (ทำไมล่ะ)..

คุณลองสมมุติว่า คุณเป็นหัวหน้า แล้วคุณจะคิดอย่างไร กับลูกน้องที่เก่งกว่างานที่ทำ....จริงๆแล้ว ถ้าคุณมองให้กว้าง คุณจะเห็นได้ว่า เพื่อนๆคุณ ในที่ทำงาน เขาก็ล้วนแต่เก่งกว่างานที่ทำทั้งนั้น.. (อ้าว!! อย่างนี้คุณจะเลือกใคร ให้เลื่อนตำแหน่งล่ะ) --สมมุติมีสองคนที่เก่งเท่ากัน (คนนึงทำงานหนักมาก)ส่วนอีกคน (ทำไม่ค่อยหนัก เพราะมองว่า งานที่ตัวเองทำมันไร้สาระ)

เมื่อเวลาผ่านไป คนที่ทำไม่ค่อยหนักกลับโง่ลงเรื่อยๆ ในขณะที่อีกคนที่ไม่เกี่ยงงาน กลับได้รับงานที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งประสบการณ์เพิ่มขึ้น ---ในที่สุด "หัวหน้าก็เลือก คนที่ไม่เกี่ยงงาน ให้เลื่อนตำแหน่ง ขึ้น "..จนที่สุด ก็เลื่อนไปสู่ตำแหน่งที่เหมาะกับความสามารถนั่นเอง --ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องเล่าของ (เวลา และความอดทน)

คนรุ่นใหม่ คุ้นเคยกับ Internet และ "ความเร็ว" (ถ้าเข้า Web ไหน load ช้า ก็จะ คลิ๊ก เปลี่ยนหน้าอื่นทันที) ..สิ่งเหล่านี้ ผมมองว่า มันหล่อหลอมให้เป็น "พฤติกรรมการทำงาน ที่ทำงานไม่อดทน(ไม่อึด)" ดังนั้น จุดนี้ถ้าเราเข้าใจ ว่าคนส่วนใหญ่หรือ คู่แข่งของคุณ เป็นพนักงานที่ "(ไม่อึด)หยิบโหย่ง ทำอะไร ไม่ได้นาน" โอกาสที่คุณจะสำเร็จ และ (เข้าตา)หัวหน้า ..คุณก็ต้องเป็นคนที่มีความอดทน(คนอึด!!)

ความอดทนมันเป็นสิ่งที่ยากในปัจจุบัน ..ด้วยเหตุนี้ "หัวใจของความสำเร็จในหน้าที่การงานในยุคนี้ จึงไม่ใช่ความเก่ง แต่มันคือ ความอดทนนั่นเอง" (แปลกไหมครับ)..ดังนั้น เมื่อทุกคนวิ่งหาความเก่งและฉลาด แต่เขากลับไมรุ่ง --คนส่วนน้อยผู้วิ่งเข้าหาความอดทนจึงจะกลายเป็นคนที่รุ่งนั่นเอง..ไม่เชื่อคุณลองดู!!ผมทำนายว่า ในอนาคตผู้ที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในองค์กรต่างๆ กลับเป็นคนที่ "มีความอดทนสูง"อีก 10ปี เรามาดูกัน..

"ยุคอึด !! ... หุ หุ หุ "

สมองซีกขวากับการลงทุนที่ใหม่


ผมไปเจอหนังสือของ Daniel Pink ชื่อ "A Whole New Mind" เป็นเรื่องเกี่ยวกับสมองซีกขวา ซึ่งเป็นอะไรที่โดนใจคนมากมาย เพราะสมองซีกซ้าย เป็นอะไรที่มัน logic ตัวเลข อะไรประมาณ Nerdๆ (ใส่แว่นหนา นั่งหน้าคอม ..วันๆคำนวณ ตัวเลข ๆๆ)--"แต่คุณลืมไปรึเปล่า" ณ เวลานี้ "คนสมองซีกซ้าย กำลังครองโลกอยู่" ไม่ว่าจะเป็น Bill Gates , เหล่านักกฏหมาย , ผู้จัดการกองทุนที่เรียกว่า Quant

ขอนอกเรื่องมาอธิบายเรื่อง Quant ก่อน (จริงๆ Quant นี่มีคนเอามาเขียนหนังสือเป็นเล่มๆเลย) คือ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการ Recruit คนที่จบ "คณิตศาสตร์" เข้ามาทำงานในภาคการเงิน (หลายคนสงสัยว่าเข้ามาทำ ปื๊ด อะไร!!) ก็เข้าคำนวณราคาหุ้นและราคา Derivative (จริงๆมันคำนวณไม่ได้)..การนำสิ่งที่คำนวณไม่ได้ มาพยายามคำนวณ --สรุป "มันก็เน่าอย่าง Sub-prime นี่เห็นกันนั้นแหละ"

ประเด็นนี้นาย Taleb ผู้จัดการกองทุนแนว Quant ที่บริหารเงินจน คิดได้ว่า "ไอ้วิธีการ พยายามคำนวณสิ่งที่คำนวณไม่ได้ ..ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร" ในที่สุด..Taleb ตัดสินใจบริหารกองทุน ในแบบ "สวนทางกับที่Quant ทำ" จากนั้นเขาก็เขียนหนังสือ The Black Swan ขึ้น ---ประเด็นนี้เขา Hit Jackpot จริงๆก็ตอน Sub-prime นี่แหละ ที่เขารวยทั้งกำไรจากกองทุนของเขา รวมทั้งกำไรจากหนังสือ The Black Swan ที่ขายดีสุดๆเช่นกัน ---(Taleb เก็งกำไรสวน Sub prime และก็ทำให้เขารวยสุดๆ)

เรากระโดดมาสมองอีกซีกกันคือ "ซีกขวา" มันคือ สมองแห่งการจินตนาการ ที่เราเรียกว่า Art นั่นแหละ --Daniel Pink กล่าวในหนังสือของว่า โลกยุคต่อไป เป็นโลกของคนสมองซีกขวา (ผมถามว่าคุณเชื่อไหม?) อันนี้ผมว่าอยู่ที่มองนะ เพราะปัจจุบัน--- nerd (เด็กแว่นหนา) เป็นคนที่ครอง ธุรกิจ .com และเป็นผู้นำ New Rich ของปัจจุบันนี้ --คุณว่าเขาจะอยู่เฉยๆรอให้ พวกสมองซีกขวามาแซงเขาหรือไม่

จริงๆแล้ว ประเด็นของสมอง ซีกไหนจะรุ่ง ผมว่ามันอยู่ที่เราใช้มากกว่า เพราะแท้จริงแล้ว ทุกคนก็มีมีสมองทั้งสองซีกอยู่แล้ว "ทั้งซ้ายและขวา" ผมว่ามันอยู่ที่คุณจะเลือกใช้มากกว่า ---ในด้านการลงทุน ผมว่า"เราต้องใช้ซีกซ้าย" เพราะการลงทุน มันไม่ตายตัวเหมือนสูตรเลข มันจึงต้องอาศัย จินตนาการเข้ามาช่วย

ดังนั้น ผมไม่เถียงหรอกครับว่า "สมองซีกขวา" หรือ พวก"ติ๊ดๆ" จะรุ่งได้ในยุคนี้ ..เพราะมันทำได้จริงๆ เพียงแต่มันอยู่ที่ประเด็นที่ว่า คุณเอาความถนัดของคุณไปใช้ได้เหมาะกับความสำเร็จหรือไม่ ...

ก่อนปี 1990 คนรวยคือ คนที่ใส่สูทผูกเนคไท แต่หลังปี 1990 ยุค .com "Boom" กลายเป็นคนรวย ต้องใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ เหมือน เจ้าของ Website ต่างๆ ---ตอนนี้ 2010 คุณว่าใส่อะไร จะมาล่ะ..หุ หุ(ถ้าตามหลักแนวคิดเล่นหุ้นให้ชนะตลาดแบบ"ชาวสวน"ของผม คงต้องแก้ผ้าครับ เพราะมันจะทำให้เรามองเห็นตลาดผ่านภาพลวงตาได้มากขึ้น นั่นเอง..หุ หุ)

คุณเคยคิดไหมหากคนเรามีอายุถึง 200 ปี มุมมองการลงทุนจะเปลี่ยนไปอย่างไร


คุณเคยได้อ่านเรื่องเล่าของ ชาวพื้นเมืองที่ได้รับเงิน จากการขายเกาะ New york(Manhattan) ด้วยราคา 26 เหรียญ เมื่อ 200 กว่าปีก่อน คือ เขาพูดถึงว่า ถ้าอินเดียนแดงคนนั้น เอาเงินไปลงทุนในรูปแบบของดอกเบี้ย ทบต้น เป็นเวลา 200 กว่าปี --" เงินลงทุนที่เริ่มต้นที่ 26 เหรียญก้อนนั้น จะมีมูลค่ามากพอที่กลับมาซื้อ เกาะ New York ทั้งเกาะได้"

จริงๆมันเป็นเรื่องขำๆ ที่ นักลงทุน หรือ นักเขียน ยกขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบอำนาจของ Compound Interest หรือ ที่เราเรียกว่า ดอกเบี้ยทบต้น ..แต่ลองคิดซิครับ ถ้ามนุษย์ในอนาคต สามารถมีอายุถึง 200ปี

เดี๋ยวก่อน!! หลายคน อาจมองว่า "อายุ 200ปี" ตลก เป็นไปได้ไง --เอาง่ายๆ ตอนนี้อายุเฉลี่ยของคนอแฟริกา บางประเทศ ยังไม่ถึง 50 "เรียกได้น้อยกว่า ญี่ปุ่น ครึ่งนึง" --หรือ อย่างสมัยก่อน ถ้าอยู่ถึง 50 ปี ก็หรูแล้ว "ตอนนี้ 100 ขวบ ยังเดิน ซิวๆอยู่เลย" (ด้วยการแพทย์ก้าวหน้าในปัจจุบัน ผมว่าอีก 100 ปี คนอาจเป็น อมตะเลยก็ได้) คือ พออะไรเสื่อมก็เปลี่ยนมันหมด อะไรใช้ไม่ได้ ก็ Clone ขึ้นมาแทน ..เอาเป็นว่า "อีกหน่อย คนจะมีอายุขัยถึง 200 ปี ผมไม่ได้เว่อร์"

ประเด็นที่น่าคิด คือ ถ้าคุณเอา (อายุไขที่เพิ่มขึ้น) กับ ประเด็นของ (Compound Interest) มาคิดร่วมกัน มันจะเป็นอะไรที่ "amazing มาก" คุณคิดดูขนาดตอนที่ ไอสไตน์ ขึ้นรับรางวัล โนเบล เขากลับกล่าวยกย่องว่า สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ที่สุดในโลกไม่ใช่ "นิวเคียร์" มันกลับเป็น Compound Interest นั่นเอง

ลองนึกดู ถ้าวันนี้คุณ ทักษิณ เหลือเงินอยู่ 4 หมื่นล้าน ถ้าเขาเอาเงินที่เหลือ ไปลงทุนแบบดอกเบี้ยทบต้น Compound Interest เอาสัก 15% ต่อปี เป็นเวลาสัก 100 ปี ผมมองว่า พานทองแท้ (ที่อายูขัยน่าจะเกิน 120 ปี) จะกลายเป็น "คนแก่" ที่รวยสุดๆตั้งแต่โลกนี้เกิดขึ้นมา (คือ ถ้าคูณดู ก็จะรวยกว่า Warren Buffet ในตอนนี้ สัก ล้านเท่าน่ะ..หุ หุ)

แต่เผอิญ คุณทักษิณเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น ประเด็น ความโชคดีของ พานทองแท้ ตอนแก่ คงเป็นเรื่องที่ ยังไม่เกิดขึ้น ---แต่!!(ไม่แน)มันอาจมีใครในโลกที่ทำอย่างนั้นจริงๆ ..อย่าง ดร.นิเวศน์ คือ ถ้าแกถ่ายทอดวิชาการลงทุนสู่ลูกสาวแกอย่างหมดเปลือก แล้วลูกสาวแกลงทุนต่อไปอีก สัก 50 ปี มันคงเป็น Port ที่ใหญ่ว่า port ของเสี่ยปู่ในตลาดหลักทรัพย์แน่นอน--- "รวยโคตรๆ" ว่างั้น

สรปก็คือ เมื่อคนมีอายุไขเพิ่มขึ้น มันก็จะส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น "อย่างกรณีที่ผมเคยพูดถึงเศรษฐีณี(ผู้รวยด้วยที่ดิน)พออยู่ได้นานขึ้น ราคาสินทรัพย์ที่ถือ มันก็จะเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ" ดังนั้น ถ้ามนุษย์ จะต้องมีอายุ 200 ปี จริงๆ มันจะส่งผลให้ "คนที่ตื่นตูม(ซึ่งมีอยู่มาก)" ทำการกักตุน Asset ที่มีอยู่อย่างจำกัดไว้ครอบครองมากขึ้น(ทำให้ของที่ขาดแคลน ก็ยิ่งขาดแคลนหนักเข้าไปอีก)-- ส่งผลให้ราคา Asset มันเพิ่มขึ้นๆ ผนวกกับการใช้ หลักดอกเบี้ยทบต้นมาคิด "เราคงพอที่จะคำนวณกันได้ว่าความรวย ของคนรวยในอนาคต เมื่อคนอายุยืนขึ้น --จะรวยขนาดไหน!!"
---ยุคนี้เราเห็น Billionaire รออีกสัก 50 ปี รอดู Port พวก Value Investor ดู ผมว่าเห็น "Trillionaire แน่นอน"

เศรษฐีณีผู้เล่นหุ้นตั้งแต่ตลาดยังไม่เปิด(งง..เล่นยังงัย)แต่รวยง่ะ!!


จริงๆแล้วการวิเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นการคำนวณ เรื่องการลงทุน ในที่ต่างๆ เช่น ทอง, หุ้น, ที่ดิน ..ผมเชื่อว่าในระยะสั้น ไม่มีใครสามารถวิเคราะห์และทำนายได้อย่างตรงเป๊ะหลอกครับ หรือ ถ้ามี "คุณต้องตั้งข้อสงสัยเอาไว้ก่อนเลยว่า เขาคือ เจงกิสข่านหรือเปล่า"..หลายคน งง ว่า "เจงกิสข่าน มาเกี่ยวอะไรด้วยฟะ" --..หุ หุ ก็ เห็นหลายๆคนลือว่า ที่เจงกิสข่านเก่งกาจ เพราะเขาเป็นมนุษย์ต่างดาว จึงเป็นนักรบที่เก่งกาจกว่าคนสมัยนั้นมาก สามารถครอบคลองอาณาจักรแผ่ขยายไปกว่าค่อนโลก อ้าว!! ว่าไปนั้น

จริงๆมันไม่มีหรอกครับ --แต่สิ่งที่มีมันก็คือ "มุมมอง + ความเสี่ยง" อย่างสมมุติ ผมมองเห็นว่า "ราคาหุ้นในอีก 3 ปี จะต้องขึ้นแน่นอน แต่ถ้ามาถามผมในระยะสั้น ผมก็จะไม่สามารถบอกได้ เพราะจริงๆแล้ว ในระยะสั้น มันอาจผันผวน -- ยิ่งกว่า!! การพนันเสียอีก ดังนั้น กฏเกณฑ์ในการวิเคราะห์(ระยะสั้น กับยาวมัน)จึงต่างกันอย่างสิ้นเชิง

พูดถึงตรงนี้ ผมว่า คนส่วนใหญ่ จะอยากรู้ว่า "ระยะสั้น จะทำอย่างไร" มันเป็นเรื่องปกติที่เรามักจะต้องการรู้ เหตุการณ์ในระยะสั้น เพราะเนื่องจากชีวิตของเรามันไม่ได้ยืนยาวนัก (ตอนนี้ก็ไม่เกิน 100 ปี) คุณเคยเห็น คุณนายแก่ๆ ที่เขาเรียก "เศรษฐีณีไหม" ส่วนมากจะอายุก็ 80 ปีขึ้นไป หลายคนสงสัยว่า ทำไมพวกนี้ "โชคดีรวยมาก ที่ดิน ที่เขาเป็นเจ้าของ ล้วนมีค่าเป็นร้อยเป็นพันล้านบาท" และถ้าถามว่า เขาซื้อมาราคาเท่าไหร่ "ขอบอกว่าถูกมาก ถูกแบบคิดไม่ถึง คือ เขาอาจซื้อไร่ละไม่กี่พันบาท แต่ปัจจุบันมันพันล้านบาท"

ผมว่าทุกคนคงเคยดู "แม่นาคพระโขนง" เรื่องนี้ผ่านมายังไม่ถึงร้อยปี (ถ้าลองคิดถึงเทคโนโลยีในภายหน้า ซึ่งจะทำให้ อายุขัยของเราสูงกว่า ร้อยดี กลไกการเปลี่ยนแปลง ของความคิดเราต่อ มูลค่าสินทรัพย์ คุณลองคิดดูว่า มันจะเปลี่ยนไปอย่างไร) อย่างละครแม่นาค ที่เราดู "ที่ดิน"แถบพระโขนง คือ อยู่ในป่านะครับ (กันดารมากๆ) คือ ถ้าคุณเกิดในสมัยนั้น ให้ที่ดินฟรี คุณยังไม่รู้จะเอาหรือเปล่า ..

กลับมาถึงเรื่องของ "เศรษฐีณี" ที่เกิดในสมัย ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงสมัยก่อน ก็ต้องพึ่งสามี ที่รับ ราชการ ดังนั้น สามีของเศรษฐีณี น่าจะรับราชการ บางครั้งก็ได้รับปูนบำเหน็จ แกเลยเอามาซื้อที่ดินไว้ให้เป็นมรดกลูก--อะไรประมาณนั้น ( สมัยนั้นไอ้ที่ดิน 10 ไร่ "แถวๆแม่นาคพระโขนงอยู่" มันแทบไม่มีค่า เพราะมันไกลอยู่กลางป่า ทำรายได้ก็ไม่ได้).. หลังจากที่แก ครอบครองที่ดินไร้ค่านั้น มา 50ปี(จริงๆแกอาจลืมไปแล้วว่ามีที่ดินนั้นอยู่) ปรากฏว่ามีคนมาขอซื้อแก ไร่ละ 100 ล้าน แกเลยขายไปได้มา 1,000 ล้าน

ในอีกด้านนึง "เศรษฐีณี" ถ้ามุ่งแต่เก็บ "เงินที่ได้จากเงินเดือนของสามี "ที่สมัยนั้น ประมาณเดือนละ 200 บาท" คุณคิดดูละกัน ว่า (ภาพที่เห็น ในหัวคุณกับโลกแห่ง การลงทุนมัน เป็นภาพที่ต่างกันมากมายจริงๆ)

ผมมองย้อนกลับ แค่ 10 ปีที่แล้ว ที่ PTT เข้า IPO ในตลาดที่ 30 บาท (ใครๆก็มองว่าเป็น คุณ PTT ก็ "ปอ เต็ก ติ้ง") แต่คุณดูตอนนี้ซิ ราคาเท่าไหร่ (นี่ผมยังไม่ได้คิดปี 2008 ที่ราคาหุ้นพุ่งไป 440 บาทนะ) คือ เอาแค่ราคาตอนนี้ 250 บาทเทียบกับ เมื่อ 10 ปีที่แล้วซิครับ (จะเห็นได้ว่า มันก็เป็นมุมที่คล้ายกับ เศรษฐีณี คือ คนส่วนใหญ่มองข้ามการตีราคามูลค่าสินทรัพย์ในอนาคตนั่นเอง)

ย้อนมาที่ประเด็น (มุมมอง+ความเสี่ยง จึงเท่ากับ "ความมั่งคั่ง") เพราะหากเราวิเคราะห์ แต่เราไม่ลงมือทำ เพราะกลัวเสี่ยง เราก็จะไม่ได้ความมั่งคั่ง ..อย่าง เศรษฐีณี ความมั่งคั่งของแก อยู่ที่การเปลี่ยนเงินเดือนที่น้อยนิด(ของสามี)สมัยนั้น เป็นที่ดิน (ซึ่งสมันนั้นก็ไม่มีใครเห็นมูลค่ามัน จึงถูกมากๆ) แต่ปัจจุบัน "มีคนมากมายที่เห็นค่าที่ดิน..ราคามันจึงแพง) ดังนั้น โอกาส ของคนรุ่นใหม่มีไม่มาก ..คุณลองมองไปซิ ไม่ว่าทอง หรือ อะไรก็ตาม มันแพงหมด ---ผมเลยเห็นโอกาสเดียวของ "คนรุ่นใหม่" ที่จะสามารถลงทุนในโอกาสที่เหมือนกับเศรษฐีณี ก็คือ "ใช้วิธีเดียวกับเศรษฐีณี นั่นเอง"

ใช้แล้วครับ เศรษฐีณี แกซื้อสิ่งที่คนอื่นเห็นว่าไม่มีมูลค่า (แต่จริงๆมันมี) ---มันก็คล้ายๆกับ คุณซื้อหุ้นที่คนอื่นมองว่าไม่มีค่านั่นแหละ ..คือ จะรวยไม่ว่าในยุคสมัยใดมันก็ต้องออกแรง "คุณว่า คุณเสี่ยง แต่ เศรษฐีณี เขาก็เสี่ยงเช่นกัน" ไม่เห็นมีอะไรต่าง มันอยู่ที่คุณมองเป็นหรือเปล่าต่างหาก --"ที่กล่าวว่า เศรษฐีณีผู้เล่นหุ้นตั้งแต่ตลาดยังไม่เปิด มันก็คือ สมัยนั้นยังไม่มีตลาดหุ้น ซึ่งสิ่งที่ เศรษฐีณี ทำนั้น ก็คือ การซื้อที่ดินที่มีความเสี่ยงต่ำ ในภาวะที่มีความไม่แน่นอนสูงนั่นเอง" (หลายคนเอามาตีความ แล้วไปซื้อที่ดินบ้าง(มันคนละสถาณการณ์เลย) อย่างนี้มัน"เมา"แล้ว)

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรียนจาก “คุณตัน” ผู้กล่าวว่า “ชีวิตนี้ไม่มีทางตัน”


จริงๆแล้ว ผมไม่ได้รู้จัก คุณตัน เพียงแต่ผมปลื้มในความ “เก่ง”ของคุณตัน “คนอะไร โคตรเก่งเลย !! ..แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด” คุณ ตัน “ล้มลุก ๆ ๆ ๆ ทำธุรกิจ อย่างกับพืชล้มลุก ..อยู่ในต่างจังหวัด ทำตั้งแต่ แผงหนังสือ, เบเกอรี่, ร้านกาแฟ, อสังหา, ร้านถ่ายรูป แต่มาแจ้งเกิดก็ที่ “ทองหล่อ” นี่แหละ จากการแบ่งร้านถ่ายรูปออกมาทำ “โออิซิ” จุดนี้แหละ Tipping Point ของคุณตัน

ความสำเร็จของคุณตัน มันมาจากความ “อึด” สู้ไม่ถอย ล้มแล้วลุก “เอาใหม่” …แต่ประเด็นที่หลายคนสงสัยคือ ทำยังให้ ให้ “ล้มแล้ว สามารถที่จะลุกได้ --เพราะหลายๆคน ล้มแล้ว กลับลุกไม่ขึ้นอีกเลย”

ผมจะถามคุณตันให้!! ((*-*))”… ก๊าก!! คุณตัน ไม่ตอบ!! --งั้นผมจะช่วยตอบให้ !!
---“การที่ล้มแล่้วลุกง่าย” คือ คุณต้องทำธุรกิจที่ “ใช้เงินน้อยๆ ใช้สมองเยอะๆ”

พูดง่าย ทำยาก --“มันยากเพราะต้องใช้ สามปัจจัยคือ หนึ่ง “ฉลาด” ..สอง “กล้า”..สาม “อึด”

ไอ้ฉลาดนี่ สอนไม่ได้ (ขึ้นอยู่กับคุณ) …สมมุติว่า “คุณเริ่มไอเดีย ธุรกิจดีๆขึ้นมาอย่างนึง” ต่อมาต้องทดสอบ “ความกล้า” ให้คุณ เอาไอเดียคุณ ไปขายคนที่ คุณคิดว่า “เขาจะสนใจ” บ้านเราอาจจะยากหน่อย เพราะอย่างอเมริกาเขามี Venture Capital แต่บ้านเรามี แต่ “เศรษฐีขี้เหนียว..ทำไงได้ ..หุ หุ”

--ผมเชื่อว่า ถ้าผ่านสองขั้นนี้มาแล้ว …คุณจะสังเกตุเห็นได้ว่า สังคมรอบข้าง เริ่ม “เบรก” คุณ ..เพราะคนส่วนใหญ่จะบอกว่า Idea ของคุณ “มันทำไม่ได้.. อย่างนั้น อย่างนี้”

—(แต่เดี๋ยว !! ) ถ้า Idea คุณมีคนคัดค้านน้อย “ผมว่ามันอันตราย” เพราะจากสถิติ คือ Idea ที่คนส่วนใหญ่มองว่าดี มันมักเป็นอะไรที่ไม่ค่อยสำเร็จ (เพราะคนส่วนใหญ่ Fail !!) ..ข้อนี้ต้องพึงสังวรณ์สุดๆ

--- ส่วนใหญ่มักจะมาจบที่ ทุนจาก พ่อแม่ ญาติพี่น้อง นั่นเอง ครับ.. หลังจากนั้น มันก็อยู่ที่ “ความอึดของคุณ” --ตรงนี้เป็นตัวชี้ขาด เพราะ 8 ใน 10 ของกิจการ “เจ๊ง” ภายใน 5 ปี (คือ ธุรกิจคุณถ้าไม่ สุดยอดจริงๆ ก็ต้อง ปิดกิจการ ในห้าปี …)

..ไม่ต้องตกใจหรอกครับ ว่าในที่สุด Idea สุดยอดของคุณ จะ “เหลวไม่เป็นท่า”

----- สรุปถ้าคุณผ่าน สามขั้นตอนนั้นแล้ว เรียกว่า “จุดเริ่มต้นของการเดินทาง จริงๆได้เริ่มขึ้นแล้ว(เริ่มนับหนึ่ง)” ….แต่มันได้ทำให้คุณ “ใกล้ melt me ของคุณตัน มากขึ้นเรื่อยๆ”

..กรณีของคุณ ตัน คือ เขาไม่ได้ผ่าน Process นี้เพียงครั้งเดียว แต่เขา “ผ่านเป็นประจำ” … คุณ William Heinecke เจ้าของ Minor Group กล่าวไว้ว่า “อะไรที่มันไม่ได้ทำให้คุณตาย มันจะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น” --- นี่แหละครับ เส้นทางของผู้ประกอบการอย่าง คุณตัน , คุณ Will และ ทุกๆคน..

--- การผ่านความล้มเหลว อย่างมากมายและลุกขึ้นใหม่ เป็นสิ่งที่ทำให้ “เจ้าของกิจการ” คิดต่างจาก “ลูกจ้าง” จึงไม่แปลกหรอกครับ ที่ทำไมเรามักสงสัยว่า “ทำไมคุณตันเก่งถึงเพียงนี้” ..ที่เขาเก่งเพราะ เขา ล้มมาก่อน เขาผ่านมาแล้ว

ชีวิตมันเป็นทางเลือก “การเลือกเป็นผู้ประกอบการอย่างคุณตัน” ย่อมต้องผ่าน ความทุกข์ ล้ม ลุก ตลอดเวลา เหมือน “เล่นฟุตบอลที่เราคลั้งไคล้”

..ไม่มีนักฟุตบอลคนไหน หรอกครับ ที่ไม่ล้ม ไม่เปื้อน …ดังนั้น ใครอยากเป็น Ronaldo แห่งโลกธุรกิจ คุณต้องเลี้ยงบอลไปตามถนนที่รถวิ่ง เดาะลูกแปลกประหลาด เลี้ยงบอลเข้าไปในตลาด ในฝูงชล “ถ้าคุณไม่ตาย!! คุณคือ คุณ ตัน คนต่อไป” –ชีวิตนี้ ไม่มีทางตัน!!

แกะรอยสิงค์โปร์ (เป้าหมายที่ดูไบไปไม่ถึง)


วันนี้หากพูดถึงสิงค์โปร์ ใครๆก็นึกถึงความสะอาด อลังการ คนมีการศึกษา รวย มีระเบียบ(อะไรจะขนาดนั้น !!)..ย้อนกลับไป 30 ปีก่อน สิงค์โปรยังล้าหลังกว่าเรามาก "ไม่มีอะไรเลย"

สิงค์โปร์ในปัจจุบันย้ายฐานการผลิตที่สกปรกออกนอกประเทศหมด เน้นส่งเสริมให้ต่างชาติมาลงทุน โดยเอื้อประโยชน์ทางภาษี และมาตรการต่างๆเช่น นโยบายสนับสนุนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่คุ้มกว่าเช่า --ระบบสาธารณูปโภคของสิงค์โปร์วันนี้ มีการขนส่งมวลชนที่สะดวก --มีการออกกฏลดการนำรถยนต์เข้าใจกลางเมือง ลดมลภาวะ และ รถติด (สร้าง Shopping Street ใต้ดินที่ทันสมัย)

ล่าสุดก็คือ Casino ที่เน้นจับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ถ้าคนสิงค์โปร์เข้า จะเสียค่าเข้า เพราะเขาไม่สนับสนุนให้คนของเขาเล่นการพนัน) -- วันนี้เศรษฐกิจเน้นหนักไปที่ภาคบริการที่ทันสมัย การสร้างประเทศให้เป็นศูนย์กลางการเงินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้วิสัยทัศน์ ของชายที่ชื่อ "ลี กวน ยู" --ทุกครั้งที่ไทยจะขุดคลองคอดกระ ก็จะมีชายคนนี้ ถือกระเป๋า เจมส์บอนด์ บรรจุด้วยเงินสด ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ "เบรคโครงการได้ทุกยุคทุกสมัย" --วันนี้รัฐบาลอภิสิทธ์ได้ เสนอแผนท่อส่งน้ำมัน ..หรือนี่จะเป็นการกระตุ้นให้ "ลี กวน ยู" มาเที่ยวเมืองไทยอีกรอบ!!-- แต่ด้วยอายุของ "ลี กวน ยู" ที่มากขึ้น ครั้งนี้ อาจต้องให้ลูกชาย "ลี เซียง ลุง" หิ้วกระเป๋ามาแทน !!(ล้อเล่นนะ...หุ หุ)

ผมได้เกร่ินมาอย่างยืดยาว เพราะอยากจะชี้ถึง ประเด็นการพัฒนาประเทศที่อาศัย เงินและอำนาจที่เบ็ดเสร็จ สิงค์โปร์ในวันนี้เป็นแบบอย่างที่จีนแผ่นดินใหญ่พยายามเดินตาม ..ด้วยปริมาณการค้าของจีนที่เกินดุล ส่งผลให้ Reserve ที่มีในมือ "ถือได้ว่ามากที่สุดในโลก"

หากมองไปรอบๆเอเชีย จะพบว่าเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จ สูงสุด ก็คือ สิงค์โปร์และ มาเลเซีย (จับคนขัง ไม่ต้องสืบสวน (ยิ่งกว่า) พรก.ฉุกเฉิน แต่ไม่เห็นมีใครท้วงติง!!"อย่างว่า ประเทศเขารวย ไม่มีใครกล้าแตะ..หุ หุ) ..มาตอนนี้ก็จีนเอาบ้าง(ผูกขาดและกีดกันการค้า ส่งเสริมการลงทุนในจีนเท่านั้น และกันการโอนเงินออก!!)--- จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ ทั้งสามประเทศนี้มีเหมือนกันก็คือ "เผด็จการทุนนิยม"

การมีระบบการเมืองที่มั่นคง กลับทำให้ ทุนนิยมสามารถ เติบโต ซึ่งขัดกับความเชื่อสมัยก่อน ว่าเผด็จการกับทุนนิยม มันไปด้วยกันไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ เราได้เรียนรู้จาก สิงค์โปร์, มาเลเซีย และ จีน ว่า "เผด็จการทุนนิยมมันเป็นไปได้" แถมมันยังเติบโตได้อย่างมั่นคงตลอด 30 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งถ้ามองให้ดีแล้ว การที่ประเทศต่างๆมุ่งสู่การเป็นประชาธิปไตย มันไม่ได้การันตีความมั่งคั่งแต่อย่างใด เพราะแท้จริงแล้ว ทุนนิยมต่างหากที่สร้างให้เกิดจุดนั้น ส่วนเผด็จการกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ก็หลอมจนแทบแยกจากกันไม่ออก -- เศรษฐกิจเอเชียในวันนี้ช่างท้าทายแนวคิดดังเดิมของการเมืองการปกครองที่เคยมีมาในอดีตเสียจริงๆ??

"เผด็จการทุนนิยม..น่าคิด!!" --แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น "เผด็จการ"ที่ว่า ต้องฉลาดและเข้าใจการค้า อย่างพื้นฐานของสิงค์โปร์ผู้นำมีความรู้ทางด้านการค้าขาย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นกฏหมายต่างๆ(เอื้อต่อการจัดการรวมทั้งภาษีธุรกิจที่จูงใจ)การจัดการเงินทุน(ก็ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย และใช้ดอลล่าห์เป็นสกุลเงินซึ่งไม่ต้องเสี่ยง ในการเคลื่อนย้ายแบบไทย) คือทุกกฎเกณฑ์จะออกมาแบบเข้าใจการค้า... "จุดนี้ทำให้ สิงค์โปร์เป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าและการเงิน" ประเด็นนี้ ผู้นำและระบบราชการไทยยังตีโจทย์ไม่แตก และนี่ก็คือ Key success Factor ของสิงค์โปร์ คือ แม้ไม่มีทรัพยากรแต่ใช้เพียงสมองก็ "ชนะได้"...

เกาะตลาดหุ้นใน"ภาวะฝรั่งฝ่อ ไทยสู้" by pawawit(15 June 2010)


ตอนนี้ตลาดหุ้นวิ่งใกล้ 800 จุดเข้าไปทุกที (คุณเริ่มเสียวไหม!!) ตอนนี้ภาวะตลาดภาพรวมคือ ฝรั่งฝ่อ แต่คนไทยสู้ ..ภาวะอย่างนี้ไม่ได้เกิดมานานแล้ว เพราะตั้งแต่เกิดวิกฤต Sub-prime "ยังไม่มีภาวะฝรั่งฝ่อ ไทยสู้มาก่อน" --(แปลกมักๆ)

เรามาดูกันว่า ภาวะ "ภาวะฝรั่งฝ่อ ไทยสู้"..พูดภาษามนุษย์ก็คือ ตอนนี้ฝรั้งจ้องออก แต่คนไทยจ้องเข้า --ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า หุ้นที่ฝรั่งเล่นคือหุ้นประเภทไหน และ หุ้นที่คนไทยเล่นคือประเภทไหน (ถ้าเข้าใจตรงนี้จะทำให้วิเคระห์ตลาดได้อย่างเข้าใจมากขึ้น)

***หลักๆในสภาพตลาดเช่นนี้จะมีหุ้นอยู่ 2 ประเภท คือ

--(ประเภทที่ 1) ..ในส่วนหุ้นที่ฝรั่งเล่นคือหุ้น Blue Ship ขนาดใหญ่ เช่น PTT, BBL , SCB , SCC , BANPU , TOP , PTTAR, TTA ..(คือตัวใหญ่ๆ และ Volume เยอะๆที่เรียกว่าหุ้น"ตลาด"นี่แหละ)

--(ประเภทที่ 2)...ในส่วนของคนไทย จะเล่นหุ้นที่มีขนาดเล็กลงมา เพราะหุ้นจะถูกกว่า ซึ่งในขณะนี้ถ้าเอามาวิเคราะห์ตามตำรา Value จะพบว่า หุ้นเหล่านี้ยังถูกอยู่ แถมให้ปันผลที่สูง (หุ้นเหล่านี้เป็นกิจการขนาดเล็กและดี แต่มี Volume ในการซื้อขายน้อย .ยิ่งช่วงปีที่ 2009 ตอนที่กลุ่ม Blue ship วิ่งกันมันส์ หุ้นเหล่านี้กลับแทบไม่ไปไหนเลย)--หุ้นเหล่านี้ ใช่ว่ารายใหญ่จะไม่เก็บ ..เพราะจากที่ดูรายใหญ่เขาก็มีการเก็บบ้าง แต่จะเป็นการเก็บในสองลักษณะ คือ 1.รายใหญ่ที่เก็บลืม(คือเล่นยาว พวกนี้เรียก Value Investor) กับ 2.รายใหญ่ที่ เก็บไว้ปั่น(พวกนี้ก็คือ ขาใหญ่ เซียนหุ้น บ้านเรานี่แหละ.."ระวังให้ดี เขาเก็บตั้งแต่ราคาที่ต่ำโคตร..ประมาณครึ่งนึงของราคาที่คุณเห็นวันนี้!!")

จากคราวก่อน --ผมเคยวิเคราะห์ในบทความ "เล่นหุ้นปั่นที่เสี่ยงน้อย" ก็คือ ...ในตอนนี้ที่ตลาดวิ่งเกือบแตะ 800 จุด เกิดจากการเล่นหุ้น "ประเภทที่ 2 "ที่ว่ามานี่แหละ ...ทำให้หุ้นเล็กๆ พุ่งเร็วกว่า
--ภาพที่เกิดขึ้นคือ ขาใหญ่เข้าปั่นหุ้นเล็กเพราะมองว่า ความเสี่ยงน้อย ถ้าปั่นไม่ขึ้นก็ไม่เป็นไร รับปันผล(สูง)อยู่แล้ว แต่ถ้าปั่นติดก็ค่อยขายทิ้งเปลี่ยนตัวใหม่ (ตอนนี้ต่างชาติยังไม่เข้าไม่เป็นไร ขาใหญ่เขาลากรายย่อยไปเชือด!! หาเงินกินขนมไปพลางๆก่อน)

สภาวะอย่างนี้ ผมต้องเตือนรายย่อยให้ระวัง ในกรณีที่เงินของคุณไม่ใช่เงินนอน เพราะโอกาสที่ติดหุ้น จากหุ้นประเภท 2 นี้มีสูง ..แต่ถ้าเงินของคุณเป็นเงินนอน ผมว่า"ไม่น่ามีปัญหา เพราะถ้าคุณวิเคราะห์บริษัทที่คุณเล่นว่า จ่ายปันผลในเกณฑ์สูงเทียบกับเงินที่คุณลงทุน ผมว่า"ไม่มีความเสี่ยง" เพราะถ้าติดก็ให้ถือยาวได้

ในส่วนตัว ผมจะชอบเล่นสวนตลาด คือ เล่นหุ้น ประเภทที่ 1(ณ เวลานี้).. เพราะถ้าวิเคราะห์ให้ดี จะเห็นว่า "ช่วงนี้หุ้นประเภทที่ 1 ราคาไม่วิ่งไปไหนเลย สาเหตุหลักๆ ก็เพราะนักลงทุนต่างชาติ เขายังขายทิ้งอยู่" ซึ่งถ้ามองให้ดี ผมว่า น่าจะเป็นช่วงเก็บที่น่าสนใจ..เพราะตั้งแต่ต้นปีมา ฝรั่งขายทิ้ง 23,000 ล้านบาทแล้ว (ดูจากสภาวะการขายเช่นนี้ เรียกว่า over sold แน่นอน) ดังนั้น ตอนนี้เป็นจังหวะให้เก็บหุ้น Blue Ship ที่ราคายังไม่ไปไหน จากนั้น รอจน ฝรั่ง "กลับลำ" มาเป็นซื้อสุทธิต่อเนื่องเมื่อไหร่ --"ผมมองว่า หุ้นประเภทที่ 1" จะกลับมาแรงนำตลาดดังเดิม

(ฉะนั้น ตอนนี้ใครที่เข้าตามๆ หุ้นแรง ผมเตือนให้ ระวังไว้บ้าง) เพราะ ถ้าฝรั่งกลับลำมาซื้อเมื่อไหร่ "หุ้นที่แรงๆอยู่ตอนนี้จะกลายเป็นหุ้น แป๊ก ทันที" แล้ว นักลงทุนต่างๆรวมทั้งขาใหญ่ ก็จะเทเงินกลับมาที่ Blue Ship ตามต่างชาติ ทำให้ "แรง ..เป็นยิ่งแรง" ..อย่าง PTT ถ้าผมเดา ไม่ผิด ก่อนปลายปี ต้องแตะ 300 บาท อย่างแน่นอน ..(คอยดูกัน!!)

เรื่องของทองที่“ต้องรู้” !!..จาก National Geographic


ผมชอบอ่าน National Geographic “ไม่ใช่เพราะผม รักเด็ก หรือ ชอบดูชีวิตสัตว์โลก” เพียงแต่มันมีข้อมูล ที่เปิด กะลาน้อยๆของผม ได้หลายต่อหลายครั้งทีเดียว …ครั้งนี้ ผมอ่านสารคดีเรื่องทอง ที่กล่าวว่า “ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มีทองคำเพียง 161,000 ตันเท่านั้น ที่ถูกสกัดออกมา(จากผืนโลก) หากคิดเป็นปริมาณก็แทบไม่พอ ที่จะถมสระว่ายน้ำโอลิมปิกให้เต็มทั้งสองสระ” …ธนาคารของประเทศต่างๆมีการถือทองคำ ประมาณ 1 ใน 5 (ของประมาณทองคำที่เคยผลิตขึ้นมาบนโลกนี้) คือ ประมาณ 32,000 ตัน

(อเมริกาถือมากสุดในโลกคือ 8,000 กว่าตัน ..เยอรมัน กับ IMF ถือ(คนละ) 3,000 กว่าตัน ..ฝรั่งเศสกับอิตาลีถือ(ประเทศละ) 2,000 กว่าตัน ..สวิส และจีน (ต่างถือประเทศละแค่)หนึ่งพันตัน นอกนั้นธนาคารกลางประเทศอื่นถือ แค่หลักร้อยเท่านั้น(เมืองไทยถือ 84 ตัน) “คือสรุปอเมริกาถือ 60% ของเงินสำรอง ..ยุโรปถือ ประมาณ 45% ..ประเทศส่วนใหญ่ ประมาณ 10% เท่านั้น”

มาดูที่ “จีน” ผมสนใจเป็นพิเศษ เพราะมี “นักวิชาการหลายคน กล่าวว่า ถ้าจีนเลือกที่ จะถือทองเป็น สัดส่วนที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ราคาทอง “พุ่งสูงมากๆ” --ผมตั้งคำถามก่อนเลย “จริงหรือ !!!” --เวลานี้ จีน มี “ทอง” เป็นสัดส่วนแค่ 2% ของทุนสำรอง ..ถ้าผู้นำจีน (มีสมอง) ซึ่งที่ผ่านมา “เขาฉลาดจริง !!” …เขาก็คงจะคิดได้ว่า ทองคำทั่วโลกมี “แค่ไม่ถึง สองสระโอลิมปิก” ถ้าเขามาถือทองเพิ่มขึ้น ย่อมทำให้ราคาทอง “พุ่งติดเพดานแน่นอน” และคนที่ได้ ประโยชน์มากสุดคือ อเมริกา และ ยุโรป --“ผมถามหน่อยถ้าคุณ เป็น ผู้นำจีน คุณจะทำเช่นนั้นไหม” … “ไม่”

ดังนั้น “ฟันธง” กันไปเลยว่า “ราคาทอง จะพุ่งสูงตราบเท่าที่นักลงทุน ยังกลัวต่อความตกต่ำของเศรษฐกิจ เท่านั้น” การตัด ปัจจัย “จีน” ออกไป (ซึ่งจริงๆเป็นปัจจัยที่ใหญ่มาก) จึงทำให้ผมค่อนข้างที่จะมั่นใจว่า “ทองจะขึ้นไปถึง ระดับนึงเท่านั้น ก่อนที่จะตกลงมาอย่างแรง…หลังจากนั้น”

ในส่วน Supply การผลิตทองทั่วโลก ผลิตได้แค่ปีละ 2 พันกว่าตันเท่านั้น… ผมจึงไม่เห็นอนาคตที่แท้จริงของทองแต่อย่างใด แต่แน่นอน “ทอง” ย่อมมีมูลค่าในตัวของมันเองเสมอ เพียงแต่ว่า “เมื่อคนเลิกตื่นทอง ราคามัน ก็จะตกต่ำแบบ ชนิดไม่มีคนเหลียวแลเป็นเวลาที่นานมากๆๆๆๆ

…อย่างรุ่นปู่เรา ทองพุ่งสูงแล้วกลับมาอยู่ที่ 400 บาท(ต่อทองหนึ่งบาท)
..ช่วงคุณพ่อเรา ทองวิ่งไปแตะ สองหมื่นก่อนที่จะมา อยู่ที่ 4,000 บาท(ต่อทองหนึ่งบาท) เป็นเวลาเกือบยี่สิบปี
…ตอนนี้ รุ่นเรา(เข้ายุคตื่นทองอีกแล้ว) ราคากำลังจะแตะ 20,000 บาท(ต่อทองหนึ่งบาท) –“แน่นอนราคาต้องพุ่งขึ้นไปอีกก่อนถึง Peak ของมัน และตกลงมาที่จุดใด!!!

..ใครทายถูกก็รวย!! …ส่วนใครทายผิด ก็ไม่เป็นไร ให้คุณเก็บทองนั้น ไว้ แล้วส่งต่อให้ลูกคุณ ในยุคตื่นทองครั้งต่อไป !!! (อย่างน้อยลูกคุณ จะได้พูดว่า “ขอบคุณฮะพ่อ”…. จริงมั๊ย)

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ภาพลวงตาของค่าเงิน..คุณก็เลยโดนมันหลอก(ยังขนลุกอยู่เลย)!!


สิ่งที่เราไม่เคยคำนึงถึงเลยในชีวิตประจำวันคือ “เงิน” …จริงๆใครก็ชอบเงิน แต่น้อยคนมากที่จะรู้ว่า “ค่าเงินจริงๆมันลดลงเร็วแค่ไหน” …ใช่แล้วมันคือ ตัว Inflation!!

หลายครั้งหากเราสังเกตุค่าปรับของตำรวจจะ งง ว่า “จำคุก 1 เดือน หรือ ปรับ 500 บาท” (ถ้าเลือกได้ แน่นอนใครๆก็ต้องเลือกปรับ 500 บาท) จริงๆแล้ว สมัยที่ออกกฏนี้เมื่อ 20 ปีก่อน ..โทษทั้งสองอย่างมันไม่ได้แตกต่างกันอย่างทุกวันนี้ --ตอนนั้น 500 บาทมันโหดเท่าๆกับจำคุก 1 เดือน แต่เนื่องจาก “ค่่าเงินมันลดลงเรื่อย ในขณะที่โทษจำคุกไม่ได้ลดลง --“มันถึงเป็นอย่างทีี่เห็นนี่แหละครับ”

ดังนั้น ถ้าเราจะปรับโทษทั้งสองให้สูสีกัน อาจต้องเปลี่ยนเป็น “จำคุก 1 เดือน หรือ ปรับ 50,000 บาท” --แต่บางคนก็บอกว่า ไม่ใช่!! มันต้องมากกว่านี้ (หรือน้อยกว่านี้)--สำหรับแลกกับการจำคุกหนึ่งเดือน …ประเด็นมันอยู่ที่ “ไม่มีใครตัดสินได้ชัดเจน เพราะ(ค่าเงินมันเป็นภาพลวงตานั่นเอง)” แต่จุดที่มันไม่ลวงอย่างแน่นอน คือ มูลค่า --เพราะมันลดลงเรื่อยๆ!!!

“ภาพลวงของค่าเงินนี่เอง” ทำให้นักลงทุน “ไม่เคยที่จะพยายามเข้าใจ” ---หลายคนถามว่า “อ้าว!! ถ้าค่าเงินมันลดลง แล้วมันต้องมีอะไรน่ะซิที่ขึ้น” --ก็ถูกต้อง สิ่งที่ขึ้นก็คือ “ Asset นั่นเอง”

มาทำความเข้าใจกันก่อนว่า Asset มีหลายแบบ และ Asset เดียวที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นก็คือ Asset ที่มี Demand มากกว่า Supply นั่นเอง (พูดภาษาคนคือ Asset ที่มีคนต้องการ) ถ้าถามว่า รถยนต์ ใหม่ๆคนต้องการ แต่ถ้าถามว่า รถยนต์ 20 ปี ยังมีคนต้องการอยู่หรือไม่ …. บ้าน ใหม่ๆคนต้องการ ส่วนบ้านเก่าๆคนก็ยังต้องการ แต่แน่นอนคนก็ให้ค่าบ้านใหม่แพงกว่าบ้านเก่า… ที่ดิน ที่ดินใหม่ กับที่ดินเก่า ..เอ๊ะ !! ยิ่งเก่ามันยิ่งแพง แฮะ ยิ่งอยู่ในที่ชุมชน มีถนน มีไฟฟ้าใช้ ยิ่งแพงขึ้นไปอีก … หุ้น (แล้วแต่กิจการ) ถ้ากิจการดี (อย่างที่ Warren Buffet เลือกถือ) ราคามันก็ขึ้นเอาๆ แถมขึ้นมากกว่าที่ดินอีก

หลายคนถาม พันธบัตรรัฐบาลล่ะ มั่นคง คุณลองถือสัก 20 ปีซิ ..มูลค่าที่ตราไว้ตรงพันธบัตรน่ะมันไม่ได้เปลี่ยน แต่ค่าเงินมันดันลดลงๆๆ…. อย่างนี้ ถ้าดอกเบี้ยมันไม่สูงมากๆ --ถามว่ามันน่าซื้อไหมล่ะ!! ---กลับมาที่หุ้น ราคามัน ไม่ตายตัว (หลายคนเลยกลัว ไม่กล้าซื้อ) ดังนั้น ถ้าหุ้นมันเป็นกิจการที่ดี เมื่อเวลาผ่านไป ราคาที่ตราไว้ มันกลับขึ้นเอา ขึ้นเอา ๆๆ ..แล้วจริงๆที่เรากลัว ไม่กล้าซื้อหุ้น “ในอีกมุมคือคุณกลัวราคามันจะขึ้นหรือเปล่า!!”

ในตลาดหุ้น บางครั้งเล่นจนเซียน เข้าออก ทุกวัน กำไรบ้างขาดทุนบ้าง(หักลบถ้าไม่ขาดทุน คุณก็เก่งเกินคนอีก 90% ที่เล่นหุ้น).. ถ้ามองให้ดีแล้ว “เหล่าเซียนๆ” มักมองไม่เห็น “ภาพลวงตาของค่าเงิน ซึ่งมันมีผลโดยตรงกับหุ้น” ---จุดนี้ส่งผลให้ ราคาหุ้นในตลาดแทนที่จะผันผวนตามมูลค่าที่แท้จริง กลับกลายเป็นผันผวนตามอารมณ์ (และนี่แหละ โอกาสทองของคนที่ สามารถมองเห็นราคาที่แท้จริงได้!!) …แล้วใครมองเห็นมูลค่าที่แท้จริง(วะ) “ก็ Warren Buffet และนักลงทุนฉลาดๆ ที่เล่นหุ้นแล้วกำไรไงล่ะครับ”

ทุกปี บริษัทที่ดี จะโตขึ้น (แถมโตมากกว่า GDP ..ถ้าน้อยกว่า คุณจะเปิดธุรกิจไปทำซากอะไร!! ดังนั้น แน่นอน กิจการที่ดีต้องโตกว่า GDP) ในส่วนของตลาดหุ้นเป็นตลาดที่สะท้อนมูลค่าตลาด ดังนั้น มันก็ต้องโตทุกปีเช่นกัน …ปัญหามันอยู่ที่ ปี 2008 GDP เรายังไม่ทันติดลบเลย แต่ตลาดหุ้นเราวิ่งจาก 900 จุด ลงไปแตะ 400 จุด(ลดลงกว่า100%) …พอปี 2009 GDP เราติดลบ ไม่ถึง 5% แต่ตลาดหุ้นวิ่งสวนพุ่งไปเกือบ 100% ไปแตะเกือบ 800 จุด--- “คุณเห็นไหมล่ะครับว่า (คนเล่นหุ้นแม่ง Over!! )และนี่คือโอกาสที่คุณจะทำกำไรได้อย่างมหาศาล” …พูดง่ายๆถ้าเรามีสติ GDP ติดลบนิดเดียว แต่ตลาดดันตกเกือบ 100% นี่แหละ “จังหวะที่คุณควรเข้าซื้อ …ไม่ใช่ไปวิ่งออกตามคนอื่น” มิน่าครับไทยมุงเลยมักโดนลูกหลงประจำ…หุ หุ

คำถามต่อไปคือ “ถ้าคุณซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำมาก ทำไมคุณต้องรีบขาย” เพราะตลาดหุ้นแท้จริงมันวิ่ง สองทางคือถ้ามันไม่ตกสุดๆ มันก็จะขึ้นสุดๆ ---ดังนั้น ในเมื่อคุณสามารถซื้อหุ้นในราคาต่ำสุดๆ คุณก็ควรจะถือไว้จนตลาดมันแพงสุดๆ แล้วค่อยขาย (แต่ตอนนี้ไม่รู้จะรีบขายกันไปไหน ตลกจริงๆ) สรุป การเล่นหุ้นมันแสนจะง่าย น่าเบื่อ แต่ต้องมีสติ(และอึด) “ความคิดมันจึงจะแจ่มสามารถมองเห็นความจริง ผ่านภาพรวมและอารมณ์ ที่พยายามปิดหูปิตตาคุณ”……ที่ผมอธิบายยืดยาวนี่แหละครับ มุมมอง Warren Buffet (เขาเลยรวยสุดๆไงครับ!!)…คุณคิดว่าไง!!!

“การไหว้” การลงทุนชั้นเลิศที่หลายคนไม่เข้าใจ


ตลกไหมล่ะครับ การลงทุนที่ถูกที่สุด แต่ได้ผลตอบแทนที่มากที่สุด ก็คือการยกมือไหว้นั่นเอง ..”ใครไม่เชื่อลองทำดู แล้วอาจตกใจกับผลตอบรับที่ได้”

ทุกวันนี้ ผมว่า ตลกนะที่ เรามักผูกบริการกับการยกมือไหว้ .. “สงสัยไปดู การบินไทย มากไปหน่อย”..แต่ที่แย่คือ ลักษณะการไหว้มันต่างกัน ของการบินไทยเขาไหว้อย่างสวย แต่ไอ้คนเรียนแบบ “มันไหว้แบบทิ่ม”..(คุณเคยเห็นไหมไอ้ที่ไหว้แบบ ยกมือทิ่มๆ ส่งๆ แบบนั้น …มึงอย่าไหว้เลย!!)

มาดูมูลเหตุจูงใจของการไหว้ก่อน คือ “คนเราจะไหว้แก่คนที่สูงกว่าเรา และเรามองว่าเขามีประโยชน์กับเราเท่านั้น” (ไม่งั้นจะไหว้ ไปทำซาก กระไร หรือ ..ถูกไหม!!) ..ดังนั้น ถ้าองค์กรใดต้องการใช้ “การไหว้” เป็นเครื่องมือในการสื่อสารภาพลักษณ์ของการบริการที่ดี ต้องทำความเข้าใจก่อน ….

สิ่งแรกเลย คุณจะต้องสื่อสารกับ พนักงานก่อน คือ ชี้ให้เห็นว่า “ลูกค้า” เขามีประโยชน์ต่อเราเพียงใด (จริงๆลูกค้าก็คือเหตุผลเดียว ที่เรายังมีงานทำอยู่จนบัดนี้) แต่หลายคนไม่เข้าใจ นึกว่า “เราวิเศษหรือเหนือกว่าลูกค้า” ..ทุกคนเวลาเจอหัวหน้ารีบยกมือไหว้ทันที (แต่หารู้ไม่หัวหน้าหรือเจ้าของ ถ้าเจอลูกค้าเขาก็ยกมือไหว้ทันทีเหมือนกัน) ปัญหามันคือ หัวหน้าดันไม่สื่อสารให้ลูกน้องเข้าใจว่า ลูกค้าสำคัญเพียงไหน และ มีผลกระทบต่อหน้าที่การงานของคุณอย่างไร

ผมเบื่อมากกับองค์กร ที่เอาแต่ “สั่ง สั่ง สั่ง” เพราะแท้จริงแล้ว หากเรารู้ประโยชน์ว่า เราได้อะไรจากการกระทำนั้นๆ “เราก็จะทำโดยไม่ต้องมาบังคับหรือสั่งให้ทำเลย” …องค์กรต่างๆ คิดว่า ทุกคนฉลาดเท่ากัน ---“แต่ไม่ใช่” ไม่งั้น ทุกคนก็เป็นหัวหน้า เป็นผู้จัดการแล้วซิ

…ดังนั้น วันนี้หัวหน้าต้องเข้าใจและอธิบายถึงเหตุผล หรือ ให้ลูกน้องรู้ว่าประโยชน์คืออะไร

กลับมาที่ “การไหว้” ผมมองว่า เป็นการลงทุนที่ “ถูกที่สุด แต่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดแล้ว” ถ้าทุกคนเข้าใจ เขาทำไปแล้ว “ไม่ต้องบังคับ!!”

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ