แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

การศึกษาในอนาคต(ที่น่าทึ่ง)


ปัจจุบัน"ระบบการศึกษาของไทย(ของทั้งโลกด้วย)"นี่ล้าหลังสุด .. ผมเคยคิดว่า การเรียนจะสร้างให้ผม "รุ่ง"ในอาชีพการงาน(แต่นั่นไม่ใช่เลย..ผมคิดผิดอย่างแรง) เป็นเวลาหลายปีที่ผม พยายามค้นหา -- Key Success Factor ของชีวิต ว่ามันคืออะไร..

ยุคก่อนใคร"ต้องวิศวะ" แล้วไง จบมาตกงานเกลื่อน ..ต่อมา"ต้องนิเทศ" จบมาก็ --เทศอยู่บ้านเลี้ยงลูก หุ หุ ..ตอนนี้"ต้องบริหารธุรกิจ" จบมาบริหารฝุ่นแทน --จริงๆปัญหามันอยู่ที่ "เรามองแต่ปัจจุบัน แต่กลับลืมมองถึงอนาคต -- การเรียนอย่าง ปริญญาตรี ใช้เวลา 4 ปี สมมุติตอนนี้ อุตสาหกรรมอะไรกำลัง Boom พอเราจบ มันเลิก Boom ไปแล้ว --"อย่างนี้จะไม่ให้ เตะฝุ่นยังไงไหวล่ะครับ"

ดังนั้น สมัยนี้เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องหัดมอง"ไปข้างหน้า" อย่างตอนนี้ คุณดูซิ Commodity "Boom สุดๆ" หลายคนลงเลย วิชาการทำเหมืองแร่ --ปรากฏกว่าพอคุณจะจบ.. เขาไปสู่ยุค Clean Energy กันหมด กลายเป็นว่า ความรู้ที่คุณอุตส่าห์ทนเรียน"มันหมดอายุ"- (Obsolete Human แย่จัง...) ---วันนี้ถ้าใครคิดเรียนต่อ ต้องคิดดีๆว่า สิ่งที่คุณจะเรียน มันจะมา In Trend ในอนาคตหรือเปล่า แต่อีกมุมคือ เลือกสิ่งที่เรา"รัก"จริงๆ อันนี้ก็ถือว่า (มีมุมมองที่ดี ในการดำรวชีวิต --ได้ทำในสิ่งที่ชอบตลอดชีวิต โดยไม่สนรายได้--"น้อยคนนักที่ทำได้")

สิ่งที่ประสพจริง--- อย่างวิชา "เศรษฐศาสตร์" หรือ วิชา "Finance & Investment" พอมาทำงานจริงๆ --ทุกอย่างมันวิ่งสวนกับ "ทฤษฎี" ตอนแรกๆผมเอาเครื่องมือ Finance มาวิเคราะห์หุ้นอย่างดิบดี สรุป "มันวิ่งสวนทาง ทฤษฎีซะงั้น" เริ่มมาถึงบางอ้อ ที่"เซียนหุ้นรุ่นเก๋า กล่าวว่า หุ้นมันเป็น "ศิลป์"" ไม่มีกฎตายตัว มันพลิกผันตามอารมณ์นักลงทุน คือ ถ้าคุณเข้าใจจิตใจ"นักลงทุนคนอื่น" --"ยังไงคุณก็ชนะ" เหมือนคำกล่าวที่ว่า "รู้เขา รู้เรารบร้อยชนะร้อย"นี่แหละ

---กุญแจแห่งความสำเร็จมันคือ การเข้าใจ"จิตใจ"ของเพื่อนมนุษย์ คู่แข่ง และ คนที่เราทำงานด้วย นอกเหนือจากนี้ ผมว่ามันเป็นแค่"ผงชูรส" ไอ้หลักการ BCG บ้าบอ จาก Harvard หรือ Wharton อะไรนั่นมันแค่"ผงชูรส" เพราะพอเอาเข้าจริง ..คุณต้องทำงานภายใต้ "ข้อจำกัด" ไม่ว่าจะเป็น ทรัพยากร เช่น งบประมาณ หรือ พนักงานที่ไม่ฉลาด หรือ แม้แต่อิทธิพลมืด --หลายคนจึง พึ่งเข้าใจเหมือนผมว่า "ความรู้ที่เป็นประโยชน์ในชีวิตจริง มันเริ่มนับหนึ่ง จากวันที่คุณ ก้าวเท้าออกจากโรงเรียน นั่นเอง"

การศึกษาในอนาคต(ที่น่าทึ่ง) มันก็คือ การที่เราเปิดรับโอกาสการเรียนรู้ ลองผิดลองถูก --จะเห็นได้ว่า แต่ละคนย่อมสร้าง"องค์ความรู้ที่ต่างกัน" ..นำมาซึ่งความสำเร็จที่ไม่เท่ากัน --สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถถ่ายทอด จากสายเลือดได้ (ไม่งั้น คนเก่ง คงไม่มีลูกโง่ๆ หุ หุ หุ ..)

เส้นทางเดินทุกย่างก้าวที่ผ่านมาในชีวิต มันคือ สิ่งที่"หล่อหลอม"ให้คุณเป็นคนที่ "แตกต่าง" ดังนั้น ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ต้องผ่านการบ่มเพาะจากประสบการณ์ที่ "เหนือธรรมดา เช่น ลูกน้องหักหลัง ,ลูกหนี้โกง ,ตำรวจแกล้ง, ลูกไปติดยา, คู่แข่งเล่นวิชามาร --ใครยิ่งโดน "หนัก"จงยิ้มไว้ เพราะ"เพชร"มันเกิดจาก แรงอัดและแรงกดดันที่มหาศาลของ "คาร์บอน" ซึ่งถ้าแรงกดดันน้อยไป คุณก็จะเป็นแค่"ถ่าน" --สรุปว่า "ไปเลย!! ไปหาความ ล้มเหลว!! ไปหาความผิดหวัง ไปพัง ไปเละ!! แล้วกลับมาเป็น "โคตรเพชรงาม" ฮ่า ฮ่า ...
(((******)))--การศึกษาที่น่าทึ่ง --ให้"พุ่ง"ลงเหว ลึกๆ ยิ่งลึกยิ่งแน่น(ถ้าลึกเกินอาจตายไปเลย)..แต่ถ้าลึกแล้วขึ้นมาได้ คุณ จะเป็น Next ทักษิณ (แจ๋วจริงๆ....ท่านเอ๊ย.........) ปู๋เย้!!!!

วิเคราะห์ตลาดหุ้นวันนี้ (30 เมษา)

ถึงวันนี้ต่างชาติ เทขาย อย่างต่อเนื่อง แต่บาทยังแข็ง แสดงว่า"เงินยังไม่ออก(แต่สลับไปมาเพื่อลดความเสี่ยง)"--จุดนี้ ผมตั้งข้อสังเกตว่า ต่างชาติ น่าจะคาดว่า "ตลาดต้อง อ่อนตัวลงมาก่อน" จึง "ปล่อยของบ้าง เพื่อรอเก็บที่ต่ำกว่า" แต่กลายเป็นว่า ยิ่งปล่อย "รายย่อย"ยิ่งรับ เพราะอย่างที่ผมบอก คือ ช่วงที่ผ่านมา รายย่อยกับสถาบัน ปล่อยหุ้นออกมาเยอะ ..โดยตอนนั้น"ตื่นตูม" ลืมนึกไปว่า พอขายไปถือเงินสด กลับอยู่ใน ภาวะที่แย่กว่า (เพราะผลตอบแทน ดอกเบี้ย สุดต่ำ) ตอนนี้พวกที่ปล่อย"ของออก" ไปก่อนหน้านี้ เลยพยายามตั้งตา รอเก็บ"ของคืน" ทำให้ ตลาดไม่ค่อยๆตก ..รอบนี้"ฝรั่งติดเต็มๆ" ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ
จุดนี้ถ้าถามผมว่า ตลาดถูกไหม ผมว่า"ถูก" แต่ถ้าดูจากเหตุการณ์ต่างๆ มันมีสิทธิ"ถูกได้อีก" อย่างตัวผมเอง ถือหุ้นกว่า 70% ของ Port ก็ถือว่า ผมมอง + มากกว่า - แต่ยังไงผมก็ยังมี Room ให้ช้อนต่อ "หากสถานการณ์ผลิก" วันนี้ผมมองว่า ต่างชาติที่เงินนิ่ง (น่าจะวาง Position ของ Port คล้ายๆผม) ดังนั้น เป็นไปได้สูงว่า Bottom ปีนี้ จะไม่ต่ำกว่า 650 จุด..(คือ ถ้าตลาดเข้าใกล้ 650 จุด ผมว่า "เทหมดหน้าตัก"..
ภาวะตอนนี้ เรียกได้ว่า ไม่ปกติ เพราะโดยมาก ถ้าตลาด Commodity ดี หุ้นจะไม่ค่อยดี... แต่กลับเป็นช่วงนี้ รัฐบาลทั่วโลกกระตุ้น และ ใช้นโยบายเงินผ่อนคลาย ส่งผลให้ "ตลาดหุ้นกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยปกติ" --ประกอบกับ(ในระยะยาว)เงิน US ต้องอ่อนอย่างแน่นอน นั่นยิ่งส่งผลให้เงินไหลออกจากอเมริกา มาสร้าง Bubble ในตลาดหุ้นเอเชีย(อย่างแน่นอน)ตอนนี้ นักลงทุนสถาบันกำลังจับตัวเลขของ การOver Bought ที่สูงเกินไป แต่จริงๆผมว่า เขาลืมมองว่า แท้จริงแล้ว เงินที่เข้ามาในหุ้นตอนนี้ มันไม่ใช่ทุกคน(มองบวก) เพราะเม็ดเงินส่วนใหญ่ยังจ้องรอที่จะเข้าเมื่อตลาดหุ้นตก --คุณคิดดู อย่างนี้หุ้นจะตกแรงได้อย่างไร!!.. ไอ้พวกที่รอ "double Dip" รอไปเลย.."ไม่ได้กิน" ผมมองว่า พวกที่เดาถูกตอนปี 2008 และออกก่อน ก็จะมี Attitude ที่ลบมากๆ ดังนั้น "พวกที่ออกทันตอนปี 2008 จะตกรถไฟปี 2009 ที่หุ้นขึ้นแรงเกือบทุกคน --พวกนี้ถามว่าตอนนี้ (ทำอะไร) ก็คือ รอ Double Dip จะได้เข้า ..สรุป คุณ คิดดูละกัน Sub prime ที่ผ่านมาผมว่า "ตบหน้าทุกคน" เพราะคนที่ออกทัน ก็จะเข้าไม่ทัน ..ส่วนคนที่ออกไม่ทัน ตอนนี้ก็ยังไม่กำไร.. ดังนั้น ไม่แปลกที่นักลงทุนส่วนมาก "ลังเล และคิดค่อนไปทางลบ" --ตามทฤษฎีผม "ชาวสวน" มาแน่...คุณรอดู!!! ---(((( Bottom ปีนี้ไม่น่าต่ำกว่า 650 จุด จากนั้น "พุ่ง" หายห่วง..เที่ยวนี้ รอรับ"เศรษฐีใหม่" กันได้เลย ...อาจเป็นคุณ!! จริงป่ะ))))....................

ทำไม"ลูกชาวนาไม่ฆ่าตัวตาย แต่ลูกเศรษฐีทำ"


ประเทศญี่ปุ่นยิ่งพัฒนาก้าวหน้าไปเท่าใด การ"ฆ่าตัวตาย"ก็สูงขึ้นเท่านั้น แต่แปลกไหมครับ ประเทศในแอฟริกา (หาข้าวกินแทบไม่ได้) แต่กลับดิ้นรนอยู่รอด ... จริงๆแล้วประเด็นมันอยู่ที่ "จิตใจ" --สมัยนี้ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าไปเท่าใด ยิ่งทำให้เราใช้แรงงานน้อยลง ..ซึ่งจะว่าไปแล้ว การพัฒนาให้ทำงาน"เกี่ยวกับสมองมากขึ้น" มันทำให้เราสบายขึ้นจริงหรือ??

ปัจจุบัน เรานั่งทำงานอยู่ที่โตะ ทั้งปวดหลัง สายตาเสียจากการจ้องคอม เครียดเพราะความกดดัน ทำให้กินจุ จนไขมันจุก ยิ่งแต่ละวัน การเดินนี่นับก้าวได้เลย(น้อยมากๆ) กลับบ้านไปนอนไม่หลับ ..มัวแต่คิดว่า พรุ่งนี้จะทำอย่างไร ให้ไม่ถูก"ด่า"

-- แต่ต่างกับ"ผู้ใช้แรงงาน" วันๆ แบกของ เดิน ..แบกของ ..หรือ ไม่ก็ ดำข้าว ..ปักข้าว ..ดำข้าว ..ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องคิดมาก พอกลับบ้านแรงหมด ก็หลับสบาย ร่างการแข็งแรงจากการทำงานที่ เสมือนการออกกำลังกาย พอเหงื่อออกมันก็เป็นการลดความเครียด และลดไขมัน ..

สรุปว่า ยิ่งเราวิ่งเข้าสู่ "Knowledge Worker" ก็เหมือนเรา นำตัวเองไปสู่ "จุดเสี่ยงของชีวิตนั่นเอง"...มาย้อนนึกถึง แนวทาง เศรษฐกิจพอเพียง ก็เป็นอะไรที่"น่าสนใจ" แต่ก็ทำยากกก.... "เซ็ง" กับการพัฒนาของโลกจริงๆ ยิ่งพัฒนา "จิตใจ"เรายิ่งแย่ไปเรื่อยๆ..ไอ้เรื่อง"กิน"นี่ก็"เซ็งจัดๆ" สมัยนี้เดินไป ไม่ถึง 5 ก้าว ต้องเจอ ร้านอาหาร ร้านน้ำ ร้านกาแฟ ขนม...เดินอีก 10 ก้าวเจอ 7-11 "สะดวกอิ่มอีก" ไม่รู้"มันจะให้ กูกินไปถึงไหน!!"...

ผมว่าอีกหน่อย ใครอยากรวย ให้ไปคิด "อุโมงค์ดูดไขมัน" คือ พอก้าวเดินไป 5 ก้าว แวะซื้อกาแฟกินขนม จากนั้น อีก 2 ก้าวก็แวะ "อุโมงค์ดูดไขมัน" แล้วก็ออกมา "กินต่อ" แล้วก็ "ดูดต่อ" ผมว่าน่าจะ รุ่งไม่แพ้ 7-11 แน่นอน ...หุ หุ หุ

.... แต่ไอ้เรื่องเครียด จากงาน"ที่ใช้สมอง"นี่ไม่รู้จะแก้อย่างไร เพราะมัน สัมพันธ์กับรายได้ --เพราะยิ่งรายได้ดี งานยิ่งเครียด จะได้มีเงินมากๆ มาซื้อ อาหารดีๆกิน จะได้"อ้วน" แล้วมีเงินไป สถาน"ลดความอ้วน"ไง

--รู้สึกชีวิต มันไร้สาระจริงๆเลย..... "วงจรอุบาทว์" แต่ยังไง..ผมก็ยังอยากรวยจะได้ซื้อบ้านแพงๆ มาให้"คนใช้"อยู่ และซื้อรถแพงๆ มาให้"คนขับรถ"ขับ และเหลือเงินเยอะๆ ไปให้ลูกผลาน เล่น คือ เราต้องตั้งใจทำงานหนักๆหาเงินเยอะๆและก็ประหยัดๆ.. จะได้มีเงินให้ลูกไปซื้อ Ferrari (แล้วลูก..จะได้กร่าง เอา Ferrari พาสาวไปเที่ยว Pub พอใครซ่า มันจะได้เอาปืนมาจ่อ "ยิง" แล้วค่อยใช้เส้นใหญ่ๆของเรา ไปช่วยไม่ให้มันอยู่ใน"คุก") ขำจริงๆ ชีวิต......

รัฐบาลเตรียมแจกคนละ 3,000 บาท "เงินตบม๊อบ"


ข่าวล่า รัฐบาลเตรียมแจกเงินลูกจ้าง...ได้รับผลกระทบจาก"การชุมนุม" ซึ่งก่อนหน้านี้เตรียม อุ้มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ --- จุดนี้ผมมองเป็นการเดินเกมของรัฐบาลที่ฉลาด แต่"มันตั้งอยู่บนภาระของใคร" ถ้าวิเคราะห์มันชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลพยายามลดความกดดัน ...สำหรับคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงโดยการเอา"เงินฝาด" --คิดดู เงินใคร (ก็เงินคุณไง..ภาษี!!) ดังนั้น ถ้าแรงกดดันจาก"คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง"ลดลง จะทำให้รัฐบาลสามารถดึงเกม"ยื้อต่อ"

ถ้ามองให้ดีทั้งสองฝ่ายต้อง"ใช้เงิน"หนุนทั้งนั้น --"เสื้อแดง ก็จากคุณ ทักษิณ และก็ผู้สนับสนุนที่หวังผลเลิศจากการเปลี่ยนแปลง" ส่วนรัฐบาล ก็เงิน(ภาษีคุณ!!)เอามาแจก --(ถ้าดูที่เม็ดเงิน--รัฐบาลดูจะได้เปรียบกว่าหน่อย)--สรุปว่าไม่ว่าทางไหน เงินมันก็สะพัดออกมาอย่างมากมาย

...จะว่าไปแล้ว ดูไปดูมามันจะเข้าข่าย "แข่งลูกอึด" ใครทนกว่าชนะ หรือ ไม่ก็ฝ่ายไหนเงินหมดก่อนก็"แพ้"ไป...ตอนนี้ยิ่งมีข่าว คุณ ทักษิณ (หายไป) ไม่รู้ช่วง"หน้าสิ่วหน้าขวาน"เยี่ยงนี้ จะเดินทาง ไปหาอะไร สงสัย คุณ ทักษิณ คงมี ธุระ ที่สำคัญกว่า "การชุมนุม" --คุณว่ามัน Make Sense อะเปล่า!!!..(ผมว่า มันมีอะไรที่ เป็นเงื่อน..หรือ คุณทักษิณ จะ หลอกคุณ อภิสิทธิ์ ว่า"ป่วย" คุณอภิสิทธิ์ก็เลย"(((รอ)))ไม่สลาย.. การชุมนุม

เพราะรู้ว่า ถ้าคุณทักษิณป่วยหนักตามข่าวจริง เหตุการณ์มันก็จะจบเร็วๆนี้" แต่ถ้ามัน กลายเป็น "เกม" หลอกกันไปกันมา --แล้วลูกเมียนายก หายไป (อาจบินไปกินกาแฟ)กับ ครอบครัว ชินวัตร ที่ออกจากประเทศไปตอนนี้อย่างกะทันหัน(ทำไมกัน??).. หุ หุ

ผมว่า จริงๆ คนไทยใน"สันดาน" ไม่ได้บ้ารักอุดมการณ์อะไรกันมากมาย ซึ่งถ้ามองให้ลึก "เงิน" น่าจะเป็นปัจจัยหลักในการ ขับเคลี่อน"ขบวนการป่วนเมืองในวันนี้" เพราะตอนนี้หลายคนที่ใส่"เกียร์ว่าง"คือ รอให้ชัดก่อนว่า "กูจะเลือกฝ่ายไหน

...ซึ่งเมื่อผล แพ้ชนะมันชัดเมื่อไหร่ เหตุการณ์มันน่าจะจบอย่าง"เร็ว" พอเลือกข้างได้ ประเทศก็ไปต่อ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน!!---ไม่ใช่อย่างที่นักวิเคราะห์ต่างชาติที่ออกมาวิจารณ์ว่า ถ้าจบการก่อการร้ายจะลงดิน (ทำยังกับเราเป็น สังคมป่าเถือนแบบพวกแขกไปได้)

วันนี้เงินที่"สะพัด"อยู่เบื้องหลังความวุ่นวายนี้ ผมเชื่อว่า"มหาศาล" และ การเปลี่ยนแปลง ความมั่งคั่งในระบบ เพราะครั้งนี้ ผมมองว่า "แต่ละฝ่าย" เทกันหมดหน้าตัก --ถ้ามองให้"ขำๆ" มันก็"มันส์ดี"นะ ...แต่ระวังโดนลูกหลง เดี๋ยวจะเลิก"มันส์" หุ หุ หุ...

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

จากประสบการณ์(ตอนที่ 1 เปิดร้านอาหารในต่างประเทศ)



วันนี้ขอเอา"ความหลัง"มาเล่า ..ผมอยู่ Australia ประมาณ 5 ปี เปิดร้านอาหารไทยไป 5 สาขา เริ่มตั้งแต่ตอนแรกซื้อร้านต่อจาก คนไทย ที่นั้น เป็นร้านอาหารและ Take Away ประมาณ 50 ที่นั่ง ชื่อว่า Sawtell Thai เป็นร้านในเมืองเล็กๆติดทะเล ชื่อ Sawtell นั่นแหละ

จากนั้นก็คึก ขยายต่อ ไปเมืองใกล้ๆ Coffs Harbour คราวนี้เปิดร้านติดโรงหนัง เป็น Restaurant & Take away ขนาด 100 ที่นั่ง ชื่อ "Sawtell Thai" เหมือนกัน ..หลังจากเปิดได้ 2 ร้านก็คึกหนัก คราวนี้เปิดต่อ อีก 2 สาขา ที่เมือง Moonee Beach และก็ Umina Beach แต่สองร้านใหม่นี้ เปลี่ยน Concept จากร้านธรรดามาเป็น ร้าน Noodle Box คือ เป็น Take Away อย่างเดียว ใส่ใน Noodle Box สุด Hip

--จากนั้นก็คึกต่อ ขยายร้านที่ 5 ที่ Wyoming สรุปไม่ถึง 3 ปีผม "บ้าขยายไปถึง 5 สาขา ภายใต้ Brand "Sawtell Thai" เรียกได้ว่า เป็น Chain ร้านอาหารไทยที่ "เท่ห์มากๆ " เพราะทุกร้านแต่งด้วย Concept แบบ Comtempory Modern ใช้สีเดียวกันทุกสาขา คือ Oriental Red ตัดกับ เทา แบบร้าน Dernๆ

--ซึ่งสรุป 3 ปี ใช้เงินเริ่มต้นจากบ้านผมช่วย แล้วก็ "กู้หนี้หัวบาน" ต่อ รวมหลายสิบล้านบาท -- ช่วงแรกก็ "แจ๋วมาก ..Boom สุดๆ" จากนั้นโชคผมดีจัด เกิด วิกฤตเศรษฐกิจ ..คน Australia ลดการกินนอกบ้าน -- ผมถึงกับ"กระอัก" รายได้ลดเยอะมาก ..เพราะทุกร้านต้องมี Manager ดูแล และก็จ้างChefs ทำให้ผมไม่สามารถลดต้นทุนลง

--- ในที่สุดผมก็เจอเต็มๆ สุดท้ายต้องตัดใจ ปิดกิจการบางส่วน แล้วก็ประนอมหนี้ ภาษี สรุปทุกอย่างอักผม จนน่วม ช่วงนั้น ผม"จิตตกมาก" เกือบ "ฆ่าตัวตาย" เพราะผมรู้สึกผิด ต่อที่บ้านมาก ที่ ตอนร้านแรก ที่คืนทุน แทนที่จะส่งกำไรคืน "คุณแม่" ผมกลับเอาเงินนั้น มาลงขยายต่อ แถมกู้หนี้เพิ่มอีกเยอะ

..วิกฤตคราวนี้มันสอนบทเรียนให้ผมในราคาที่สูงมาก ผมรู้เลยว่าเวลา"ปัญหามันถาถมเข้ามา มันเข้ามาทุกอย่างจริงๆ" ซึ่งระหว่างนั้น ผมลงทุน กิจการ"โรงงานกระจกกับเพื่อนใน Sydney ด้วย" ซึ่งปัญหาทุกอย่างมันก็ถาถม พร้อมกัน -- มันทำให้ผมเข้าใจว่า ทำไมบางคนถึง "ไปโดดตึกตาย"

---หลังจากวิกฤต ผมปิดร้านอาหารไป 3 แห่ง เหลือ สองแห่ง ซึ่งแบ่งให้ Partner สองคนดูแลแทน ตอนนี้สรุปเหลือร้านเดียว แต่ยังดีที่ ร้านนี้กลับมามีกำไร (และกำไรดีด้วย) และท้ายสุด ร้านที่เหลืออยู่ ก็คือ ร้านแรกที่ผมเริ่มทำนั่นเอง --ทุกอย่างมันกลับมาสู่"จุดเริ่มต้น" วันนี้เราเปลี่ยนชื่อร้านใหม่เป็น Thai Tales แล้วก็เปลี่ยนรูปแบบ และ Concept ร้านใหม่ แต่ยังคง เป็น Modern Style Cooking เช่นเดิม ปัจจุบันเราเปลี่ยนเป็น Licensed Restaurant ซึ่งสามารถจำหน่วย Alcohol ได้ .

.วันนี้ทุกอย่างมันได้หล่อหลอมให้ผมกลับมามองที่ Bottom Line เป็นหลัก และเริ่มคิดตั้งแต่ Cost per Square Meter เลย คือ มองเลยตั้งแต่เนื่อที่ร้าน 70 ตร.ม. ผมสามารถทำกำไรได้เท่าไหร่กับทุก บาททุกสตางค์ ที่ผมลงทุน เพราะใน Retail ทุก "ตารางเมตร" มันคือ ต้นทุนของผู้ประกอบการ

--ประสบการณ์การ Deal กับ Landlords เจ้าของที่.. ตั้งแต่ เจ้าของเล็กๆ ไป จนถึงบริษัทใหญ่ๆอย่าง Coles Myer ในห้างผมก็ Deal มาหมดแล้ว เรียกได้ว่า Deal กันตั้งแต่ ขอเปิดร้าน จนขอปิดร้าน ชดใช้ค่าเสียหายกัน จบขบวน life Cycle ของกิจการในเวลารวดเร็ว , การ Deal กับ Council ตั้งแต่การ ติดต่อ ขอก่อสร้างร้าน ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งต้องผ่าน Food Standard นับว่า หินมากๆ ต่างจากการเปิดร้านอาหารในบ้านเราอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น การเข้ามาคุมคุณภาพของ Food Safety ที่สอนการดำเนินร้านที่ถูกอนามัย

ซึ่งผมคิดไม่ออกเลยว่า ถ้าระเบียบแบบนี้มาใช้บ้านเรา ..ผมว่าร้านกว่า 90% ต้องปิดกิจการแน่ๆ และที่สุดปวดหัว ก็คือ "ไอ้ฝรั่งโง่อวดฉลาด" ที่ผมต้องจ้างมาทำงาน เป็นอะไรที่มันหัวหมอสุดๆ ทั้งเล่นแง่ ทั้งอู้ ลูกเล่นสารพัด จนมาถึง คนไทยซื่อๆ ในบ้านนอก ที่ผม Sponsor เพื่อ หมายมั่นปั้นว่าจะสร้างให้เขาเป็น Chefs ที่ดี สรุป ทำให้ผมปวดหัว กับ ความขี้บ่น ขี้เกียจ และ เล่นแง่ หัวหมอ ไม่แพ้ฝรั่งเลย

สรุป 5 ปี ที่อยู่ใน Australia มันเป็น"บทเรียนที่แพงสุดๆ" จากที่"แม่" ส่งผมไปเรียน ปริญญาโท เฉยๆ ผมกลับแบก ปัญหาผลาญเงิน เรียกได้ว่า "แกว่งเท้าหาเสี้ยนจริงๆ" หลังจาก 5 ปี ผมได้กลับมาเมืองไทย โดยให้ partner ดูแลร้านอาหารสุดท้ายที่เหลืออยู่ ส่วนโรงงานกระจก ก็ลุ่มๆดอนๆ แต่ยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็ยังรอเงินทุนที่จะมา Commercialized ใน New Technology เกี่ยวกับการ Laminating Glass ซึ่งเป็นอะไรที่ยังอีกไกล กว่าจะทำเงิน

--หลังจากความ"หนัก" ที่ผมได้ประสพมามันได้สอนให้ผม"มองโลกในแง่ร้ายที่สุด" แต่หลังจากที่ผมกลับมาเมืองไทย ก็ได้เข้าทำงาน ธนาคารกรุงเทพ ในตำแน่งที่ หลายๆคนอิจฉา ในความสบาย --สบายจนมีเวลาเล่นหุ้น ..หลังจากผมกลับมาเมืองไทย 2 ปีก่อน ผมได้ทุ่มเวลาศึกษาหุ้น โดยหาข้อมูลอ้างอิงอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการลงทุนในหุ้น ธนาคารกรุงเทพนี่แหละ เล่นตั้งแต่ 60 บาท ยัน 100 บาท จนตอนนี้เปลี่ยนไปพลังงานแทน

--ผมพลาดโอกาสหลายๆตัวที่สำคัญ คือ ธนาคารทั้งหมด และก็ SCC ซึ่งผมถือว่า เป็นค่าโง่ ที่รับได้ เพราะปี 2008 ผมกำไรนิดหน่อย ในขณะที่ตลาด"พังทั้งตลาด --Sub Prime ที่เห็นๆคือ พวกมืออาชีพ เละกันระนาว" แต่พอมาปี 2009 ผมกลับกำไร แค่ 30% ในขณะที่ตลาดวิ่งกว่า 60%

--ซึ่งตรงนี้ก็สอนผมให้รู้ว่า "มุมมองของคนมัน Extreme เกินไป และนั้นคือ Problem ทีทำให้คนส่วนใหญ่ขาดทุน " และจากนั้นผมก็ยึดนโยบาย "ชาวสวน" ตลอดมา...

"Commodity Bullish--Stock Bearlish"


วันก่อนผมอ่านหนังสือ อีกเล่มของ Jim Rogers --"A Gift To My Children" ..จริงๆผมอ่านหนังสือของ Jim Rogers มาหลายเล่มแล้ว ตั้งแต่ "Hot commodities", "A Bull in China" คือเขาเป็นนักลงทุนที่ร่วมก่อตั้ง Quantum Fund กับ จอร์จ โซรอล นั่นเอง

--ผมชอบแนวคิดของ Jim มาก เพราะปกติคนที่สำเร็จ ย่อมมีแนวความคิดที่ไม่ธรรมดา --(และมันก็ ไม่ธรรมดาจริงๆ).. เพราะทุกอย่างที่เขาคิด หรือ ลงทุน มันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ(ชาวสวน) และ"นั่นคือ จุดที่ทำให้เขาสำเร็จอย่างมหาศาล" --เขาตั้ง Rogers Commodities Index ปี 1998 เพื่อใช้เป็นดัชนีชี้วัดผลตอบแทนจากตลาด Commodity ซึ่งตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา Index นี้พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องชนะหุ้นกระจุย หรือ ที่เขาเรียกว่า Commodity Boom นั่นเอง --เขากล่าวว่า "Commodity" กับ "หุ้น" จะวิ่งสวนทางกัน

..โดยที่ Cycle ของ Commodity จะขึ้นลงเป็น Cycle ทุกๆ 14 -23 ปี โดยทุกครั้งที่ Commodity ดี หุ้นจะไม่ค่อยไปไหน เพราะที่เราทราบกันดีว่า Commodity ล้วนเป็นส่วนประกอบที่อยู่ในส่วนของต้นทุนของบริษัทต่างๆ ดังนั้น เมื่อ Commodity ขึ้น ก็เท่ากับว่าต้นทุนของบริษัทต่างๆ ย่อมสูงขึ้น ทำให้กำไร"แย่ลง" ดังนั้น หุ้นก็จะไม่ไปไหน (ซึ่ง Commodity Boom รอบนี้ เขาคาดว่า น่าจะไปสิ้นสุดระหว่างปี 2014 - 2022 ตามสถิติที่ผ่านมา)

ซึ่งจุดนี้ผมมองว่า เป็นอะไรที่สอดคล้องกับ "แนวคิดเกี่ยวกับ Asian Miracle 2 .. ที่ผมคาดว่าน่าจะเกิดในไม่ช้า" คือ ถ้าเรามองตลาดในขณะนี้ แม้ Commodity ราคาแพง แต่บริษัทกลับทำกำไร ไม่ได้แย่ไปกว่าปกติ (เห็นได้จาก dividend Yield ของบริษัทต่างๆในตลาดเรา ให้ผลตอบแทนที่สูง ทั้งนี้ ผมมองว่าเป็นเพราะ ต้นทุนการเงินที่ต่ำ ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลง
ส่งผลให้ต้นทุนการเงินของบริษัทลดลง ประกอบกับการลดต้นทุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทำให้ไปชดเชย กับ ต้นทุนวัตถุดิบ Commodity ที่แพงขึ้น)

ดังนั้น ถ้ามองให้ยาวขึ้น --หากราคา Commodity ลดลงเมื่อไหร่ ก็น่าจะนำมาซึ่งกำไร ของบริษัทต่างๆในตลาดที่ดีขึ้น --หุ้นก็จะขึ้นตาม ซึ่งจะหมายถึง Stock Market Boom แรงๆอีกครั้ง

ดังนั้น สรุปได้ว่า หากเราลงทุนซื้อหุ้นวันนี้ แล้วถือไปเรื่อยๆ ก็มีโอกาสสูงที่ในอนาคตอันใกล้ เราจะได้รับอานิสงค์ของ Bull Market ทำให้เรา"รวยได้ไม่ยาก" แต่หากเรารอไปเรื่อยๆ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับกำไร ของบริษัทที่ดีขึ้น (จุดนี้หมายถึง คุณได้ซื้อหุ้นในราคาถูก ซึ่งนับวัน บริษัทที่คุณถือ ก็จะให้กำไรและปันผลดีขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆกับ ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นเรื่อยๆ)

...อีกจุดยังต้องดูให้ดี คือ แล้วบริษัทอะไรที่ "น้ำมัน" ที่ได้รับประโยชน์จาก Commodity Boom ---แต่ยังจะคงดี เมื่อ Commodity Bust หรือไม่ -- อย่าง"โรงกลั้น" ถ้าราคา "น้ำมันร่วง" มันหมายถึง Stock Loss อย่างมหาศาล (อย่างในปี 2551)ดังนั้น ถ้าราคา"น้ำมัน"ลงแรง มันไม่สามารถหาต้นทุนใดมาลดได้ คือ "ขาดทุน" แต่หาก Commodity ยัง Boom ต่อ นั่นก็คือ โรงกลั้นจะกำไรอย่างต่อเนื่อง

--ดังนั้น เมื่อ Commodity เริ่มลงเมื่อไหร่ นั่นหมายถึง คุณควรเริ่มลงทุนในหุ้นที่ ได้รับประโยชน์ เช่น สายการบิน , การท่องเที่ยว , การผลิตอาหารการกิน , การผลิตต่างๆ ---สรุป"อยากรวย--ไม่ง่าย" การลงอะไรก็ต้องรู้จังหวะ คือ ถ้าหลับหูหลับตาก็ขาดทุนได้เหมือนกัน...

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

กฏแห่งความมั่งคั่ง


ทฤษฎี "ความมั่งคั่ง" ในแต่ละยุคสมัย ก่อกำเนิดด้วยวิธีการที่ต่างกัน --โลกเลยก็..วัดกันที่พลัง ใครมีพลังทำนาได้อึด ก็"มั่งคั่ง"กว่าคนอื่น ..ยุคต่อมาเริ่ม"มีเทคนิค ..ก็เทคโนการเพาะปลูกนั้นแหละ"

(ว๊าบบ...มา ก่อนหน้านี้) คนรวยด้วยการเก็งกำไร --"คนจีนค้าขายในเมือง ที่รวยไม่ใช่ค้าขายขึ้น กลายเป็นว่า ขายที่ดินกลางเมืองแล้วรวย ...พวกพ่อค้าเหล็ก มีที่ติดเจ้าพระยา ขายเหล็กแทบเจ๊ง แต่ขายที่ดินเลยรวย...พวกแขกซื้อที่ดินถูกๆชานเมือง เลี้ยงวัว รีดนมมาขาย สรุปขายที่ดิน เลยรวย"

สรุปเลยว่ายุคที่ผ่านมา (กฏแห่งความมั่งคั่ง) คือ การ"วิ่งไปอีกทางนึง" ส่วนไอ้พวกที่หาเงินจากน้ำพักน้ำแรง จาก"เงินเดือน" เก็บแทบตาย ยังไงก็ไม่รวย ..(อ้าว)..อย่างนี้ ไปเลี้ยงวัวได้ ป่ะ...

มีเรื่องเล่า ของ"ลุงคนนึง" ทำงานเสร็จ ซื้อทอง ซื้อตั้งแต่ทองบาทละ 400 วันนี้ทองเกือบ 18,000 --"ตาลุง"นี่ รวยไปเลย --ประเด็นคือ แก ชอบทอง แกมองว่า "เงินยังไง ก็คือ กระดาษ ..สรุปว่าแก(คิดถูก)ในขณะที่คนส่วนใหญ่ (งง)ไปเลย"

ผมรู้จักเพื่อนคนนึง บ้านมันรับราชการตั้งแต่รุ่น"ปู่" --คุณ คิดดู รับราชการเงินเดือนสุดต่ำ แต่ ไหง..มีพันล้าน --สรุป มันขายที่ บ้านเก่า กลาง สุขุมวิท --(งง) ไปเลย

..ผมถามว่า ไอ้ที่มันรวยนี่ "ปู่มึงวางแผนไว้ใช่ไหม" ..มันหัวเรอะ ฮิ ฮิ มันบอก"ปู่กู เขียน Business Plan ไว้ว่า ซื้อที่ดิน 1,000 บาท ตอนนั้น เพื่อเป็นมรดกให้กูขาย 1,000 ล้าน นี่ไง --(อึ้ง!!)ลงทุนอะไร ได้ บาทละล้าน ผมว่า Warren Buffet ยังแพ้ปู่มันเลย ....

อนาคตธนาคารไทย


วันนี้ธุรกิจธนาคารเข้ามาสู่ยุค"เลิกเป็นเสือนอนกิน"เพราะแข่งกันดุ --วันนี้ธนาคารใหญ่ 3 ตน ( BBL/KBANK/SCB)ผู้มีต้นทุนเงินต่ำสุด มุ่งสู่การหา Product ที่ให้ Margin สูงๆมากขึ้น เช่น Credit Card หรือ Personal Loan แต่ท้ายสุดก็ตัดลูกค้ากันจนทุกคน (แดง)เถือก--"ขาดทุน"

ตอนนี้แม้ว่า ดอกเบี้ยนโยบายยังไม่ขึ้น แต่ธนาคารต่างๆก็ไม่ได้กำไรมาก เพราะตลาดหด และ การตัดราคากันเอง เป็นสาเหตุ --วันนี้ ธนชาติ ฉีกหนี"การแข่งขัน" โดยการ Take นครหลวง--หวังให้ต้นทุนเงินต่ำลง แต่ปรากฎ take ไปเอา"ขี้"หนี้เน่า เข้าไปมากมาย ถึงกับสะอึก --วันนี้ ผมมองว่า "ใครยิ่งดิ้นงูยิ่งรัด..สรุปดิ้นมาก จะตายก่อน"

"การเงินการธนาคาร" วันนี้สลับกันเอา ธนาคาร 3 ใหญ่ ผลัดกันเป็น"ธนาคารดีเด่น" อยู่ที่ว่า ช่วงไหนใครหยอดเงินให้ มากกว่า(อ้าว..เป็นงั้น) ตอนนี้ผมมองว่า Product ธนาคารต่างๆมัน "ไปไหนไม่รอด" เพราะมันไม่ตอบโจทย์ "ความต้องการของลูกค้า"

ผมว่าเดี๋ยวนี้ ธนาคารต่างๆรั้งลูกค้าด้วย"บุญเก่า" ถ้าเปรียบกับ คนก็เหมือน "คนป่วย"ต่อสาย ใน ICU ...คุณ เห็นไหมเดี๋ยวนี้ "เดินเข้า Bank ปั๊ป.. เขาขายประกันคุณทันที ..ไอ้ Bancassurance ที่เขาบอกว่า"เงินออมเพิ่มค่า..หุ หุ หุ.."

เด๋ียวนี้ใครเข้าทำงานธนาคารเตรียมใจได้เลย งานหลักคือ "ขายประกัน" ถ้าคุณคิดว่า"จะขายไม่ได้..ไม่ต้องมาทำธนาคาร" บริการวันนี้ผมว่ามันงานบังหน้า "การขายนำ" --ถ้าขืน ธนาคารบ้านเรายังแข่ง ตัดราคา โง่ๆแบบนี้ ผมว่าในไม่ช้า ฝรั่งมาซื้อธนาคารเราไปหมดแน่.. ตอนนี้ฝรั่งเขาวิกฤต แต่กำลังปรับดีขึ้นเรื่อยๆ ..บ้านเราไม่มีวิกฤต แต่เราปรับตัวเน่าขึ้นเรื่อยๆ

ทางออกวันนี้ ผมว่าอยู่ที่ "Customer" ถ้าธนาคารยังตอบไม่ได้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ...(แล้วลูกค้าต้องการอะไร) ...ใช่(คุณน่ะ) ..ผมต้องการธนาคารที่บริการดี ไม่เน้นขายสินค้า(ที่ผมไม่ต้องการ)

ทำไมธนาคารไม่เคยฟังว่าผมต้องการอะไร ..หน้าที่ธนาคารคือ "support" ผม ทุกเรื่องเกี่ยวกับการเงิน --"ผมไม่ได้ต้องการธนาคารเป็นร้านโชวห่วย" จุดประสงค์หลักผมคือ ผลตอบแทน --ผมจะใช้ก็ต่อเมื่อผลตอบแทน "คุ้มค่า" ในความหมายของ "คุ้มค่า" ไม่จำเป็นต้องผลตอบแทนสูงที่สุด แต่ต้องมี Product support กับช่วงจังหวะต่างๆของการลงทุนของผม

--ผมต้องการความ"ยืดหยุ่น" เช่น เงินผมออกมาช่วงนี้ ผมก็ต้องการProduct support ไม่ใช่ต้องรอ ให้ธนาคาร "พร้อมที่จะออก" ----การสื่อสาร วันนี้ผมต้องการ One stop service ต้องการคนดูแลที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ไม่ใช่ "ผมเดินเข้าธนาคาร มีพนักงานกรูเข้ามา ขายสิบ Product แต่ละ Product ก็ไม่ได้เอาไหนเลย" คือ วันนี้ผมไม่ได้โง่ "ผมรู้จักเปรียบเทียบ" ย้ายบัญชีเงินไม่ใช่เรื่องยาก ดังนั้น "ระวังให้ดี"

พูดไปก็แก้ยาก ..ธนาคารใหญ่เป็นเสือนอนกินมานาน ยิ่งตอนนี้รัฐบาลยังคงอัตราดอกเบี้ย ยิ่งทำให้ธนาคารไม่ร้อนตัวนัก ..ต่างคนต่างใช้ "แมนเดลา Way" คือ ช้าอดทน ..ไม่ทำอะไร

---ถ้าให้ผมลงทุนในธนาคารผมเอาธนาคาร เลือกธนาคารเล็กๆอย่าง KK , TCAP ดีกว่า ผมมองว่า ธุรกิจทุกวันนี้ (ต้องมีจุดยืนที่ชัด) การเป็นตัวใหญ่แต่จับฉ่าย ผมว่าไร้ค่า "วันนี้เล็กๆแต่ Focus นี่แหละของจริง"

---นักลงทุนต่างประเทศมองว่า "พลังงาน" กับ "ธนาคาร" น่าลงทุน แต่ถ้าให้ผมฟันธงผมเลือก"พลังงาน" ส่วนใครจะซื้อหุ้นธนาคารใหญ่ๆ ผมว่า คุณไปซื้อบริษัทลูกของธนาคารนั้นๆดีกว่าไหม (อย่าง BBL หุ้นไม่เคยไปไหน ปันผลสุดแย่ แต่ดูบริษัทลูกๆ อย่าง Finance ในเครือ หรือ BLA ซิ..แจ๋ว Capital Gain ก็เยอะ ปันผลก็ดี อนาคตก็ใส คือ เล่นสั้นผมว่า ธุรกิจ"กาฝาก"อย่างนี้แจ๋ว แต่ระยะยาว พอได้กำไรก็กลับมาซื้อตัวแม่ภายหลัง ..เวลานี้ ถอยก่อนดีกว่า )

(ชำแหละตลาดหุ้นไทย)--มอง"ตลาดหุ้น"ให้เป็น (ตอนที่1)


การซื้อหุ้นหลายคนเข้าใจว่าเหมือน"เล่นการพนัน" คือ ซื้อๆขายๆ กำไรเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆแล้ว ตลาดหุ้นที่แท้จริงคือ "การลงทุนซื้อส่วนหนึ่งของกิจการ" ดังนั้น การจะเข้าซื้อ เราต้องวิเคราะห์ก่อนว่า กิจการนั้นๆมีความมั่นคง และการเติบโตเป็นอย่างไร ..ไม่ใช่เล่นตามข่าว ยิ่งบ้านเราตลาดเล็ก ทำให้ปั่นหุ้นได้ง่าย

..ตลาดบ้านเรามักมี"ขาใหญ่" ที่คอยปั่นสร้างข่าว แล้วก็ซื้อเยอะๆดันราคาขึ้นไป รอดักแมลงเม่าที่เข้ามาติด ซึ่งตัวที่"ขาใหญ่"ชอบคือ กิจการที่ดี แต่ Volume ต่ำๆ (มักจะเป็นกิจการขนาดเล็ก)--หุ้นแบบนี้ นักลงทุน(หน้าใหม่)มักมองว่าเป็นหุ้นแบบ Value Investor คือ หุ้นเล็ก ผลประกอบการแน่นอน และปันผลสม่ำเสมอ แต่พอเอาเข้าจริง "หุ้นเหล่านี้" ราคาไม่เคยไปไหน เพราะต่างชาติหรือกองทุน เขาไม่เล่น เพราะ"เล็กเกินไป"

หุ้นเหล่านี้จึงเป็น"แหล่งทำเงินของขาใหญ่" เพราะการที่กิจการดี การปั่นราคาจึงเป็นเรื่อง"สมเหตุสมผล--คือ เอาผิดเขาไม่ได้" ..วิธีง่ายๆคือ ซื้อเยอะๆ ดันราคาขึ้นไป แล้วรอให้พวก(หน้าอ่อน) แมลงเม่าเข้ามาซื้อตาม นึกว่าของดี สุดท้ายก็ติดอยู่ข้างบน (พวกแมลงเม่าที่ซื้อก็ปลอบใจตัวเอง ว่าผมเป็น Value Investor เพราะได้ปันผลสูง แต่หารู้ไม่ว่า "ติดหุ้นที่เขากำไร จากการปั่นราคาไปแล้ว"

วิธีดูง่ายๆ สำหรับหุ้นที่ "น่าปั่น" คือ กิจการดีขนาดเล็ก Volume ซื้อขายต่ำ ปันผลดี แต่ P/BV ต่ำ(ยิ่งต่ำกว่า 1 เท่า) ยิ่งน่าปั่น เพราะถ้าปั่นให้ P/BV ขึ้นไปสัก 3 -4 เท่า ก็ไม่น่าเกียจ

--สรุปเห็น หุ้นพวกนี้ คุณก็ต้องชั่งใจเอง ถ้าคุณแน่คุณ ต้องเก็บ"ก่อนเขาปั่น และต้องออกให้ทัน" ผมบอกได้เลยว่า 99% ของรายย่อยที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ "ซื้อหลังจากที่เขาปั่นราคาไปแล้ว..แต่พอติด ก็มักหลอกตัวเองว่า ตัวเองเป็น Value Investor ผมว่ามัน ฮา ...มากกว่า (บ้านเรามี โง่อวดฉลาดเยอะ ทำให้ตลาดบ้านเราเต็มไปด้วยแมลงเม่า ที่เรียกตัวเองว่า Value Investor กั๊ก กั๊ก....หุ หุ หุ...

ในภาพรวมตลาดหุ้น ถ้าคุณเข้าใจ จะรู้ว่า ไม่มีใครที่ กำไรตลอดกาล หรือ ขาดทุนตลอดกาล เพราะคนที่ซื้อหุ้นราคาถูก ก็คือ คนที่ติดดอยทุกคน แต่ที่ต่างมันคือ "ระยะเวลาที่ติดดอย" --ส่วนคนที่"ไม่เคยติดดอย" ก็คือ คนที่"ไม่เคยซื้อหุ้นในราคาถูก"นั่นเอง...

ทางออกประเทศไทย


"ทางออกประเทศไทย" ผมว่า แทนที่เราจะช่วยกันหาคำตอบ (เครียดเปล่าๆ) ปล่อยให้"คนที่สร้างปัญหา"แก้ไขกันเองดีกว่าไหม..ผมว่าวันนี้ สังคมไทย พยายามตอบคำถาม เสนอทางแก้ "บ้าบอ".. (คนที่รู้ข้อมูลจริง..ว่าอะไรเป็นอะไร อะไรอยู่เบี้องหลัง ก็คือ คนที่มีอำนาจตัดสินใจ --ปล่อยให้เขาแก้เถอะครับ อย่าเอาตัวเราไปผูก)

--วันนี้ผมว่า คนไทย โดนดึง"ให้ต่ำ" เราถูกใช้เป็นเครื่องมือ ของ"กลุ่มผลประโยชน์" โดยที่เราไม่ได้อะไรเลย ไม่ว่า"ใคร"จะชนะ --เราก็ยังเหมือนเดิม ทำงานเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบเดิม ..ผมถามจริงๆเถอะว่า "เรา" ควรเอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับ"ผลประโยชน์คนอื่นไหม" --(ไม่เลย!! ไม่ควรเลย!!)

ในที่สุดแล้ว "มันก็จะผ่านไป" ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอะไร ท้ายสุดมันก็จะผ่านไป --- ผมว่า"คนฉลาด" ไม่ควรทำตัว"เป็นควายให้เขาใช้เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าทางใดก็ตาม" -- วันนี้"นักลงทุนที่ฉลาด" ผมว่าได้มองข้าม Shot ไปแล้ว ..คือ มองไปในอนาคตว่า หลังจากที่เหตุการณ์สงบแล้ว เศรษฐกิจ จะเป็นอย่างไร บริษัทที่เราลงทุนจะเป็นอย่างไร

..ในมุมมองของผม ประเทศไทย ไม่ได้เจริญเพราะ "การเมือง" หากแต่เจริญบนพื้นฐานของ"ผู้ประกอบการ" ซึ่งคนเหล่านี้คือ นักธุรกิจที่เป็น รากฐานของเศรษฐกิจที่แท้จริง ซึ่งมีในทุกอนุของเศรษฐกิจ

--ลองมองดูซิครับ ว่าวันนี้ "คนเหล่านี้" ได้รับผลอะไรจาก"ความวุ่นวาย" คือ แน่นอนทุกคนได้รับ"ผลกระทบ" แต่ถ้ามองให้ดี มันคือ การกระทบเพียง"ผิวเผิน"-- การผลิต การส่งออก (70% ของ GDP) ยังคงก้าวไปอย่างต่อเนื่อง ....ที่กระทบจริงก็คือ การบริโภคภายในและการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสิ่งที่ฟื้นตัวได้ไม่ยาก หากปัญหาต่างๆคลี่คลาย

วันนี้"ความใจเย็นของรัฐบาล"ทำไปด้วย "เกมที่เขาได้วางไว้แล้ว" วันนี้ปัญหามันเดินเพราะ "คนที่อยู่เบี้องหลัง" มีผลประโยชน์เป็นเครื่องจูงใจ --"การชุมนุม"ใช้ค่าใช้จ่ายสูง ความยืดเยื้อนั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่สูง --คุณนึกดู "เงินใคร" ..ไม่มีใครเอาเงินมาผลาญโดยไม่หวังผลตอบแทนหรอกครับ

--หลายคนมองว่า วันนี้คล้ายกับ"ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้" แต่จริงๆมัน"คนละประเด็น" เพราะผู้ก่อการร้ายภาคใต้ มีจุดประสงค์และการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน เขาขัดแย้งในพื้นฐานที่ต่างกัน ผลประโยชน์และเป้าหมายที่ต่างกัน ประเด็นจะคล้ายๆกับ อเมริกา กับ อิรัค นั่นแหละ

..แต่ปัญหา "เสื้อแดง" "เสื้อเหลือง" มันเป็นความขัดแย้ง บนเป้าหมายเดียวกัน คือ "อำนาจรัฐ" ดังนั้น มันก็คล้ายๆกับการแข่ง"ฟุตบอล"นั่นแหละ แต่ละฝ่ายก็ต้องใช้"เงินทุน" มุ่งสู่เป้าหมายคือ "ชัยชนะ" การดึง"นักเตะ"เข้าแต่ละฝ่าย เช่น สส.เพื่อไทย , เสธแดง , 3 เกลอ

--วันนี้"เสื้อแดง" ใช้การสร้างทีมฟุตบอลแบบ "อาสาสมัคร" คือ แต่ละคนที่เข้ามาร่วมทีม ต่างมุ่งสู่"เป้าหมาย"ของแต่ละคน ซึ่งถ้ามองแล้ว "ชนะยาก" ซึ่งถ้าให้มอง "ทีมเช่นนี้" ยากที่จะชนะ ถึงชนะก็เดินต่อไปยาก .วันนี้ผมมองว่า "คุณทักษิณ" ฉลาดมาก เพราะการสร้าง"เสื้อแดง"ในวันนี้ คล้ายกับการสร้าง"ไทยรักไทย"ในยุคแรก แต่ต่างกันตรงที่ คราวนี้ "ไม่มีหัว" จึงไม่มีทางที่ "ปฏิบัติการนี้จะสำเร็จได้"........

สรุปว่า เมื่อมองไปข้างหน้า ไม่ว่า ใครจะชนะ ใครจะมามีอำนาจ บ้านเมืองก็ต้องก้าวต่อไป การลงทุนในวันนี้ ในบริษัทที่ดี เป็นสิ่งที่ผมมองว่า ฉลาดกว่า การอยู่เฉยโดยไม่ทำอะไรเลย........

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

นายกอภิสิทธิ์ตัดสินใจอืดๆๆเพราะอ่าน" Mandela's Way"รึเปล่า


"ประวัติศาสตร์สร้างวีรบุรุษ หรือ วีรบุรุษสร้างประวัติสาสตร์" คือแค่ประโยคนี้"ก็โดน" คือมันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับผมเลย เพราะผมไม่ต้องการเป็นวีรบุรุษหรือ เป็นประวัติศาสตร์ แต่คุณ อภิสิทธิ์ไม่แน่ เพราะคุณอภิสิทธิ์อาจอยากเป็น "มะเร็ง"บ้าง เพราะ "เครียดแตก" ไม่รู้ว่าจะ ผ่าปัญหาทางการเมืองไทยอย่างไร ...เอาเป็นว่านั้นเป็นปัญหาของ "นายก"

--ผมว่าที่น่าสนใจกว่าคือ "เนลสัน แมนเดลา" (ประธานาธิปดีผิวดำคนแรกของแอฟริกาใต้ เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันดิภาพ และเป็นบุรุษที่ทั่วโลกยกย่องต่อการต่อสู้ปลดปล่อยแอฟริกาใต้ ด้วยสันติวิธี) สิ่งที่น่าทึ่งในตัว"แมนเดลา"คือ เขาติดคุกถึง 27 ปี ดังนั้น สิ่งต่างๆที่เขาสำเร็จและได้รับการยกย่อง คือ ภาพหลังที่เขาออกจากคุกในวัย 70 กว่าปีแล้ว

--ภาพที่เราๆไม่เห็นคือ การติดคุกกว่าครึ่งชีวิตทำให้แม่ของเขามองว่าเขา เป็นคนขี้คุก และแม่ของเขาก็เสียชีวิจตั้งแต่ เขายังอยู่ในคุก นั่นหมายความว่า ภาพที่เขาสร้างให้แม่เขาเห็นเป็นเพียงภาพความผิดหวัง ไม่ใช่ภาพความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่เราทุกคนเห็น

จุดที่น่าสนใจคือ ชีวิต เราต้องการให้คนที่เรารักเห็นว่าเราสำเร็จ หรือ เราอยากให้คนอื่นเห็นมากกว่า ..ผมว่าประเด็นนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง --คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมาก ภายหลังจากที่ พ่อแม่ จากไปเสียแล้ว เช่น Rain นักร้องเกาหลีที่สำเร็จสูงภายหลังจากที่แม่เขาตายไปแล้ว

--- แต่ก็มีอีกหลายๆคนที่ประสบความสำเร็จโดยที่ พ่อแม่ ยังมีชีวิตอยู่ อย่าง Bill Gates ก็ใช่ อย่าง ผู้ก่อตั้ง Facebook มาร์ค ซุคคาเบิกค์ ก็ใช่ เพราะเขาเป็นเศรษฐีในวัยยี่สิบต้นๆ ..สิ่งที่"แมนเดลา" ได้กล่าวไว้ว่า "ชีวิตนั้นยาวไกล" เป็นอะไรที่ลึกซึ้งมาก เพราะแท้จริงแล้วความสำเร็จของแต่ละคนไม่สามารถกำหนดได้ ว่าคุณจะสำเร็จเมื่อใด จากตัวอย่างที่กล่าวมา บางคนก็สำเร็จแต่ยังหนุ่ม (แต่ตอนแก่ อาจตกอับก็ได้)

บางคนสำเร็จในบั้นปลาย เช่น "แมนเดลา" หรือ แม้แต่ "อองซาน ซูจี" ซึ่งตอนนี้ก็ยังสู้อยู่ ..เราไม่อาจกำหนดได้ว่า คนที่เราอยากจะโชว์ความสำเร็จ จะได้เห็นความสำเร็จของเราหรือไม่ ---ดังนั้น เมื่อเราไม่สามารถกำหนดอะไร เราจึงไม่ควรอยู่เพื่อ"ความสำเร็จ"

--หลายท่านอาจจะ(งง) ว่า ถ้าไม่อยู่เพื่อความสำเร็จเราจะอยู่เพื่ออะไร ..และนี่เองคือ ตัวปัญหา --ผมว่ามนุษย์เรามุ่งสร้าง"ความสำเร็จ" โดยลืมนึกไปว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร --หลายคนบอก"ผมเกิดมาเพื่อเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ แต่จะมีสักกี่คนที่จะได้เป้นผุ้ยิ่งใหญ่ โลกนี้มีคนเป็นพันล้าน ..ทุกคนล้วนอยากรวย อยากยิ่งใหญ่ อยากมีอำนาจ --ผมถามหน่อยว่าปัญหาที่แท้จริง มันคือ คือ "ความอยากมี"จริงไหม ที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ เป็น"มะเร็ง"

วันนี้เรามอง คุณอภิสิทธิ์ คุณทักษิณ คนนึงมีอำนาจ คนนึงมีเงิน แต่ทั้งสองคนก็ล้วนไม่สามารถได้ในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ ..แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่ เขาสร้างการแตกหัก สร้างความเดือดร้อน --- จริงๆแล้วผมว่า วันนี้มนุษย์เรา ก้าวเกิน "ความพอดี" ปัญหามันอยู่ที่การแสวงหาเงินทองและอำนาจ จนเกินความจำเป็น สุดท้าย คนได้อยู่บ้านหลายร้อยล้าน (ไม่ใช่คุณ) แต่กลายเป็น "คนรับใช้" ....คนที่ได้ขับ Roll Royce คันงามสุดแพง (ไม่ใช่คุณ) แต่เป็น"คนขับรถ" ..พ่อแม่หลายคนหาเงินยากลำบาก เพียงเพื่อให้ลูกเอามาผลาน -- แล้วความ"พอดีมันอยู่ตรงไหน"

คุณมี 20 บาท ก็อิ่มได้ ถ้ามีพันบาท ก็อาจได้กินของแพง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันอร่อยกว่าอาหาร 20 บาท หรือ มื้อละหมื่น..บางทียังอร่อยสู้ ส้มตำ ก๋วยเตี๋ยวเรือ ไม่ได้ และมัน"เพื่ออะไร" ยิ่งรวยกินของดีๆกลับอ้วน ท้ายสุด ไม่ได้ดี "อ้วน..น่าสมเพศ ..เป็นโทษไปอีก"

อ้าว..นอกเรื่องไปเยอะ กลับมาที่ "แมนเดลา" จริงๆคนผิวดำ อายุไม่ค่อยยืน พูดง่ายๆว่า อายุ 70 กว่าที่รุ่งสุดๆของ "แมนเดลา"เป็นอายุที่คนผิวดำส่วนใหญ่ตายไปแล้ว --ผมไม่เชื่อว่า 27 ปีในคุกของแมนเดลา เป็นชีวิตที่มีความสุข ถ้าดูให้ดี ช่วงเป็น ประธานาธิปดีตอนแก่ ก็ใช่ว่าจะมีความสุข

--สรุปทั้งชีวิต "แมนเดลา"ที่หลายคนยกย่องเป้นผู้ยิ่งใหญ่ แต่เจ้าตัว กลับหาความสุขไม่ได้เลย --ผมว่าชีวิตมันคือทางเลือก หากคุณเลือกด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป คุณก็จะเสียอีกด้านอย่างมากเช่นกัน ดังนั้น ผู้ยิ่งใหญ่ คนรวยมากๆ เขาต้องแลกกับชีวิต ที่หลายคน ไม่เลือกเดิน

..ดังนั้น ผมว่า การเดินทางสู่"ความยิ่งใหญ่"กลับเป็นคนทางที่ "สวนทางกับความสุข" ...ซึ่งไม่ว่าทางใด สุดท้ายก็ไม่ต่างกัน คือ ตาย ---มันคงจะไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ที่ทั้งชีวิต เราจะเลือกแบบ "แมนเดลา" หรือ "อองซาน ซูจี" ที่สู้ เดี๋ยวเข้าคุก แล้วก็สู้ แล้วก็เข้าคุก

...ผมเลือกที่จะเดินในทางที่ผมมีความสุข ไม่จำเป็นว่าทางนั้นจะนำเราไปสู่ผู้ยิ่งใหญ่หรือไม่ก็ตาม ..ความสุขที่เราเข้าใจมักเป็นความสุขจาก"การได้" ไม่ใช่"การครอบครอง การมีรถหรู หรือบ้านแพง จึงไม่จำเป็นในการครอบครอง เพียงแค่ได้ลองก็อาจเพียงพอ การกำหนดชีวิตให้ลูกหลานอาจไม่ใช่สิ่งที่เขาเหล่านั้นต้องการ มันเป็น"ความสุข"หรือ "พันธนาการ"กันแน่..ทางใครทางมัน (เราเลือกเอง).... แต่ก็ไม่ควรกำหนดให้ใคร....

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

เรียนรู้จากบริษัท--Fortune500 (ตอนที่2)


สิ่งที่น่าสนใจของ Chart Fortune500 คือ เราสามารถดูความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆของผลการดำเนินงานมาเปรียบเทียบให้เกิดประโยชน์ต่อการวิเคราะห์อนาคตของ ตัวหุ้น รวมทั้งวิเคราะห์ความเติบโตของบริษัทและอุตสาหกรรม เช่น การทำกำไรของบริษัทกับราคาหุ้น , ผลตอบแทนในหุ้นระยะยาวเทียบกับชื่อเสียงของบริษัท, ผลตอบแทนการลงทุนกับราคาหุ้นในระยะยาว เป็นต้น…โอเค..เรามาดู

ตัวแรกคือ การทำกำไรของบริษัทมีผลต่อราคาหุ้นอย่างไร --(มีมาก) เพราะมันบ่งชี้ถึงอนาคตของบริษัทนั้นๆ อย่างเช่น หุ้น EXXON แม้จะมี”รายได้”น้อยกว่า “WAL-MART” เกือบครึ่ง แต่”กำไร”ของ EXXON กลับสูงกว่า ทำให้ราคาหุ้นแพงกว่านั้นเอง (EXXON กำไร 19.2 Billion ในขณะที่ WAL-MART กำไร 14.3 Billion)… ส่วน “หุ้นแพง”อันดับสองของตลาดก็คือ Microsoft รายได้น้อยกว่า WAL-MART ถึง 7 เท่า แต่กลับมี Market Value ที่สูงกว่า --จุดนี้ชี้ให้เห็นได้ว่า “บริษัทที่ดีไม่จำเป็นต้องยอดขายใหญ่ หากแต่สามารถสร้าง”กำไร”ได้สูงก็ถือว่าแจ๋วกว่า”

ตัวที่สอง คือ ผลตอบแทนในหุ้นของบริษัท ในปี 2009 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดใน Fortune500 คือ AVIS BUDGET GROUP ให้ผลตอบแทน 1,774.3% …ที่สองคือ DANA HOLDING ให้ผลตอบแทน 1,364.9% ในขณะที่บริษัทดีๆใหญ่ๆรายได้มั่นคงอย่าง WAL-MART กลับให้ผลตอบแทนการลงทุนแค่ 2.7% ในปี 2009

--ประเด็นที่ผมจะชี้ให้เห็นคือ บริษัทที่มั่นคงและดีเยี่ยม มักจะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่แสนจะต่ำ เนื่องจาก ทุกคนอยากลงทุนในบริษัทนี้ ดังนั้น เมื่อราคาตกเล็กน้อยก็จะมีคนคอยซื้ออยู่ตลอด ทำให้ในภาพรวมราคาหุ้นแทบไม่เคยตก ซึ่งในทางกลับกันก็คือ คือ ราคาไม่เคยตก โอกาสที่หุ้นจะขึ้นก็”แทบจะไม่มีเช่นกัน” ต่างกับบริษัทเล็กๆ หรือ บริษัทที่ประสบปัญหา ซึ่งไม่มีคนสนใจ ท้ายสุดกลับให้ผลตอบแทนชนิดที่”ทำให้รวยได้เลย”

ในตลาดบ้านเราก็เช่นกัน หากคุณซื้อหุ้นธนาคารตอน Sub-prime คุณย่อมได้ผลตอบแทนที่สูง กว่าในช่วงปกติ หรือ คุณซื้อหุ้นอย่าง BANPU ปีก่อนที่ประสบปัญหา ปีนี้คุณก็จะได้กำไรมหาศาล ดังนั้น จำไว้เลยว่าหุ้นที่คุณจะกำไรมาก ก็คือคุณที่คุณต้องกล้าที่จะเสี่ยงมาก(บนการวิเคราะห์ ว่าที่จริงไม่เสี่ยงนั่นเอง)

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ผลตอบแทนหุ้นในระยะยาว ต่างกับระยะสั้นอย่างไร …หลายคนอาจคิดว่า หุ้นที่ดี ย่อมให้ผลตอบแทนที่ดีเช่นกัน --(อันนี้ผมเห็นด้วย ในแง่ที่คุณจะมองแต่ปันผลเพียงอย่างเดียวนะ---- ซึ่งไม่น่าจะเกินปีละ 10% ) แต่ถ้าคุณสนใจ Capital gain “หู้นดี มักจะให้ผลตอบแทนไม่ดี” ทั้งนี้ เพราะหุ้นที่ดี ย่อมมีราคาสูง

(ดังนั้น โอกาสเดียว ที่คุณสามารถจะทำกำไรจาก”หุ้นดี” ก็คือ ซื้อหุ้นดีในยามวิกฤต เช่น ซื้อ PTT ในช่วงที่ธุรกิจมีปัญหาอย่างในปัจจุบัน เป็นต้น) ส่วนถ้าเรามุ่งที่จะมองหาหุ้นที่ให้ Capital Gain มากๆ คือ เราต้องศึกษา อนาคตของธุรกิจนั้นๆ เช่น CPALL หรือ 7-11 ในช่วงแรกๆไม่ค่อยดี ตอนนั้นก็เป็น หุ้นเล็กๆที่ไม่มีคนรู้จัก จึงมีราคาถูก ซึ่งถ้าคุณสามารมองเห็นโอกาสของกิจการและซื้อตั้งแต่ราคาถูก คุณก็จะได้กำไรอย่างมหาศาล ..เพราะ CPALL ปัจจุบันก็กลายเป็นหุ้นที่แพงไปแล้ว (แพงกว่า PTT เสียอีก ถ้าเทียบกับ P/BV)…

สรุปได้ว่า Fortune500 ของอเมริกา ก็ไม่ได้ต่างจากบ้านเรา คือ ผลตอบแทนหุ้นกับบริษัทมักจะวิ่งสวนทางกัน ..คุณไม่สามารถซื้อ”หุ้นดี”ในจังหวะที่ดี เพราะ”มันแพง” ดังนั้น ไม่แปลกจริงไหมครับ ที่คนส่วนใหญ่จะไม่ได้มีโอกาส ซื้อหุ้น”ที่ดี” ในเวลาที่ “ถูก”ได้ --ปัญหาเพราะเขาเหล่านั้น ก็เพราะเขาไม่เข้าใจ”การลงทุน”ต่างหาก…..

ทำไมประเทศ"เดือดแทบแตก"แต่ตลาดหุ้นยังไม่"พัง"เสียที


สถานการณ์ในปัจจุบัน เรียกได้ว่า"เน่ามากๆ" โดยเฉพาะการเมืองที่ร้อนระอุ แต่ท่านสงสัยไหมว่า "ทำไมตลาดหุ้นยังไม่ค่อยกระทบมากนัก" ถ้าดูตั้งแต่ต้นปี ตลาดอยู่ที่ประมาณ 600 กว่าๆ แต่ตอนนี้"ขนาดตลาดพังมาหมายรอบ"ยังอยู่ที่ 700 กว่าจุด.....(เพราะอะไร)

-- จริงๆแล้วตลาดหุ้นก็คือ "กระจกสะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์ที่มีต่อเศรษฐกิจ" ถ้ามองในภาวะนี้ จะเห็นได้ว่า ในโลก"ตอนนี้"แทบไม่มีอะไรน่าลงทุนเลย --ลองคิดซิครับว่า หากท่านเป็น"ผู้จัดการกองทุน"ท่านจะเอาเงินไปวางไว้ที่ใด เพื่อให้ผลตอบแทนสูงที่สุด

....ถ้ามองไปแล้ว ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยเงินฝาก หรือ พันธบัตร รัฐบาล ที่เป็นแหล่งวางเงินที่สำคัญ(เพราะมีความมั่นคง) แต่ผลตอบแทน"แทบไม่มี" ดังนั้น การวางเงินในแหล่งดังกล่าวไม่ต่างกับ"เอาเงินใส่ไว้ในตุ่ม"เพราะให้ผลตอบแทนไม่คุ้ม (แถมไม่สามารถรักษามูลค่าของเงิน--ที่ลดมูลค่าลงอย่างรวดเร็ว จากการกระตุ้น เศรษฐกิจโดยการอัดฉีดเงินเข้าระบบ กดดอกเบี้ยให้ต่ำกระตุ้นการใช้จ่ายเงิน ซึ่งทุกอย่างก็คือ การกระตุ้นเพื่อให้เงินลดมูลค่านั่นเอง)

จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า"ตลาดหุ้น" แม้มีความเสี่ยงสูง แต่ในระยะยาว ถ้าเทียบกับแหล่งลงทุนอื่น ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

- หนึ่ง ในแง่ของสภาพคล่อง(Liquidity) หุ้นถือว่า มีสภาพคล่องสูง เพราะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ตลอดเวลา ซึ่งต่างกับ ที่ดิน หรือ บ้าน ซึ่งเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ช้า

- สอง หุ้นให้ผลตอบแทน"ที่จับต้องได้ ในรูปของเงินปันผล" อย่างต่อเนื่อง ซึ่งต่างกับ Commodity เช่น ทอง,น้ำมัน ที่กำไรเมื่อขายเท่านั้น

ดังนั้น สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ผู้ลงทุน หรือ ผู้จัดการกองทุน --((ไม่มีที่ที่ดีกว่าในการลงทุน)) เช่น นักลงทุนต่างชาติถ้าเขาขายทิ้งหุ้นจากตลาดเราหมด ก็ใช่ว่าเขาจะสามารหาที่ลงทุนที่ดีกว่า เพราะตอนนี้อเมริกากับยุโรปก็ค่อนข้างแย่

.... นักลงทุนสถาบัน คือ หากขายหุ้นออกมาก็ต้องถือเงินสดมาก อีกทั้งปลายปีก็จะมีเงิน RMF /LTF เข้ามาเพิ่ม ดังนั้น การขายหุ้นออกแล้วถือเงินสด ก็นับเป็นความเสี่ยงที่สูง เพราะตลาดสามารถวิ่งขึ้นอย่างแรงเมื่อเหตุการณ์สงบ --ทำให้อาจตกรถไฟได้ง่ายๆ

..... นักลงทุนรายย่อย ถ้าถอนออกจากหุ้นตอนนี้ก็ไม่มีที ที่ให้ผลตอบแทนได้ดีกว่า และโอกาส"ตกรถไฟก็มีมากเช่นกัน"

... สรุปว่า นักลงทุนทุกกลุ่ม ต่างก็มองว่า"หากตลาดสงบ" จะต้องรีบเข้าให้ทัน ซึ่งจุดนี้ เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ตลาดไม่ตกมาก --ดังนั้น หากเหตุการณ์ความวุ่นวายสงบเมื่อไหร่ ก็มีโอกาสที่หุ้นจะขึ้นแรง --- และนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้ตลาด "ไม่ขึ้นมาก ไม่ตกมาก"นั่นเอง....

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

"ตลาดการลงทุน"ในอนาคตจะผันผวนมากขึ้น --นั้นหมายถึงคุณอาจรวยหรือจนในเวลาไม่นาน


จากภาวะของโลกที่เป็น Globalize มากขึ้น ส่งผลให้การค้าการลงทุนเพิ่มขึ้น นั่นหมายถึง "การเคลื่อนตัวของทุนทั่วโลก สามารถทำได้ง่ายมากๆ" จุดนี้เป็นความเสี่ยงของคนที่ "ไม่กล้ารับความเสี่ยง" --- จะเห็นได้ว่า กลุ่ม Baby Boomer ที่เริ่มเกษียณอายุกัน นั่งมอง "Port เงินเกษียณ อายุของตัวเองแล้วใจหาย --เพราะมันแย่ลง แย่ลง เรื่อยๆ"

.... จริงๆแล้ว ถ้าให้มองตามเศรษฐกิจ ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่ มูลค่าทรัพย์สินของคุณจะเพิ่มหรือลด ในเวลารวดเร็ว --แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา หากคุณไม่จำเป็นต้องขายในเวลาที่ "ราคาตกมากๆ" เพราะด้วย ความ"ผันผวน"ของเงินทุนในปัจจุบัน เป็นไปได้อย่างมากที่ "มูลค่าทรัพย์สินของท่านที่ลดลงอย่าง ฮวบฮาบ อาจจะกลับมามีมูลค่าเท่าเดิมหรือ มากกว่าเดิมในเวลาไม่นาน --- นั่นหมายความว่า "คนที่กลัวและขายหุ้น หรือ ทรัพย์สิน ออกไปในราคาที่ต่ำ กลายเป็นคนที่เสียโอกาสนั่นเอง"

ดังนั้น ภาวะตลาดที่ผันผวน จะส่งผลให้ ตลาดหุ้น ยิ่งหวือหวามากขึ้น --จุดนี้เอง"หากเราไม่มีความรู้ หรือ ความเข้าใจในพื้นฐาน ของตลาดที่ดีแล้ว --เราอาจเสียรู้ และ"ขายหมู" ขายหุ้นในตอนที่ไม่ควรขายมากที่สุด

...ปัจจุบัน White Collar (พนักงาน Office) ต่างซื้อ LTF/RMF ไว้ลดหย่อนภาษี โดยที่ตัวเอง ไม่ได้มีความรู้เรื่องหุ้นเลย --เพราะจริงๆแล้วการซื้อ RMF/LTF มันก็คือ คุณซื้อหุ้นนั่นแหละ ..ปัญหาของคนซื้อที่ไม่มีความรู้มันเริ่มเน่าในอเมริกามานานแล้ว จาก 401K ที่คล้ายกองทุนเกษียณบ้านเรา คือ กลายเป็นว่า คนอเมริกา ซื้อหุ้น ผ่านกองทุน โดยที่ตัวเอง ไม่รู้เลยว่า "หุ้น" เป็นอย่างไร

--ช่วงตลาด Crash ที่ผ่านมามันเกิดจาก คนเหล่านี้เริ่มเกษียณแล้วเริ่มถอนกองทุนเกษียณพร้อมๆกัน (ซึ่งคุณลองนึกดูว่า กองทุนเหล่านี้ก็คือ หุ้น พอทุกคนถอน(ขาย)พร้อมกัน ราคามันก็ตกเป็นธรรมดา ดังนั้น ไม่แปลกเลยที่ 10 ปีมานี้ ตลาดอเมริกา แย่เอา แย่เอา...)

คุณลองย้อนกลับไปดูช่วงปี 1980 -2000 เป็นช่วงที่ Baby Boomer กำลังอยู่ในวัยทำงานมีรายได้สูง ทำให้คนเหล่านี้ เอาเงินเข้ามาซื้อกองทุนเกษียณอย่างมากมาย ส่งผลให้ช่วงเวลาดังกล่าว ตลาดหุ้น Boom สุดๆ ..มองดูมันก็คล้ายๆกับ "แชร์แม่ชม้อย.. อะไรประมาณนั้น"

---คือ กลุ่ม Baby Boomer เป็นกลุ่มที่มีประชากรมากสุด พอเขาอยู่ในช่วงของชีวิตจังหวะใด ก็ส่งผลต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น ทางแก้สำหรับ Baby Boomer ที่ฉลาด ก็คือ ไม่ดึงออกมาตอนนี้ รอให้ตลาดกลับไปดีก่อน ค่อยดึง.. แต่นั้น ก็เป็นปัญหาสำหรับหลายคนที่มีเงินเกษียณไม่พอใช้จ่าย แถมราคาบ้านก็ตกต่ำพร้อมๆกัน --คุณลองนึกดู ว่า กลุ่ม Baby Boomer มีสัก 100 ล้านคน ถ้าทุกคนอยากขายบ้าน --ใครจะมาซื้อ--ราคามันจึงตกธรรมดา ..กลุ่มคน Generation X และ Y ก็ยังไม่ค่อยมีเงินมาก แถมยังมีสัดส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรุ่น baby boomer

คุณคิดว่า รัฐบาลจะทำอย่างไร --(ใช่ครับ) ไม่แปลกหรอกที่คนในยุคต่อไป จะต้องทำงานจนตาย ..รวมทั้งการพิมพ์เงินออกมามากๆ ทำให้มูลค่าเงินมันลดลง เพื่อ ดูดทรัพย์ ราคาบ้านที่ตกต่ำ --- คือ ถ้ามองอย่างไร มันก็ไม่ make sense ที่จะถือเงินสด ผมมองว่า เราควรกระจายไปใน Asset ต่างๆที่มีจำนวนจำกัด เช่น หุ้น ทอง ที่ดิน และอาศัยโอกาส และหาจังหวะของการผันผวนที่รวดเร็ว คือ พูดง่ายๆว่า ให้ซื้อ Asset ในทุกๆครั้งที่ราคาตกนั่นเอง...

มาดูตลาด"คอนโด"ปีนี้กัน


ปี 2009 ที่ผ่านมา ถือเป็นอีก"ปีทอง"ของตลาดอสังหา นำเด่นด้วยตลาด"คอนโดกลางเมืองติดรถไฟฟ้า" ปี 2009 ที่ผ่านมามีโครงการคอนโดเปิดตัวถึง 74 โครงการ รวม 24,400 หน่วย (รวมกับ 107,700 หน่วยจาก 250 โครงการเดิม ที่อยู่ระหว่างสร้างและขาย) ซึ่งทั้งหมดยังเหลือว่าง 76,700 หน่วย(ประมาณ 7.75หมื่นล้าน)

ที่ยังค้าง"ขายไม่ได้"มารวมกับปี 2010 ที่คาดว่าจะมีโครงการเพิ่ม 68 โครงการ(20,000 หน่วย --8.9 หมื่นล้าน) ดังนั้น รวมที่เหลือในปี 2009 กับ ของใหม่ ปี 2010 จะรวมเป็น 1.66 แสนล้านบาท (รอการขาย) --- จุดนี้ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่า ยังเป็นปีทองของ"ผู้ซื้อ" เพราะมี Supply ไหลเข้ามาในตลาดเยอะ ประกอบกับ ปีนี้ "สถาบันการเงิน" ต่างเริ่งปล่อยสินเชื่อ --ทำให้ตลาด อสังหา ค่อนข้างบูม

ประเด็นที่น่าสนใจคือ "เราอสังหาเราเข้าสู่ Bubble หรือยัง" จริงๆแล้ว นักธุรกิจหลายๆคนกำลังกลัวว่า ตลาดบ้านเราจะเป็นแบบ Sub-prime หรือ แบบต้มยำกุ้ง --- ซึ่งในมุมมองของผม มันยัง"อีกไกล" กว่าที่จะมีปัญหาอีกครั้ง... นั่นหมายถึงจากปัจจุบัน ยังมี Room ให้ตลาดโตต่อได้อีก

( ข้อมูลที่ support ความเชื่อนี้ คือ การเร่งขยายโครงการคอนโดของผู้เล่นรายใหญ่ที่มากขึ้น เพราะเขามองว่าตลาดคอนโดยังคงจะเติบโตอย่างต่อเนื่องนั่นเอง) --พฤกษาจากเดิมเน้น Townhouse แต่มาในปีนี้ เร่งเปิดคอนโดถึง 16 โครงการ มูลค่ารวม 18,000 ล้านบาท

(ในขณะที่ Asian Property เปิดใหม่แค่ 5 โครงการมูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท และ Land&House เปิดแค่ 4 โครงการ มูลค่ารวมแค่ 5,900 ล้านบาท) ส่วนผู้นำตลาดคอนโดเดิม อย่าง LPN ก็เปิดใหม่ 8 โครงการที่มูลค่า 14,500 ล้าน และ แสนสิริ เปิดใหม่ 8 โครงการ ที่มูลค่า 13,000 ล้านบาท

ถ้ามองในส่วนของ บริษัทอสังหา จะเห็นได้ว่า ผู้ประกอบการไม่ได้เกรงกลัวต่อ วิกฤตเศรษฐกิจเลย --กลับ"ลงทุนเปิดโครงการใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีก" --จุดนี้ทำให้ผมมอง "บวก" เช่นกัน เพราะการที่ผู้ประกอบการกล้าลงทุนเพิ่ม ก็ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางเช่นกัน เพราะผมเชื่อว่า การลงทุนที่จะทำให้เศรษฐกิจดีในระยะยาว ต้องมาจาก"เอกชน เป็นแนวหน้า --ส่วนรัฐบาล ควรเป็น เท้าหลังนั่นเอง"

ช่วงนี้คงมีหลายๆคน คิดว่า "แล้วในฐานะของผู้ซื้อ..ตอนนี้เป็นเวลาที่น่าจะซื้อคอนโดหรือไม่" คำถามนี้ต้องแบ่งตอบเป็น 2 แง่ คือ

1.ในแง่ของซื้ออยู่เอง ผมมองว่า "น่าซื้อ" ถ้าเราจะใช้ประโยชน์จากคอนโด เพราะในระยะยาว ตลาดยังมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น จากการกระตุ้นของภาครัฐ เสริมด้วยความมั่นใจของเอกชน ดังนั้น ถ้าเรามองข้าม shot สถานการณ์ร้ายๆไปในอนาคตข้างหน้า ..ตลาดอสังหา ต้องเติบโตคู่ไปกับเศรษฐกิจอย่างแน่นอน

2. ในแง่ของการเก็งกำไร ผมมองว่า ไม่น่าซื้อ เพราะ ความผันผวนในระยะสั้น ไม่ส่งผลดีต่อตลาด Real Estate เพราะปัจจุบันเงินทุน มักเน้น"อยู่ในสินทรัพย์ระยะสั้น" ดังนั้น โอกาสที่เราจะซื้อมาขายไปในระยะสั้น "ไม่น่าจะดี" อีกทั้ง การปล่อยเช่า ก็น่าจะแย่ เพราะเนื่องจาก Supply ที่ออกมามาก รวมทั้งธนาคารต่างๆก็ปล่อยกู้ในอัตราที่ถูก ทำให้คนที่จะเช่า ก็เปลี่ยนใจ"ซื้อแทน"..

สรุปว่า ถ้าซื้ออยู่เอง "น่าซื้อ" แต่ถ้าซื้อเก็งกำไร ระวัง"เจ็บตัว" ฮิ ฮิ....

ปัญหาของ"คนรุ่นใหม่"กับ"องค์กรแบบเก่า"


ผมว่าปัจจุบันนี้"คนรุ่นใหม่"ที่เพิ่งเข้าทำงานใหม่ จะเกิด "Culture Shock" อย่างรุนแรง คือ ประมาณว่า"รับไม่ได้"-- ไม่รู้ว่า พวกคนรุ่นก่อนๆอดทนทำอยู่ได้อย่างไร

--จริงๆปัญหาใหญ่..ผมว่า มาจาก EGO ของเด็กรุ่นใหม่ ผนวกกับความสามารถของคนรุ่นใหม่ ที่รู้อะไรมากกว่า คนรุ่นก่อน เช่น รู้วิธีการค้นหาข้อมูล ศึกษาแนวทางการทำธุรกิจ Case study ต่างๆ เรียนวิธีการเป็นผู้บริหาร การบริหารคน --สุดท้าย "เข้ามาเป็น คนถ่ายเอกสาร"

..นี่แหละครับปัญหาของการศึกษา คือ เด็กทุกวันนี้ถูกสอนเหมือนกัน คือ สอนให้เป็น"ผู้จัดการ" --แต่ผมถามจริงๆเถอะ ว่ามีกี่คนที่สามารถไต่เต้าไปถึง ตำแหน่งผู้จัดการได้ ...จริงๆแล้ว การทำงานในองค์กรจริงๆ มันแตกต่างกับที่เรียนมาอย่างสิ้นเชิง เพราะการทำงานจริงๆ มันไม่ได้ เน้นทฤษฎีที่หรูหราที่เราเรียนมาใน MBA แต่มันกลับเป็นการเรียนรู้การทำงานกับผู้อื่น ซึ่งเป็น Personal Skill ชัดๆ

--จะเห็นได้ว่าสาเหตุ"การจิตตก"ของคนรุ่นใหม่ (สูงมากๆ) สาเหตุหลักๆมาจากระบบการศึกษา นั่นเอง

จริงๆแล้ว Productivity ของประเทศ ไม่ใช่ การมีผู้จัดการเยอะๆ เพราะจริงๆผู้จัดการไม่ได้สร้าง output เลย เป็นแต่ Operation ที่ประสานงาน ซึ่งไม่ก่อให้เกิด"มูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ถ้ามองให้ดีคือ การ"สร้างรายได้" ให้มากๆ(ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของกิจการ)ก็คือ การสร้าง สินค้าและบริการที่ตลาดต้องการ.. ซึ่งรายได้ของกิจการจะมากน้อย มันต้องขึ้นกับว่า บริษัทสามารถสนองความต้องการของตลาดได้มากน้อยเพียงใด

--คุณลองนึกดูว่า วันนี้สมมุติคุณเข้ามาทำงาน คุณได้สร้างอะไรให้เกิดกับบริษัทบ้าง ..(น้อยมาก) ตัวอย่างเช่น บริษัท Apple คนงานเป็นแสน "กลับเป็นเพียงกลไกเล็กๆ"ที่ ทำให้บริษัทดำเนินไปเรื่อยๆ ------แต่คนที่สร้างรายได้จริงๆ กลับเป็น Innovator อย่าง Steve Job กับทีมงานออกแบบ อีกไม่กี่คนที่สร้าง I-pods ขึ้นมา

(ลองคิดดู ถ้าผมเป็นเจ้าของบริษัท Apple.. ผมก็แค่จ้าง Steve Jobs และทีมออกแบบของเขาอีก 2-3 คน ส่วนไอ้ MBA ที่ทำงานใน Apple อีกเป็นหมื่นๆคน ผมไม่จ้างให้เมื่อยหรอก เพราะ"มันไม่ได้สร้างเงินให้องค์กร" ที่เหลือ ผมไปจ้างโรงงานจีนผลิตให้ก็จบ) ---จุดนี้แหละที่เรียกว่า "การสร้างรายได้ที่แท้จริง

--ไม่ใช่การไปจบ MBA เข้ามาแล้ว พยายามทำงานขายสินค้าและบริการเดิม ในบริษัทเดิมๆ โดยที่คุณไม่ได้สร้างอะไร ..ผมถามหน่อยว่า(คุณค่าของคุณ มันอยู่ที่ไหน) ..ถูกต้องครับ!! ..หากคุณไม่ได้สร้าง Value Added ที่สร้าง"รายได้จริงๆ"คุณก็ไม่สมควรจะ"เป็นคนที่มีคุณค่าต่อองค์กรด้วยซ้ำ

--ดังนั้น "การที่คนรุ่นใหม่จิตตก..ผมว่าบริษัทน่าจะจิตตกมากกว่าที่ต้องจ้างคุณ..??" ..สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำ สำหรับ"คนรุ่นใหม่" คือ อย่ามาทนดักดานอยู่กับการเป็นลูกจ้าง ... เพราะคุณไม่สามารถ"เปลี่ยนองค์กรได้" ดังนั้น ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ตัวเอง ..ต้อง"สร้างกิจการของตัวเอง" และนี่คือคำตอบของการแก้ปัญหา"จิตตกของคนรุ่นใหม่ ..ที่รู้สึกว่าตัวเอง ไม่เหมาะกับองค์กรนั่นเอง"

--อย่างในอเมริกา เขาทำมานานแล้ว คือ คนรุ่นใหม่ที่มีความคิด ก็จะตั้ง "กิจการ"ของตัวเองขึ้นมา โดยเริ่มจาก การหาเงินทุนจาก Angel หรือ Venture Capital จากนั้นเมื่อกิจการเริ่มโต ก็ทำ IPO เข้าตลาด ..ซึ่งแม้ว่าเมืองไทย ตลาดเงินทุน จะไม่สามารถหาได้ง่ายอย่างอเมริกา ผมก็เชื่อว่า ต้นทุนการเริ่มธุรกิจของบ้านเราก็เรียกได้ว่า "ต่ำมาก" เพราะต้นทุนที่แพงที่สุดคือ "คุณกล้าบากหน้าไปขายของกับ Target Market ของคุณไหม" ถ้าคุณตอบว่ากล้า "ผมว่าวันนี้คุณพร้อมแล้วที่จะมีกิจการของตัวเอง"..

ปล. ของการจิตตก มันอยู่ที่"EGO" ของเราเอง... การที่เรามองตัวเองว่า เราเก่งในขณะที่คนอื่น..(มองไม่เห็นในความเก่งของคุณเลย) --คุณลองมองกลับไหมว่า..ปัจจุบันนี้ไม่ใช่แต่คุณที่เก่งขึ้น คนอื่นเขาก็เก่งเหมือนกัน เขาก็ MBA หรือ ด๊อกเตอร์... ไม่ได้ด้อยไปกว่าคุณ

ดังนั้น (การวัดความเก่ง) มันอยู่ที่การเปรียบเทียบกับคนอื่นต่างหาก เช่น แต่ก่อนคุณจบปริญญาตรีก็สุดเก่งแล้ว เพราะคนส่วนใหญ่เขาไม่ได้เรียนหนังสือ แต่เดี๋ยวนี้ ใครๆก็จบ MBA ใครๆก็จบนอก -- ถ้าคุณอยาก"เหนือกว่า"คุณต้อง บินไป "จบที่อวกาศ"ฮิ ฮิ...(ผมว่าจริงๆหากเราประมาณตน และมุ่งทำสิ่งที่เราชอบ แทนที่จะแข่งขันเปรียบเทียบกับคนอื่น เราจะมีความสุขขึ้น ....)

"FORTUNE 500" กำลังบอกอะไรเรา..

นิตรสาร FORTUNE จัดอันดับ บริษัท "FORTUNE 500" (บริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 บริษัทในอเมริกา) ปีนี้ที่ 1 คือ Wal-mart(ยอดขาย 408,214 ล้านเหรียญ) ซึ่งทวงแชมป์กลับมาจาก EXXON MOBIL ที่ 1 ปีที่แล้ว...คือปีนี้ EXXON ยอดขายลดลง 35% ในขณะที่ Wal-mart ยอดขายเพิ่มขึ้น 0.6%

...มาคุยเรื่อง Wal-mart กันนึดนึง บริษัทนี้ก่อตั้งโดย Sam Walton เมื่อ 48 ปีที่แล้ว เริ่มจากร้านขายของชำ แบบเบ็ดเตล็ดในรัฐ Arkansas เดิมตลาดค้าปลีกผูกขาดโดย SEAR, ROBUCK ซึ่งคล้ายๆห้างเซ็นทรัลในอีต ซึ่งรูปแบบ Discount Store ของ WAL-MART ได้เข้ามา เปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคอเมริกาไปอย่างสิ้นเชิง--หลายคนมอง WAL-MART ว่าเป็น ผู้ทำลายค้าปลีกอเมริกา จนกระทั่งเสียดุลการค้าต่อจีนมหาศาล( WAL-MART นำเข้าสินค้าจากจีน เยอะกว่า ประเทศบางประเทศด้วยซ้ำ --คิดดู..บริษัท ใหญ่กว่าประเทศ ..)

FORTUNE 500 ในปีนี้ มีตัวเลขที่น่าสนใจคือ กำไรของบริษัทต่างๆ เพิ่มขึ้น ในขณะที่ยอดขายลดลง (ซึ่งกำไรปีนี้ เพิ่มเกือบเท่าปี 2003 ที่ตลาดหุ้น Boom มากๆ ต่างกันตรงที่ปี 2003นั้นกำไรเพิ่มพร้อมกับยอดขายที่เพิ่ม แต่ในปี 2009 กำไรเพิ่มในขณะที่ยอดขายลดลง)

--จุดนี้เป็นผลมาจากการลดต้นทุน เช่น ปลดคนงานออก ของบริษัทใหญ่ๆ ในปี 2008 ประกอบกับเศรษฐกิจค่อยๆฟื้น ทำให้ ต้นทุนลดลงรวดเร็ว ในขณะที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิต ของบริษัทดีขึ้น (แต่ในภาพรวม ไม่ค่อยดี เพราะ การลดคนงานของบริษัทต่างๆ ส่งผลให้ Unemployment Rate ของอเมริกา สูงเกือบแตะ 10% ..ทำให้ปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคหยุดการใช้จ่ายทันที พร้อมกับเริ่มเก็บออมมากขึ้น สวนทางกับ Saving Rate ที่ติดลบมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา)..คำถามที่เกิดขึ้นคือ (แล้วนี่หมายความว่าอะไร)

---สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น คือ"ประเทศที่รับวิกฤตเต็มๆ"อย่างอเมริกา กำลังแสดง การเติบโตที่ค่อนข้างดี เริ่มจากบริษัทต่างๆกลับมามีกำไรดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้กลับมาจ้างงานเพิ่ม ..แสดงให้เห็นถึงการค่อยๆฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่แท้จริง ประกอบกับ การคงดอกเบี้ยต่ำ ทำให้"เงิน"ไหลเข้ามาในตลาดทุน เพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น ดังนั้น เมื่อหุ้นกลับมาดี มันก็เริ่มดึงให้กิจการค่อยๆฟื้นตัว ..สรุปได้ว่า "เป็นสัญญาณบวก ค่อนข้างชัดเจน"

..ผมเชื่อว่า เมื่อสัญญาณการฟื้นตัวเริ่มชัดเจนเช่นนี้แล้ว นักลงทุนที่เก่ง จะมองข้าม Shot ไปที่ ในอนาคตนั่นหมายความว่า ณเวลานี้เป็นต้นไป เป็นเวลาที่กอบโกย สำหรับ Bull Market ที่เริ่มขึ้นใหม่ พร้อมกับมองหาจุด Peak ที่เราจะต้อง"วิ่งออก" ในรอบต่อไป(ไม่ใช่มานั่งจมกับว่า ตลาดจะไปต่อ หรือตก เพราะมันผ่านจุดนั้นมานานแล้ว)....

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

ผู้ประกอบการไทยกับการทำนายอนาคตของประเทศ


คุณรู้ไหมเวลาผม วิเคาะห์เศรษฐกิจว่า จะ"พุ่งหรือแตก" ผมดูที่ไหน.. หลายคนคงดู ตามที่นักเศรษฐศาสตร์ หรือ การทำนายโดย อาจารย์ แบงค์ชาติ สถาบันวิชาการต่างๆ.. หุ หุ หุ (ผมว่า "น้ำท่วมทุ่ง") เพราะจะพูดอย่างไร.. ใครก็พูดได้ อย่างเมื่อวานวิเคราะห์ว่า "ไทยแย่แล้ว ..กำลังกลับสู่ ยุคมืด" --พรุ่งนี้ออกมาวิเคราะห์ใหม่"ตอนนี้ ไม่มืด ..สว่างแล้ว สุดๆๆๆ"

--ผมถามหน่อยว่าเราจะไป"บ้าบอ" ตามนักวิเคระห์พวกนี้แค่ไหน เพียงไม่กี่วัน กี่เดือน เศรษฐกิจไม่สามารถเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ --- อย่างถ้าให้ผมมองเปรียบเทียบ ประเทศไทยเป็น"ชายร่างเตี้ย ที่ค่อนข้างแข็งแรง" วันนึงมี นักเลง มาต่อย เข้าที่หน้าเต็มๆสองหมัด ทั้งด้านซ้ายและขวา --โอกาสที่"ชาย"ผู้นี้จะตายมีกี่เปอร์เซ็นต์ โอกาสที่เขาจะรอดมีกี่เปอร์เซ็นต์

...เหมือนอย่างประเทศไทยวันนี้ สร้างเศรษฐกิจและสังคมมานับร้อยปี กว่าจะถึง"วันนี้" พอมีการชุมนุมรุนแรง คุณก็วิเคราะห์ว่า "แย่แล้ว...พังแน่ๆ" ผมว่าวันนี้เราต้อง "ตั้งสติ" และคิดให้มากๆ ไม่ใช่ รัฐบาล"กรอกหูอย่าง"เราก็เชื่อ พอ"เสื้อแดง"กรอกหูอีกอย่าง เราก็ไปตาม --- วันนี้"สมอง"เราเองอยู่ที่ไหน ... หลายคนบอกวันนี้ "เวียดนาม"จะแซงหน้าเราไปแล้ว --ผมถามหน่อย คุณเคยบินไปดู เวียดนามไหมว่า วันนี้ บ้านเมืองเขามันยังล้าหลังเราอีกเท่าไหร่ ..จริงๆแล้วเราโดนบิดเบือนอย่างมาก เพราะเราไม่ดูที่ "ข้อมูลจริงๆ"

กลับมาที่"อะไร"ที่เราควรดู เป็น"ข้อมูลจริง" ..ผมมองว่า "การลงทุนจากผู้ประกอบการรายใหญ่นั่นเอง" อย่าง"เซ็นทรัล" พวกนี้ เวลาลงทุนเขา Bet จริงๆ ดังนั้น ถ้าเขาจะทำอะไร ข้อมูลต้องพร้อม เพราะความผิดพลาดมันหมายถึง "ล้มละลาย" นั่นเอง

--ซึ่งเวลานี้ ผมสังเกตเห็น ผู้นำธุรกิจต่างๆ เริ่มลงทุนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น เครือเซ็นทรัล ,mimor, Major, PTT Group, SCG, พฤกษา, ผู้ประกอบการบ้านจัดสรร คอนโดต่างๆ อย่าง SF เป็นห้างนอกเมือง พอชุมนุมกลางเมือง เขากลับได้ประโยชน์ จะเห็นได้ว่า เขากลับขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง หรือ เซ็นทรัลที่เวลานี้เน้นเปิดห้างในต่างจังหวัด คือ จะเห็นว่า เขามองวิกฤตเป็นโอกาสนั่นเอง ต่างจากหลายคนที่พอวิกฤต "ก๊าก..ไม่เสี่ยง ..รีบเอาเงินฝากธนาคาร หรือ ซื้อพันธบัตร รัฐบาล ลืมคำนวณไปว่า ด้วยดอกเบี้ยขนาดนี้ ..ร้อยปีทบต้น ฮิ ฮิ..

จริงๆผมเริ่มเข้าใจวิธีคิดของ"คนรวย"แล้วว่า ทำไมเขาถึงรวย -- เพราะเวลาวิกฤตเขากลับทำสวนทางกับคนอื่นคือ "เขาลงทุน ขยายกิจการ" พอเศรษฐกิจดีมาก กลายเป็นช่วงเวลาที่เขา"ขายทำกำไร" --คือ ถ้าเราวิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่า อย่างในปัจจุบัน หากเหตุการณ์ ที่ออกมา"เลวร้าย" ทุกคนก็ซวยเหมือนกัน เช่น ประเทศเจ๊ง เงินลดมูลค่า ข้าวของแพง ดอกเบี้ยไม่มี ไม่มีใครค้าขายกับเราเพราะไม่น่าเชื่อถือ

สรุปถ้าไม่ดีก็ซวยกันหมด --แต่ถ้า"มันดี" คนที่ได้ประโยชน์ คือใคร ..(ก็คือ คนที่เสี่ยงเวลานี้นั่นเอง) จะเห็นได้ว่า คนที่เสี่ยง กลับมีโอกาสที่สำเร็จมากกว่า คนที่ไม่เสี่ยงเป็นเท่าตัว --ซึ่งท้ายที่สุด เหตุการณ์ก็มักจะออกมา "ผิดคาดเสมอ" ..เพราะทุกคนมักคิด "บวกเกินไป" หรือ "ลบเกินไป"

--จริงๆ มันไม่ได้ Extreme สุดๆขนาดนั้น (ทุกคนที่เล่นหุ้นจะเข้าใจจุดนี้ดี ..จึงไม่มีใครในโลกที่สามารถซื้อตอน"ถูกที่สุด" และขายตอน"แพงที่สุด"ได้) และนี่คือ การไขประเด็นที่ว่า "ทุกวิกฤตคนรวยกลับรวยขึ้น คนจนกลับจนลง...ความต่างมันแค่ความคิด" --วันนี้คุณดื่มนมแล้วหรือยัง ฮิ ฮิ..???...

ยุโรปกับอเมริกาใครกำลังจะรุ่ง...


วันนี้ผมอ่านบทความของ Newsweek เขาพูดถึง การฟื้นตัวเปรียบเทียบระหว่างยุโรปกับอเมริกา คือ กลายเป็นว่าตอนนี้ทั่วโลกมองว่า ยุโรปแย่มากๆไหนจะปัญหา Greece ที่จะล้มไม่ล้มแหล่ในตอนนี้ ส่งผลให้ตลาดยุโรปทรุดตัวกว่าอเมริกา แต่ถ้าเทียบการทำกำไรของ บริษัท ปรากฏว่าบริษัทยุโรปดีกว่า ซึ่งส่งผลให้ Dividend Yield ของตลาดยุโณปอยู่ที่ 3.4% ในขณะที่อเมริกาอยู่ที่1.9%

..จะเห็นได้ว่า ยุโรป ถูกมองในแง่ลบมากเกินไป --ซึ่งจุดนี้กลายเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนนั่นเอง ..มาดูบ้านเรายิ่งดีใหญ่เพราะ Dividend Yield เราเกือบ 5% แต่หุ้นดันถูกสุดๆ --ยิ่งตอนนี้โดน"เทขาย" ให้ถูกอย่าง"คงเว้นคงวา" ดังนั้นที่Newsweek แนะนำให้ลงทุนในยุโรป --ผมกลับ แนะนำว่า"ลงทุนบ้านเรา...ดีที่สุด" --เงินทองไม่รั่วไหล แถมโอกาสรวยสูงสุด ฮิ ฮิ ฮิ...

(อยากอธิบายเพิ่มเติมของข้อแตกต่างระหว่าง ยุโรป กับ อเมริกา อีกข้อที่สำคัญ คือ คนยุโรป จริงๆมองอะไรค่อนข้างลบ ดังนั้น เศรษฐกิจจะเป็นแบบ Conservative ต่างจากอเมริกาที่เน้น Innovation จึงมีอะไร"หวือหวา" ให้เราได้Surprise อยู่ตลอดเวลา อย่างวิกฤตคราวก่อนสมัย Bill Clinton เป็นผู้นำ ก็เจอวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ ที่ใครๆก็มองว่า อเมริกา"ตกดิน"แน่ ปรากฏ Silicon Valley ก็สร้างปรากฏการณ์ Dot com bubble -- "New Economy" ที่บูมสุดๆก่อนที่จะ Bubble เมื่อปี 2000

ซึ่งตั้งแต่นั้นมา ก็ยังไม่มีปรากฏการณ์อะไรใหม่ๆกว่าสิบปีแล้ว ซึ่งไม่แน่คราวนี้ "อาโน..ผู้ว่ารัฐนักกล้าม" อาจสร้าง California Valley-"New Energy" ขึ้นมาเป็น Bubble ลูกใหม่ก็ได้ (เพราะถ้านับเวลา Bubble แต่ละลูกของอเมริกา การทิ้งช่วงมา สิบปีก็เป็นสัญญาณ การเกิด Bubble ลูกใหม่ ก็เป็นได้)..เราไม่ควรมองอะไรด้านลบหรือบวกมากเกินไป)

วันนี้เห็นข่าว นโยบายรัฐบาลที่จะออกมาเตรียมช่วยเหลือ "ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากม๊อบ" ซึ่งผมเห็นข่าวนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึก "ดี" กับเศรษฐกิจ เพราะการที่รัฐช่วยเอกชน มันเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดีกว่า การใช้จ่ายของรัฐบาล เช่น สร้างถนน ไฟฟ้า น้ำ มาก ..เพราะในเงินจำนวนเท่ากัน เอกชน สามารถที่จะเปลี่ยนเป็น"มูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น การจ้างงาน ผลผลิต ที่เกิดประโยชน์ ได้สูงกว่ารัฐบาลมาก"

ดังนั้น "ความช่วยเหลือ"ดังกล่าว ถือเป็น "ข้ออ้าง"อันดี ในการแจกเงินให้"เอกชน"ในทางอ้อม ซึ่ง"ถือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี" ดังนั้น แม้"ม๊อบเสื้อแดงจะยืดเยื้อ" ก็ไม่น่าจะกระทบผู้ประกอบการมาก เพราะรัฐบาลยินดีให้ความช่วยเหลือ--ซึ่งเป็นไปได้สูง ถ้าเมืองไทย สามารถก้าวผ่าน เหตุการณ์รุนแรงนี้ไปได้ ในระยะเวลาสั้น (สัก1-2เดือน)

ผมเชื่อว่า เศรษฐกิจรวม ไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ---"ในมุมกลับ" หากรัฐบาล ไม่สามารถแก้ปัญหา"เสื้อแดง"นี้จบภายใน 2 เดือน ..ผลลัพธ์น่าจะออกมา"น่ากลัว" --แต่ผมคิดว่า "ผลลัพธ์น่าจะออกมาในรูปแบบแรกที่กล่าวมากกว่า ..ทำให้ช่วงนี้ผมเริ่มลงทุนเต็มๆ อีกครั้ง...

ในฐานะ"นักลงทุน"คนนึง ผมเชื่อว่า "ความเสี่ยงกับผลตอบแทนมันมาด้วยกัน " และ "วิกฤตกับโอกาสมันก็อยู่ด้วยกัน ..เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน คุณไม่อาจเอาเหรียญ"ด้านหัว" โดยไม่เอา "ด้านก้อย"ไปด้วย เช่นเดียวกับ โอกาส"ที่ Bottom ของ Bear Market..ในอีกด้าน มันก็คือ The Begining ของ Bull Market นั่นเอง...

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

"เสี่ยงมากเสี่ยงน้อย เสี่ยงน้อยเสี่ยงมาก" คาถาลงทุนมาฝาก...


"เสี่ยงมากเสี่ยงน้อย เสี่ยงน้อยเสี่ยงมาก" หมายความว่าอะไร.... คือ อะไรที่เรามองว่า"เสี่ยงมาก" จริงๆมันเสี่ยงน้อย อย่างเช่น ตลาดหุ้นตกอย่างแรง เศษฐกิจตกต่ำ เรามองว่ามันเสี่ยงมากๆ--ซึ่งจริงๆมันใกล้ Bottom แล้ว ดังนั้นจริงๆมัน"เสี่ยงน้อย" .....ส่วนเวลาที่เรามองว่า"เสี่ยงน้อย" เช่นจังหวะที่ทุกอย่างดูดี เศรษฐกิจดี สุดๆ หารู้ไม่มันใกล้ Peak ของตลาดแล้วดังนั้นที่เรามองว่า"เสี่ยงน้อย" กลับกลายเป็น"เสี่ยงมาก"

ถ้าเรามามองสถานการณ์ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ม๊อบ..นองเลือด..การเมืองแตกหัก..ประเทศใกล้เน่าเต็มที่ สรุปเรามองว่า "เสี่ยงมาก" แสดงว่าจริงๆมัน"เสี่ยงน้อย" ---ดังนั้นในเวลานี้แทนที่เราจะกลัว ควรเป็นเวลาที่เรากล้า ...นักลงทุนที่เก่งที่สุดในโลก Warren Buffet กล่าวว่า "จงกลัวในขณะที่คนอื่นกล้า และจงโลภในขณะที่คนอื่นกลัว"

คิดตั้งนาน สรุปก็เหมือนทฤษฎี"ชาวสวน" ที่ผมใช้มาตลอดสองปีที่ผ่านมานั่นเอง หุ หุ.... จะว่าไปแล้ว"คนไทย"กลัวตลาดหุ้นมาตั้งแต่ 12 ปีที่แล้ว ตอนวิกฤตต้มยำกุ้งตอนนี้ตลาดเรายังอยู่ไม่ถึงครึ่งของ Peak ในตอนนั้น ในขณะที่ประเทศเอเชียอื่นๆ ผ่าน Peak เดิมไปไกลแล้ว

(ถ้าเอาสถิติของตลาดอเมริกามาดู จะเห็นได้ว่าเมื่อใดที่"คนอเมริกา"หันหลังให้ตลาดหุ้น เมื่อนั้นจะเป็นจุดเริ่มต้นของ Bull Market ที่แรงๆทั้งนั้น ผมว่าตลาดไทยเราก็ไม่น่าต่าง ในเมื่อ"คนไทย" หันหลังให้ตลาดหุ้นมา 12 ปีแล้ว ดังนั้นเป็นไปได้สูงที่อีก 2 -3 ปีนับจากนี้น่าจะเป็น Bull Market ของไทยเช่นกัน) --

... ถ้ามอง Real Economy ตัดภาพการเมืองออกไป คือ เศรษฐกิจไทยเราดีไม่แพ้เพื่อนบ้านเอเชียด้วยกัน คือ "พูดได้ว่า ตลาดเราถูก..แสนถูกนั่นเอง" ผนวกกับวิกฤต "Sub-prime"ทำให้ตลาดเราถูกเข้าไปใหญ่

--(เอางี้..ผมว่ามาดูกันว่า รอบนี้ผมจะ ทายถูกอีกหรือเปล่า --ผมเชื่อว่า รอบนี้ต้องวิ่งผ่าน 900 จุดแน่นอน ) จากวันนี้ต่างชาติ กลับเข้ามาอีก 2 พันกว่าล้าน แสดงว่ารอบนี้เขาแทบไม่ได้ออกเลย การพักฐาน 2-3 วันที่ผ่านมา เป็นแค่พักฐานเพื่อขึ้น ---รอบนี้ผมว่า"ลุย"...สุดตัวครับ
((...กรอบรอบนี้ จาก 757 จุด น่าจะวิ่งเลย 900 จุด ก่อนจะปรับฐาน รอบนี้ผมให้กลุ่ม PTT นอนมา...))

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

อ่านใจนักลงทุนทั้งสามกลุ่ม(รายย่อย/ฝรั่ง/สถาบัน)


ผมนั่งจับตัวเลขการเข้าออกของนักลงทุนทั้ง 3กลุ่มหลัก คือ (รายย่อย/ฝรั่ง/สถาบัน) จริงๆมี กลุ่ม Broker อีกกลุ่มแต่ Volume น้อย--(เป็นพวกรายใหญ่ที่ฝาก Broker เล่น) ..พวกนี้ผมมองว่า เป็นพวกปั่นหุ้นหวือหวา ดังนั้น ไม่ต้องดู..ตัดออกไปจาก Picture...

จากที่เฝ้าสังเกตตลาดมาตลอดเกือบ 2 ปี นับจาก Bottom รอบนี้ที่ 400 กว่าจุด วิ่งมาถึง 700 จุดในปัจจุบัน พบว่า กลุ่มที่เป็นผู้กำหนด การขึ้นลงของตลาดคือ ฝรั่ง (ซึ่งถ้าเทียบตาม Volume การซื้อขาย รายย่อยจะมากที่สุด ส่วนสถาบันกับฝรั่งจะพอๆกัน คือ ประมาณ 20 %)

..พูดอย่างนี้คุณอาจจะ (งง) ว่าฝรั่งมีการซื้อขายปริมาณแค่..ประมาณ 20% ของตลาด แต่ทำไมเป็นผู้กำหนด Trend ขึ้นหรือลงได้ -- "สาเหตุที่ฝรั้งสามารถกำหนด Trend ขึ้นหรือลงได้ เพราะ"ฝรั่ง" เขาเข้าออกแน่นอน คือ ถ้าเข้าก็จะเข้าต่อเนื่อง และถ้าออกก็จะออกต่อเนื่อง --ต่างกับ"สถาบัน"ที่แม้มีการซื้อขายในปริมาณเท่าๆกับ"ฝรั่ง"แต่ วิธีการเล่น ไม่แน่นอน หวือหวาไปมา "มั่ว..ว่างั้น" (เสี่ยวแทนผู้ลงทุน RMF/ LTF จริงๆ)

รายย่อย คือ ผู้เล่นที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในตลาดคือ ประมาณ 50% ของ Volume ทั้งหมด แต่วิธีการเล่น "หวือหวา"เช่นกัน คือ เดี๋ยวก็วิ่ง"หวือออก" "หวือเข้า" ..กลุ่มรายย่อยนี้ หลายๆคนให้นิยามว่า "แมลงเม่า" คือ คุณอย่าเข้าใจผิดว่า "แมลงเม่า" เป็นพวกไม่มีความรู้..ไม่ใช่เลย

--พวก"แมลงเม่า" นี่แหละกลุ่มที่มีการศึกษาสูง เงินเดือนสูง เป็นทั้งระดับผู้บริหาร อาจารย์ ผู้มีหน้ามีตาในสังคม ---Trend การเล่นหุ้นของ "รายย่อย" ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา คือ "เข้าเมื่อหุ้นตก และรีบขาย(ทันที)เมื่อหุ้นขึ้น"--ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มนี้เป็นคนที่ ทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง

--(แต่คุณรู้ไหมว่าปัญหามันอยู่ไหน)..(ครับ)รายย่อย มีต้นทุนที่สูงขึ้น ทุกๆรอบที่ขาย ..พอซื้อใหม่ ก็ซื้อแพงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่กำไรเท่าเดิม เช่น บางคนตั้งไว้ว่ากำไร 5 บาท จะขายทันที ..แต่ลืมนึกไปว่า รอบแรกๆที่กำไร 5 บาท ก็ต้นทุนไม่สูง พอรอบหลังๆ ต้นทุนสูงแบบไม่รู้ตัว ดังนั้น เมื่อตลาดเปลี่ยน เข้า Trend ขาลงเมื่อไหร่ พวกนี้"ติดดอย"ทันที ---(นี่แหละครับที่มาของการติดดอย)

ตอนนี้หลายๆคนกำลังตั้งคำถามว่า แล้ว"ติดดอย"มันอยู่ตรงไหน -- จริงๆแล้ว ทุกคนที่เล่นหุ้น ล้วนต้องติดดอย(ทุกคน) เพียงแต่ว่า ขนาดของดอยมันไม่เท่ากัน คือ ถ้าเราติดดอยเล็ก อีกไม่กี่อาทิตย์ ก็อาจออกได้ทำกำไร แต่ถ้าดอยใหญ่เช่น "ดอยต้มยำกุ้งปี 97" อย่างนี้ ติดเป็นปีๆ บางดอยเจ๊งไปเลย อย่างพวก Finance Company พวกนั้น..ดังนั้น เวลาเล่นอย่าลืมมองว่า ตอนนี้เราเล่น ดอยไหน ไม่ใช่ ซี้ซั้วเล่น "ระวังเจอดอยใหญ่"

มาดูวันนี้ ตลาดวิ่งขึ้นค่อนข้างแรง ..ใครอ่านหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าจะ(งง) เพราะต่างชาติลด Rating ความน่าเชื่อถือของ Bond เรา --คือ ผมเชื่อว่า "คนที่มีการศึกษา"ทุกท่านเมื่อเห็นข่าวเช้านี้ จะต้องคิดว่า "อ้าว!!ลด Rating --หุ้นจะต้องตกระนาว.. ต่ออีกแน่ รีบขาย รีบขาย.." ปรากฏว่าพอตลาดเปิดตั้งแต่เช้า ตลาดหุ้นวิ่งสวนทางกับที่ท่านคิด (นี่แหละครับ ที่ผมบอกว่า "แมลงเม่า" คือ คนที่มีการศึกษาดี ความรู้สูง "ฉาด!! ตลาดหุ้น ตบหน้าท่าน.. (งง) "

-- 4 วันที่ผ่านมา "ทุกคน(นักวิเคราะห์ต่างๆ)ฟันธงว่าฝรั่งหนีหมดแล้ว ..(ฉาด!! ฝรั่งตบหน้าซะ(งง))คือ สรุปพอมาดูตัวเลขฝรั่งวิ่งเข้ามาเดือนกว่า 50,000 กว่าล้าน พอ---4 วันที่ผ่านมา ทิ้งออกไปแค่ 5,000 กว่า เมื่อวานกลับมาอีก สรุปฝรั่งออกไปน้อยมาก(งง!! ไหมครับว่า นักวิเคราะห์เอาตัวเลขอะไรมาบอกว่าฝรั่งทิ้งหุ้นเราหมดแล้ว ..มั่วโคตร!!!)

--จริงๆผมก็ค่อนข้าง(งง)!!ว่า ฝรั่งจะรีบออกทำไม เพราะถ้าเขาออกแสดงว่า 50,000 ล้านที่เขาใส่เข้ามาก่อนหน้านี้ ต้องขาดทุนหมด --"ฝรั่งเขาไม่ได้โง่ --คือ เราต้องอ่านเกมเขาให้ออก เพราะขืนมาวิ่งแบบ"แมลงเม่า"อย่างที่รายย่อยเล่นผมว่า ตายอย่างเดียว"

-- ถ้าให้มอง ผมว่า รอบนี้"ฝรั่ง"ต้องเข้าต่อเนื่อง (เอาเงินที่ออก เข้ามาซื้อเพิ่มเข้าไปอีก)ลาก SET เข้าไปให้สูงกว่า Peak เดิมอีก --และคราวนี้แหละ เมื่อฝรั่งออกจริง ตลาดต้องตกแรงแน่นอน (รอบที่ผ่านมาแค่รายย่อยกับสถาบันทิ้งยังแรงขนาดนี้) รอบหน้านี่ถ้าฝรั่งทิ้งด้วย --"ไม่อยากจะคิด"

ตอนนี้ภาพใหญ่ที่ผมมองว่า "ยังอยู่ในขาขึ้น" ยังมีปัจจัยของ อเมริกาและยุโรป มากระทบแรง (แต่ยังไง ผมก็ยังเชื่อว่า ภาพใหญ่ยังคงขึ้นต่อ อีกเป็นปี..) --แต่!!ขาขึ้นไม่ได้ขึ้นทางเดียว ..มันขึ้นสลับกับลงแรง และก็ขึ้นต่อ .. ลงแรง ..แต่ทุกรอบจะขึ้นสูงขึ้น

--อย่างที่บอกว่า โลกยังคงวนเวียนกับ ประเด็นอเมริกายุโรปว่าจะ W Shape หรือ ไม่---ถ้าผ่านประเด็นนี้ได้ --"ฟันธง Asian miracle 2 ได้เลย และนั่น..เราจะเห็น SET ที่สูงอย่างปี 1994 ก็เป็นได้" แต่สำหรับ Value Investor ผมว่าท่านไม่ต้องมาวิเคราะห์ ว่าขาขึ้นหรือลง แค่ซื้อตอนตกแรงๆ(ในปีนี้) ก็รับปันผล "มหาศาล" ไหนจะ Capital Gain ผมว่าปีนี้ "สวรรค์ของValue Investor เขาหละ"....

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

เงินมากน้อยไม่สำคัญเท่า"อยู่ในที่ปลอดภัย"หรือเปล่า ..ต่างหาก


ช่วงสงกรานต์(ว่างมาก).. ผมจึงตะลุยอ่านหนังสือ และบทความต่างๆมากมาย (ซึ่งจะหมกมุ่น กับการลงทุนเป็นหลักฮิ ฮิ..)ยิ่งผมศึกษา ประวัติของระบบการเงิน และระบบทุนนิยม --ผมยิ่งรู้สึกถึงความ"เสียว" .."ความเสียว"ที่ว่า ก็คือ "ความไม่จีรัง" --คนส่วนใหญ่ที่"ยังไม่มีเงิน" มักมุ่งแสวงหาโดยไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น เรียก Zero Base แต่พอคุณเริ่มมีเงิน..คราวนี้คุณจะเริ่มกลัวที่จะสูญเสียมากขึ้น อันนี้เรียกว่า คุณ "มีต้นทุน"เข้าให้แล้ว

ผมเชื่อว่า รุ่นลูก รุ่นหลาน ของคนที่ทางบ้าน พอจะมีกิจการ ให้สืบทอด จะกลัวการสูญเสียมากๆ --ผมมีเพื่อนคนนึง ตอนนี้ดูแลธุรกิจต่อจากพ่อ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีขนาดหลายร้อยล้านทีเดียว --สิ่งที่ผมพบ เมื่อคุยกับเพื่อนก็คือ "ความกลัว" .. จะว่าไปแล้ว คนที่"มีเงิน" ย่อมต้องกลัวสูญเสียเป็นธรรมดา ดังนั้น การตัดสินใจทั้งหมดจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมองที่"แคบ"

ใช่แล้วครับ ...อารมณ์ "ความกลัว" กลายเป็นพื้นฐานหลักของการดำเนินธุรกิจ ของรุ่นที่ 2 และ 3 ในการสืบทอดกิจการ --ข้อดีของกิจการที่ได้รับสืบทอดคือ มีทรัพยากรที่มาก ทำให้การบริหารต่างๆทำได้ง่าย แต่ข้อเสียคือ การมองว่าทุกอย่างเป็น"ความเสี่ยง" ทำให้ธุรกิจ ตั้งแต่ได้รับสืบทอดมานั้น ไม่ได้เติบโตขึ้น กลับมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ (การที่ธุรกิจเรา ไม่โตขึ้น ก็เท่ากับเล็กลง โดยปฏิยาย เพราะเศรษฐกิจ และตลาดโตขึ้น ค่าเงินก็ลดลง ดังนั้น ถ้าเราได้เงินเท่าเดิม ก็คือ การเดินถอยหลังนั่นเอง)

การลงทุนก็เช่นกัน ตั้งแต่ผมกลับมาเมืองไทย ผมเริ่มเข้ามา"บริหารPort ของครอบครัวอย่างจริงจัง" ส่งแรกที่ผมเจอคือ ครอบครัวผม ไม่ได้บริหารให้เงินเพิ่มขึ้นเป็นเวลาหลายสิบปี ดังนั้น การที่ตลาดภายนอกโต ขึ้นก็เท่ากับว่า เราจนลง โดยที่เรา"อยู่เฉยๆ ไม่เสี่ยง เช่น ฝากธนาคาร หรือ การซื้อพันธบัตร รัฐบาล--- ด้วยสาเหตุนี้เอง ทำให้ผมทุ่มเท เวลาอย่างหนักในการศึกษาถึง Risk& Return ของ การลงทุนอย่างจริงจัง

หลังจากที่ศึกษาโอกาสในตลาดเมืองไทย พบว่า "ทางเลือกของนักลงทุนไทย"น้อยมาก.. แม้ตลาดหุ้นเองยังเล็กมากๆ คือ ทั้งตลาดเรายังเล็กกว่า บริษัทเดียวของจีนเลย (ขนาดว่า ตลาดเขาเกิดหลังเราตั้งนาน) นี่ยังไม่นับตลาดเพื่อนบ้านอย่าง อินโด มาเล ที่แซงเราไปไหนต่อไหนแล้ว (ไม่ต้องพูดถึงทางเลือกอื่นเลย อย่าง Commodity แทบไม่มีให้ลง)ดังนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมทุกๆปี คนไทยจะ "จนลงเรื่อยๆ" แต่คุณ รู้ไหมมีคนอยู่กลุ่มนึง ที่"รวยขึ้นเรื่อยๆอย่างช้าๆ" เขาเรียกตัวเองว่า Value Investor

หลักการของพวกเขาคือ การมองหาหุ้นราคา"ถูก" จากนั้นก็ซื้อ "ไม่ขาย" จะขายอีกทีก็เมื่อราคามันสูงเกินไปแล้ว --คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นคนที่ร่ำรวยมาแต่เกิด เพียงแต่เขาลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เช่น ดร.นิเวศน์ จากปี 1997 เขาลงทุนด้วยเงินไม่กี่ 10 ล้าน จนปัจจุบัน port เหยียบ 1,000 ล้านบาท

--คุณ คิดดูว่าแล้ว ลูกเศรษฐีที่สืบทอดกิจการใหญ่ๆของครอบครัว --มีเงินเท่าไหร่ (ทำได้อย่าง ดร.นิเวศน์ อ่ะเปล่า --"ไม่ได้") คุณรู้ไหมว่าทำไม ---(ถูกต้อง) --"ความเสี่ยง" นั่นเอง

..Value Investor โดยมากถือหุ้น 100% เกือบตลอดเวลา (ผมยังไม่กล้าทำเลย) ส่วนลูก เศรษฐี ส่วนมาก(ผมพนันเลย)ว่าเงินเขาส่วนใหญ่อยู่ในที่ปลอดภัยที่สุด คือ "เงินฝากธนาคาร หรือ พันธบัตรรัฐบาล" ..และที่ปลอดภัยที่สุด ฉะไหน!!! กลายเป็นที่ "ที่เสี่ยงที่สุด" ไปได้ (งง) ....(งง) ไปเลย

--นิทานเรื่องนี่มันสอนให้รู้ว่า "หากคุณกลัวสูญเสีย คุณจะยิ่งเสีย ... หากคุณไม่กลัวที่จะเสีย คุณกลับกลายเป็นเปิดโอกาสอันมหาศาลสำหรับตัวเอง" ปีที่ผ่านมา 2009 คนที่ซื้อหุ้นตั้งแต่ต้นปีแล้วไม่ขาย จะได้ผลตอบแทนสูงกว่า "คนที่ซื้อๆขายๆมาก" ประเด็นคือ คนนึงกล้าเสี่ยงที่จะ"ถือหุ้น" ในขณะที่อีกคน"ไม่กล้า--ขึ้นนิดก็กลัวตก รีบขาย!!"

ดังนั้น การ"ซื้อๆขายๆแบบ Trader" ไม่ได้แสดงว่าคุณ "ใจถึง" มันหมายถึงว่า คุณ"ไม่กล้าที่จะเสี่ยง"นั่นเอง ..ผลตอบแทนของ Trader จึงต่างจาก Value Investor อย่าง "ฟ้ากับเหว" --(ที่นี้คุณก็เข้าใจแล้วใช่ไหมครับว่า Risk & Return มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร).........

คุยเฟื่องเรื่องธนาคารต่างชาติ


วันนี้ผมอยากยกความเน่าของธนาคารต่างชาติมาให้ดูกัน ..ช่วงวิกฤตที่ผ่านมา ธนาคารใหญ่ของอเมริกาและยุโรป ต่างโดนพิษ Sub Prime กันอย่างเต็มๆ(เละ) --ปีนี้รายงานว่า ธนาคารต่างๆไม่สามารถจ่ายปันผลได้ จากที่ 2- 3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารเป็นอะไรที่"สุดยอด" คือ จ่ายปันผลสูงมากๆ พอเจอวิกฤตเข้าไป "พังเป็นโดมิโน" --- แต่คุณ รู้ไหมว่า ธนาคารบ้านเราอย่าง BBL SCB KBANK KK TCAP ต่างผลประกอบการดีขึ้น ดีขึ้น แถมปันผลสูงขึ้น ..คุณ สงสัย ไหมว่าทำไมเป็นอย่างนั้น

จริงๆแล้ว ผลที่ทำให้ธนาคารในอเมริกาและยุโรป ย่ำแย่ก็คือ การลงทุนในตราสาร (Derivative) --ซึ่งไอ้ Derivative นี่มันมี 2 ขา คือ ด้านนึงรับความเสี่ยงจำกัด อีกด้านความเสี่ยงไม่จำกัด เช่น คุณกลัวค่าเงินจะผันผวน คุณก็ไปป้องกันความเสี่ยง..

คนที่มีความเสี่ยงจำกัดคือ คุณ เพราะคุณเสียค่า Fee ในการป้องกันความเสี่ยง ส่วนอีกด้านสถาบันที่รับประกันให้คุณ เป็นฝ่ายที่ความเสี่ยงไม่จำกัด --ไอ้ประเด็นนี้มัน ตรงกับหนังสือ ที่ชื่อ Black Swan คือ คนส่วนมากคิดว่า ในโลกนี้ไม่มี Black Swan จึงไม่สนใจเอาประเด็นนี้มาอยู่ในภาพรวม

แต่พอเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ที่เราเรียกว่า black Swan ขึ้นมา อย่างเช่น 9/11 , Dotcom Bust , Sub prime กลายเป็นว่า ความเสี่ยงดังกล่าว ทำให้ขาดทุนมหาศาล จนถึงขั้น "ล้มละลาย" -- กลับมาที่ ธนาคาร กับ คุณ..ในเมื่อคุณจำกัดความเสี่ยง แต่ธนาคารไม่จำกัด ดังนั้น "คนซวย" เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็คือ "ธนาคารนั่นเอง"

..และนี่แหละปัญหา"ความเน่า"ของระบบธนาคารอเมริกาและยุโรป (ที่แย่กว่านั้น คือ ธนาคารบางธนาคารไม่รับความเสี่ยงเอง เอาความเสี่ยงมากระจายออก แบ่งขายความเสี่ยงไปให้ ธนาคารอื่น หรือ บริษัทประกันอย่าง AIG มาช่วยรับความเสี่ยง และไม่ใช่แต่ตราสาร ธรรมดาอย่างเงินและอัตราแลกเปลี่ยน.. แต่ Derivative กลับกินวงกว้างรวมถึง Real Estate , Commodity และ หุ้นด้วย เท่ากับว่า กระทบภาพรวมทั้งระบบ) ..นี่และครับ สาเหตของความ"เน่า"

ดังนั้น เมื่อเกิด การหยุดชำระหนี้บ้าน ผู้ค้ำประกันก็รับความเสี่ยงอย่างแรง ตอนนี้ผลกระทบ ไปสู่ Commercial Real Estate จนถึง Credit card -- ถ้ามองให้ดี วิกฤตต่างๆมันวนไปวนมา คือ ตลาดเรา "สถาบันการเงิน" โดนไปเต็มๆตอนปี 1997 ซึ่งตอนนั้น "ก็ล้มกันระนาว" มาคราวนี้ ตลาดอเมริกา กับ ยุโรป ก็เจอบ้าง

... ตอนเราคือ เราเจอวิกฤตปี 97 แล้วตลาดตกสุดๆปี 98 จากนั้นก็ค่อยๆฟื้นตัวมากจนถึงปัจจุบัน -- แต่อเมริกาเจอปี 2008 แต่พอ 2009 ตลาดกลับพุ่งพลวด ทำให้หลายๆฝ่ายกังวลว่า อเมริกาและยุโรป อาจเกิด Double Dip ซึ่งตรงนี้ก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้

--- เอเชีย แม้ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่เราก็โดนหางเลข เพราะการส่งออกเราพึ่งพึงตลาดอเมริกาและยุโรปเป็นสำคัญ ..สรุปธนาคารของเรา เช่น BBL ตั้งแต่ปี 2008 ที่สถาบันต่างชาติเจอวิกฤตเต็มๆ แต่ BBL ปี 2008 กลับมีกำไรมากกว่าปี 2007 พอปี 2009 ก็กำไรเพิ่มขึ้นอีก ..คือ ผลประกอบการดีขึ้นเรื่อยๆตลอด ..แต่พอมาดูราคาหุ้นปี 2008 หุ้นร่วงไปแตะ 59 บาท ตอนนี้กลับมาอยู่ที่ 120 บาท

--ผมถามหน่อยว่า ปัจจัยมันเปลี่ยนตรงไหน กำไร ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ราคาหุ้น วิ่งระหว่าง 59 - 130 บาท --- คือปัจจัยเหมือนเดิม แต่ราคาแกว่ง --"ถ้าคุณฉลาด ผมว่า คุณสามารถทำกำไรจากการแกว่งได้อย่างมหาศาล" --คุณว่าจริงไหม

การป้องกันความเสี่ยงของ Port การลงทุน


การป้องกันความเสี่ยงมีหลายวิธี เช่นการซื้อ option SET 50 หรือ การ Short Port.. ซึ่งจริงๆในบ้านเรา การป้องกันความเสี่ยงถือว่ามีคนเล่นน้อยมาก ..ในมุมมองของผม คือ ตลาดเรามีขนาดเล็กและมีความผันผวนสูงกว่า ตลาดต่างประเทศมาก ดังนั้น การป้องกันความเสี่ยงอาจกลายเป็น"กิจวัตรประจำวัน" ซึ่งตลก.. ขืนเปลี่ยนสถานะทุกวัน"คุณจะกลายเป็นบ้าไปก่อน ฮิ ฮิ.."

ดังนั้น การประกันความเสี่ยงเหมาะกับตลาดบ้านเราคือ "การถือเงินสด" บ้าง ตามจำนวนที่เราอยากจะป้องกันความเสี่ยง คือ ถ้าให้ประเมินจากสถาณการณ์ "ตลาดแมลงเม่า"ของเราที่ผ่านมา ผมมองว่าถือ"เงินสด"สัก 25% น่าจะเป็นอะไรที่ปลอดภัย ..(หลายคนถามว่า ถือ ทำไม -คือ ไม่ได้ถือเฉยๆ คือ ถือไว้เผื่อตลาดตกหนักๆ

..(ตกหนักๆ) แปลว่าอะไร คือตรงนี้ต้องดู หลายปัจจัย คือ ทั้ง P/E , P/BV และก็ Dividend Yield ) อย่างในเอเชียตอนนี้ เราให้ Dividend ที่สูงกว่า ตลาดอเมริกา และ ยุโรป (ในขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารต่ำมากๆ(น้อยกว่า 1%)การรับ Dividend เฉยๆโดยไม่สน ราคาหุ้น อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าก็ได้)

โอเค..กลับมาที่"ประกันความเสี่ยง" คือ เราจะถือเงินสดไว้ จำนวนนึง ซึ่งเราอาจเก็บในรูปของ พันธบัตร (ที่สามารถขายได้เมื่อเราต้องการเงิน) ดังนั้น ถ้าตลาดตก เราก็สามารถเอาเงินสดมาช้อนซื้อหุ้น ในราคาที่ต่ำ(ต่ำกว่าพื้นฐานที่เราได้วิเคราะห์ไว้แล้ว)

-- สรุปว่าการเล่นหุ้นในตลาดอย่างบ้านเรา --ไม่ควรมองบวกเกินไป หรือ ลบเกินไป (สังเกตให้ดี เหตุการณ์ต่างๆ จะไม่มีอะไรที่บวกหรือลบเกินไป เช่น เราคิดว่า บ้านเมืองต้องพังแน่ๆ ในที่สุด ก็มักจะมีอะไรมาทำให้ปัญหาคลี่คลายอย่างอัศจรรย์ ..ส่วนเวลาเรามองว่าดีมาก กลับมีอะไรมา เตะขัดขา ล้มไม่เป็นท่าก็ได้ )

ซึ่งการมีเงินสดบางส่วน ก็จะทำให้เราอุ่นใจนั่นเอง..(แต่ไม่ควรเกิน 25% เพราะภาพใหญ่ในเอเชียยังอยู่ใน Trend ขาขึ้นอยู่ ดังนั้น ความกลัวของท่าน อย่าให้มันมาบดบัง"พื้นฐานความเป็นจริง" ไม่เช่นนั้น เราจะไม่สามารถก้าวพ้นภาวะ"แมลงเม่า"ได้)...

(*-*)...(ตอนนี้ ADVANC PTTAR TOP ค่อนข้างถูก (น่าซื้อ).. ส่วน PTT ถ้ารอได้อีกนิด ก็น่าจะดี (แต่ ถ้าตลาดหยุด "วิตก" --หุ้น PTT จะพุ่ง"แรงที่สุด"นำตลาดอย่างแน่นอน --Buying Magic Number ของ PTT น่าจะอยู่ที่ "230" บาท ส่วน Selling Magic Number น่าจะอยู่ที่ "280" บาท--ไม่น่าจะเกิน 4 เดือน ซื้อขายสรุป ปิดรวย.."ยิ้ม"ว่างั้น....ก็ลุ้นกันไป....)

"เงิน"กับเศรษฐกิจโลก


ขนาดของ GDP ทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 50 trillion ซึ่งเท่าๆกับมูลค่าตลาดหุ้นทั่วโลกคือ ประมาณ 50 trillion เช่นกัน ส่วนตลาด Bonds ทั่วโลกมีมูลค่าประมาณ 70 trillion ส่วน Derivatives --(ที่เป็นตัวปัญหาของวิกฤตเศรษฐกิจในรอบนี้)มีมูลค่ารวมถึง 400 trillion จะเห็นได้ว่าตลาดของ Derivatives ที่เพิ่งเกิดมาเมื่อปี 1980s กลับมีขนาดที่ใหญ่มาก ซึ่งโดยส่วนมากจะ ทำการซื้อขายแบบ Over-the-Counter (ขณะที่ตัวเลขของ Hedge Fund บริหารเงินทั่วโลก จากปี 1990 ที่ 38.9 billion มาเป็นประมาณ 1.5 trillion ในปัจจุบัน)

ประเด็นที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นคือ ประการแรก GDP ขนาด 50 trillion เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนมือ ซื้อขายได้ มูลค่าของ GDP จึงไม่ได้ขึ้นลงตามอารมณ์ความรู้สึกของ"นักลงทุน" ดังนั้น ถ้าถามว่า มูลค่าของ สินทรัพย์หรือเงินทั้วโลก วัดจากอะไร
--ผมว่าเราต้องเอา GDP ตั้ง ..แล้วเราจะเห็นขนาดเศรษฐกิจที่แท้จริง ส่วนตลาดเงินอื่นๆ เช่น ตลาดหุ้น , ตลาด Real Estate ล้วนแต่ขึ้นลงตาม"ความรู้สึก" จะเห็นได้ว่า จากช่วง Sub prime ที่ผ่านมา มูลค่าของตลาด Real estate และ ตลาดหุ้น ลดหายไปเฉยๆ คือ ลงไปจนต่ำกว่า GDP

(จุดนี้ผม ไม่ได้จะชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้น "ในขณะนี้" ถูก หรือ แพง เพียงแต่อยากให้เห็นว่า มูลค่าของ ตลาดหุ้น และ Asset ต่างๆ มีความผันผวน เกินพื้นฐานที่แท้จริงของเศรษฐกิจ -- เพราะวิกฤตที่ผ่านมา GDP ในประเทศต่างๆอาจติดลบแค่ 5% แต่ตลาดหุ้นกลับตกแรง ร่วงไปมากกว่า 50% ..ดังนั้น ถ้าเรามองให้ดี จะเห็นได้ว่าในทุกวิกฤต หากใครสามารถวิเคราะห์และมองภาพได้ชัดเจน ก็มีโอกาสที่จะ ได้ประโยน์ นั่นหมายถึง "โอกาสรวยจากการซื้อ Asset ที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงนั่นเอง"

อย่างไรก็ตาม หนังสือ เกี่ยวกับตลาดหุ้นมากมายล้วน แสดงแง่คิดที่ต่างกันออกไป ยกตัวอย่างในช่วงที่ตลาดหุ้นตกแรง Great Depression ครั้งแรกปี 1929 ต้องใช้เวลาเกือบ 30 ปี กว่าตลาดจะกลับมาสู่ Peak เดิม (ปัจจุบัน หลายคนมองเศรษฐกิจ)ว่ามีโอกาสที่จะเหมือนกับปี 1929 อีกครั้งหรือไม่

.... ถ้าดูจากที่ตลาด Hit Bottom ปี 2008 พอปี 2009 ตลาดพุ่งพลวดมากว่า 50% ถ้าดูในอเมริกา บริษัทต่างๆที่วิ่งขึ้นมาก็ยังผลตอบแทนไม่ดี --มันน่าจะเป็น "sucker Rally"คือกลายเป็นว่าคนซื้อ ซื้อปั่นราคาตามกัน แต่คนที่ถือคนสุดท้ายซวย..เหมือน"เผือกร้อน" โยนไปมานั่นแหละ

แต่จุดนี้ผมมองว่า ต่างกับหุ้นบ้านเรา ดูอย่างธนาคารบ้านเราผ่านวิกฤตมาแบบ Unscratch คือ ผลประกอบการไม่ได้กระทบเลย กลับดีขึ้น คนที่ซื้อหุ้นไม่ได้เหมือนถือ"เผือกร้อน" เพราะ คนที่ถืออยู่ได้ "เงินปันผล" ที่ขณะนี้เฉลี่ยประมาณ 5% ซึ่งดีกว่าเงินฝากหลายเท่า

(ตอนนี้หลายๆคนยังได้ Capital Gainอยู่ แต่พอตลาดช่วงนี้ ตกแรงก็รีบเทหุ้นทิ้งออกมา.. ถ้ามองให้ดี คือ เรากำลังทิ้งหุ้นที่ให้ปันผลอย่างงาม ในราคาที่ต่ำ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นมักมี Momentum ที่แรง เช่น ถ้าบวก..ก็บวกมากจน Bubble แต่ถ้าลบ หุ้นก็ตกมาก จน น่าตกใจ --- ตอนนี้ผมมองว่า ตลาดเอเชีย ตกมากเกินไป เพราะการที่นักลงทุนต่างๆทิ้งหุ้น

--ผมถามหน่อยว่า แล้วคุณจะเอาเงินไปลงทุนอะไรที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้น --"ไม่มี" ดังนั้น การถอนเงินออกช่วงนี้ของนักลงทุน คือ การขายออกระยะสั้น เพื่อรอจังหวะเข้ามาเก็บหุ้นเหมือนเดิม (คือ ถ้าคุณรู้ว่า ยังไงมันก็จะต้องขึ้น --คุณจะตื่นเต้นวิ่งเข้าออกทำไม เพราะเวลาหุ้นขึ้น ผมว่า คุณไม่มีทางทันพวกรายใหญ่หรอก).. ใครคิดว่าทัน ก็ลองดู ฮิ ฮิ... ((เราอาจค้นพบ"เสือปืนไว"จากวิกฤต..อันนี้ไม่มีใครรู้ หุ หุ หุ ))

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

ใครสามารถเปิด"กองทุน"เวลานี้ได้..สบาย (รวยเละ)


ผมได้อ่านเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของ Hedge Fund ในต่างประเทศ เขาคิดค่าบริหารกัน 2 /20 คือ 2% จากเงินทั้งหมดเป็นค่าบริหารรายปี และเพิ่มอีกส่วนคือ 20% คิดจากกำไร (ส่วน กองทุนสุดยอดของ Warren Buffet คิดที่ส่วนเกินจากผลตอบแทน 6% ขึ้นไป ถึงจะคิดส่วนแบ่งกำไร 20%)

สรุปว่า แบบ Hedge Fund ทั่วๆไป ไม่ว่าจะกำไรหรือ ไม่กำไรก็ต้องจ่าย 2% แถมต้องแบ่ง 20% กำไรอีก --((ขนาด Warren Buffet ยังไม่กล้าคิดเงิน หากไม่ทำกำไรเหนือ พันธบัตร...)) แถมสถิติการ "ล้มเหลว"ของ Hedge Fund ถือว่าสูงมาก

เพราะโดยปกติ Hegdge Fund ที่แปลตรงตัวว่า "กองทุนป้องกันความเสี่ยง" แต่พอเอาเข้าจริง ลงทุน สุดจะเสี่ยงเลย ..แหม!ทำไงได้ เพราะความเสี่ยงทั้งหมด มันอยู่ที่ "เจ้าของเงิน" ไม่ได้อยู่ที่คนบริหาร ดังนั้น แน่นอน..ถ้าผมเป็น Fund Managerผมก็ต้องเสี่ยงสุดๆ ..เพราะถ้าได้เงินมาก ผมก็มีชื่อเสียง(ดังทันที) แถมได้ส่วนแบ่งกำไรชนิด"รวยเลย" แต่ถ้าพังก็ไม่ใช่เงินผม (ช่างมัน)-- หลบไปสัก 2 ปี แล้วค่อยกลับมาเปิดใหม่ ฮิ ฮิ...

เมืองไทย Hedge Fund ยังไม่ค่อยนิยม เห็นได้ข่าวว่าช่วงก่อน คุณ ทักษิณ คิดจะตั้ง แต่มาเจอ ยึดทรัพย์ทำเอา "เครียด" เลิกคิดไปเลย ...

ผมยกตัวอย่างของเมืองไทย ตอนนี้ถ้าตั้ง Fund ขึ้นมา จะทำยังไง -- อย่างแรกเลยผมเลือกหุ้นสักตัว--เอา PTT ละกัน
(ย้อนดูสถิติ) แย่สุดไปดีสุดวิ่งจาก 140 - 440 บาท (ผมคิดจากพื้นฐานเดียวกันนะ )..เพราะถ้าคิดคนละพื้นฐาน เช่น ตั้งแต่เข้าตลาดที่ 30 บาท มันคนละปัจจัย เพราะตอนเข้าตลาด Book Value อยู่ที่ไม่เกิน 30 บาทเช่นกัน แต่ตอนนี้ Book Value อยู่ที่ 150 บาท

ดังนั้น ผมมอง Book Value ตั้งเทียบ โดยคิดปัจจัยที่เท่ากัน แต่อารมณ์ของนักลงทุน เป็นตัวกำหนดราคาวิ่ง 140 -440 บาท ดังกล่าว นั่นเอง) สมมุติผมระดมทุนได้ 230 ล้านบาท (สมมุติผมซื้อราคาเฉลี่ยปีนี้ที่ 230 บาทต่อหุ้น)--ผมจะซื้อได้ 1 ล้านหุ้น --เงินปันผลปีแรกผมจะได้ประมาณ 8 - 10 ล้านบาท

ถ้าสมมุติผม lock การลงทุนขั้นต่ำ 5 ปี --ดังนั้นถ้าผมถือ PTT 5 ปี เงินปันผลรวมที่จะได้เท่ากับ 10 * 5 = 50 ล้านบาท รวมกับ capital Gain ในปีที่ 5 หุ้น PTT น่าจะขึ้นเกิน 440 บาท ไปแล้ว (เพราะแต่ละปี PTT ลงทุนมากกว่า 1 แสนล้าน ดังนั้น อีก 5 ปี ข้างหน้า Book Value น่าจะอยู่ที่ 200 บาทต่อหุ้น

ซึ่งในภาวะปกติราคา PTT จะอยู่ที่ 3 เท่าของ P/BV เท่ากับว่า Fair Value ในสถานการณ์ปกติของ PTT ในอีก 5 ปี ข้างหน้าจะเท่ากับ 200 *3 = 600 บาทต่อหุ้น ..การที่ผมคิดว่าอีก 5 ปี หุ้น PTT จะเป็น 440 บาทเท่ากับว่า Very Conservative Projection)

สรุปว่า กองทุนของผม เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี กองทุนผมจะเพิ่มเป็น 440 + 50 = 490 ล้านบาท (บวกๆ) จากนั้น ผมก็หักค่าบริหารปีละ 2% กับ 20% ของ capital Gain ทุกปี --คือง่ายๆ (ผมรวยเลย) เพราะเมื่อหักค่าบริหารและส่วนแบ่งกำไร..ในปีที่ 5 ผมจะมีเงินเป็น 100 ล้าน!!!จากกองทุน โดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรเลย (ไม่เสี่ยงด้วย เพราะไม่ใช่เงินผม)

คือ คิดยังไง ก็ไม่เข้าใจว่า แล้วทำไมคนมีเงินไม่บริหารเอง.. อาจเป็นเพราะจ่ายค่าความ"ใจแข็ง" คือ ถ้าเป็นเงินคุณ ถ้าซื้อ PTT มาที่ 230 บาท พอราคามันแตะ 300 คุณคงทิ้งขายไปแล้ว (ตรงนี้น่าคิดนะ)... มันเป็นคำถามที่ "ยังหลอกหลอนผม ตลอดการลงทุน" คือ ถ้าคุณเป็นคนเล่นหุ้นระยะยาว ผมว่า ระหว่างที่คุณ ถือหุ้น มันจะต้องมีช่วงเวลาบางครั้งที่ port ของคุณ "จมน้ำ" คือ ขาดทุน ซึ่งถ้าคุณไม่ขาย ท้ายสุดราคามันก็กลับไปถึงที่คุณ ตั้งใจจะขายในที่สุด.. ระหว่างนั้น คุณก็รับปันผลอย่างเป็นกอบเป็นกำ ..แต่มันแปลกมาก เพราะน้อยคนนักที่จะทนดู Port ของตัวเอง"จมน้ำ" โดยที่ไม่"ตื่นตูม"ขายทิ้งไปเสียก่อน

อีกประเด็นที่ "หลอนประสาท" คือ "รู้อย่างนี้..." ตัวอย่างเช่น ปีที่แล้ว PTT ราคาตกแตะ 140 บาทแต่ไม่มีใครกล้าซื้อ เพราะกลัวมันจะวิ่งลงไปที่ 30 บาท (ราคา IPO ของ PTT) --แต่ผมก็เชื่อว่าปี 2008 มีหลายคนที่ซื้อราคา 160 บาท (ผมนี่แหละคนนึง) แต่สรุปผมขายไปตอน 180 บาท เพราะกลัวมันจะตก สรุปก็"ขายหมู" เพราะตอนนี้ราคาตลาดยังอยู่ที่ 250 บาท

---ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ซื้อตอน 160 บาท ก็ได้ขายไปแล้วไม่ต่างจากผม --สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของผมคือ "รู้อย่างนี้..ผมถือไว้ดีกว่า" แต่คุณรู้ไหมว่าระหว่างนั้นราคา PTT สำหรับคนที่ซื้อ 160 บาทแล้วไม่ขาย --เขา"จมน้ำ"กี่รอบ ---(หลายรอบ ..บอกเลยว่าหลายรอบ)

คุณลองคิดดู ราคา 2 ปีที่ผ่านมา หุ้นวิ่งตั้งแต่ 140 -280 บาท แต่ไม่มีใครรู้แน่นอนว่า เวลาไหนขึ้นหรือลง ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะได้กำไรมาก หากคุณวิ่งเข้าวิ่งออก (หลายคนอ่านแล้วยังคิดว่า ..คุณสามารถทำได้ ซึ่งจริงๆหากคุณ ออกได้ ตรงจุดสูงสุดของทุกรอบ และเข้าได้ต่ำสุดของทุกรอบ แต่ละปีคุณจะมีกำไรมากว่า 1000 %

ซึ่งจากสถิติ ยังไม่มีใครในโลกทำได้ --คนที่ทำได้ดีที่สุดในโลกคือ Warren Buffet ที่ถือยาวมากๆ(แทบไม่เคยขาย) ส่วนพวกกองทุนที่วิ่งเข้าออก กว่า 80% "แพ้ตลาด--ขาดทุนเละ" ..แต่ไม่แน่นะ คุณอาจเป็นมนุษย์ที่โชคดี ที่พระเจ้าสร้างให้คุณ เป็น"เทพ"แห่งหุ้นก็ได้ ...ก็ลองดูละกัน......"เทพ แห่งหุ้น .. หุ หุ หุ..."...

ผมอยากเปิดโรงเรียนสอน"เด็กอัจฉริยะ"คงสนุกน่าดู..


ไอเดียเกี่ยวกับ 10,000 ชั่วโมงของการฝึกฝน กับ "อัจฉริยะสร้างได้" ทำให้ผมเกิดความคิดว่า ทำไม ไม่มีใครสร้างโรงเรียนสอน"เด็กอัจฉริยะ"ขึ้นมา..... ที่ว่าเด็กอัจฉริยะ ไม่ใช่ว่า ต้องเก่งตั้งแต่เกิด--- แต่เก่งเพราะฝึกฝนอย่างหนักต่างหาก... ไอ้ที่บอกว่า"พรสวรรค์อะไรนั่น..ผมว่ามันก็ต้องฝึกหนักทั้งนั้น"

ตั้งแต่ Micheal Jackson ที่เต้นเก่ง(สุดขีด) --เก่งเพียงอย่างเดียว แม้เปลี่ยนหลอดไฟไม่เป็น พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เต้นเก่งสุดขั้ว ..ก็กลายเป็น"ราชาเพลงป๊อป"ตลอดกาลได้ -- ผมว่าถ้าผมเปิดโรงเรียน จะให้นักเรียนแต่ละคนเลือกเรียน "เพียงอย่างเดียว" (วันละ 10 ชัวโมง เรียน 200 วันต่อปี เท่ากับเรียน 2,000 ชั่วโมง ..คิดตามหลักสูตร 12 ปี เท่ากับว่า เด็กคนหนึ่งๆ จะเรียนวิชาเดียว 24,000 ชัวโมง --(((เท่ากับว่า 2 เท่าของการฝึกฝนระดับ"เทพ ..ที่ 10,000 ชั่วโมง คูณ สอง")))

.สุดๆแล้ว สุดๆ.)ผมว่า มันน่าเสี่ยงนะ!!! แทนที่จะให้ลูกคุณเรียนหนังสือ แบบ"จับฉ่าย" ตั้ง แต่ สปช. กพอ. ยัน เคมี . ชีวะ ..เรียนรู้ทุกอย่าง แต่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย --ต่างจากเด็กผม!!---

(ถึงเปลี่ยนหลอดไฟไม่ได้) แต่ไปแข่ง Golf กับ Tiger Woods ชนิดที่ทำให้ Tiger Woods หนาว --เหงื่อแตก ..
ดังนั้น เด็กทุกคนที่ผ่านการเรียน จาก"โรงเรียนของผม" จะเป็น"อัจฉริยะ" ในด้านใดด้านหนึ่งที่เลือก เช่น อัจฉริยะทางกอล์ฟ(เป็นคู่แข่ง Tiger Woods) , อัจฉริยะทางเต้น(เป็นคู่แข่ง Rain), อัจฉริยะทางบอล(คู่แข่งโรนัดโด้),อัจฉริยะทางการเล่นหุ้น(คู่แข่ง Warren Buffet ว่าที่นักเล่นหุ้นรางวัล โนเบล ว่างั้น)

คือ ลองนึกดูว่า --โรงเรียนของผมจะสร้าง คนที่เก่งสุดๆ ในทุกๆด้าน (สุดยอด)จริงๆ --แต่"โรงเรียน" ผม ไม่รับผู้ใหญ่เพราะ "แก่เกินแกงแล้ว"-- คือ "สมองเด็ก"จริงๆเหมือน"ขันน้ำ"ที่ยังไม่มีน้ำ ดังนั้น ใส่อะไรเข้าไปมันรับ 100% ยิ่งถ้าใส่อย่างเดียว เช่น ใส่แต่เรื่องเทคนิคการเต้น สมองเขาก็จะรับการเต้นได้ 100% กลายเป็น อัจฉริยะได้ แต่ถ้าเอาคนที่โตแล้วมาฝึก สมองมันกลายเป็น "ขันน้ำจับฉ่าย"ไปเสียแล้ว --เป็นที่มาของ เข็นยังไงมันก็ไม่ขึ้นแล้ว

อ้าว++ เร่เข้ามา!!!..คนมีเงิน ที่ต้องการให้ลูกน้อย เป็นอัจฉริยะ ก็เตรียมเอาลูกมา "เรียนกับผมได้" ฮิ ฮิ --"อัจฉริยะสร้างได้".... Gen เรามันแก่เกินแกงแล้ว ต้องรอพัฒนารุ่นต่อไปดีกว่า.... (แต่ไม่รู้พอ เขาเป็น Tiger Woods แล้วเขาจะนึกขอบคุณ หรือ สาบแช่ง พ่อแม่ กันแน่ (ทำไมทรมานกูถึงเพียงนี้!!!)--ทำไงได้เดี๋ยวนี้ คนมันเยอะ ถ้าไม่ทุ่ม ไม่ Focus คุณจะเหนือกว่าคนอื่นได้อย่างไร ..วงการพระ ยังแข่งสอบเปรียณธรรม 9 ประโยค ตั้งแต่เป็น "เณร" เลย ไม่ใช่แต่เฉพาะ คนทั่วไป..ผมไม่รู้ว่า "คนรุ่นหลัง" ควรจะรู้สึกดีหรือแย่ กันแน่????...

เกร็ดความรู้ :: ในเมืองที่ทุกคนมีตาเดียว คนที่มีสองตา ได้เป็น"ราชา" --คุณ รู้ไหม พอลพต --(ผู้นำเขมรแดง) คิดสวนทาง เอาคนเขมรที่มีการศึกษาทั้งหมด "ฆ่า"ทิ้ง ทำให้ เปลี่ยนเกมการแข่งขัน ดังนั้น เมื่อคนเก่งตายหมด คนที่"ควาย"น้อยที่สุด ก็กลายเป็น"นายก"ได้(งง)เลย(นี่ฝรั่งเขาเรียก If you can't compete--Change the Game!!) ..หุ หุ (พอลพต นี่ฉลาด สุดขั้ว .. ชาวเขมรต่างขอบคุณ "พอลพต" ที่ทำให้ ชีวิตชาวเขมร ไม่ต้องแข่งขัน กดดันเหมือนชาติอื่นๆ --สุดยอด!!!!....) (งง)...เลย ตู

การวัดค่าความสำเร็จของ"จีเมริกา" (จีน+อเมริกา)


สิบปีที่ผ่านมา จีน และ อเมริกา มีการค้าและการลงทุนเชื่อมโยงจนเกือบกลืนเป็น"เนื้อเดียวกัน" เริ่มจากอเมริกา ย้ายฐาน "Manufacturing" ไปผลิตทุกอย่างตั้งแต่ ไม้จิ้มฟัน(Unilever) ยันเครื่องบิน (Boeing) ..อเมริกาเคลื่อนตัวไปเน้นหนัก Service Industry และ IT --สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อเมริกา Boom ตลาดหุ้นตอบรับเงินลงทุนที่ไหลเข้าจากทั่วโลก

..ความหมายของมัน ก็คือ นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจยุคใหม่(New Economy)ต้องเป็นแบบอเมริกา คือ ไม่ผลิตแต่เน้น Service ---(แต่!!!..แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือ ...มันคือสิ่งที่หลายคนพยายามหาคำตอบ) หากเราเปรียบ"ตลาดทุน"เป็นกระจกสะท้อน ความมั่งคั่งของแต่ละประเทศ --การที่ตลาดทุน Crash อย่างแรงของอเมริกา มันมีความหมาย"โดยนัย"ว่าอะไร???

ขณะนี้จีน กลายเป็นฐานการผลิตของทั้งโลก เรียกได้ว่าเป็น"โรงงานของโลก" (นี่ยังไม่นับรวม India ที่ อเมริกา Outsource "IT" Back Office ไปเกือบทั้งหมด--แล้วอเมริกาจะเหลืออะไรทำ (วะเนี่ย..กู(งง)..ไหมนะ*-*)) ..จะว่าไปแล้ว ไม่แปลกเลยที่อเมริกาประสบปัญหาการว่างงานเข้าขั้นวิกฤต ก็เล่น Outsource งานทุกอย่างออกนอกประเทศหมด --แล้วจะเหลืองานอะไรให้คนอเมริกาทำ ล่ะครับ..พี่ครับ!!

--ในเมื่อ "ตกงาน"ระนาว ก็"งานเข้า"ทันใด --ราคาบ้านตกต่ำ คนจ่ายหนี้ไม่ได้....เกิดปัญหา Sub Prime ..ธนาคารก็ซวยตาม ..Investment Bank และ Hedge Fund/ Mutual Fund เจ๊งกันระนาว --ทีนี้แหละเริ่มชี้หน้าทะเลาะกันไปมา (โทษใครดี..)

กลับมาที่ "จีเมริกา" ว่ามันเกี่ยวอะไร --(นี่แหละ ระเบิดเวลา) สิบปีที่ผ่านมา อเมริกา มีเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด แถมสามารถคุม "เงินเฟ้อ" ได้ในระดับต่ำ ทั้งนี้ก็เพราะจีน ช่วย Absorb ตลาดแรงงาน คือ แทนที่พอเศรษฐกิจดี"ค่าแรง"จะขึ้น ก็กลายเป็น บริษัทต่าง Shift การผลิตไปจีนเพื่อลดต้นทุน จากนั้นก็ส่งของ กลับมาขายอเมริกา "ของถูก" ทำให้ของในอเมริกา ไม่สามารถแพงได้มาก (เพราะต้องแข่งกับสินค้าจีน..ที่บริษัทอเมริกาไปผลิตนั่นแหละ)

สรุปทำให้ "แรงงานและของ ก็ขึ้นไม่ได้"เลยสามารถคุม "เงินเฟ้อ" ให้อยู่ในระดับต่ำ -- พวกผู้บริหารประเทศ และ Fed ต่างภูมิใจว่าตนเองเก่ง(จริงหรือ)...ในด้านเงินทุน อเมริกาขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง(แม้ว่าเดิมโรงงานที่ผลิตจะเป็นของอเมริกา สุดท้าย"คนจีน" ก็เขมือบเอาไปเลย ฮ่า ฮ่า สรุปยุคแรกที่เข้าไป เหมือนเอาเทคโนการผลิต และเงินทุนไปให้ จีนฟรีๆ..ว่างั้น)

เกือบทุกบริษัทใหญ่ๆในอเมริกา ถูกภาวะการแข่งขันในด้านต้นทุน บีบให้ต้องไปลงทุนในเมืองจีน ส่งผลให้ "เงินทุน" ไหลเข้าจีนอย่างมหาศาล --ทั้งขาดดุล ทั้ง ทุนไหลออก..คุณคิดดูแล้วกันว่า จะเหลืออะไรในประเทศอเมริกา --ปัจจุบัน ตลาดหุ้นอเมริกา ไม่ไปไหน แต่จีนและเอเชีย พุ่งเอา พุ่งเอา..ถ้ามองให้ดี "ตลาดหุ้น" มันเริ่มสะท้อนให้เราเห็นแล้วว่า อนาคตข้างหน้า ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร ..(แล้วมันจะออกมาอย่างไร ..เราควรเอาเงินเราไปอยู่ตรงไหน ถึงจะได้รับ อานิสงค์ของตลาด"บูม" ในครั้งนี้ ...ถามใครดี ...ถามใครดี..!!!!)

ก่อน Subprime เงินทุนไหลเข้าเอเชียอย่างต่อเนื่องสูงเป็นประหวัดการณ์ (อย่างไทยก็มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้น มาต่อเนื่องแตะ 300,000 ล้านบาทในปี 2007 แล้วก็ไหลกลับไปตอน Subprime) สิ่งที่"บอกใบ้" ให้เราทราบคือ การเปลี่ยนแปลงในรูปของเงินลงทุน ที่มักจะไหลไปสู่ "โอกาส" และครั้งนี้ "โอกาส" มันอยู่ไม่ไกลจากเรา --(ใช่แล้วครับ โอกาสในครั้งนี้คือ "เอเชีย" ..คำถามอยู่ที่ว่า คุณจะเป็นคนหนึ่งที่"โชคดี" จากโอกาสในครั้งนี้ได้อย่างไร)--Asian Miracle 2 จริงหรือ?????...

การค้าในประเทศเอเชียเกินดุลอย่างมหาศาล นำมาโดย จีน เกาหลี อินโด ไทย คือ สรุปเอเชียเราค้าขายได้กำไร มีเงินเก็บมาก (ประเทศที่ฉลาดอย่างสิงค์โปร์ เอาเงิน ที่เกินดุล บางส่วน ตั้งเป็น Soveriegn Wealth Fund เข้าลงทุนใน "ตราสารทุน" หรือ "Asset" แทนที่จากเดิมลงเฉพาะ พันธบัตรระยะสั้นเท่านั้น ---แล้วมันดีหรือไม่ ..(ตลก)

..ดีแน่นอน เพราะคิดง่ายๆ คุณค้าขายได้กำไร ถ้าคุณ(ควายๆ)หน่อย คุณก็เอา เงินเก็บ ไปฝากธนาคาร(ดอกเบี้ยโคตรต่ำ) ถ้าฉลาดนิดหน่อยก็เอาไป ซื้อพันธบัตร แต่ถ้าฉลาดและใจถึงหน่อย ก็ไปซื้อหุ้น หรือ ซื้อที่ หรือ Asset อื่นๆ ตอนราคาตกต่ำ(อย่างในปัจจุบัน)

พอเศรษฐกิจมันดีขึ้นมา(สมมุติอีก 5 ปีข้างหน้า) คุณก็ค่อยเอา หุ้น ที่ดิน และ Asset ต่างๆออกมาขาย คุณก็จะได้กำไรมากกว่า ถือพันธบัตร ไม่รู้กี่เท่า --นี่แหละครับ ความฉลาดที่รัฐบาล สิงค์โปรคิด เลยตั้ง "SWF" ขึ้นมานั่นเอง (ประเทศไทยมีเงินเกินดุล อันดับตั้นๆของโลก กลับเอาไว้ซื้อแต่ พันธบัตรอเมริกา (ที่มีค่าด้อยลงเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1970 เงิน US มีค่าลดลงกว่า 90% --ผมถามหน่อย เมื่อไหร่ แบงค์ชาติ กับ รัฐบาล จะตาสว่างเสียที หรือ รอให้สิงค์โปร SWF(ไอ้ ทามาเส็ก นั่นแหละ) มาซื้อกิจการการให้หมดประเทศ .

..ประกาศไว้เลย ถ้าผมเป็นรัฐบาลอย่างแรก ผมจะเอากองทุนเราซื้อ SHIN คืนจาก "ทามาเส็ก" แล้วก็ไปซื้อ "Singtel" ต่อ.. ให้ สิงค์โปร แม่งหายบ้าไปเลย (เพราะ"เงินสำรองระหว่างประเทศเราใหญ่กว่าสิงค์โปรอีก"ปัญหาคือ "บ้านเรา ควายมันเยอะ!! เดินขัดขากันไปมา"น่าเศร้า...)

นอกเรื่องไปนาน กลับมาที่ เงินทุนตอนนี้ของโลกอยู่ที่เอเชีย --พูดง่ายๆคือ เอเชียจริงๆ "รวย" เป็นเจ้าหนี้ ส่วนอเมริกา "จน" เป็น"ลูกหนี้" คุณคิดดูให้ดีละกัน ถ้าคุณจะลงทุน คุณควรไปลงทุนกับ "คนรวย" หรือ ลงทุนกับ "คนจน--จะได้สงเคราะห์แบ่งปันความจนไง ฮิ ฮิ..."

--ตอนนี้ นักลงทุนเริ่มตาสว่างมาหลายปี แล้ว คือ เริ่มเทเงินลงทุนเข้ามาในเอเชียอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปี ก่อน แต่มาสะดุด (ตาพล่ามัว)อีกครั้งตอน Subprime ..ตอนนี้เริ่ม ตาสว่างขึ้น จะเห็นได้ว่า เม็ดเงินเริ่มทยอย เข้ามาในเอเชียอีกครั้ง นำโดย จีน และอินเดีย (ส่วนไทย ยังติดปัญหา กีฬาสีอยู่ ทำให้ตลาดหุ้นบ้านเรา ราคาถูกมากๆ)

..หลายคน"กระซิบ" บอกผมว่า "กีฬา" สีไม่มีวันจบ มันจะแรงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ต้องเปลี่ยน "ราชประสงค์"เป็นถนนคนเดิน มีการตั้งบ้านเรื่อนกลายเป็น สลัมกลางเมือง แข่งกับ "มุมไบ" ฮิ ฮิ... (ผมว่า มันอยู่ที่มุมมอง)

ผมคนหนึ่งละ ที่เชื่อว่า เหตุการณ์เมื่อมีเกิดก็มีดับ ดังนั้น ผมจะไม่มองอะไรด้านเดียว --การมองอะไรสุดโต่ง จะเป็นการปิดกั้น "วิสัยทัศน์"ของตัวเอง --คุณเคยไหมที่พอคิดว่าอะไรมันจะแย่สุดๆ แต่มันกลับเป็นตรงกันข้าม หรือ เวลาคุณคิดว่าอะไรมันกำลังจะดีสุด แต่มันกลับแย่สุดๆตรงกันข้าม ---(เคย!!!)

...แล้วคราวนี้ประเทศไทยจะออกมารูปแบบไหนล่ะ (คุณคิดเอง) ---เดี๋ยวผม ขอตัวไปเก็บ "เนื้อหมู" ในตลาดหุ้น ที่หลายๆคนเทขายออกมาก่อนนะครับ แต่ขอบอก"เนื้อหมู"มีจำนวน "จำกัด" (จำนวนเท่ากับ คนที่อยากจะขาย"หมู") --เร็วไปก็ไม่ดี ช้าไปก็อาจไม่ได้ของ --"โชคดีทุกคน".........

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

ยอดผู้เสียชีวิต"สงกรานต์"ทะลุ 160 ศพ --มากกว่า เหตุความรุนแรงที่สุด(กีฬาสี)ในรอบยี่สิบปี


เพิ่งสังเกตว่า ผู้เสียชีวิตในช่วง"สงกรานต์" สูงถึง 160 ศพ คือ ตายมากกว่า "เหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่ป่าเถื่อนที่สุดในยุคนี้" ถึงกับอึ้ง...(งง) ...ตกลงว่า "สงกรานต์" ป่าเถื่อนกว่า!!!!... --ทำไมไม่มีคนเสนอให้ยกเลิกเทศกาล "สงกรานต์"บ้าง เพราะมีคนตายเยอะมาก

...ถ้าเป็นเช่นนี้ อะไรที่เขาเรียกรุนแรง ((มันอยู่ที่เราจะมองรึเปล่าเนี่ย..)) ที่ผ่านมาวันจันทร์ นักลงทุน เตรียมทิ้งหุ้นหนีประเทศไทย เพราะเขามองว่า "ไทยป่าเถื่อนมาก" แต่ปรากฏว่า สงกรานต์มีคนตายเยอะกว่ามาก -- ฮิ ฮิ... ---"ทำไมไอ้พวกนี้มันไม่ทิ้งหุ้นตั้งแต่สงกรานต์ที่แล้ว(วะ) เพราะคนตายมากกว่าปีนี้อีก อ้าว!!"

วันจันทร์ ที่ผ่านมา นักลงทุน ทั้งสถาบัน ทั้งต่างชาติ แห่ทิ้งหุ้นระนาว สรุปว่า "เขาตกใจอะไรกันหรือ" -- "จริงๆ ผมก็ตกใจ เหมือนกัน(ธรรมชาติของ มนุษย์น่ะ)" แต่พอมานั่งนึกคือ ลองคิดว่าตอนนี้คนส่วนใหญ่ทำอะไร แสดงว่า "เป็นทางแห่งการขาดทุน (เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่แพ้ตลาด)".. เราจึงต้อง "สวน"

--เลยตอนนี้กำลังรวบรวมเงินเตรียม"ซื้อ" เก็บหมู แต่เที่ยวนี้คาดว่า "หมูจะถูกมากๆ" ---คงไม่ต้องรีบเก็บในทันใด แต่ถ้าใจเย็นมาก "หมูอาจหมด" ---รอบนี้วัดใจกันอีกรอบ "ชาวสวน"ที่ใจถึง อาจเก็บหมูได้มาก เที่ยวนี้.... เราจะไว้ลาย "คนไทย" เพราะเที่ยวนี้ ไม่ใช่แค่สถาบันและกองทุนเท่านั้น ฝรั่งรอบนี้ก็เข็นหมู จำนวนมากออกมาขาย

ก็สรุปว่า ใครที่มีเงินก็เข้ามาเก็บหมู ทยอยเก็บ ยิ่งตกยิ่งเก็บ พอ"สิงหา" เนื้อหมู ก็จะเริ่มปันผล ให้กำไร"คนเก็บ" --พอเหตุการณ์ความวุ่นวายผ่านไป เราก็ค่อยเข็นหมูออกมาขาย ให้พวก "สถาบัน" "กองทุน" "ฝรั่ง" มากรับต่อไป (แล้วรอบนี้ใครเป็น"เม่า"!!! ก็ต้องรอคำตอบ แต่ผมยังเชื่อว่า "ชาวสวน" นอนมาเสมอ)

--- แต่ถ้าใครไม่เข้ามาเก็บหมูในช่วงนี้ แนะนำ"เงินฝากธนาคาร" เพราะถึงแม้ดอกเบี้ยจะต่ำกว่าเงินเฟื้อแล้ว ยังสร้างความมั่นคงให้เป็นทุนสำรอง ที่มั่นคงไว้รอซื้อน้ำมันราคาแพง และของที่กำลังขึ้นเอาขึ้นเอา.... (สรุปว่าเงินฝากมันดีถึงเพียงนี้เลยรึ...)

"ตลาดเงินคือกระจกที่สะท้อน การให้ค่าของชีวิตมนุษย์และทรัพยากรที่อยู่รอบตัว"


ผมเพิ่งอ่าน "The Ascent of Money - Niall Ferguson"อ่านไปอ่านมาก็พลิกไปอ่านบทสุดท้าย ไปโดน บทปิดเกี่ยวกับนิยามความหมายของ"ตลาดเงิน" --คือ โดยปกติตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยนึกเอะใจเลยว่า "เงิน คือ อะไร" แล้วทำไมเราต้องการมันมากๆ และก็ทำไม เงินสำหรับบางคนช่างหายาก"สุดๆ"

แต่สำหรับบางคนก็หาเงิน ง่ายๆ..."ทำไม" -- ไอ้คำพูดที่โดนมากๆจากหนังสือคือ การนิยามว่า ตลาดเงินเปรียบเสมือนกระจกที่ใช้สะท้อนถึง "การให้ค่าตัวเรารวมทั้งทรัพยากรที่เป็นประโยชน์รอบตัว"(งง) --ตอนแรกอ่านแล้วไม่เข้าใจ((มันลึก!!)) แต่พอนึกๆ ก็เริ่มเข้าใจ

...ยกตัวอย่างสมัยก่อน คุณเป็นเจ้าของที่ดินเยอะ ก็ไม่มีความหมาย หากไม่มีการพัฒนาเกิดบนที่ดิน--ที่ดินก็ไม่มีค่า ดังนั้น ก็"ไม่มีราคา" หรืออย่าง สมัยก่อน เป็นเจ้าของที่ดินที่มี แร่ยูเรเนียม ของประเทศออสเตรเลีย(ใครไปจับ"หินแร่"ก็เกิดเป็นโรคร้าย) กลายเป็นถูกมองว่า "เป็นผืนดินที่ถูกเทพเจ้าสาบไว้" แต่ปัจจุบัน พอมีการคิดค้น นิวเคียร์ กลับทำให้ แร่ยูเรเนียมมีคุณค่าขึ้นมาทันที จะเห็นได้ว่า การให้ค่าด้วย"เงิน" เป็นปัจจัยที่กำหนด สิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อชีวิตของมนุษย์นั่นเอง ตัวอย่างล่าสุด เช่น Google จะไม่มีค่าเลย หากคนเล่น Internet ไม่ได้มีมากมายขนาดนี้

ดังนั้น คนที่รวย เช่น Bill Gates ก็คือ คนที่สามารถเป็นเจ้าของ ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง ( OS คืออะไรวะ ปัจจุบันหลายคนยังไม่เข้าใจอยู่ดี แต่ Bill Gates เขาผูกขาด ทุกคนต้องใช้ "รวยเลย"ว่างั้น..)--หลายคนอาจมองว่า "ง่ายๆ" แต่จริงๆมันไม่ง่าย --เพราะถ้ามันง่าย คนอื่นเขาก็เอา"ทรัพยากร"นั่นไปครอบครองหมดแล้ว ไม่เหลือถึงเราแน่นอน

-- ดังนั้น แสดงว่า การที่เราจะครอบครอง"ทรัพยากร" ได้มากมายในขณะที่คนอื่น"ไม่รู้" แสดงว่า "ทรัพยากร"นั่นๆ.. คนอื่นมองว่า "ไม่มีค่า" นั่นเอง --- (ฮ่า ฮ่า) แล้วอะไรล่ะที่ ดู"ไม่มีค่า"ในวันนี้ และมัน "มีค่า" ในวันข้างหน้า.. หลายคน(เริ่มคิด คิด...อะไรล่ะ)-- (ใช่แล้ว) --- ที่ดิน รกร้างในต่างจังหวัด "((หนองปรุ))-- อำเภอที่แห้งแล้งสุดในอีสาน ใช่ป่ะ

คือ ถ้าโชคดี ถนนอาจตัดผ่านที่ดินคุณ(จริงๆแทบเป็นไปไม่ได้) นอกเสียจากคุณเป็นรัฐมนตรีกระทรวง คมนาคม แล้วสั่งให้ตัดถนนผ่านที่คุณ ฮิ ฮิ... ไร้สาระ" --แต่ก็จริง "ที่ดิน" หลายที่คนมองข้าม แต่ท้ายสุดมันกลับมาแพงสุด

อย่าง"คุณตา"ผม ซื้อที่ไว้กลางนา ไกลเมืองสุดๆ อยู่แถว"รามอินทรา" ตั้งแต่ไร่ละร้อย (คุณลองนึกดู) ตอนนั้น ตาผมกะซื้อ ทิ้งๆ เพราะที่ดิน ถูกเป็น"ขี้" (สมัยก่อนพลเอกชาติชายเป็นนายก ที่แถวสุขุมวิท ยังไร่ละไม่กี่หมื่น ตอนนี้กี่ร้อยกี่พันล้าน) เอาเป็นว่า ไอ้ที่นั้น ปรากฏว่าวันดีคืนดี มีนายทุนใหญ่(บริษัท SC ASSET มาซื้อที่ใกล้กัน) และแล้วถนนใหญ่ก็ตัดผ่านที่ จากไร่ละร้อย ก็กลายเป็น ไร่ละหลายสิบล้าน --ขำไหม "ดวงครับ"

ลองนึกต่อว่า ถ้าซื้อที่ดินในวันนี้ แล้วในอนาคตจะ รวยได้เหมือน "คุณตา" ผมไหม --(ผมว่าฝันๆๆ) เพราะอะไรรู้ไหม ก็เพราะที่ดิน เดี๋ยวนี้ ตั้งแต่สมัยคุณ ชาติชายมาเป็นนายก ก็มีการปั่นราคาที่ดินเป็น "ล้านๆเท่า" และแล้ว ราคาที่ก็ไม่ได้ปรับลงไปจุดเดิมอีกเลย --(อ้าว คราวนี้ จะเหลืออะไรอีกที่คนอื่นมองว่า "ไร้ค่า"ในปัจจุบัน และมัน(อาจ)มีค่า"มากมาย"ในอนาคต.....(คุณว่าอะไร)---"หุ้นไง" .........

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ